เมื่อเช้านี้เราดูปรอทลง ๑๔ เมื่อเช้านี้ ตอนสว่างมานี้มันยังลงได้อีกนะ มันไม่น่าจะลง มันคงจะหนาวน้ำค้างหรืออะไร พอสว่างแล้วมันยังลงได้อีกอยู่ปรอท เอ๊ ตอนเช้ามันยังจะหนาวเพิ่มอยู่เหรอ ตอนสว่างนี่มันยังลงอีกนะ ตอนดึกกว่านั้นหน่อยมันก็ลงไม่เท่าไร พอสว่างจริง ๆ แล้วมันน่าจะหยุด มันกลับลงอีก ลง ๑๔ เมื่อเช้านี้ สองสามวันตั้งแต่เริ่มหนาวมานี้รู้สึกความหนาวจะพอ ๆ กัน แต่ระยะนี้รู้สึกจะหนาวขยับเข้าอีกนิด ๆ แต่มันแปลกที่น้ำค้างบนใบไม้ มันไม่ได้มาเกาะปกลงเหมือนห่าฝนเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนตอนเช้านี้ โอ้โห เหมือนห่าฝนนะ คือน้ำค้างมันมาเกาะติดอยู่บนใบไม้แล้วมันตกลงมา ๆ เสียงปุบปับ ๆ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีน้ำค้าง หรือมันไม่มีป่าอย่างว่านะ ป่าถูกทำลายหมด อยู่ในป่าเป็นอย่างนั้นนะ เราเดินไปตามทางนี้มองดูเหมือนฝนตก
พออย่างนี้เราก็พอระลึกได้ที่ว่าเสือมันมาตอนเช้ากว่านั้นอีก กว่าเราไป เราเดินไปเห็นรอยเสือมันออกมานี้ มันเหยียบน้ำค้างที่ตกลงมานี้ใหม่ ๆ แสดงว่ามันออกมาจวนสว่าง ผ่านมาทางหมู่บ้านเขา เสือโคร่งนะไม่ใช่เสือดาว บางทีมันยังเข้าไปกัดลูกวัวในบ้านก็มี เสือโคร่งนะ ไปกัดลูกวัวมี ไปกัดหมูเขาก็มี ตามธรรมดาเสือโคร่งมันไม่ค่อยเข้าไปละ นอกจากเสือดาว เสือดาวนี้เก่ง พวกหมู พวกหมา ลูกวัว เสือดาวเก่ง แอบเข้าไปกิน เข้าไปกินในบ้านนะ เข้าไปกินหมาในบ้าน เอาลูกหมูในบ้าน คาบวิ่งเลย แต่เสือโคร่งไม่เห็นเข้าไป แต่นี้บางบ้านมีเสือโคร่ง เขาบอกว่ามันเข้ามาเอาหมู ว่างั้น
ทีนี้เวลาเขาออกมาเขาพูดกัน เขาไม่ให้เราได้ยินแหละ เป็นเจตนาที่เขาพูดฟังกันเฉพาะ ๆ คือเขากำลังจะดักเสือ ว่างั้นนะ ทีนี้เราก็ไม่ใช่คนหูหนวก เรากระซิบกัน หูเรามันก็กระซิบฟัง เขากำลังจะดักเสือ เสือตัวนี้ทำไมมันดื้อนัก เขาว่างั้น เขากำลังจะดัก ดักก็คือเอาลูกหมูไปไว้ในนั้น ไปครอบไว้ ทีนี้เราเลยอดคิดไม่ได้นะ ก็ที่เราเดินจงกรมอยู่นั้น มันผ่านเข้าไปออกมา แทนที่จะไปกลัวมันกลับสงสารมัน กลัวเขาจะดักมัน เลยแผ่เมตตาให้มันหนี มึงไม่อยากตายให้หนี เป็นกังวล เดินจงกรมกลางคืนนะ มันอดวิตกกังวลไม่ได้ เพราะเขากระซิบกัน เขาพูดเบา ๆ เขามาตอนเช้า ผู้ชายสองสามคนเขาออกมา เขามาพูดถึงเรื่องว่าเสือมันไปกัดเอาลูกหมูเขา คาบได้ปุ๊บวิ่งเลย ลูกหมูมันคาบง่ายวิ่งง่าย
เขากำลังจะดัก มันชอบเข้าช่องไหน ๆ เขาว่านะ คือในหมู่บ้านมันเข้าได้หลายช่อง สะดวกช่องไหนจะไปดักช่องนั้น เขาว่างั้น เราก็เดินจงกรมอยู่กลางคืน ทำให้อดสงสารเสือตัวนี้ไม่ได้นะ แทนที่จะกลัวมันไม่เห็นมี มันก็ผ่านเข้าไปนั้นละ ที่ทำเลเราอยู่ เพราะเป็นป่าที่เสือสำหรับหลบซ่อนได้ดีเสียด้วย แทนที่จะไปคิดกลัวมันกลับไม่กลัว กังวลกลัวมันเข้าไปนั้นจะถูกกับเขา เขาดักกับเอาไว้ แต่ก็เงียบไปเลยนะล่ะ เราก็อยู่นั้นนานดูไม่ได้ยินว่าเขาดักเสือตัวนี้ได้ เลยเงียบไปเลย เราแผ่เมตตา มึงอย่าเข้ามานะ เข้าไปแล้วตายนะ ก็ปรากฏว่าไม่เป็นไรนะ เงียบ ๆ ไปเลย แสดงว่ามันไม่เข้า
เวลาเราบิณฑบาตก็คอยสังเกตรอยมัน เสือโคร่งชนิดนี้คือว่าพวกเสือรุ่น ๆ นั่นแหละ ถ้าเสือโคร่งใหญ่จริง ๆ มันฉลาดมาก มันจะไม่เข้าไปใกล้กับคน เสือโคร่งตัวใหญ่แล้วหลีกคนเก่ง แต่เสือรุ่น ๆ ไม่รู้จักภาษีภาษา มักตายตอนนี้เสือ ถูกเขายิง ไปซ้ำซาก เช่น ไปกัดวัวเขากัดควายเขาอย่างนี้ แล้วเขาดักน่ะซี ขัดห้างดักยิง ตาย อย่างหนึ่งเขาขัดหลาว พวกในป่านี่ โถ วิธีดักสัตว์นี่มันของเล่นเมื่อไร มีหลายประเภท เราถึงได้เห็น อยู่ในป่าในเขาเขาก็มีวิชาหากินในป่าของเขาเหมือนกัน
