ที่หน้ากำแพงวัดนั้นประมาณอีก ๒ เดือน ศาลาใหญ่จะขึ้นที่นั่น เขามาขอไม่รู้กี่ครั้งกี่หน คราวนี้กระทิงแดงกับเสี่ยกิมก่ายยกทัพมาขออีก เราพิจารณาเหตุผลเลยอนุญาตให้สร้างศาลาใหญ่ที่หน้ากำแพง แต่ไม่ให้มีปูชั้นนั้นชั้นนี้ ให้โล่งไปหมดเลย ความยาว ๖๐ เมตร กว้าง ๓๐ เมตร เขากะความยาวมา ๕๕ เมตร ความกว้าง ๑๕ เมตร เวลาเราอนุญาตฟาดเสีย ๖๐ เมตร กว้าง ๓๐ เมตร เขายิ่งพอใจใหญ่เลยนะ ขนาดนั้นมันถึงพอคน..ไปอีกละ ตกลงจะขึ้นละ เอาดินถม รวมทั้งเทลาดซีเมนต์หมดแล้วจะอยู่ใน ๕๐ เซนต์
ทะลุโล่งไปหมดเลย ไม่ให้มีอะไรมาเป็นชั้น ๆ เป็นห้องเป็นหับไม่ให้มี ให้โล่ง บอกงั้นเลย เพราะสถานที่นั่นเป็นสถานที่จะรวมงาน ๆ แต่ละครั้ง ๆ คนจะนั่งได้หมด ไม่ให้มีห้องนั้นห้องนี้ ไม้เขาซื้อมามากมาย ซื้อเท่าไรก็ช่างเถอะ เอาที่มันเหมาะสมแล้วเอาตรงนี้ เขาซื้อมาได้ ๒ ปีแล้ว บริษัทกระทิงแดงกับเสี่ยกิมก่าย หนองคาย มารวมกัน พร้อมกันมาขอ เราพิจารณาเหตุผลเรียบร้อยแล้ว เราก็อนุญาตให้เลย
หลังจังหัน
เมื่อเช้าดูเหมือนลง ๒๑ นะ หรือ ๒๐ ลืมแล้ว แต่ไม่หนาว ลดกว่าทุกวัน ความหนาวลดกว่าทุกวัน วันที่เท่าไร ๔-๕ วันมานี้หนาวมาก ลง ๑๔ มีวันเดียวนะ นอกนั้นก็ขึ้นมาเรื่อย ๆ เดือนพฤศจิกา เป็นเดือนที่เริ่มหนาวเฉย ๆ เดือนที่หนาวจริง ๆ คือ เดือนธันวา มกรา ๒ เดือนนี้เรียกว่าเป็นเดือนหนาวของภาคนี้ ตั้งแต่พฤศจิกาเพียงเริ่ม ๆ หนาว แล้วพอกุมภาฯ ก็เริ่มร้อน หน้าหนาวจริง ๆ ก็อยู่ในเกณฑ์ ๓ เดือน ที่มันหนาวให้ปรากฏชัด ๆ นี้ก็อยู่ภายใน ๓ เดือน เช่นอย่างกลางเดือนพฤศจิกา นี่มันก็เป็นไปตั้งแต่ต้นแล้วนี่ กลางเดือนพฤศจิกาแล้วก็ไปต้นเดือนกุมภา หมดหน้าหนาว
เมื่อวานก็ยังได้นะทองคำ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ทองคำได้ ๒ บาท ดอลลาร์หายซากไปเลย ไปไหนไม่รู้ วันนี้ได้เท่าไร (๒๖ สตางค์ ครับ) เหอ วันนี้ฟาดสุดยอดเลยได้ ๒๖ สตางค์ เตรียมฟังไว้นะ เมื่อวานวันที่ ๑๔ ก็ว่าได้น้อย ทองคำได้ ๒ บาท วันนี้วันที่ ๑๕ ฟาดเสียทองคำได้ ๒๖ สตางค์ ถ้าเลยกว่านี้ไปเมืองไทยนี้แหลกขาดสะบั้นไปเลย ค่อยขยับเรื่อยนะ พักเครื่อง ติดเครื่อง เร่งเครื่อง มีไปตาม ๆ กันละ ไปเรื่อย ๆ ขยับไปเรื่อย ๆ
(โยมจากบ้านงิ้ว มากราบ) บ้านงิ้วบ่ ชื่อพันบ่ จนลืม (ชื่อบัวพัน) เราเคยอยู่บ้านนี้ ไปภาวนาอยู่องค์เดียวบ้านงิ้ว พวกนี้ลูกศิษย์เก่าแก่ นี่เขายังเป็นเด็ก พ่อแม่เป็นลูกศิษย์ลูกหา อันนี้ยังเป็นเด็กรุ่น ๆ ตอนที่เราไปพักอยู่นั้นองค์เดียว ชื่อ บัวพัน มันนานแล้วจนป่านนี้ พ่อเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลเรา ไปอยู่นั้นองค์เดียว พ่อเป็นคนตามส่งบาตรอะไรตอนเช้า บ้านงิ้ว กุดไห ใกล้เคียงกัน ข้อยก็ไปเรื่อยอยู่หากบ่ได้มีเวลาหลายดี๊ ข้อยงานหลายอยู่ทุกมื้อ บ่อยู่เปล่าดี๊ โห งานมากตั้ว
บ้านงิ้วเราก็ไปพักอยู่นาน หลายเดือน เป็นระยะ ๆ บ้านดงทั้งนั้นละ เหล่านี้บ้านดง เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย คำว่าดงได้ยินแต่ชื่อ พูดว่าดงเสียเองเด็กรุ่นหลังนี้ไม่เชื่อ คือมันไม่มีเลย มีแต่ไร่แต่สวนเต็มไปหมด เราไปอยู่บ้านนี้แหละ แถวนี้ ไม่ว่าแต่บ้านนี้นะ ไปทุกบ้านแหละแถวนั้น ค้อน้อย ค้อใหญ่ เหล่านี้ไป บ้านงิ้วติดต่อกัน พักที่นั่นที่นี่ มีแต่ความสะดวกสบาย มีแต่ภาวนา การไปมาหาสู่กันนี้แม้แต่ทางล้อทางเกวียนก็ไม่อยากมี แต่ก็จำต้องมีเพราะมีหมู่บ้าน เป็นทางล้อทางเกวียนไปรก ๆ กับทางคน เรื่องรถอย่าไปพูดถึงมันเลย จึงว่าเป็นดงล้วน ๆ ที่อยู่ เรียกว่าดงร้อยเปอร์เซ็นต์ ป่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีที่สมัยเราเที่ยวอยู่นั้น ทุกอย่างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หมด
