ความเป็นความตายมีน้ำหนักเท่ากัน
วันที่ 12 มกราคม 2553 เวลา 13:00 น.
สถานที่ : วัดเขาใหญ่เจริญธรรม จ.นครราชสีมา
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน จ.นครราชสีมา

เมื่อบ่ายวันที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

ความเป็นความตายมีน้ำหนักเท่ากัน

 

        ระยะนี้ไม่ค่อยสบายได้อาทิตย์หนึ่ง ไม่ค่อยสบาย แต่ก็ไม่เป็นมาก หากเป็นลักษณะสุมๆ แต่ใจมันไม่เป็นเหมือนธาตุขันธ์ ใจมันดีดผึงๆ ใจ ธาตุขันธ์คอยแต่จะอ่อน ใจนี่ไม่อ่อนใจ ดีดผึงๆ จนกระทั่งวันตายก็ไม่มีอ่อนเรื่องใจ พูดให้มันชัดเจนเสีย ผึงตลอด ไม่มีอ่อน จิต ขอให้ฝึกได้เถอะ พูดไม่ใช่คุยนะ ขอให้ฝึกได้เถอะ จิตนี้เป็นอย่างนั้น เพราะจิตไม่มีวัย ร่างกายมีวัย จิตไม่มีวัย ดีดผึงๆ ตลอดเลย

กล้าหาญต่อความเป็นความตาย เวลาธรรมกับใจเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วความเป็นความตายมีน้ำหนักเท่ากัน ที่ให้ความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่าก็เพราะประโยชน์แก่โลก ถ้าลำพังแล้วความเป็นกับตายเสมอกัน แต่ใครจะอยู่แบกธาตุแบกขันธ์ไปนาน ไปเลยดีกว่า ทีนี้ก็มองเห็นตาดำๆ ละ ก็อย่างนั้นละ นี่อุตส่าห์ ยังมานี้ก็ไม่ค่อยสบายก็มา เพราะจิตใจไม่ป่วย มันป่วยแต่ร่างกาย ร่างกายก็ขึ้นรถ นั่งนานเหนื่อยล้มนอนเลย

ระยะนี้ไม่ค่อยสบายนะธาตุขันธ์ มันเป็นอะไรมันเป็นสุมๆ อยู่ข้างในอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่มันไม่เป็นมาก ถ้ามากก็ไปไหนไม่ได้ นี่มันก็เป็นเล็กๆ น้อยๆ ไปได้ไป เรา อยู่วัดเราก็ไม่ว่าง อยู่วัดก็ไม่ว่าง เรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่อย่างนั้นละ ไม่ว่างเลย อันนี้ก็แบ่งครึ่งเลย ปัจจัยนี้แบ่งครึ่งเลยละ เราไม่ไปหาเงินหาทองนะ เราหาน้ำใจต่างหาก ไปไหนๆ ที่เราจะคิดอยากได้เงินอยากได้ทองอย่างนี้ไม่มี แต่น้ำใจเป็นสำคัญ เด่นมากทีเดียว ไปที่ไหนไปด้วยน้ำใจ

วันนี้คนก็มากมาย ปัจจัยก็แบ่งครึ่ง เอาไปก็ทำประโยชน์เหมือนกัน อยู่ที่นี่ท่านก็ทำประโยชน์ เราเอาไปก็ทำประโยชน์ ไม่ใช่เอาไปจิ้มน้ำพริก

อายุเราเท่าไรแล้ว (๙๗ ปี) ยังเหลือนานเท่าไร มันก็ไปเท่านั้นละ (ในหลวงว่าเป็นเสาหลักต้องอยู่นานๆ) เสาหลักก็ล้มได้จะว่าอะไร ประคองมาเรื่อยละ ประคองมาได้ ๙๐ กว่าปีแล้วนะ (ให้ได้ ๑๐๐ ปีเจ้าค่ะ) โอ้ยไม่ไหว

เราเล่าความจริงให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังนะ เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์อยู่ทุกวัน ลำบากลำบนเกี่ยวกับธาตุขันธ์ทั้งนั้น แต่จิตไม่มีปัญหา แน่ะอย่างนั้นละ คือจิตไม่มีปัญหาเลย พอตัว จิตที่พอตัว เรื่องธาตุขันธ์มันก็อ่อนลง กวนเรื่อยๆ กวนตลอด อายุแก่เท่าไรยิ่งกวนธาตุขันธ์ แต่จิตไม่มีอะไร ไม่มี เพราะจิตไม่มีวัย ธาตุขันธ์มีวัย