หลาวนี่เขาไปแหลม เอาไม้รวกมาเสี้ยมแหลมดี ๆ แล้วเขาไปย่างไฟ ไม่ใช่ธรรมดานะ มาเคาะนี้เป็นเหล็กเลยนะ แข็ง พุ่งนี่กระดูกดีไม่ดีขาดไปเลย คือเขาเอามาย่างไฟจนเคาะดูนี้เป็นเสียงเหล็กเลย นี่ละเขาทำแหลมนี่ทิ่ม แล้วทางนี้เขาก็ทำคันธนูโก่ง ตีอันนี้ปั๊วะ อันนี้ก็พุ่งไปโน้น ช่องที่สัตว์จะไปนี้เขามีสายใยอันหนึ่ง พอเสือไปผ่านสายใยนี้ สายใยหลุด สะเก็ดนั้นหลุดปั๊บนี่ก็ตีปั๊วะแล้วก็พุ่งเลย เสือเคยตายเยอะนะ อยู่ในป่า ไปกัดควายเขาบ้าง กัดวัวเขาบ้าง เขาทำอย่างนี้ละ ขัดหลาว ตาย มีเยอะในเขา ส่วนคอกอะไรเขาไม่ค่อยทำ เขามักจะทำหลาว แต่เวลาเขาดักสัตว์ต่าง ๆ นี้เขาต้องได้บอกนะ แถวนั้นอย่าไป แต่คนเขาไม่มีมากเขาบอกกันได้ทั่วถึง แถวนั้นเขาดักนั้นอยู่ตรงนั้น ใครอย่าผ่านไปนั้นนะเขาบอก
คือไม่รู้นะ เขาดักไว้ข้างใน คันธนูอะไรเขาดักไว้ ตีนี้ เวลาผ่านมานี้มันมีสายใยอยู่ในนั้น พอผ่านสายใยปั๊บ พุ่งมาแล้ว มันก็ฟาดเอานี้ ไปบ้านหนองผือนี่จะว่าอะไร ฟาดหัวเข่าเลย เขาดักหมูในสวนเขา บ้านหนองผือนี่ ตะวันออกหนองผือที่ว่าดงนั่นแหละ หมูหากินอยู่ตามแถวนั้น แล้วมันไปกินเผือกมันเขา เขาก็ดักช่องมันเข้ามาล่ะซี เขามีหลาวดัก ไอ้ช่องนั้นก็พอดีกับช่องคนนี้เข้าไป ก็จะไปดักยิงหมูเหมือนกันนี่ก็ดี ไอ้นี่ก็ด้อมเข้าไปไปดักยิงหมู แต่เขาไม่ได้บอกล่ะซีเพราะเป็นสวนของเขาโดยเฉพาะ ไม่ได้นึกว่าใครจะรุ่มร่ามเข้าไป นายพรานนี้ก็ด้อมเข้าไปจะไปดักยิงหมู ทีนี้ไอ้นี้ก็ซัดเข่าให้ ตอนเราอยู่นั้นนะ เราเลยไม่ลืม อย่างนั้นละขนาดเข่านี่ เขากะให้พอดีหมู ก็ใส่เข่าคน แต่ไม่ถูกมาก แต่เจ็บเหมือนกัน ถูกหัวเข่า เฉียด อย่างนั้นแหละแหลมหลาวเขา
เสือโคร่งใหญ่ ๆ นี้ไม่ค่อยเข้ามาใกล้ชิดกับคนแหละ มันฉลาดพอแล้ว ใหญ่เท่าไรยิ่งฉลาด กับคนนี้ โหย ไม่เข้าใกล้ชิดเลย หลีกที่สุดเลยละ แต่เสือรุ่น ๆ นั่นซี ถ้าตายก็ตายรุ่นนี้ คือรุ่นนี้ถูกสอนแล้ว เช่นอย่างเขายิงไม่ถูก หรือเขาทำอะไรผิดพลาดไปไม่ถูกนี้ ก็เป็นบทสอนมัน ทีนี้มันไม่ไป เช่น ไปกินซาก ซากวัวซากอะไร ไปซ้ำซาก กินสัตว์ตายแล้วก็ไป แล้วหิวกลับมาอีก เขาดักยิงล่ะซี บางทียิงไม่ถูกบ้างอะไรบ้าง นั่นละเป็นบทสอนสัตว์เหล่านี้ มันก็ไม่ซ้ำซากอีก แล้วยิ่งใหญ่เท่าไร ๆ มันยิ่งฉลาด
เช่นอย่างกัดวัวตัวนี้ตาย ก่อนที่จะมานี้มันจะตระเวนเสียก่อน ขนาดนั้นนะ ตระเวนดู ถ้าได้กลิ่นคนเข้าไปนั้นแล้วมันจะหนีเลย คือมันตระเวนสืบเอากลิ่นคน พอเห็นรอยคนผ่านเข้าไปนั้นแล้วมันจะไม่เข้าซาก จะหนีเลย ถ้าไม่มีคนแล้วมันจะเข้าไปกิน กินจนหมด ถ้าไม่มีคนเข้าไปเกี่ยวข้องกินจนหมด ถ้ามีคนเข้าไปผ่านนั้นไม่เข้า นี่เสือตัวใหญ่ ๆ ฉลาดอย่างนั้นนะ ตัวเล็ก ๆ ตัวรุ่น ๆ มักตายตอนนี้ กำลังรุ่นเริ่มหนุ่มนี้ ถ้าใหญ่กว่านั้นไปแล้วไม่ค่อยเป็นไร ยิ่งใหญ่เท่าไรยิ่งฉลาด ไม่คุ้นกับคน เช่น ท่าน้ำหรืออะไร ๆ อย่างนี้เขาจะไม่ไปกิน เขาระวัง พวกนี้ฉลาดมาก เสือนี่ฉลาดมากที่สุดไม่ใช่เล่นนะ
เราเคยเห็นเวลาเราไปเที่ยวทางนู้น ทางดงศรีชมภูเสือกินคน ไปเห็นชัดว่า โอ๋ย เสือนี่ฉลาดมากทีเดียว เวลากินคนแล้วถึงรู้ว่าเสือนี่ฉลาด ที่ไม่ให้พบมัน มันหลบมันหลีกคนตลอด เพราะฉะนั้นคนจึงไม่ได้พบเสือง่าย ๆ นะ เวลามันกินคนแล้วถึงรู้ว่ามันฉลาด คนไปทำไร่ทำสวนที่ไหนใหม่เก่ามันรู้หมด เสือเหล่านี้จะไม่ไปอยู่ในดงใหญ่ ๆ จะแอบอยู่ตามสวนตามรั้วข้าง ๆ แอบคาบคนแล้ววิ่งหนีเลย หรือคาบแล้วลากเอาไปกินในป่า แอบกินคน พอเอะอะก็มาแล้วคน พูดถึงเรื่องความฉลาด ที่เราไม่พบมัน ๆ คือมันฉลาดมันไม่ให้พบ มันไม่ถือว่าคนเป็นอาหาร มีแต่ระวัง มีแต่กลัวคน