การไปมาการเที่ยวภาวนาที่นั่นที่นี่เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ สะดวกไปหมด ไม่มีที่จับที่จอง ที่ของคนนั้นคนนี้ เป็นที่ของแผ่นดิน แวะไปที่ไหนก็เป็นที่ภาวนาเลย เดินตามป่าตามเขาไปที่ไหนควรแก่การภาวนา สถานที่เหมาะสมแล้วเข้าพักเลย ได้สบาย ๆ ทุกวันนี้มีแต่ไร่แต่สวน มีแต่ที่ของคนทั้งนั้นแหละ ไม่สะดวก เดี๋ยวนี้เรียกว่าไม่สะดวกเลยสำหรับพระกรรมฐาน แต่ก่อนสะดวกเอามาก ก็ยังดีนะ เรานี่จะเรียกว่ารุ่นหลังก็ได้นะ รุ่นหลังของการท่องเที่ยวในป่าอันสมบูรณ์พูนผล ไม่บกพร่อง การเที่ยวตามป่าตามเขาสถานที่ต่าง ๆ เรียกว่าในขั้นของเรานี้เป็นขั้นสุดท้าย สมบูรณ์มาถึงจุดนี้แล้ว จากนั้นก็ค่อยเป็นไปละที่นี่ เบาบางลง ๆ
เช่นอย่างมาตั้งวัดป่าบ้านตาดนี้ ประมาณ ๑๐ ปี นี่ละที่สมบูรณ์มาในป่าในเขา สมบูรณ์มาประมาณ ๑๐ ปี หลังจากนั้นคนก็สัญจรไปมา ผ่านไปผ่านมา แล้วก็ปลูกบ้านขึ้นที่นี่ เขาสัญจรไปมาคือเขามาดูสถานที่ที่จะปลูกบ้านปลูกเรือนทำไร่ทำนา แล้วหมู่บ้านนั้นมา หมู่บ้านนี้มา ผ่านมาตามนี้ เขามาสำรวจดู แล้วสุดท้ายก็มีบ้านนี้ขึ้นมา เขาเรียกบ้านสุขสมบูรณ์ ดงนะนั่น กลางดง นั่นละประมาณ ๑๐ ปีล่วงไปแล้วก็เริ่มมีอย่างนั้นผ่านเข้ามา ๆ เรื่อย ๆ แล้วคนไปที่ไหนป่าก็ค่อยหมด ราบไป ๆ ตั้งวัดนี้ ๔๕ ปี ตั้งแต่มาสร้างวัดป่าบ้านตาดได้ ๔๕ ปี ผาสุกสบาย ๆ อยู่ภายใน ๑๐ ปี
จากนั้นเรื่องราวก็ค่อยมี บ้านผู้บ้านคน ถนนหนทางเริ่มเข้ามา ๆ การภาวนาการเที่ยวของพระก็ค่อยหดค่อยย่น ค่อยมีจำกัดจำเขี่ยเข้ามาแล้วนะ แต่ก่อนไปที่ไหนไปสบาย แวะตรงไหนเป็นที่ภาวนาที่นั่น เป็นที่ของแผ่นดินว่างั้นเถอะ ไม่มีใครจับจองว่าเป็นที่ของคนนั้นคนนี้ เพราะไม่มีการซื้อการขายความโลภมันก็ไม่มาก หาอยู่พออยู่พอกินที่ไหนก็อยู่ไป ไม่มีการซื้อการขาย ไปมาหาสู่ไม่สะดวกว่างั้นเลย การเที่ยวของพระไปที่ไหนก็ไป ไปสะดวกสบายจริง ๆ เราพูดถึงเรื่องภาวนาอยู่ในป่าในเขา กับสถานที่เกลื่อนกล่นวุ่นวายนี้ แหม ผิดกันมากนะ ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมท่านไปภาวนา ชีวิตจิตใจมีคุณค่าตลอดเลยนะ มีความหมายเต็มตัว ๆ ในหัวใจ ส่วนภายนอกไม่มีอะไรเป็นความหมายแหละ
พระภาวนาพระกรรมฐานท่านเป็นอย่างนั้นนะ ไปที่ไหนจะหรูหราฟู่ฟ่าอะไร ไม่มีความหมายสำหรับท่าน สิ่งที่มีความหมายในท่านคือธรรม ไปที่ไหนไปด้วยธรรม อยู่ด้วยธรรม กินด้วยธรรม นอนด้วยธรรม สะดวกด้วยธรรมไปหมด นั่นเห็นไหม ธรรมไปที่ไหนสะดวกไปหมด กิเลสไปไหน ยุ่ง เป็นไฟไปพร้อมกันเลย นี่มันเห็นชัด ๆ อย่างนี้จะว่าไง นี่เรียกว่าธรรม นั้นเรียกว่าโลก โลกไปที่ไหนยุ่งตลอด กิเลสไปที่ไหนเอาฟืนเอาไฟเผาไปเรื่อย ๆ เลย ธรรมไปที่ไหนเย็นไปตลอด
เราก็เคยพูดเสมอมันหากสด ๆ ร้อน ๆ นะ จะพูดออกมากี่ครั้งก็ตาม คือของจริงนี้ไม่มีเบื่อ ไม่มีบูดไม่มีเสีย พูดออกไปเวลาไหนสด ๆ ร้อน ๆ ถอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ธรรมจึงเป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดมา ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ขอให้เจอธรรมที่พระพุทธเจ้าเจอเถอะน่ะ ปั๊บเข้านี้เป็นอันเดียวกันหมดเลย จะว่าอดีตอนาคตที่ไหนไม่มี เป็นปัจจุบันมาตั้งแต่เมื่อไร ขอให้เจอเข้าไปเถอะ เป็นอย่างนั้นนะธรรม กิเลสมันก็ปิดก็บังไปเรื่อย ตามปิดตามล้อมตามทำลาย ศาสนามีอยู่ที่ไหน กองทัพกิเลสจะตีเข้าไป ๆ แต่ธรรมตีกิเลสนี้บ้านเมืองสงบร่มเย็น แต่ไม่ค่อยมีกำลังเท่ากิเลสตีธรรมนะ