นี่ตั้งใจสงเคราะห์โลก พูดจริงๆนะ จวนจะตายเท่าไรเป็นห่วงโลกมากมาย คือสงเคราะห์โลกเดี๋ยวไปทางนู้นเดี๋ยวไปทางนี้ ไปด้วยน้ำใจของโลกนะ เราไม่ไปด้วยใจของเรา ใจของเราคือความเมตตาครอบไปหมดเลย

การเป็นการตายมันหมดปัญหาแล้วพูดจริงๆ ไม่มีปัญหา มีน้ำหนักเท่ากัน เป็นหรือตาย กล้าหรือหาญ หรือขี้ขลาดมันไม่มี ความกลัวก็ไม่มี ความกล้าก็ไม่มี เกี่ยวกับเรื่องความตายกลัวตายกลัวอะไรๆ นี้ไม่มี หมด คือเรียนจบหมด ดูตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของมันธาตุขันธ์ มันเคลื่อนไหวไปทางไหนๆ เดี๋ยวนี้เคลื่อนไหวลงทางต่ำนะ เคลื่อนไหวลง ไม่ได้เคลื่อนไหวขึ้นนะ เคลื่อนไหวลง อ่อนลงๆ

ถึงอย่างนั้นก็ตามเรื่องจิตใจมันหมดปัญหาไปแล้ว ไม่มีอะไรวิตกวิจารณ์ ดูก็ดูกันไปรักษากันไป พอถึงวันแล้วทิ้งเท่านั้น ที่จะให้มาหึงมาหวงไม่ หมดสภาพของมันแล้วไปเลย จิตก็เป็นไปตามธรรมชาติ พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือธรรมธาตุ จิตนี้เมื่อถึงที่สุดแล้วเป็นธรรมธาตุ ไม่ได้เรียกว่าใจว่าอะไร ถ้าว่าใจก็ใจบริสุทธิ์ว่าอย่างนั้นเสีย ให้ถนัดดีก็คือใจเป็นธรรมธาตุตลอดอนันตกาล เป็นธรรมธาตุ

การปฏิบัติตัวเองเริ่มแรกมาตั้งแต่บวช อายุ ๒๐ ปี ๙ เดือน (พ.ศ.๒๔๗๗) บวชปีนั้นนะ ตั้งแต่วันบวชแล้วกิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่ในขอบเขตแห่งธรรมแห่งวินัย บังคับตลอดมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันจึงอบอุ่น ถึงจิตใจล้มลุกคลุกคลานก็ตาม การประพฤติตัวเรียบอยู่อย่างนั้น มันก็ไม่มีที่ต้องติ ยิ่งฟาดจิตให้บริสุทธิ์เข้าไปอีกแล้วมันก็เรียบไปหมดเลย เป็นอย่างนั้นละ

ขอให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ นี่พูดจริงๆ ถอดมาจากหัวใจมาให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เรียกว่าหมดปัญหาของเราทุกอย่าง งานของเราในโลกสมมุตินี้หมดโดยประการทั้งปวง เราไม่มีงานว่าอย่างนั้นเลย มีแต่ความเมตตาสงสารโลกไปทางนู้นทางนี้ แล้วใครให้อะไรมามันไม่ได้ไปสนใจนะ อย่างนี้เหล่านี้ มันสนใจแต่หัวใจของโลกนะ พอตื่นขึ้นมาปั๊บนี้มันจะออกแล้ว ออกด้วยความเมตตา

ให้มันพอเท่านั้นมันเป็นอย่างนั้นละ ท่านว่านิพพานเที่ยง ดูใจดวงบริสุทธิ์พอ   ท่านว่านิพพานเที่ยง อันนั้นละนิพพานกับจิตเป็นธรรมธาตุอันเดียวกัน ท่านว่านิพพานเที่ยง จิตเป็นธรรมธาตุอันเดียวกัน นั่นละพ้นจากความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง นี่เรียกว่าพ้นโลก โลกสมมุติทั้งหมดผ่านไปแล้วเป็นวิมุตติ วิมุตติเที่ยงทีนี้ จำให้ดี ปฏิบัติเองรู้เองเห็นเองและถอดออกมาพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง จิตเที่ยงเสียอย่างเดียวอะไรจะเปลี่ยนแปลงอะไรมันไม่ถือสำคัญ เพราะฉะนั้นจึงว่าสบายจิตบริสุทธิ์แล้วสบาย อาการทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปมันก็ดูตามอาการ เพราะเรียนจบหมดแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นกับที่จะไหวตัวไปไหน ไม่ได้เสียอกเสียใจกับมัน