แต่ทีนี้เสือตัวไหนได้กินคนแล้ว ทีนี้ฉลาดกินคนละที่นี่ หากินแต่คน บางทีไปกัดวัวในบ้านเขานี่ กัดวัวร้อง คนลงมาคาบคนไปเลย ไม่ได้เอาวัวนะ มันกัดหลอกคนเฉย ๆ ขนาดนั้นนะมันฉลาด กัดหมูบ้างกัดอะไรบ้าง พอคนเอะอะลงมานี้มันโดดเอาคนแล้ว ไปแล้ว แบกไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ คาบคนนี้แบกวิ่งเลย คนทั้งคนไม่ได้ยากอะไรเลย เพราะมันแข็งแรงนี่ ตอนเราไปนั้นเขาพึ่งฆ่ามัน เสือตัวนี้แหละ เขาไปเล่าให้ฟัง
พูดถึงเรื่องสัตว์เรื่องเสือเรื่องที่เขาดักอะไรอย่างนี้ เขาฉลาดมากในภูเขา ไปไม่ระวังไม่ได้ละ เราไปเห็นพวกแหลมพวกหลาวเขา เขาดักไว้เขาทิ้งแล้วเขาปล่อยแล้ว เขาไม่ดักแล้ว ไปเห็น อ๋อ เขาทำกันอย่างนี้ ๆ ดู เพราะเราไม่เคยเห็น ไปเห็นกับพวกอยู่ในป่าในเขา วิธีดักสัตว์นี้เขามีวิชาของเขา เก่ง พวกเราไม่รู้เรื่องแหละ พวกนี้หากินในป่า ก็ดักสัตว์ในป่าแบบนั้น แบบหลาวแบบอะไร ปืนเขาก็มี
นี่เราพูดถึงเรื่องเสือมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้าน ที่ว่าเมตตาสงสารมัน แต่ก็เงียบไปเลยนะไม่ได้ยินว่าเขาฆ่ามันแหละ บางทีเราอยู่อย่างนี้ ตอนเช้าออกมานี้เห็นรอยมันผ่านมา เสือโคร่งนะ เราก็อยู่ของเรา เขาผ่านมา เพราะเราปัดกวาดไว้อะไร ๆ หนูวิ่งมามันก็เห็นรอย จะว่าอะไรเสือทั้งตัว มันผ่านมานี่ ผ่านไปผ่านมา เราดูรอยมันไปนี่ถ้าหากว่ามันสนใจกับเรามันจะวกจะเวียน เข้าใจไหมล่ะ ถ้ามันผ่านไปเฉย ๆ แสดงว่าทางเขาเดิน ก็ไม่น่าระวัง ถ้ามันมีอะไรกับคนนี้มันจะวกเวียนสถานที่คนอยู่ นั่นแสดงว่าไม่น่าไว้ใจ แต่ก็ไม่เคยเห็นนะล่ะ มีแต่ผ่านไปผ่านมาเฉย ๆ ไปที่ไหนก็เหมือนกัน
เห็นบ่อย ๆ ละไอ้เรื่องเสือ มันผ่านไปบริเวณเราอยู่นี้ มันผ่านก็ผ่านไปเฉย ๆ ผ่านมาเฉย ๆ ไม่ใช่ผ่านวกเวียน ถ้าวกเวียนได้ระวังละ ไม่มี ไปที่ไหนอย่างที่ว่ามันวกเวียนนะ มีแต่ผ่านไปผ่านมาธรรมดา เพราะเขาระวังคนอยู่แล้ว คนอยู่ที่ไหนเขาก็รู้
ถ้าพูดถึงเรื่องหนาวนี้ โอ๊ย หนาวเหน็บ เหล่านี้แตกหมดนะ แตกหมดเลย แตกหมด หนุ่ม ๆ นะ หนาวขนาดนั้นละ น้ำค้างนี้เหมือนห่าฝน ตอนเช้าประมาณตี ๕ นี่เหมือนห่าฝน ซ่า ๆ ๆ ไปดูตามพื้นทางนี้ โอ๋ย เหมือนห่าฝน เสือผ่านมานี้เหยียบรอยใหม่ ๆ เหยียบรอยฝนมา รอยน้ำค้างมา มันพึ่งผ่านไป
ทุกวันนี้ความหนาวกับแต่ก่อนไม่ได้เหมือนกัน มันคงขึ้นอยู่กับธาตุขันธ์หนึ่ง ขึ้นกับความมุ่งมั่นความตั้งใจหนึ่ง คือความตั้งใจในธรรมนี้มันหนักมาก อะไรไม่ค่อยมาเป็นอุปสรรคได้ง่าย ๆ เช่น นอนกลางคืนนี้ บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่งก็มี คือมันหลับไม่ได้ เวลาเรานั่งภาวนาจิตสงบเข้าภายในมันก็ไม่หนาว หายเงียบเลย ทีนี้พอจิตถอนออกมาแล้วจะพัก ทีนี้หนาวก็เริ่มขึ้นแล้ว พอหนาวเริ่มขึ้นหนักขึ้น เรานอนเพื่อหลับหลับไม่ได้ ลุกขึ้นอีกนั่งอีก ตลอดรุ่งบางคืนไม่หลับเลย หนาวขนาดนั้น เหล่านี้แตกหมด ตกกระ แตกหมดเหล่านี้ ๆ หมด ในช่วง ๓ เดือนมันหนาวอยู่ ตั้งแต่ พฤศจิกา ธันวา มกรา หนาว แล้วก็ทนตลอดอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เคยเป็นอารมณ์กับมันนะ กับหนาวกับอะไรไม่เคยเป็นอารมณ์ ถึงขนาดตัวนี้ตกกระไปหมด ก็ไม่เป็นอารมณ์
ทุกวันนี้คิดดูซิ ลง ๑๔ ร้องแหง ๆ แล้ว แต่ก่อนเราไม่มีปรอทก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามือนี้กำจนไม่ได้ แข็งหมดเลย หนาว ครองผ้านี้ก็จะครองไม่ได้ ต้องเอาสองมือจับครองผ้า คือมันแข็งหมดนิ้วมือ แสดงว่าหนาวมากนะ มันก็ไม่เป็นอารมณ์ เพราะจิตใจไม่ได้อยู่กับอันนี้ มันอยู่กับธรรม ๆ อะไรสะดวกหมด ถ้าเรื่องของธรรมแล้วไม่มีอะไรมาขวางได้ง่าย ๆ นะ คือจิตใจอยู่กับธรรม ๆ หนาวก็เหมือนไม่หนาว ร้อนเหมือนไม่ร้อน มันไม่เป็นอารมณ์ อย่างทุกวันนี้มันอยู่กับขันธ์ กระดิกนิดรู้แล้ว ผิดปกตินิดรู้แล้ว คือขันธ์มันอ่อนมาก จิตใจเราก็ไม่มีอะไรไปมุ่งมั่น มันมีอะไรมันก็รู้ของมันทันที ๆ เลย
นี่ก็พูดถึงเรื่องน้ำค้าง น้ำค้างมากจริง ๆ คือแต่ก่อนเป็นดงร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ดงนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดี สมัยเราเที่ยวอยู่นั้น ป่าดงเหล่านี้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ แม้แต่ดงบ้านตาดนี้ก็ร้อยเปอร์เซ็นต์ มาสร้างวัดทีแรกเหล่านี้เป็นดงทั้งหมด ต่อกับดงใหญ่นู้นเลย แถวนี้เป็นดง น้ำค้างเหมือนห่าฝน เดี๋ยวนี้ไม่มี อยู่ในป่านี้ก็ไม่มี ไม่เห็นมีน้ำค้าง มันไปไหนก็ไม่รู้แหละ เดี๋ยวนี้เป็นไร่เป็นสวนไปหมดแหละ
เราได้เห็นชัดเจนอย่างดงศรีชมภูนี่ เราไปเที่ยวสมัย ๘๘-๘๙ เราเที่ยวทางโน้น เดินไปนี้เกือบจะพูดว่าทั้งวัน ไม่ได้เจอหมู่บ้าน มีแต่ดงแต่ป่าทั้งนั้น พวกสัตว์พวกเนื้อนี้เต็มไปหมด คือไม่มีใครไปยุ่งเขา เพราะการไปมาหาสู่ หนทางไม่มี มีแต่เป็นด่าน ๆ ที่นาน ๆ เขาจะไปหากันทีนึง เป็นด่านไปไกล ๆ เราไปก็ไปตามนั้น แล้วบ้านก็ไม่ค่อยมีด้วย แต่สัตว์เนื้อนี้เต็มไปหมดตามสองฟากทาง ไม่ได้กลัวคนนักนะ คือไม่มีใครทำไมเขา เนื่องจากแต่ก่อนหนทางไม่มีหนึ่ง การซื้อการขายไม่มีหนึ่ง ผู้คนไม่มากหนึ่ง สัตว์จึงอยู่โดยอิสระสบาย ๆ
ครั้นต่อมาคนมากเข้า ๆ ขยับขยายเข้าไป หนาแน่นขึ้น ๆ สุดท้ายป่าดงทั้งหลายก็เกลี้ยงไปหมด เพราะถนนหนทางมี รถยนต์มี การซื้อการขายหนาแน่นขึ้น อะไรก็ขนไปขายมากกว่าจะกินนะ ไปขาย ๆ เลยไม่มีอะไรเหลือเดี๋ยวนี้ กับย้อนหลังไปนี้ สภาพที่เราเคยเที่ยวแต่ก่อนจำไม่ได้เลยนะ เป็นคนละโลก ๆ ไปหมด มันเปลี่ยนขนาดนั้นละ ยังดีตอนสมัยเราเที่ยวอยู่เป็นป่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น มาสร้างวัดนี้ก็ยังร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ สะดวกสบายตลอดเลย
ก็มีงูตัวหนึ่ง งูจงอางที่มันมาเป็นเพื่อนพระอยู่ในวัดนี้ งูตัวนี้ตั้งแต่มาสร้างวัด พ.ศ. ๙๘ เดือนพฤศจิกา มาสร้างวัดนี้ จนกระทั่ง ๕๑๖ งูตัวนี้ถึงตาย คืองูตัวนี้มันเชื่องมากกับพระนะ จงอาง เจอทีแรกมันไม่ได้ตัวใหญ่ละ เราเริ่มมาสร้างวัดทีแรกทำศาลาเล็ก ๆ หลังนี้ เดินผ่านไปมาเจองูตัวนี้เรื่อย เรียกมัน ไอ้ขี้ดื้อมึงมาอะไร ดูลักษณะมึงไม่กลัวคนนี่นะ เราว่างั้น มึงอย่ามาเพ่นพ่านนะ เดี๋ยวประชาชนมาเห็นเขาฆ่าเอานะ เขาไม่ได้เหมือนพระนะ เราพูดกับมัน มันไม่ค่อยกลัวงูตัวนี้ ก็มันป้วนเปี้ยนไปมาอยู่นี้
แต่เราสั่งกับพระไว้เรียบร้อย ไม่ใช่สอนนะ สั่งเลย บอกว่างูนี้อย่าไปหยอกไปเล่นกับเขานะ เขามายังไงเจอเขาแล้วก็ให้หลีกไปเสีย อย่าไปขว้างไปปา วิธีการหยอกเล่นต่าง ๆ ไม่เป็นผลดี เขาจะคิดว่าเราเป็นภัยต่อเขา เวลาเจอก็งูนั้นละเห็นเราก่อน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องไปแตะไปต้อง เดินไปยังไง ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเสีย เฉยไปเลย แล้วเขาเชื่องของเขาเอง เวลาเราเฉียดเข้าไปเขาก็ไม่ทำไม เพราะฉะนั้นงูตัวนี้เราถึงเรียกว่าไอ้ขี้ดื้อ เรียกชื่อมันไอ้ขี้ดื้อ มันไม่กลัวขนาดนั้นนะ ในครัวนี่ตอนบ่าย พระท่านมาฉันน้ำร้อนอะไรอยู่นี้ เขาอยากเข้ามาเขาเข้ามาเฉยเลย พระนั่งอยู่นี่เขาเข้ามาเฉย มึงมาอะไร มึงอยากกินน้ำร้อนเหรอไอ้ขี้ดื้อเราว่า เขาเฉยเขาไปของเขา มันเชื่องขนาดนั้นละ
วันหนึ่ง ๆ เจอมันสักเท่าไร พระเณรในวัดนี้มีมากน้อยเพียงไร เจอมันวันหนึ่งไม่รู้กี่ราย เขาจึงเชื่องล่ะซีเขาไม่ได้กลัว เวลารายไหนไปเจอก็เหมือนกันหมด เพราะเราสั่งไว้หมด อย่าไปหยอกไปเล่นกับเขา สมมุติว่าเราไปทางหน้านี่ก็ผ่านไปเสีย เช่นเป็นทางเราไปนี้ เขากำลังออกมาขวางทางเขาจะผ่าน พอเราไปเขาก็นิ่ง ทีนี้เราไปบางทีไปข้างหน้าก็ไปเสีย เราไปข้างหลังเราก็ไปเสีย พอเราไปแล้วเขาก็ไปของเขา เป็นประจำนะ จนกระทั่งเรียกไอ้ขี้ดื้อ
ที่นี่บทเวลาจะตายไปตายที่นอกวัดนี่นะ คือทางโน้นก็เป็นดง ๕๑๖ ยังมีดงอยู่ทางโน้น แล้วเขาออกจากวัดนี้ไป พอดีไปเจอกับพวกชาวบ้านเขาล่ะซี ไปอยู่กลางทางไปนอนขวางเหมือนอยู่ในวัด เอานิสัยวัดไปใช้ เขาเอาปืนยิงเอาเลย ตายเลย ตอนเช้าเด็กมาบอก โอ๊ย ไอ้ขี้ดื้อหลวงตามันตายแล้วแหละ คงเป็นไอ้ขี้ดื้อแหละตายแล้ว ตายที่ไหน นี่ตะวันตกวัดนี้ ก็ทางไปทางนั้น ทางผ่านไปผ่านมาข้างกำแพง มันตายยังไงว่าซิ ก็มันขวางทางอยู่งั้น เขาก็ยิงเมื่อวาน เมื่อวานเป็นวันที่ ๑ เราจำได้เลย วันที่ ๑ มกรา ๕๑๖ นั่นละเราถึงได้ทราบว่ามันตายวันนั้น ตั้งแต่เราเริ่มสร้างวัดมา ๒๔๙๘ เดือนพฤศจิกา ถึงวันที่ ๑ มกรา ๕๑๖ ๑๘ ปี ตัวใหญ่นะ ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยเห็นอีกเลย แสดงว่าเขาฆ่าจริง ๆ
งูจงอางนี้จะเชื่องต่อคนเร็วกว่างูทั้งหลาย งูทั้งหลายเราไม่ค่อยคุ้นกับมัน แต่จงอางนี้รู้สึกจะคุ้นกับมัน เพราะมันอยู่ในวัดนี้เป็นประจำ ตัวไหนพอ ๆ กันนะ พวกงูจงอางจะไม่แสดงพิษภัยต่อคนเลย ไม่แสดงอาการปฏิกิริยาต่อคน อวดฤทธิ์อวดเดชนะ เฉยนะงูจงอาง สมมุติเราเอาไม้ไปกดหลังก็มีแต่บืนไป มันไม่ทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้นะ งูจงอางผิดกับงูทั้งหลายอยู่ ไม่ค่อยแสดงฤทธิ์ งูอื่นเราไม่ค่อยรู้กับมัน แต่จงอางมันอยู่นี้เป็นประจำ เอ้า ตัวนี้ตายแล้วตัวนั้นมา มันอยู่ในนี้ก็ไม่ทราบ หรือมันมาจากในป่าก็ไม่ทราบ เพราะแต่ก่อนไม่มีกำแพง มันผ่านไปผ่านมาได้ ตัวไหนมามีลักษณะอย่างเดียวกัน ไม่ค่อยมีอะไรกับคน ที่จะทำท่าอย่างนี้ไม่มี งูจงอาง เราเอาไม้ไปกดหลังมัน มันยังดิ้นจะไปตลอด ไม่มีกิริยานะ งูอย่างอื่นไม่ได้นะ ผิดกัน
คือเราเที่ยวป่าเที่ยวรกมันก็ชำนิชำนาญกับพวกสัตว์เหล่านี้ เลยเป็นเพื่อนกันไปนะ พวกงูพวกอะไรเหมือนเป็นเพื่อนกันไป ไม่มีอะไรละ พระกรรมฐานท่านไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นละ มาเล่าสู่กันฟังขบขันดี แบบเดียวกัน คืองูกับพระไม่กลัวกัน อยู่ด้วยกัน แปลกอยู่นะ
ท่านเที่ยวหาอรรถหาธรรมท่านเที่ยวจริง ๆ นะ อย่างครั้งพุทธกาลนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีแต่เสาะแสวงหาธรรมอยู่ในป่าในเขา อย่างพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้เธอทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูล คือร่มไม้ ในป่า ในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา หรือป่าช้า ป่ารกชัฏ ที่ไหนที่เป็นความสะดวกสบายแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ให้ไปอยู่ในสถานที่นั้น และจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่ในที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่นฟังซิ พระท่านจึงเที่ยวหาธรรมท่านเที่ยวหาอย่างนั้น นี่ครั้งพุทธกาล แล้วก็สืบทอดกันมาเรื่อย ๆ แล้วค่อยจางไป ๆ การเสาะแสวงหาธรรมในป่าในเขานี้ไม่ค่อยมีและจะไม่มี นอกจากมันไปแสวงหากระดูกหมู กระดูกวัว กระดูกหมาไปอย่างนั้น ตามตลาดตเลไปอย่างนั้น เรื่องธรรมนี้ไม่มี ถ้าเรื่องอย่างนั้นละเร็วเวลานี้
นี่เห็นไหมกิเลสมันเหยียบย่ำทำลายธรรม ธรรมจะไม่มีคุณค่าอะไรนะ แล้วผลของกิเลสที่เหยียบย่ำทำลายธรรมนั้น ก็สร้างกองทุกข์ให้แก่สัตวโลกมากขนาดไหน เวลานี้ว่าโลกเจริญ มันเจริญด้วยกองทุกข์นะ ไม่ได้เจริญด้วยความสงบร่มเย็นในหัวใจโลกนะ มันมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย ไปที่ไหนเป็นเหมือนกันหมด เราอย่าไปคิดว่า บ้านนั้นเขาเจริญ บ้านนี้เขาเจริญ ทางด้านจิตใจไม่มีใครมองกัน จะมองตั้งแต่ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง การซื้อการขาย การไปมา การคมนาคมเป็นความสะดวกสบาย ถือว่าอันนั้นเจริญ ๆ เขาไม่ได้มองดูหัวใจของโลก ไฟมันเผาอยู่ในนั้น ธรรมท่านมองหมด เพราะฉะนั้นท่านถึงนำมาสอนได้โดยถูกต้อง
โลกมันเจริญด้วยฟืนด้วยไฟเวลานี้ ออกมาจากความโลภ ราคะตัณหา ความโกรธนี้มันมาตามกัน ความโกรธ ไม่พอใจก็โกรธ โลภไม่ได้อย่างใจก็โกรธ ราคะตัณหาไม่สมใจก็โกรธ เคียดแค้นแล้วฆ่าฟันรันแทงกัน สร้างแต่กองทุกข์ให้กันจากกิเลสประเภทเหล่านี้แหละ แล้วไปที่ไหนมันเจริญ มันไม่ได้มี อย่าพากันหลับตาดู ให้ลืมตาดูซิดูโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ลืมตาดู แล้วเห็นหมด เอามาทดสอบบวกลบคูณหาร แก้ไขดัดแปลงตรงไหนที่เห็นว่าไม่ดี ตัวเองก็ค่อยสงบลงไป ๆ ถ้ามีธรรมเข้าระงับ ถ้าไม่มีแล้วตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เจริญด้วยฟืนด้วยไฟท่าเดียวเท่านั้น
โลกไหนมันเจริญ มันไม่มีเวลานี้ มองหาแทบไม่เจอ ถ้าที่ไหนดอนใดมีพุทธศาสนา มีผู้บำเพ็ญสมณธรรมเพื่อทางด้านจิตใจแล้ว ที่นั่นมีนะ ความสงบเย็นจะมีในผู้นั้น ในกลุ่มนั้น ในพวกนั้น คณะนั้น ไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีธรรมแล้วอย่าหวังว่างั้นเลย เพราะฉะนั้นธรรมจึงว่าเหมือนเล็กนิดเดียว กิเลสครอบไว้หมดไม่ให้มองเห็นธรรมเลย โลกจึงหาความสงบไม่ได้ นิดเดียวก็ไม่ค่อยมี มีแต่กิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปหมดนั่นละ ให้ดู ฟังเสียซิพี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ดูตลอดนะ ไปที่ไหน ๆ ดูตลอด ดูปั๊บนี่จิตมันจะวิ่งของมันปั๊บ ๆ ๆ จะว่าไง นั่นละธรรมดู ไม่เหมือนโลกกิเลสดู กิเลสดูนี้ลากคนให้หลับหูหลับตาไปชนต้นไม้ภูเขา ชนอะไรชนหมด ถ้ากิเลสลากคน ธรรมลากไม่เป็น มีช่องมีทางไป แคล้วคลาดปลอดภัยเรื่อย ๆ ไปนะ ธรรมจูงเป็นอย่างนั้น
ครั้งพุทธกาลท่านหาอย่างนั้น ท่านหาธรรม จึงได้ปรากฏว่าองค์นั้นสำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จพระอรหันต์ ก็ท่านหาอย่างนั้นท่านก็ได้อย่างนั้น หาอรรถหาธรรมก็ได้อรรถได้ธรรม หากิเลสตัณหาก็คือหาฟืนหาไฟ ก็เจอแต่ฟืนแต่ไฟล่ะซิ ความสุขไม่มี ลดลงมา ๆ เดี๋ยวนี้ก็จะไม่มีแล้วในเมืองไทยของเรา พุทธศาสนาก็เต็มบ้านเต็มเมือง มีแต่คนรู้คนฉลาดทั้งนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง ไปเรียนมาจากที่ไหน ๆ มีแต่วิชาของกิเลสเอาไฟเผาโลกเผาหัวใจเจ้าของเอง เพราะกิเลสเป็นเจ้านาย กิเลสเป็นเจ้าอำนาจ กิเลสเป็นผู้ผลิตวิชาความรู้ให้ ผลิตออกมาตรงไหนก็ความรู้ของกิเลส ฟังซิ มันจะเอาความร่มเย็นเป็นสุขมาให้ที่ไหน
ความรู้มากน้อย ความคึกความคะนอง ความเย่อหยิ่งจองหองพองตัวไปด้วยกัน ๆ แล้วก็นำสิ่งเหล่านี้มากดขี่บังคับเพื่อนฝูงชาติบ้านเมืองไปได้สบาย ๆ เพราะความรู้ของกิเลส นั่น ถ้าความรู้ของธรรมมีมากเท่าไรยิ่งเย็น ๆ ต่างกัน ใหญ่เท่าไรยิ่งชุ่มยิ่งเย็น หาความทุกข์ไม่ได้ หาความเดือดร้อนแก่คนอื่นไม่ได้ในหัวใจของผู้มีธรรมเป็นหัวหน้า เป็นอย่างนั้นนะ อย่างที่ท่านแสดงไว้ในพระโพธิสัตว์ โพธิสัตว์คือหัวหน้าสัตว์ โพธิสัตว์ สัตว์ผู้ที่จะได้ตรัสรู้ในอนาคตข้างหน้า แปลแล้วนะ ที่ว่า พระโพธิสัตว์ ๆ คือสัตว์ประเภทที่จะได้ตรัสรู้ในอนาคตข้างหน้า แปลว่าอย่างนั้น โพธิ ก็คือ ความตรัสรู้ สตฺต คือสัตว์ทั้งหลาย ที่จะได้ตรัสรู้ข้างหน้า
พระโพธิสัตว์ไปอยู่ในสถานที่ใด ในคัมภีร์ใดบอกอย่างเดียวกันนะ เป็นโพธิสัตว์นี่มีแต่ความเสียสละ มีแต่ความเมตตาสงสาร มีแต่การให้อภัย การที่จะเอารัดเอาเปรียบลูกน้องบริษัทบริวารนี้ไม่มีในโพธิสัตว์ จะเป็นจะตายโพธิสัตว์เอาคอรองก่อน ๆ อดอิ่มก็โพธิสัตว์ยอมอด ลูกน้องอิ่มให้โพธิสัตว์อด เป็นอย่างนั้นนะ ต่างกัน นี่ละผู้มีธรรม เป็นหัวหน้าแทนที่จะกดขี่บังคับเอากับใคร ๆ ได้ไม่นะ กลับให้ความร่มเย็นแก่ลูกน้องบริษัทบริวารทั่วหน้ากันหมด นั่นผู้มีธรรม
อันนี้เมืองไทยเรานี้ก็เป็นเมืองพุทธแท้ ๆ ไปเรียนวิชาความรู้ทางโลกมา ถ้าเอาธรรมเข้าแทรก ๆ มันก็เย็นไปตาม ๆ กัน แต่นี้เอาแต่เปรตแต่ผีเข้าแทรกล่ะซี เรียนมามากมาน้อย เหมือนกับว่ากางท้องเอาไว้ ๆ ให้มันท้องใหญ่ ๆ เรียนมาได้เท่าไร กว้านเอามา ไปเที่ยวกวาดเที่ยวกว้านเอามาเข้าพุงเจ้าของ ๆ เหยียบย่ำทำลายคนอื่น เห็นคนอื่นเป็นผักเป็นปลาเป็นเนื้อเป็นอาหารว่างกันไปหมดแล้ว นั่นเห็นไหมความรู้ของกิเลสเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันถึงลืมตัว คนเราที่เรียนมามาก ๆ เย่อหยิ่งจองหองมากขึ้นโดยลำดับนะ ยิ่งเขายกให้มีอำนาจอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเป็นบ้าไปเลย ลืมเนื้อลืมตัวไปหมดนั่นละ
นี่ละความรู้ที่กิเลสผลิตให้ ความรู้ในเรือนจำ เรือนจำคือวัฏจักร ได้แก่กิเลสครอบไว้หมด ความรู้ในวัฏจักรคือกิเลสมันผลิต มันเป็นคนเสี้ยมคนสอนให้ ความรู้ก็เป็นความรู้ของกิเลสไปหมด แล้วก็เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในตัวของมันเอง ๆ กระจายไปไหนเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกไม่มีหวัง ใครจะได้ความรู้มาจากไหนก็ตาม เราอย่าหวังว่าจะเจริญนะ มีมากน้อยเท่าไรยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าธรรมเข้าแทรกตรงไหน ๆ เย็น ๆ นั่น ท่านจึงสอนเรื่องอรรถเรื่องธรรมเสมอ
พูดให้มันชัด ๆ กองทุกข์แต่ก่อนมันก็เต็มอยู่ในหัวอก พูดให้มันชัดอย่างนี้นะ เอามายันกันทั้งทุกข์ทั้งสุขเลยให้พี่น้องทั้งหลายทราบ พี่น้องทั้งหลายดูซิว่าเป็นผู้ที่จะมาโกหกพี่น้องทั้งหลายไหม ดูให้ดีนะ ที่เราพูดเหล่านี้เราพูดเพื่อโกหกไหม เวลาทุกข์แสนลำบากก็ทุกข์แสนลำบาก ทุกข์ธรรมดาเหมือนฆราวาสญาติโยมทั่ว ๆ ไปเราก็เคยทุกข์มาเหมือนเราเหมือนเขา ก็ธรรมดาทั่ว ๆ ไป เวลาทุกข์ในการประกอบความพากเพียรที่จะฆ่ากิเลสนี้มันทุกข์มาก เราก็รู้ว่าเราทุกข์ แต่ทุกข์เพื่อความสุขมันก็บึกบึนได้สบาย ๆ ไม่ได้ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์เหมือนกิเลสพาสร้าง กิเลสพาสร้างเป็นกองทุกข์แล้วก็เพื่อมหันตทุกข์ แต่ธรรมพาสร้าง ทุกข์ก็ตามทุกข์เพื่อบรมสุข เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์
นี่เราก็เห็นเวลามันทุกข์ กิเลสบีบบี้สีไฟจนหาทางออกไม่ได้ นั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ๆ ลืมเมื่อไร ไม่ลืม สด ๆ ร้อน ๆ นะ นี่เวลาทุกข์-ทุกข์อย่างนี้ สู้กิเลสไม่ได้ เคียดแค้นนี้ โห ถึงจิตถึงใจ นี่ก็เป็นทุกข์อันหนึ่ง แต่ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อจะเอาความสุข ทุกข์ด้วยการฝึกทรมานตนก็ทุกข์มาก นี่เวลามันมืดมันก็มืดหาช่องออกไม่ได้ กิเลสตีต้อนไว้หมด ๆ เรียกว่าปิดประตูตีหมา เรานี่มีแต่ขี้ทะลักนั่นแหละ สู้กิเลสไม่ได้ มันปิดประตูตีหมา เราเหมือนหมาตัวหนึ่ง เวลาโง่- โง่อย่างนั้นนะ
ฟิตไปฟิตมา ดัดไปดัดมา ต่อไปก็มีช่องออก ช่องออก ๆ เรื่อย ๆ ทีนี้ความรู้นี้ก็ค่อยเปิดกว้างออก ๆ ความทุกข์ทั้งหลายค่อยจางไป ๆ ความสุขค่อยเจริญขึ้นในหัวใจดวงนี้ แล้วเปิดออก ๆ ทีนี้เมื่อมันมีช่องแล้วมันก็บึ่งล่ะซี มีช่องแล้วก็พุ่ง เพราะจะพุ่งอยู่แล้วแต่มันไม่มีช่องออก เมื่อมีช่องพอออก หลวมมือมือสอด หลวมแขนแขนสอด หลวมขาขาสอด ต่อไปหลวมตัวตัวออก เข้าใจไหม นั่นละเวลามันได้จังหวะแล้วทีนี้ก็พุ่ง ๆ ๆ เลย ฟาดเสียจนกระทั่งฟ้าดินถล่ม โลกสว่างจ้า ก็จิตดวงนี้ นี่เอามาเทียบได้ทั้งสอง เวลามืดก็จิตดวงนี้ เวลาสว่างมากน้อยก็จิตดวงนี้ มืดกับทุกข์อยู่ด้วยกัน เวลาสว่างกับความสุขก็ไปด้วยกัน ๆ จนกระทั่งจ้าหมดแล้วมันก็เห็นอย่างนี้ละ ไม่ต้องถามใคร เห็นผู้เดียวพอ ทุกอย่างเจอเข้าไปปั๊บ พอ ๆ นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องไปถามใคร นี่การปฏิบัติธรรม
ทุกข์ก็ยอมทุกข์คนเรา ถ้ามีเหตุผลทุกข์เพื่อความสุขด้วยอรรถด้วยธรรมแล้ว เอ้า ทุกข์ไปเถอะ แต่ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ คือทุกข์ด้วยอำนาจกิเลสลากเข็นไปนี้ อย่าวิ่งตามมันถ่ายเดียวนะ จม ไม่มีทาง ต้นกับปลายในเรื่องความทุกข์นี้เสมอกันหมด ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ถ้ามีธรรมเข้าสกัดแล้วจะมีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย สกัดลัดต้อนกันเข้ามา ๆ หดเข้ามา ทุกข์หดเข้ามา การเกิดตายซึ่งเป็นการหามกองทุกข์นี้ก็หดเข้ามา ๆ สุดท้ายไปผึงเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
นี่เราก็สอนหมดสอนโลก สอนอย่างเปิดเผยนะ เพราะจวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งมีความสงสารมาก แทนที่จะมาสงสารหรือมากังวลกับธาตุขันธ์ของเรานี้ เราบอกตรง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราไม่มี เพราะมันเป็นเหมือนเครื่องใช้จับนี้ฟันนั้น จับนั้นไปเรื่อย จับนี้สิ่วนั้น เครื่องมือนี้ พอหมดสภาพทิ้งป๊วะเท่านั้นไม่เห็นยากอะไร แต่โลกล่ะซิผู้ที่ได้รับความสุขความทุกข์เพราะความมืดบอดยังมีอยู่มาก พยายามเปิดออก ๆ สอนไปทุกวัน ๆ ได้วันหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย ถ้าตายไปเสียก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรสำหรับผู้มาเกี่ยวข้อง อุตส่าห์พยายามบึกบึน
ดังที่นำพี่น้องทั้งหลายบืนอยู่เวลานี้ ก็เพื่อพี่น้องทั้งหลายนั่นเอง เราไม่ได้เพื่อเรา เราบอกจริง ๆ เราไม่มีได้มีเสียอะไร เราพอทุกอย่างแล้ว นำพี่น้องทั้งหลายด้วยความพอของตัวเอง ไม่มีอะไรบกพร่อง เราก็บืน นี่ละที่ว่าทุกข์ อย่างนี้ก็ทุกข์เพื่อความสุขแก่โลก ความสงบสุขแก่โลก เราก็บืน เราถึงได้อุตส่าห์พยายามอย่างนี้แหละ สำหรับเราเองเราไม่มีอะไร ใครจะมีอะไรกับเรา เราก็ไม่มี ใครจะมาก่อเวรก่อกรรมกับเรา เราไม่ได้ก่อกับใคร ใครจะมาฆ่าเรา ฆ่าก็เพียงฆ่าร่างกายนี้ซึ่งเป็นเรื่องสมมุติ ไม่ฆ่ามันก็ตาย เราก็ไม่เห็นมีได้มีเสียกับมัน ก็เท่านั้นเอง แล้วจะไปกล้ากับอะไร จะไปกลัวกับอะไร ธรรมคือธรรมอยู่ตลอดเวลา จะไปกล้าหาอะไร กลัวหาอะไร ถ้าไม่ใช่บ้า เหมือนอย่างกลัวความมืด กลัวความมืดบ้าตัวนี้ (ว่าให้ลูกศิษย์)
นี่ถ้าเป็นบ้าอย่างนี้ก็จะกลัวกันหมดทั้งศาลาเลย พวกนี้กลัวความมืดไหม เวลาหลับตานอนมันมืดหรือแจ้งไม่เห็นคำนึงนะ เวลาลืมตาขึ้นมาแล้วกลัวความมืด สุดท้ายกลัวพุทโธ มันบ้ายังไงกัน มีไหมในศาลาหลังนี้ ศาลาหลังนี้มีไหมแบบนี้น่ะ หรือหลวงตาบัวหาเรื่องอุตริคนเดียว มีไหม ถ้าเราหาเรื่องอุตริคนเดียว เรื่องทั้งหลายก็แสดงว่าเราอุตริพี่น้องทั้งหลายทั้งนั้น ถ้านี้ไม่เป็นเรื่องอุตริแล้วก็จริงทั้งหมดที่เราแสดงมา เข้าใจไหม เอาเชื่อแบบไหน เอ้า เชื่อเอา พิจารณาเอานะ สักขีพยานมีไหมในศาลาหลังนี้ จับเดี๋ยวนี้ก็ได้ จับมัดคอเดี๋ยวนี้ก็ได้ ไม่ได้อยู่ไกลมืออะไรเลย คว้ามับมัดคอเลยก็ได้ (หัวเราะ) เอาละพอ ให้พร