เพราะกิเลสมันพิลึกพิลั่น ธรรมนี้มีเป็นหย่อมเป็นที่เป็นฐานสำหรับคนผู้สนใจ แต่กิเลสนี้สัตว์ก็มี มีอยู่ทั่วไปหมด เพราะฉะนั้นจึงมีกำลังกล้า กำลังมาก สามารถที่จะทำลายความสงบสุขของสัตว์ต่อสัตว์ และบุคคลทั่ว ๆ ไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย นั่นละกิเลส ให้พากันทราบเสียว่า กิเลสคืออะไร คือความวุ่นวายของจิต ดูจิตนั่นนะ ดูกิเลสอย่าไปดูต้นไม้ ภูเขา ดูที่ไหนไม่เจอ ดูธรรมก็เหมือนกันให้ดูที่ใจ ธรรมกับกิเลสจะเกิดที่ใจดวงเดียว ใจเป็นสนามชัยเป็นสนามแพ้อยู่ในนั้นหมดเลย ส่วนมากมีแต่สนามแพ้ ๆ แพ้วันยังค่ำ แพ้กิเลส สนามชัยมีน้อย น้อยมาก
เวลาท่านอยู่ในป่าในเขา อะไร ๆ ในโลกนี้ไม่ได้มีความหมายนะ คือจิตไม่ไปยุ่ง ไม่ไปยุ่งมันก็ไม่ทุกข์ เข้าใจเหรอ มันก็หมุนอยู่กับธรรม ธรรมมีแต่ความร่มเย็น หมุนเท่าไรยิ่งชุ่มยิ่งเย็น จิตมีความมืดมนอนธการขนาดไหน เมื่อค่อยชะค่อยล้างไปก็ค่อยมีแพรวพราวออกมา ๆ กับวุ่นวายยุ่งเหยิงตลอดเวลาอย่างนี้ พอน้ำดับไฟคือธรรมจ่อเข้าไป ภาวนา ไม่ได้มากอันใดก็ตาม ขอให้ได้คำภาวนา คำภาวนาจะเป็นธรรมบทใดก็ตาม นั้นคือธรรมเลิศโลก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มาชิ้นหนึ่งก็เลิศโลกแล้ว เช่น ทองคำออกจากก้อนใหญ่มาจับไว้นี้ก็ทองคำ มันก็เหมือนกัน นั่นละธรรมมีมากมีน้อยก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เข้าสู่ภายในใจ
จิตใจเมื่อได้ถูกความเหลียวแลระมัดระวังรักษาบำรุงเสมอ ไม่ว่าสิ่งใดเจริญได้ทั้งนั้น กิเลสก็เจริญได้ ธรรมก็เจริญได้ ถ้ามีการบำรุงรักษา เรื่องกิเลสมีแต่วิ่งตามมันเลย แต่ธรรมนี้ต้องมีผู้พยุงผู้แนะผู้จูงเข้าไป เวลายังไม่ได้ช่องได้ทางต้องมีผู้ลากผู้เข็น ลากเข็นแล้วยังไม่แล้ว ยังตามมากัดเจ้าของอีก มาดุมาว่าให้อรรถให้ธรรมให้ครูบาอาจารย์ ว่า โอ๋ย องค์นี้ดุ องค์นั้นด่า มันเห่า กิเลสมันต่อสู้ครู มันไม่ได้ไปนะ คือดึงออกจากกองทุกข์ มันเห็นว่ากองทุกข์นั้นเป็นแก้วเป็นแหวนเป็นปราสาทราชมณเฑียรไปหมด เห็นอรรถเห็นธรรมเป็นขี้หมูราขี้หมาแห้งไปอย่างนั้นนะ มันจึงไม่อยากไป
นี่หมายถึงทีแรกนะ ต้องได้ถูได้ไถ เอาตัวของเราเองจับเลยนะ เราก็พยายามเต็มเหนี่ยว ครูบาอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวไปเต็มเหนี่ยว มันยังกัดครูอาจารย์ได้ทั้ง ๆ ที่มันจะไปอยู่แต่ยังกลับมากัดเสียก่อนแล้วค่อยไป บางทีไปพอเจ้าของพักหรือว่านั่งพักสักครู่นี้ ไอ้ที่มันไปนั้นมันไปนอนคอยอยู่แล้วข้างหน้า หลับครอก ๆ อยู่แล้วบอกให้ไปนะ ให้ไปภาวนาให้ไปหาศีลหาธรรม มันไม่ได้ไปไหน มันเข้าไปโรงขี้โบกขี้เบี้ยไอ้พวกการพนันขันต่อที่มี เขามาเล่าให้ฟังขบขันดี
ผัวนั่นเป็นนักการพนัน เมียเลยยุ่งยาก แต่ก่อนเมียไม่ให้ผัวไปตลาด ไปเท่าไรหมด มันหากมีเถลไถลแหละครั้นเงินเข้ามือแล้ว เมียไม่ไว้ใจไม่ให้ไป วันนั้นยุ่งยากเหลือเกิน แล้วก็กำชับกำชา เอานี้ไปหาซื้อของตลาดนะ วันนี้จำเป็นจริง ๆ ไม่ได้ไป เรายังจำไม่ลืม เงินแต่ก่อนมีราคามากนะ เอาเงินยื่นให้ ๑ บาท ๑ บาททุกวันนี้จะเท่ากับราคาพันบาทว่าไง ไปตลาดเพียงบาทเดียวนี้เหลือเฟือมานะ ถ้าไม่ซื้อมากจริง ๆ ธรรมดาบาทหนึ่งแล้วเหลือเฟือ เมียเอาเงินยัดให้บาทหนึ่ง โอ๋ย ผัวมันก็ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นแหละ แหม วันนี้เมียส่งเราไปสวรรค์สด ๆ ร้อน ๆ ไปทีแรกก็เข้าตลาดซิ ไปตลาด
ที่โรงพนันขันต่อมันมีอยู่ทั่วไป จิตมันเสาะด้วยก็ซอกแซกเข้าไป ฟาดเสียเงินบาทไม่เหลือ เข้าบ้านไม่ได้เลย เปิดหนีเลย ๒ คืนถึงกลับมา กลัวเมียฟาดหน้าผากมันซีเข้าใจไหม นั่นเห็นไหมขนาดนั้นมันยังไปได้สบาย นี่ละเรื่องการพนันมันเร็วอย่างนี้นะ ความเทียบเทียบอย่างนี้ละ ถ้าเราเอามาเทียบเป็นเรื่องของบุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐานคือผัวเมีย เมียไม่ไว้ใจผัว จึงสั่งกำชับกำชา ไปแล้วผัวก็เป็นอย่างนั้น อย่างว่าแหละ ไปก็ไปอย่างว่า นี้ก็เป็นอรรถเป็นธรรมสั่งเสียกิเลส ครูบาอาจารย์สั่งเสียลูกศิษย์ลูกหา ครั้นไปแล้วก็ไปแบบนั้นลูกศิษย์ลูกหา เข้าใจไหม ครูบาอาจารย์เลยหมดท่า
เราก็เคยเป็นกับครูบาอาจารย์ ว่าท่านดุท่านด่า กลัวท่านก็กลัวจนตัวสั่น มีนะ มันหากมีกิเลสมันแทรกของมันอยู่นั้นละ นี่หมายความว่าต้องถูไถทีแรกน่ะ ไม่ถูไม่ไถไม่ได้จะอ่อนตามมัน ไปเลยนะไม่มีเหลือ เอาไปกินหมดจริง ๆ ต้องมีแข็งมีดัดกัน มีต่อสู้กันเรื่อย ๆ มันก็ค่อยพอฟัดพอเหวี่ยง ต่อไปก็พอมีช่องมีทาง ก็ค่อยบึกค่อยบึนไปเรื่อย ๆ นี่ละการฝึกหัดความดีทีแรก เฉพาะอย่างยิ่งการภาวนาสำคัญมากทีเดียว เพราะกองกิเลสอยู่นั้นหมดเลย ธรรมก็อยู่ที่นั่นหมดด้วยกัน เวลาจ่อเข้าไปตรงนั้นเหมือนกับว่าผ่านเข้าไปหน้ากองทัพกิเลส มันจะรุมเอาเลยนะ เพราะฉะนั้นคนเราจึงภาวนาไม่ค่อยได้
เช่นให้ภาวนา พุทโธ ๆ ฟังให้ดีนะ ใครฟังอยู่ในนี้มีไหม ให้ภาวนาพุทโธ อย่าคิดอย่ายุ่งกับอะไร สอนให้ประมวลความรู้อันนี้ มันซ่านไปตามกระแสของบ้า เข้าใจไหม มันอยู่อย่างนี้มันอยู่ไม่ได้นะจิตอันนี้ ธรรมชาติอันหนึ่งมันอยู่ข้างใน กิเลสมันดันออก ๆ อยากคิดอยากรู้อยากเห็นในสิ่งต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง อยากทั้งนั้น อยากสัมผัสสัมพันธ์ทุกประเภท นี่คือกิเลสดันออกไป ทีนี้ธรรมเป็นน้ำดับไฟ ท่านก็สอนให้ภาวนา เอ้า ไม่ต้องยุ่งกับอะไรนะ ให้ภาวนาพุทโธ ๆ ให้พยายามภาวนาพุทโธ ไม่ต้องเสียดายความคิดความปรุงที่มันเคยผลักเคยดัน เป็นแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาเราทั้งนั้น ทีนี้ให้เอาพุทโธจ่อเข้าไป จับพุทโธให้ดีนะ ให้ภาวนาพุทโธ ๆ
ครั้นต่อไป ๆ มันไม่ได้ออก มันจะตายข้างในน่ะ มันดิ้น ข้างในมันอยากออก มันอยากออกไปหาที่ตาย เข้าใจไหมล่ะ ท่านสอนให้ภาวนา ให้อยู่ในที่หลบภัย คืออุโมงค์ใหญ่ได้แก่ พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ คำบริกรรม มีสติกำกับ นี้คืออุโมงค์ใหญ่เป็นที่ปลอดภัย ให้อยู่ที่นี่นะ ครั้นอยู่ที่นี่ไป อันหนึ่งมันก็ดันล่ะซี มันผลักมันดัน ๆ แล้วก็ไปเปิดประตูไว้ให้ด้วยนะ ทางนี้ก็ไสให้เปิดประตูให้ด้วย ๆ อยากดูนั้นอยากดูนี้ ครั้นต่อไปก็ขยับเข้าไป มีแต่ภาวนาพุทโธอย่างเดียวนี้ก็จะไม่เกิดความฉลาด ใช้ทางปัญญาด้วยได้ไหม ทางปัญญาด้วยได้ไหมนั่นละคือทางบ้า มันกำลังจะออก มันเปิดประตูให้แล้วเข้าใจไหม สุดท้ายก็กลัวพุทโธ จะว่าพุทโธกลัวพุทโธ ไปอีกแล้ว ยิ่งไปใหญ่ ๆ ลูกศิษย์บ้าของเรานี่ หลวงตาพาเป็นบ้า ลูกศิษย์มันเป็นได้นะ มีไหมในศาลาหลังนี้ดูซี
นี่เห็นไหมกลมายาของกิเลส นี่เราเอากลมายาของกิเลสมาพูด บีบมันไว้มันจะไปไหนวะ นั่น มันเคยคิดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เราจะคิดกับคำว่าพุทโธซึ่งเป็นทางเดินของธรรม ทำไมคิดไม่ได้ ไม่ได้ปิดตายนะ เป็นทางเดินของธรรมด้วยพุทโธ เป็นทางเหมือนกัน ทำไมจึงไปไม่ได้ ไม่อยากไปตรงนี้ ทีนี้เวลาเราฝึกเข้า ๆ ครั้นนานเข้า ๆ หลายครั้งหลายหนก็ค่อยสงบเข้ามา จิตที่เคยยุ่งเหยิงวุ่นวายนั้นก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของ มันค่อยสงบเข้ามาหาคำบริกรรมพุทโธ ความรู้ก็เด่นขึ้นที่นี่ สติสตังเด่นขึ้นที่นี่ ทีนี้จิตก็ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา ค่อยมีความสงบเย็น จากความสงบเย็นแล้วก็มีความสว่างผ่องใส
เพราะอันนี้ไม่ได้ผลักดันออกไปหลอก มันก็ไม่มีอารมณ์ภายนอก เพราะอารมณ์ภายนอกไปจากภายในต่างหาก ทีนี้ค่อยสงบเย็นลงไป ๆ หลายครั้งหลายหนนานเข้าก็ตั้งหลักได้ อยู่นั้นได้ สงบเย็น ทีนี้พอสงบเย็น เรื่องภายนอกที่เคยเป็นภัย ที่เห็นว่าเป็นคุณนั้นก็เห็นว่าเป็นภัยโดยตรงแหละ มันไม่อยากยุ่ง ค่อยตั้งเข้าไป ๆ เริ่มจากนี้เข้าไป ทีนี้จิตเพลินในความสงบเย็น พอจิตเย็นสบาย อยู่ที่ไหนทีนี้เริ่มสบายไปหมดนะ อยู่ต้นไม้ ภูเขาอะไร สิ่งเหล่านั้นไม่มีคุณค่าไม่มีอะไร ไม่สนใจ สนใจตั้งแต่ความรู้กับจิตนี้ให้อยู่ด้วยกัน แล้วค่อยสง่างามขึ้น ๆ ตั้งฐานแห่งความสง่างามขึ้นที่ใจ
อ๋อ ความสงบอยู่ที่นี่ ความวุ่นวายก็อยู่ที่นี่เอง รู้แล้ว ทีนี้ก็ระงับความวุ่นวายไม่ให้มันคิดมันปรุงออกไปข้างนอก จิตสงบเย็น จากนั้นจิตก็ตั้งเข้าเป็นฐาน สงบ จากสมถะคือความสงบแล้วก็เข้าสู่สมาธิ คือสงบอย่างแน่วแน่ เป็นขั้น ๆ เข้าไปอย่างนั้น นี่ละการฝึก ทีแรกต้องยากลำบาก ต้องได้เอากันเต็มเหนี่ยว ๆ จากนั้นพอมีช่องมีทางแล้ว เหมือนกับเราเคยทำการทำงาน รู้การรู้งานแล้ว ไม่ต้องบอกไม่ต้องบังคับกัน ทำเองคนเรารู้งาน เด็กมันไม่รู้จักงานพาไปทำงาน พอผู้ใหญ่เผลอเท่านั้นเด็กเถลไถลหนีจากงานเลย
เวลานี้เรากำลังเป็นเด็ก เด็กแต่ก่อน เด็กธรรมดากับผู้ใหญ่พาทำงานมันไม่ได้เป็นบ้านะ แต่เด็กพวกนักฝึกหัดภาวนา เด็กมีครูมีอาจารย์ซึ่งเป็นเหมือนผู้ใหญ่แนะนำสั่งสอนการภาวนา เด็กเหล่านี้มันคอยจะเป็นบ้าได้เร็วยิ่งกว่าเด็กชาวบ้านนะ เด็กในวัดเรานี้แหละ มันเป็นบ้าได้รวดเร็วนะ พอได้หลักได้เกณฑ์ทีนี้มันค่อยบืนของมันไปเอง ไปอยู่ที่ไหนบืน ๆ จากนั้นก็สง่าขึ้น ๆ เห็นชัดละที่นี่ ไปที่ไหนสบายไปหมด ๆ พอธรรมได้เข้าถึงใจ ๆ กิเลสค่อยจางไป ๆ ความสว่างไสว ความสุขความสบายจะเริ่มขึ้นภายในใจดวงนี้ จากนั้นก็ค่อยจ้าออก ๆ
อยู่ที่ไหนสบายหมดที่นี่ ไม่ได้สนใจดินฟ้าอากาศ โลกธาตุกว้างแคบขนาดไหน สนใจเฉพาะธรรมที่อยู่กับจิต เฉพาะกิเลสที่อยู่กับจิต คอยฟัดคอยเหวี่ยงกันอยู่นั้น อันนั้นก็จางไป ๆ สว่างจ้าขึ้นมาโดยลำดับ
นี่พูดถึงเรื่องสถานที่การแสวงภาวนาในป่าในเขามีครูบาอาจารย์พาดำเนินมา หลวงปู่มั่นนี้เป็นยอดกรรมฐานในสมัยปัจจุบันเราเลย ไม่มีอะไรที่จะต้องติท่านได้เลยนะ เพราะเราก็เรียนมาเหมือนกัน ท่านเดินยังไง ๆ นี้คัมภีร์ก็อยู่ในใจของเรา เราเรียนมาแล้ว ท่านทำอะไร ๆ จะเข้าใจทันที ๆ เลย แต่เราก็จำได้แต่คัมภีร์นั่นซิ ตัวธรรมที่คัมภีร์ชี้บอกมันไม่เข้าใจ ท่านแบกธรรมอยู่ตลอดเวลา ต่างกันอย่างนี้
ก็สงบเย็นเรื่อยถ้าเราได้ฝึกหัดนะ ให้ตั้งใจทุกคน อย่าอ่อนแอนะ โถ จิตใจนี้ตัวแสนดีดแสนดิ้นไม่มีอะไรเกินมัน ตัวพิษตัวภัยอยู่ในหัวใจทั้งสัตว์ทั้งบุคคลไม่เลือกหน้า พวกนี้ไม่ต้องไปรับการศึกษาอบรมจากใคร มันก็เป็นโดยหลักธรรมชาติของมัน ยิ่งมีผู้เสี้ยมสอน ได้รับความสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งไม่ดีทั้งหลายมาเพิ่มด้วยแล้วไปใหญ่เลยนะ ยิ่งรวดเร็ว ธรรมกับกิเลสไม่ผิดกัน เมื่อมีช่องทางแล้วทำอะไรก็เป็นธรรมไปหมด เหมือนกันกับกิเลสเป็นกิเลสนั่นแหละ ให้มันได้เห็นในหัวใจเจ้าของซิ เวลามันเป็นกิเลสคิดแย็บ ๆ อะไร มีตั้งแต่กิเลสนะ
ดังที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังสด ๆ ร้อน ๆ นะ น้ำตาร่วง มีแต่กิเลสฟัดหัวเรา ตั้งความเพียรไม่ทราบว่าตั้งยังไง ตั้งปั๊บหายแล้ว นั่นน่ะกระแสของกิเลสมันรุนแรงขนาดนั้นฟังซิ สติตั้งพับล้มผล็อย ๆ ตั้งพับล้มผล็อย ตั้งเท่าไรล้มเท่านั้น ตั้งเพื่ออยู่ไม่มี นี่กระแสของกิเลสมันรุนแรง ถึงขนาดน้ำตาร่วง ทั้ง ๆ ที่จะต่อสู้กับมันแล้วสู้มันไม่ได้ ก็เลยเอาน้ำตาสู้เอา เราไม่ลืม แหมมันสด ๆ ร้อน ๆ จริง ๆ นะ โถ ไปนั่งอยู่บนภูเขา ตั้งใจจะฟัดกับกิเลสอย่างเต็มเหนี่ยว ลาจากครูบาอาจารย์ไป คราวนี้จะขึ้นเวทีฟัดกิเลส ที่ไหนได้กิเลสฟาดเราหงายหมา ๆ ไม่มีอะไร ๆ จะเห่าเหมือนหมาแหละ ไม่เห่าเหมือนหมาได้ยังไง โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ นั่นเห่าเหมือนหมาเข้าใจไหม
เอาละ ถึงจะเป็นเจตนาดี ความคิดที่ดีก็ตาม มึงเอากูขนาดนี้แล้ว เสียงเห่าสู้กิเลสไม่ได้ก็เหมือนเสียงหมา เข้าใจไหม เอาละมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เห่าว้อก ๆ กูจะกลับคืนมากัดมึงอีก ความหมายก็ว่างั้น นั่นเวลามันเป็นหมา นี่เอามาพูดให้ฟัง พูดเพื่ออะไร ก็เราเป็นในหัวใจเราเต็มเหนี่ยวแล้วนี่ น้ำตาเราเองออกมาที่สู้กิเลสไม่ได้ ถึงกูถึงมึงแหละ มันเป็นอยู่ในใจนะ ไม่ได้ออกปากพูดแหละ น้ำตาร่วงนั่นแหละ โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้ถูถอยกูไม่ถอย อันนี้อันหนึ่งนะ มันเคียดมันแค้นจริง ๆ น้ำตาร่วงเพราะสู้กิเลส ตั้งพับล้มผล็อย ๆ
จนกระทั่งงงในตัวเอง เอ๊ ความเพียรยังไงนี่ มาทำความเพียรยังไง เครื่องหมายของความเพียรอยู่ที่ไหน ก็คือสติ สติไม่มีเอาความเพียรมาจากไหน โห สู้มันไม่ได้ นี่เราไม่ลืม สด ๆ ร้อน ๆ นะ พูดเมื่อไรสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อนั้น แต่ก็มีอันหนึ่งที่เคียดแค้นให้มัน ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดจริง ๆ นะ โห เคียดแค้น ถ้าหากว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลนี้ฆ่าได้แหลกเลย มันเคียดแค้นขนาดนั้น แต่ความเคียดแค้นอันนี้เป็นธรรมนะ เป็นมรรค ทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์
เพราะฉะนั้นคำว่าโกรธ ๆ อย่าเข้าใจว่าคำว่าโกรธนี้เป็นกิเลสทั่วไปหมดนะ ความโกรธที่เป็นอรรถเป็นธรรมก็มี เช่น เราโกรธให้กิเลสดังที่ว่าน้ำตาร่วง เอ้า มึงเอากูขนาดนี้ ยังไงกูต้องเอามึงแน่ ๆ ผูกโกรธผูกแค้นกับมัน นี่เป็นมรรคตลอดนะ มุมานะ ไปศึกษากับครูบาอาจารย์อีก ครั้นไปพอได้แล้วกลับมาอีกหงายอีก กลับมาอีกหงายอีก หลายครั้งหงายก็ไม่ถอย ซัดไปซัดมามันก็หงายให้เห็น เหอ มึงก็มีท้องเหมือนกูเหรอ นึกว่ากูมีท้องหงายให้มึงดู เอ๊ะ มึงก็มี ทีนี้ยิ่งได้ใจใหญ่ฟัดกันใหญ่เลย นี่ละความโกรธอันนี้มันเป็นพลังมากนะ สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันนะ เวลามันเอาเราเอาขนาดนั้น ทีนี้เวลาเราได้ที่แล้วก็ฟาดมันขนาดนี้ มันหมอบๆ หมอบเท่าไรยิ่งตี โหย มันก็เหมือนเพลงบ้านะ เจ้าของฟัดกับเจ้าของ กิเลสอยู่กับเจ้าของ
นี่ละที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายเป็นมาอย่างนั้นนะ ไม่ได้เป็นมาอย่างสะดวกสบาย นอนอยากตื่นเมื่อไรก็ตื่น มันอยากถ่ายหนักถ่ายเบา เอ้า ไหลไปเลยเถอะ พรุ่งนี้ฉันตื่นแล้วฉันก็ไปซักเอง ถ้าฉันซักผ้าเหล่านี้ไม่ได้ ฉันก็เอาโพกหัวฉันยิ่งสบายไปใหญ่เลย มีแต่ขี้เต็มหัวมันจะว่าเข้าใจไหม มันไปแบบนั้นนะกิเลสพาให้สบายๆ แบบนั้น ขี้เต็มหัวมันก็ว่าสบายเลย มันขี้เกียจไปซักผ้านั่นซี เวลานอนขี้ทะลักออกเต็มผ้าเต็มซิ่นเต็มอะไรก็ตาม ครั้นจะไปซักก็ขี้เกียจแล้วทำไง โพกหัวเสียดีกว่าแล้วไปเลย ขี้เต็มหัวอย่างนี้ก็ยังสบายอีกนะ แมลงวันตอมหึ่งๆ ไม่สนใจ โอ้ แมลงวันมาชมบารมีเราวันนี้ ฟังซิ เดี๋ยวอีแร้งจะมาชมบารมีอีกนะ ให้ระวังนะอีแร้งมันจะมาอีก เพราะแมลงวันเป็นสื่อมาก่อน แล้วอีแร้งอีกาก็ตามหลังมา ๆ ยิ่งมีวาสนาบารมีใหญ่เข้าใจเหรอ อย่าให้พูดมากเถอะมันต่อกันไปเรื่อย เหมือนไฟได้เชื้อ เพราะฉะนั้นหักเข้ามาเสียก่อนดีกว่า พูดให้อยู่ในวงพอดีกับเวล่ำเวลา
นี่การฝึกต้องฝึกตัวเอง ใจเป็นของสำคัญมาก ใจไม่เคยตายจำไว้นะพี่น้องทั้งหลาย เรียนให้ถึงมันซิ ตัวนี้แหละตัวพาเกิดพาตายพายุ่งเหยิงวุ่นวายคือตัวใจ ที่มีตัวพิษตัวภัยคือกิเลสแทรกอยู่ในนั้น ๆ การภาวนาคือจะติดตามชะล้างสิ่งที่มันแทรกมันซึมภายในนั้นออก ๆ ตามจนกระทั่งถึงตัวจิต อย่างท่านนักภาวนาท่าน นั่นตามรอยจิตแกะรอยจิต รอยเกิดแก่เจ็บตายอยู่ที่จิต ๆ ตามเข้าไปจนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางแล้วพังลงไปหมด เอา เกิดมาจากไหนไม่ต้องไปถามใคร เชื้อความเกิดก็สู้กันอยู่นี้ เชื้อของความเกิดที่กำลังสู้กันอยู่นี้ก็ถือว่าเป็นข้าศึก ก็มันขาดสะบั้นลงไปแล้วจะเอาอะไรมาเป็นข้าศึก มันก็รู้เท่านั้นซิ
การอบรมแต่ก่อนอย่างนั้น ท่านสะดวกสบายภาวนา แต่กรรมฐานแต่ก่อนมีน้อยแต่มีแต่แก่น ๆ กรรมฐานแต่ก่อนท่านมีแต่แก่น ๆ ท่านเอาจริงเอาจัง แต่กรรมฐานทุกวันนี้ ดีไม่ดีกลายเป็นกรรมฐานหากินก็ได้ พอได้ยินเขาเคารพนับถือพระกรรมฐาน ข้าก็แต่งตัวเป็นกรรมฐานขึ้นมาล่ะซิ เข้าใจไหม ไปอีกแบบหนึ่ง กิเลสมันสวมรอย สวมเร็วนะปั๊บ ๆ เลยไม่ทัน
นี่พูดถึงเรื่องธรรมเรื่องกิเลส อยู่ในหัวใจดวงเดียวกันจำไว้ให้ถึงใจทุกคน เราอย่าเข้าใจว่ากิเลสไปอยู่ตามท้องฟ้ามหาสมุทรทะเลหลวง ทวีปใด ๆ ก็ตามอย่าไปคิดให้เสียเวล่ำเวลา ความทุกข์กิเลสสร้างขึ้นมา ๆ จากใจ เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ กิเลสคือฟืนคือไฟเผาไหม้ แล้วที่โลกทั้งหลายหลงมันอยู่ตลอดเวลา ก็คือมันมียาเคลือบน้ำตาลล่อไปข้างหน้าเรื่อย ล่อไป ให้เราดูดเราดื่มเพลินไปกับมัน ข้างหลังมันเอาไฟเผาตามไป ๆ ข้างหน้ามันเคลือบน้ำตาลเอาไว้ให้เพลิน มีความรื่นเริงบันเทิง อย่างที่เราเห็นกันนั่นแหละ ความเพลิดเพลินรื่นเริงมีแต่ยาเคลือบน้ำตาลของกิเลส ความทุกข์ที่ตามมาเต็มอยู่ข้างหลังนี้ไม่รู้นะ มันเผาไปตลอด เพราะฉะนั้นสัตวโลกจึงหาความสุขไม่ได้
ไปที่ไหนก็ไปเถอะ เราอย่าเข้าใจว่าบ้านไหนโลกใดเจริญ อย่าเข้าใจไป ให้ดูหัวใจของสัตวโลกเท่านั้น ธรรมท่านดูเห็นหมดเลย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลก ไม่เห็นหมดสอนได้ยังไง โลกวิทู ท่านรู้อย่างนั้นท่านเห็นอย่างนั้น ท่านสอนด้วยความรู้ความเห็นจริง ๆ กิเลสมันพาพวกเรางมเงาเกาหมัดไป ตาก็ไม่ลืม เถียงธรรมนี้เถียงเก่งนะ ตามันไม่ลืมละกิเลส แต่มันถกเถียงธรรมกัดธรรมนี้กัดเก่งนะ หลับตาอยู่มันก็กัดได้ กิเลสกัดธรรมนะ ถ้าธรรมจะสู้กับกิเลสต้องลืมตาดู สติต้องจ่อจริง ๆ ถึงดูได้ เข้าใจไหมล่ะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นแหละเหนื่อย
มาจากไหนดูคุ้น ๆ หน้า (มาจากสวิสเซอร์แลนด์เจ้าค่ะ) เคยมาไม่ใช่เหรอ (เคยมาเจ้าค่ะ) มีคุ้น ๆ หน้าอยู่บ้าง สงสัยจึงถามแหละ ถ้าไม่คุ้นไม่รู้เลยก็ไม่ถาม เข้าใจกันอยู่แล้วก็ไม่ถาม เป็นยังไงไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์น่ะ เอาอะไรมาอวดหลวงตาบ้างซิ (ถวายปัจจัย ๘,๐๐๐ บาทเจ้าค่ะ) โห ถ้าอย่างนั้นเราพอใจ สวิสเซอร์แลนด์เขาก็เป็นเมืองสงบร่มเย็น เมืองไหนก็ตามถ้ามีธรรม คือ ธรรมนี้ธรรมในหลักธรรมชาตินะ ไม่ใช่ธรรมจะต้องแนะนำสั่งสอนประกาศป้าง ๆ อย่างนี้ ธรรมในหลักธรรมชาติมันหากมีอยู่ภายในใจของสัตว์ ระบายออกมาก็เป็นธรรม เป็นความสงบร่มเย็นต่อกัน นั่นเรียกว่าธรรมในหลักธรรมชาติ ธรรมแท้เป็นหลักธรรมชาตินะ การแสดงออกมานี้เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบของธรรมเข้าใจไหมล่ะ ที่ออกมาเป็นกิริยานี้ เป็นกิริยาเป็นสาขาของธรรม ธรรมแท้อยู่ที่จิต
วันนี้ฟังเทศน์เข้าใจไหมล่ะ (เข้าใจเจ้าค่ะ) นี่ละเทศน์ธรรมะ ส่วนมากเราจะเทศน์ธรรมะในหลักธรรมชาติ แต่เราไม่บอก แต่พูดเหล่านี้เป็นหลักธรรมชาติ เราจะไปหาในคัมภีร์นี้ไม่ค่อยเจอ ๆ เพราะคัมภีร์นั้นท่านจดเอาไปได้เล็กน้อย ๆ นะ แต่คัมภีร์คือว่าความจริงในหลักธรรมชาติมีอยู่ทั่วไป พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านรู้อยู่ทั่วไป เห็นอยู่ทั่วไป จับออกมาพูดได้ตลอด เราจะต้องไปวิ่งหาคัมภีร์นั้น วิ่งหาคัมภีร์นี้ เอ๊ นี่มีอยู่ในคัมภีร์ไหมนะ ให้คัมภีร์ไปเที่ยวผูกขาดไปหมด ความจริงผูกขาดไม่ได้ก็ใช้ไม่ได้ซิ เข้าใจไหม ต้องเอาความจริงผูกขาด พอรู้ปั๋งนี้มันรู้ไปหมดเลยจะว่าไง นี่ความจริง ตลอดไปเลย เอาคัมภีร์มาผูกขาดไม่ได้นะ อันนี้ไม่มีในพระบาลี อย่างที่เขาว่านั่นแหละ นี้ไม่มีในพระบาลีครับ บาลีหีพ่อหีแม่มึงอะไรเราอยากว่าอย่างนั้น เราอยากพูดว่าอย่างนี้ หรือเราพูดแล้วก็ไม่รู้นะ เราก็ชักป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เข้าใจไหม หรือพูดแล้วก็ไม่รู้นะ
หลับตาพูดกับลืมตาดูลืมตาฟัง มันผิดกันคนละโลกนะ พวกเราพวกหูนวกตาบอด โม้ออกมาคำไหน ๆ ตาพระพุทธเจ้า ตาพระอรหันต์ท่านแจ้งท่านสว่างท่านเห็นหมด ไอ้พวกตาบอดมันโม้กันคุยกันนั้น ถ้าหากว่าเรากับท่านเหมือนกัน ท่านจะหัวเราะก้าก ๆ เลย แต่นี้ท่านเป็นธรรม ท่านไม่ตื่นเข้าใจไหม เป็นยังไงท่านก็รู้ท่านก็ดู ปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง ก็เหมือนไม่รู้ไม่เห็น เข้าใจไหมล่ะ ให้พร
เมื่อวานนี้ไปวัดดงศรีชมภู เอาของไปเต็มเอี๊ยดเลย เก็บกวาดไปตั้งแต่นี่เลย ตั้งแต่ออกจากเมืองอุดรไป พวกไก่หันไก่หมุนเขานี้เป็นแถว เอาหมดเลยนะ เรียบวุธหมด จนกระทั่งเต็มรถแล้วไปอีกยังไม่จุใจ ไปถึงปากคาดเข้าตีตลาดปากคาดอีก รถเรานี้ม่านกั้นมันกั้นเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นนะอยู่ข้างใน คือตัวสำคัญอยู่ข้างใน มีแต่ตัวข้างนอกออกตีตลาด ไปหาเอาตลาด ฟาดมาเต็มรถ ฟาดจนถึงประทุนรถ เต็มละพอ ไปละที่นี่ รถไปพอเอื่อยๆ มันหนักมากนะ อย่างนั้นละหลวงตาไปที่ไหน มีตั้งแต่จะเอาท่าเดียว เห็นจะเอาท่าเดียวๆ เป็นอย่างงั้นนะ เมื่อวานนี้ก็เต็มเอี๊ยด ถ้าที่ไหนใกล้เอาให้เต็มรถเลย คือระยะนี้ไปนั้นไม่ไกล หนักก็ช่างหัวมัน อย่างปากคาดไปวัดดงศรีชมภูก็ไม่ไกล ประมาณ ๒๐ กิโลหรือไง ทางก็ดี ค่อยไปเอื่อยๆ
เต็มรถเลย พวกเนื้อหมูก็ได้ พวกไข่เมื่อวานนี้เป็นมัด ๆ ยกหนัก เรียกว่าเต็มประทุนรถ เอาละไม่มีที่ใส่แล้วไป อย่างนั้นแหละ ไปก็เทปั๊วป๊ะๆ แล้วอาบน้ำปึ๋งปั๋งๆ เสร็จแล้วคุย ๒-๓ ประโยคเผ่นเลยเมื่อวาน มาจากวัดศรีชมภูมาถึงที่นี่ขาด ๒ ชม.อยู่ ๕ นาที รถมาเร็วนะ แต่ก่อน ๒ ชั่วโมง ๒๐ นะมาคราวนี้ขาด ๒ ชั่วโมง.อยู่ ๕ นาที คือทางมันสะดวกมากขึ้นๆ สบาย อย่างนี้ละแจกทานไม่ได้ถอยละวันหนึ่ง
ทีนี้เราไปทางนู้นพวกโรงพยาบาลต่างๆ เขาก็มาข้างหลังก็ได้ไปแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าไม่ได้ส่วนเพิ่มเติมเหมือนเราไปเอง ถ้าเราไปเองมีอาหารสด อาหารพิเศษอย่างที่ไปนี่ อาหารพิเศษไม่มีสิ้นสุดเอารถว่าเลยเทียว เต็มรถพอ แต่ที่โรงพยาบาลต่างๆ เขามาเราจะให้ตามที่เราสั่งไว้เรียบร้อย อันนั้นเท่านั้น ๆ รวมแล้วเป็นเท่านั้น เสมอกันหมดเลย ไม่มีส่วนเพิ่มเติม พวกอาหารสดอะไรไม่ได้ ผิดกัน กล้วยก็ไม่ได้ ไปโรงพยาบาลไหนถ้าเราไปเอง กล้วยนี้ โถ ไม่ใช่น้อย ๆ กล้วยกำแพงเพชร กล้วยไข่ลูกสวยๆ ๔ ห่อใหญ่ๆ ทุกแห่ง ๆ แต่สำหรับรถเข้ามาตามโรงพยาบาลต่างๆ มารับของเราไม่ได้ทั้งนั้นแหละอันนี้ ขาดอยู่สอง ๑) กล้วย ๒) อาหารสด ไม่ได้ นอกนั้นได้เหมือนกันหมด ไปเลิก ๆ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com