เราพูดให้มันชัดเจน เราจวนจะตายแล้วแต่ก่อนเราไม่เคยพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง นี่เราจวนจะตายแล้วก็พูดเสีย มันน่าจะเป็นคติตัวอย่างบ้าง เป็นมงคลแก่จิตใจบ้าง ไม่มากก็บ้าง คือว่ามันหมดของมันแล้วทีนี้ ขาดไปหมด ระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดกัน ไม่ต้องมาถามใคร รู้ที่จิตบริสุทธิ์ จิตที่มันไม่บริสุทธิ์มันเกี่ยวข้องยั้วเยี้ยไปหมดนะ หดเข้ามา หดเข้ามาด้วยการอบรม หดเข้าๆ ตัดขาดปุ๊บเลยเหลือแต่เกาะ ธรรมธาตุเป็นเกาะอยู่ตรงกลางสมมุติ นั่นละคือวิมุตติ อันนั้นอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าจิตของผู้ใดก็ตาม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านไม่ถามกัน พระสงฆ์สาวกทุกองค์พอถึงจุดนี้ปึ๋งเท่านั้นไม่ถามกัน เหมือนกันหมด ท่านไม่จำเป็นต้องถาม รูปร่างท่านเป็นอย่างไรท่านไม่ดูรูปดูนาม ดูธรรมชาติเป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ สาวกกี่พระองค์ก็ตามเมื่อเข้าถึงจุดนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมดเลย ไม่ต้องถามกัน

นี่ก็ได้บำเพ็ญมาตั้งแต่วันบวช บวชเข้าศีลเข้าธรรมตั้งแต่วันเท่าไรปี ๒๔๗๗ (บวชปี ๒๔๗๗ ถึงธรรมธาตุ ๒๔๙๓) เหรอ โอ้เก่ง ถึงธรรมธาตุ ๒๔๙๓ เหรอ จำได้แต่วัดดอยธรรมเจดีย์ แต่เป็นพ.ศ.เท่าไรจำไม่ได้นะ วัดดอยธรรมเจดีย์จึงเป็นที่ระลึกไม่ลืม ฝังลึกนะ เจ้าของพูดจริงๆ นะจำไม่ได้นะ จำได้แต่ว่ามันขาดจากกัน ระหว่างวิมุตติกับสมมุติขาดจากกัน ไม่ต้องถามใคร ผางขึ้นรู้หมดเลยเท่านั้น นี่จำไม่ได้ จำได้เก่งดีแต่ให้ภาวนาไม่ภาวนา ขี้เกียจ ไม่มีใครเกินเรื่องขี้เกียจภาวนาไม่มีใครเกิน ออกหน้าหมดเลย ความจริงเป็นอย่างที่เล่าทีแรก ตรงเป๋งเลยทีแรก พอจากนั้นมาโลเล พูดทีแรกแม่นยำไม่เคลื่อนคลาด ถอดจากความจริงออกมาแม่นยำๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ พอหลังจากไปแล้วก็โลเล

นี่อายุย่างเข้า ๙๗ แล้ว บวชเป็นพระปั๊บหลักธรรมวินัยบังคับเลยตลอดนะ หลักธรรมวินัยบังคับตลอดตั้งแต่วันบวชเลย จนกระทั่งป่านนี้จนชิน ไปไหนจะว่ารักษาหรือว่าระมัดระวังหรืออะไรมันเป็นของมันเองแล้ว คือมันชินพอ อะไรจะผิดจะถูกรู้ทันทีๆ เลย เป็นอย่างนั้นละมันชินนะ ความชินเป็นอย่างนั้นละ ๙๗ มันจะนานไปไหน ๙๗ มันไม่นาน แต่ไม่เคยวิตกวิจารณ์กับมัน เรียนจบหมดแล้วนี่ ไม่จบรู้ธรรมไม่ได้ ต้องจบ พอจบแล้วเรียกว่ารู้ธรรมจบ

ทีนี้ไม่วิตกวิจารณ์ เป็นอยู่หรือตายไปมีน้ำหนักเท่ากัน ถ้าให้มีน้ำหนักทางความเป็นอยู่เพื่อเกี่ยวกับประชาชนญาติโยม-สัตว์โลกทั้งหลาย อันนี้มีน้ำหนักมากกว่า ที่ว่ารั้งความตายไว้คืออันนี้ ถ้าไม่มีอันนี้แล้วผึงเลย ไม่ยากอะไรกับเจ้าของ พูดจริงๆ กับเจ้าของไม่ยาก ตายที่ไหนตายได้หมด ไม่เคยหาสถานที่ว่าที่นั่นที่ตายไม่มี พอลมหายใจขาดปั๊บเท่านั้นดีดผึงเลย หมด ไม่ได้หาที่ตายที่นั่นที่นี่อะไรละ

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz

           พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก