เทศน์อบรมฆราวาส
ณ วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน จ.นครราชสีมา
เมื่อบ่ายวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
บังคับให้อยู่กับพุทโธ
วันนี้คนก็มากนะ มาพบมาเห็นพี่น้องทั้งหลายดีใจนะหลวงตา ก่อนที่จะได้พบนี่ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ใจนี้มันหากคิดของมันเอง พิจารณาของมันเองแล้วตกลงลงปุ๊บมาเลย มองอะไรต่ออะไรพูดไม่ถูก พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายท่านมีทั้งพวกเทพพวกอะไรอยู่สวรรค์ชั้นพรหมมาหมด เราไม่ได้วัดรอยเรา งานท่านมาก พุทธกิจห้าคืองานของพระพุทธเจ้าเรียกว่าพุทธกิจห้า งานประจำพระองค์มีห้า แต่ก่อนได้ทั้งบาลีเดี๋ยวนี้ลืมแล้วบาลี เนื้อๆมาเลย ภาษาบาลีแต่ก่อนจำได้เดี๋ยวนี้ลืมแล้ว
ตอนบ่ายสามสี่โมงประทานโอวาทแก่บรรดาประชาชนทั้งหลายมีพระมหาษัตริย์ เป็นต้น พอตกค่ำมาก็ทรงอบรมสั่งสอนพระไปตามข้อปฏิบัติมรรคผลนิพพาน พอจากนั้นแล้วหกทุ่ม อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ แก้ปัญหาและเทศนาว่าการอบรมพวกทวยเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ต่อนั้นก็ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก เล็งญาณดูหัวใจนะ หัวใจพาไปนู้นไปนี้ไม่มีอะไรพาไป จำให้ดีนะ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเองเล็งญาณดูสัตวโลกใครข้องตาข่ายในพระญาณของพระองค์อย่างรวดเร็ว แล้วก็ตาย พอออกจากนั้นเสด็จเยี่ยมนะ เป็นอย่างนั้น
ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตไปไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าเสด็จเคลื่อนไหวไปไหนพวกเทพทั้งหลาย พวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายได้ผลประโยชน์ทั้งนั้นๆ พอพระองค์เคลื่อนเท่านั้นละ ยิ่งเสด็จออกมานี้ก็ไปอีกแบบหนึ่ง ส่วนภายในจิตที่เราต้อนรับพวกเทพพวกท้าวมหาพรหมลงมาไม่ต้องบอก รับแขกเทพแขกมนุษย์แล้วแขกเทพ มหาพรหม จากนั้นนิพพาน อีกไม่นานล่ะเพราะทรงนิพพานไว้แล้ว ท่านเรียกว่าพุทธกิจห้า เราจำได้แต่งานของพระพุทธเจ้าที่สำคัญขาดไม่ได้เลยมีห้าประการ
พอตอนบ่ายสามโมงสี่โมงประทานโอวาทแก่ประชาชนทั้งหลาย ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมา พอตกค่ำประทานโอวาทให้แก่พระสงฆ์ทั้งหลาย พอเที่ยงคืนประทานโอวาทแก่พวกทวยเทพทั้งหลาย เทวดา ถึงท้าวมหาพรหม จากนั้นเล็งญาณ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ เล็งญาณดูสัตวโลก ถึงตอนเช้าก็ออกบิณฑบาต บิณฑบาตใครได้เห็นนั่นละเกิดประโยชน์อีก เคลื่อนไปไหนมีแต่ประโยชน์พระพุทธเจ้า เป็นอย่างนั้นละผิดกับสัตว์โลกมาก ใครได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟังพระพุทธเจ้ามีอานิสงส์มาก
มีไหมทวยเทพ อยู่ในโอวาทของพระพุทธเจ้า ทวยเทพทั้งหลายอยู่ในพุทธกิจห้า ลืม แต่ก่อนจำได้หมดทั้งห้าข้อนี่ ตอนเช้าปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตใครได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟัง ความเคลื่อนไหวของพระองค์ทุกอย่างได้บุญได้กุศลมากเป็นกรณีพิเศษๆนะ เล่าให้ฟัง เดี๋ยวนี้มันแก่แล้วความจดความจำก็หายไปๆ แต่ก่อนจดจำได้หมดบาลงบาลีอะไรได้หมดนะ ออกทางบาลี แปลออกมาเป็นภาษาของเราเลย แต่นี้น่าจะเป็นภาษาของเรา ส่วนบาลีไม่ได้ มันจำไม่ได้
พูดถึงเรื่องพุทธกิจห้ามีห้าประการ ข้อหนึ่งท่านว่าสามโมงสี่โมงสอนประชาชนทั้งหลาย บแต่มหากษัตริย์ลงมา พอตกค่ำเข้ามาให้โอวาทพระสงฆ์ พอเที่ยงคืน ท่านบอกราวๆ เที่ยงคืน มาก่อนมาหลังอยู่ในเกณฑ์นี้ นี่พวกทวยเทพทั้งหลายทั้งอบรมสั่งสอนทั้งแก้ปัญหา แล้วจากนั้นเล็งญาณดูสัตวโลก ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ เล็งญาณดูสัตว โลก ใครจะเข้าตาข่ายคือพระญาณความหยั่งทราบอันเลิศเลอของพระองค์ พออยู่ในวิสัยที่จะโปรดได้เสด็จไปโปรดเลย ตอนเช้าก็ออกบิฑณบาต มีห้าข้อเท่านั้น นี่คือพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลก
จะว่าไม่ได้นอนก็ได้ จนคนทั้งหลายมาถกมาเถียงกันว่าพระพุทธเจ้าไม่นอน เอาพุทธกิจห้านี่มาอ้าง ถกเถียงเวลานั้นเท่านั้น เวลาเท่านั้นท่านนอนเมื่อไร เลยไม่ทราบเหยียบพระเศียรพระพุทธเจ้าไปว่าอะไรๆ ก็ตามพระพุทธเจ้า..ใครทำงานแทนพระองค์ได้ ข้อนี้เขาไม่เห็น เวลาพระองค์นอนเทศนาว่าการต้อนรับทุกอิริยาบถ ในหนังสือบาลีมีหมดเลย เทศน์สอนโลก ๔๕ พรรษานะ สำหรับเราเองลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายมาก็มายกขึ้นๆ ฟาดขึ้น ๑๒๐ ๑๒๐ เราโมโห ผู้ที่จะว่า ๕๐๐ ปีไม่มี ๑,๐๐๐ ปีไม่เห็นว่าเลย ไม่ใช่วิสัยที่จะว่าไม่ว่า พระพุทธเจ้าทรงกำหนดอะไรเป็นอย่างนั้น
เราพูดตามความจริงร่างกายอ่อนเท่าไรๆ โลกทั้งหลายต้องคิดเดือดร้อนก่อนตาย แล้วก็วิ่งหาบุญหากุศล อันนี้สำคัญมาก นอกจากสัตว์นรกล้วนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจะไม่คิดถึงอะไร มีแต่ตั้งหน้าจะลงแดนนรกมหานรกมหาอเวจีเท่านั้น สำหรับผู้มีบุญมีบาปอย่างเรานี้ก่อนจะตายนี้คิดแล้ว ทบทวนความเป็นอยู่ของเจ้าของ การกระทำของเจ้าของเป็นอย่างไรๆ คิด นั่นละเดือดร้อน ถ้าผู้ที่สร้างบุญสร้างกุศลปลื้มใจ ยิ่งปลื้มใจ พอใจขาดปั๊บนี่ก็ไปเลย ผู้ทำชั่วคิดไม่คิดมันก็ไปของมัน ถ้าคิดทำชั่วมากๆ อันนี้เร็ว ดับปุ๊บลงปุ๊บเลย
ถ้าว่าสวรรค์ก็ดีนรกก็ดีให้ท่านทั้งหลายพึงทราบไว้นะว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะทรงแสดงเรื่องนรกสวรรค์มีจนกระทั่งถึงนิพพานด้วยกันหมด ไม่มีความเปลี่ยนแปลงคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ ทรงรู้อะไรรู้เห็นชอบจริงๆ พอรับสั่งออกมาก็ถูกต้องตามนั้น คิดดูเอาย่อๆ ก็อย่างที่พระอานนท์ไปเกาะประตูอยู่นอก..พระพุทธเจ้าประชวรมาก รับสั่งหาอานนท์ไปไหน ไปร้องไห้อยู่ประตูนู้น ให้เข้ามา พอเข้ามาทีนี้ก็ปลอบโยนให้ทราบตามหลักความจริงที่จะแสดงบอก อานนท์จะร้องห่มร้องไห้หาอะไร ความดีงามทั้งหลายเธอก็สร้างมามากต่อมากแล้ว และได้เป็นพุทธอุปัฏฐากอีก นับว่าเธอได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้มากนะ เรานิพพานไปแล้วนี้อีกสามเดือนนะอานนท์ ปลอบอานนท์ด้วยความจริง จากนี้ไปอีกสามเดือนพอเราตายแล้วอีกสามเดือน วันพระสงฆ์จะทำสังคายนา นั่นละเป็นวันของเธอที่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา อบอุ่นเย็นใจนะ เรียกว่าตายใจ พูดไม่มีสองเลย
พระอานนท์ก่อนวันเข้ามาเท่าไรก็เร่งความเพียร พอถึงวันตรัสรู้นั้นละยิ่งความเพียรหนัก จะเอาให้ได้ตรัสรู้เดี๋ยวนั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่มันก็ไม่ได้ มันก็ได้ตามพระญาณหยั่งทราบ วันสังคายนาเรานิพพานไปแล้วสามเดือนวันนั้นละวันเธอจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ คือสังคายนามีพระ ๕๐๐ องค์รวบรวมคัดเลือกพระธรรมวินัยมีแต่พระผู้บริสุทธิ์ พระอรหันต์ล้วนๆ ๕๐๐ องค์ แต่เอาไว้ ๑ องค์พระอานนท์ ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา แต่ทราบไว้แล้วว่า ๕๐๐ องค์ พระองค์ก็ทราบว่า ๕๐๐ องค์
ทีนี้บรรดาพระผู้ใหญ่ทั้งหลายเวลาเอาไว้ช่องไว้ ๔๙๙ องค์ ยังขาดองค์หนึ่ง คอยบรรจุพระอานนท์ พระอานนท์เป็นตู้พระไตรปิฎกขาดไม่ได้ จะตรัสรู้ไม่ได้ตรัสรู้ช่องพระอานนท์ต้องเป็นช่องพระอานนท์ แต่ความแน่ใจพระอานนท์ต้องเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น พอถึงวันนั้นเอาจริงๆ เป็น นึกตั้งแต่อรหันต์ๆวันนี้ ยิ่งเร่งวัน พระพุทธเจ้ารับสั่งวันนี้นะวันเราจะได้ตรัสรู้ มันเลยออกเป็นสัญญาอารมณ์ออกข้างนอก มันไม่เข้าใน ตอนนั้นจิตยังเกาะมรรคผลนิพพาน แต่กิเลสมันยังมีในใจมันก็ไปไม่ได้
ทีนี้พอทอดอาลัยเท่านั้นละ ถึงกาลเวลาแล้วทีนี้ สว่างแล้วเราก็เดินจงกรมจนก้าวขาไม่ออกแล้ว แล้วเอนกายลงไปเท่านั้นบรรลุปึ๋งเลยตอนนั้น ถ้าภาษาของเราก็เรียกว่าทอดอาลัยตายอยาก แต่คำพูดของพระพุทธเจ้าทอดอาลัยได้อย่างไร คำพูดของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบเป็นอื่นไปไมได้ พอนั่งเอนหัวยังไม่ถึงหมอน แล้วที่ว่าตรัสรู้ในอิริยาบถสี่คือพระอานนท์จะว่ายืนก็ไม่ใช่ จะว่าเดินก็ไม่ใช่ จะว่านั่งจริงๆ อย่างพี่น้องทั้งหลายเข้าใจ กำลังเอนจะลง จะว่านอนก็ไม่ใช่ ศีรษะยังไม่ถึงหมอนนั่นละเอาตรงนั้นบรรลุธรรม จึงว่าพระอานนท์บรรลุธรรมในอิริยาบถสี่ จะว่าอิริยาบถไหนก็ไม่ถูก นอนก็ไม่ใช่ กำลังนอนนั่นละแต่ศีรษะยังไม่ถึงหมอนตรัสรู้ขึ้นในขณะนั้น พระอานนท์บรรลุธรรมในอิริยาบถสี่
พอถึงวันประชุมได้เวลาแล้ว แสดงฤทธิ์เดชของเจ้าของเต็มความสามารถวาสนาบารมีที่สร้างมา ไปโผล่ขึ้นที่นั่น ไม่ต้องเดินหยอกๆ แหยกๆ ที่ไหนให้ใครเห็น บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ ๔๙๙ องค์รอ ใกล้เวลาแล้วก็รอ พระอานนท์จะไปในวงนั้น รอไม่เห็น พอถึงเวลาผางไปถึงนู้นแล้วพระอานนท์ สำเร็จแล้วก็ไปปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางสงฆ์ ๕๐๐ องค์ คือ ๕๐๐ กับพระอานนท์ เป็นสังคายนาที่พระพูดจ้วงจาบพระศาสนา นั่นละตอนที่ท่านจะได้ร้อยกรองธรรมวินัยก็คือทำสังคายนา ให้รู้คำนี้เป็นคำผิดจะได้ไม่..... พระสงฆ์ทั้งหลายทราบเป็นเบื้องต้น พระสงฆ์ ๕๐๐ องค์ พอครั้งที่สองที่สามหลายองค์นะเราจำไม่ค่อยได้ สังคายนากี่ครั้งนะเราลืมแล้ว
สังคายนาก็คือการร้อยกรองธรรมวินัย คัดเลือกอะไรผิดอะไรถูก เอาตั้งแต่พระสงฆ์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ ออกมา อย่าง ๕๐๐ องค์เหมือนกันเพชรน้ำหนึ่งคือพระสงฆ์สำเร็จแล้วทั้งนั้น แม้แต่พระอานนท์สำเร็จแล้วก็เข้า สังคายนากี่ครั้งนะลืมแล้ว จำได้หมดแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ลืมหมด เป็นอย่างนั้นละความจำไม่เป็นท่า ครั้งที่ ๑ พระเท่านั้น ครั้งที่ ๒ เท่านี้ เดี๋ยวนี้ลืมแล้ว สังคายนาหมายถึงการร้อยกรองธรรมวินัยคัดเลือก ใครมาพูดจ้วงจาบพระศาสนาเวลาสังคายนาให้พระสงฆ์เหล่านี้ออกประกาศว่าข้างไหนผิดข้างไหนถูก คนไหนผิดถูกก็ว่ากันไป เขาเรียกสังคายนาร้อยกรองธรรมวินัย
สังคายนาครั้งนั้นก็ ๕๐๐ กับพระอานนท์ ครั้งต่อไปก็เท่านั้นๆ มาเป็นพันนะพระสงฆ์มาสังคายนา ตั้งแต่พระสาวกอรหันต์ทั้งนั้นละมาร้อยกรองธรรมวินัย เรื่อยมาจนกระทั่งถึงหยุดร้อยกรอง เพราะผู้เชี่ยวชาญสิ้นไปๆ สุดท้ายรับสั่งไว้เรียบร้อยกับพระสงฆ์เหล่านั้นที่จะหามาสังคายนาไม่มี มีแต่ความถูกต้อง เลยไม่มีใครสามารถนำไปดัดแปลงธรรมวินัยข้อใด เพราะผู้ยังไม่สิ้นกิเลสก็ยังมีอยู่มาประชุม นอกนั้นมีแต่พระสิ้นกิเลสแล้วทั้งนั้นละ
คำใดก็ตามถ้าเป็นคำของศาสดาแล้วให้เชื่อนะ ไม่มีสอง ไม่มีสอง ท่านจึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใด สวรรค์ชั้นพรหมรวมถึงนิพพานสอนไว้หมดทางเดิน ให้พากันเดินตามนี้นะ เราตาบอดอย่าอวดดี เข้าใจไหม คนตาบอดมันมักจะอวดดีอวดเก่ง ชนไม้หัวตอก็คือคนตาบอด คนตาดีเขาไม่ชน ให้เชื่อคนตาดี คนตาบอดสมัยปัจจุบันนี้เขาเชื่อคนตาดี คนตาดีต้องจูงไป แต่คนตาบอดทุกวันนี้ไม่ให้ใครมาจูง เราไปเองเราสามารถฟาดแต่หัวแตก ชนต้นไม้ นักปราชญ์สมัยปัจจุบันมักจะเป็นนักปราชญ์หัวชนต้นไม้ ไม่เอาหัวชนฝา ฟาดต้นไม้ละมันแข็งดี มันต่างกันอย่างนั้นละ
สังคายนากี่ครั้งนะเราก็ลืมแล้วละ เพราะไม่ค่อยดูตำรับตำราเฒ่าแก่มาแล้ว มีเท่าไรอยู่ในนี้ก็เอาอันนี้ละออกๆ มีที่ไหนๆ ก็ลืมหมดแล้วละ เรียนถ้ามีก็มีอยู่ในนี้แหละ
คำที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรแล้ว ให้พากันตายใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี นี่ละอันสำคัญคือบาปบุญเป็นคู่กัน นรกสวรรค์แล้วนิพพานมีๆ สอนให้ระวังที่เป็นภัยที่สุดก็อยู่ในนี้ละ เป็นคุณที่สุดคือนิพพานก็อยู่ที่นี้ ให้เราคัดเลือกตัวของเราให้ดีนะ เป็นความดีงาม ตื่นเช้ามาให้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก่อนลุกไป แล้วไหว้พระเสียก่อนแล้วค่อยลุกไปนี้ดี เราพูดไว้นี้เผื่อคนขี้เกียจ มันลุกขึ้นจะไม่สนใจกับพระละซิ บอกให้สนใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ กราบสามหนแล้วค่อยลุก จำเอานะ พอตื่นก็เป็นบุญ เวลาจะหลับจะนอนก็ไหว้เหมือนกันแล้วก็นอน ผู้จะภาวนาปลีกย่อยจากนั้นก็แล้วแต่จะทำ
นั่งภาวนาฟาดจนก้นแตกก็เอาซิ นี่ก้นแตก เคยก้นแตกมาแล้วไม่ใช่คุย นั่งตลอดรุ่งละซี คือทีแรกมันก็ไม่แตก นั่งคืนแรกลุกออกมานี้ออกร้อนก้น โถ เหมือนน้ำร้อนลวกอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไม่แตก นั่งเรื่อยซินั่งภาวนา จากนั้นแล้วมันก็พอง จากพองก็แตก จากแตกก็เลอะ มันเป็นอย่างนั้นละ ก้นเลอะมี ไม่มีใครก็ตามก้นเรา นั่นละฟังซิกว่าจะได้ธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายเอาจนก้นแตก พระโสณะฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนท่านมีไว้ในตำราว่าพระโสณะประกอบความพากเพียร ความเพียรกล้า เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ว่าอย่างนั้น เราก็ฟังเพราะเห็นในตำราเหมือนกัน อยู่กลางๆ จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กลางๆโมหะนั่นแหละ ความไม่เอาไหนนั่นแหละ คือมันไม่เชื่อนั่นเองพูดง่ายๆ
บทเวลาหนักเข้าๆ เราเองเป็น แต่เราไม่ได้บอกว่าเราได้ตรัสรู้นะ เราบอกตั้งแต่เดินจงกรมจนขาลาก มันเข่าอ่อนไปไม่ไหว พัก เวลามานั่งออกร้อนฝ่าเท้า ออกร้อนจริงๆ เพราะมันเดินกลางคืนกลางคืน เดินอยู่ตลอดหลายครั้งหลายหน ออกร้อนฝ่าเท้า ออกร้อนจริงๆ จนเรามาดูนะ เรามาดูฝ่าเท้าเรา กลางวันตอนบ่ายๆ นักพักฉันน้ำร้อน ฝ่าเท้าทำไมมันถึงออกร้อนเอานักหนา เอาฝ่าเท้ามาดู ไม่เห็นมีมันแตก แต่ว่าออกร้อนเต็มที่ พองไม่แตก แต่เอามือไปลูบที่ฝ่าเท้า พอมือไปสัมผัสเท่านั้นแปลบๆ มันจะถึงเนื้ออ่อนแล้ว คือเนื้อหยาบถูกกัดเข้าไปจะถึงเนื้ออ่อน พอถึงเนื้ออ่อนเมื่อไรก็เรียกว่าทะลุ เนื้อหยาบกัดไปหมดจนทะลุแล้วไปถึงเนื้อละเอียดเรียกว่าฝ่าเท้าแตก
นั่นละพระโสณะ ในพระประวัติของพระสาวกทั้งหลายมีพระโสณะยกให้เป็นที่หนึ่ง จนฝ่าเท้าแตก ถ้ายกให้พวกเรามีแต่หมอนมัดคอหมอนแตก มันเป็นอย่างนั้น มันพวกหมอนแตกพวกเสื่อขาด ดีไม่ดีมันไม่ภาวนาก็มีบางคน มันขี้เกียจ ตื่นขึ้นมาทั้งวันทั้งคืนมันทำอะไรมันไม่สนใจ ตื่นนอนจนกระทั่งหลับจะคิดหาความดีงามของเราเท่าเม็ดหินเม็ดทรายก็จะไม่มี มันไม่สนใจ จะพออะไรว่าฝ่าเท้าแตก ถ้าหมอนแตกเชื่อ อย่าให้เป็นอย่างนั้นนะ ให้เป็นฝ่าเท้าแตกให้ออกร้อน เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระโสณะ เราเชื่อแล้วพระโสณะ เราเป็น ไม่แตก แต่มาลูบดูมันเสียวแปลบๆๆๆ มันกำลังจะถึงเนื้ออ่อน พอดีเป็นอะไรไม่รู้นะมันตัดกันนะฝ่าเท้าเลยไม่แตก ไม่อย่างนั้นแตก
เรื่องความเพียรขนาดนั้น คือมันเป็นเองของมันนะความเพียร ถ้าว่าเดินจงกรมก็ลืมขึ้นจนจะก้าวขาไม่ออกแล้วค่อยหยุด ความเพียรเองตลอดเวลา นั่งขบนั่งฉันอะไรอยู่นี้ก็ตามเราบดเคี้ยวอาหารแต่จิตมันไม่อยู่นี้ มันอยู่นั้นกับกิเลส กิเลสเคยฟัดกันที่ตรงไหนๆ อะไรยังอยู่มันจะอยู่จุดนั้น การรับประทานอาหารหรืออะไรเหล่านี้รับประทานอะไรก็เคี้ยวกันไป จิตไม่ไปจดจ่อ จิตมันจดจ่อของมันอยู่นั้นฆ่ากิเลส นี่เป็นแล้วพูดตรงๆ นะ
อาหงอาหารจะเป็นอะไรก็ตามมันสักแต่ว่ารู้เคี้ยวไปกลืนไปอย่างนั้นละ แต่จิตมันหยั่งตรงนั้น ตรงฝ่าเท้าแตกๆ นั่นละ มันเป็นเองนะ ไปที่ไหนจิตมันจะไม่มีเผลอ จิตถึงขั้นนี้แล้วไม่เผลอ เป็นอัตโนมัติๆ หมุนตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่อิริยาบถใด เว้นแต่หลับ ในขณะจะหลับก็เป็น เพราะฉะนั้นบางคืนจึงนอนไม่หลับ คือมันเป็นของมันเอง นอนจะนอนให้หลับ มันไม่ยอมให้หลับ คือนักมวยมันต่อยกันอยู่นั้น ไม่มีกรรมการ กรรมการผู้สั่งให้หลับมันไม่ยอมฟังซิ มันซัดของมันอยู่นั้น สุดท้ายแจ้ง เราเคยตลอดรุ่งไม่ได้หลับ ไม่ได้หลับเลยหลายคืน หักให้หลับมันก็ไม่หลับ จนได้มาคิด ความคิดมันก็ออกจากตัวเอง
คือจิตเวลามันเป็นมันหมุนของมันตลอดสืบต่อๆ กันเรื่อย กรรมการไม่ทราบจะไปห้ามตอนไหน มันพันกันตลอดเวลา สติปัญญาที่แก่กล้ากับกิเลสที่ละเอียดซัดกันเป็นอย่างนั้นละ ไม่นอน นอนจะนอนให้หลับมันไม่หลับ นี่เราเคยเป็นแล้ว มันทำไมมันจึงไม่หลับ หาอุบายคิดอีกเรื่องหลับไม่หลับเพราะอะไร เพราะอันที่รู้กันอยู่นี่ละ ทีนี้ลองวิธีนี้ดูก่อนบางทีมันจะหยุด เอาพุทโธนะ เวลามันไปเต็มที่ของมันแล้วห้ามไม่อยู่นะ ต้องมีอุบายห้ามอย่างว่า อุบายของเราก็ได้พุทโธ พุทโธตั้งต้นทีแรกจะเป็นภาวนาต่อไปนะ จนกระทั่งถึงภาวนาหมุนเป็นกงจักรธรรมจักรไปจากพุทโธ แต่ตอนนั้นมันลืมคำว่าพุทโธ มีแต่เกาะกันๆ เรื่อย กิเลสกับธรรมเกาะกันฟัดกันเหมือนลูกโซ่
นั่นละมันเป็นที่ว่านอนไม่หลับ มันเหมือนลูกโซ่ เกาะอันนี้แล้วเกาะอันนั้นเกาะอันนี้อยู่ตลอด มันจะนอนไม่หลับจริงๆ มันคิดได้นะอุบาย มันทำไมถึงนอนไม่หลับนะ ทีนี้เอาพุทโธ บังคับให้อยู่กับพุทโธ ตั้งแต่นั้นเอาเดี๋ยวนั้นนะจริงด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา พอจากนั้นแล้วอันนั้นห้าม เอาให้อยู่กับพุทโธ พุทโธๆ พุทโธเป็นรากเหง้าเบื้องต้นกลับมาเป็นปลายสุดยอด เอาพุทโธมาบังคับ อยู่กับอะไรๆ ไม่อยู่ ธรรมนี้ละเอียดขนาดนั้นนะ ไปตามนั้นไปตามสาย เวลามันไม่มีทางไปจริงๆ เอาพุทโธเข้ามาสกัดรัดกั้นกันไว้นะ เอาทีนี้ไม่ให้มันคิดอันนั้นอันนี้ มันต่อกันเหมือนลูกโซ่นะ ทีนี้ไม่ให้คิด จะให้คิดอยู่กับพุทโธ เรานึกพุทโธๆๆ ๆ สติจ่ออยู่แล้ว เพราะสติมีอยู่ พุทโธหยุดจริงๆนะ พอพุทโธๆ เหนียวแน่นเข้าไปหยุดกึ๊ก ลง เงียบเลย หยุดกึ๊กไม่คิดไม่ปรุง เพราะสติจับกับพุทโธพันเข้าไป พักได้นะจิต อ๋อได้ผล ได้ผลจริงๆ
ทีนี้พอความเพียรมันหนักเข้าจริงๆ พักความเพียรเหล่านั้นพัก จะอยู่กับพุทโธ หันเข้ามาหาพุทโธปั๊บ ใส่ปุ๊บลงปุ๊บนะ เราพูดจริงๆนะ ไม่มีใครมาพูดอย่างนี้ เราเองทำเอง พิจารณา คือมันไม่หยุด ถึงขั้นอัตโนมัติแล้วไม่หยุด มีแต่หมุนจะก้าวๆ ๆ แต่เจ้าของทำความเพียรเขียงมันจะขาด เนื้อหายไปไหนหมดแล้ว มันทำงาน นั่นละหักพุทโธมา เอาพุทโธบังคับ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่อยู่ มันขนาดนั้นนะ ละเอียดมากจิต ครั้นเราห้ามมันจะไป มันคิดมันปรุงของมันเกี่ยวกับอรรถกับธรรมไม่หยุด แต่พอพุทโธใส่กึ๊กอยู่กับพุทโธนะ อยู่กับพุทโธคำเดียวๆ ไม่ให้ออก ให้อยู่กับพุทโธ เลยกลายเป็นฝึกหัดใหม่ ทีนี้จิตสงบลงๆ นิ่งเลย อ๋อเป็นอย่างนี้ นี่ไม่ให้ออก ให้อยู่กับพุทโธ มันสงบแน่วเลย หายเหนื่อยหมดเลย
นี่ได้ทำแล้วนะ ให้พี่น้องจำไว้ก็ได้ ถ้าถึงขั้นมันหมุนหมุนจริงๆนะ ธรรมกับกิเลสฟัดกัน ไม่ได้หลับได้นอน นอนไม่หลับ นี่เคยแล้วนะ ทำอะไรๆ อยู่มันก็ไม่ปล่อย ไม่ปล่อยละ กิเลสกับธรรมที่ละเอียดมันฟัดกัน แต่เวลาหยุดมาหยุดเอากับพุทโธ เหล่านั้นปล่อย ธรรมนี้มันซัดกันไม่หยุดไม่ถอย ไม่ตั้งกรรมการแล้วละ เอาออก เอาพุทโธเข้าไปเป็นกรรมการใหญ่ พุทโธๆ ให้อยู่กับพุทโธอันเดียว ที่มันหมุนติ้วๆ มาอยู่กับพุทโธอันเดียว สติจับไว้เลยลงแน่ว นั่นเห็นไหม ลงนิ่งเลย อ๋อถูกแล้ว ว่าถูก มันไปขนาดนั้นแล้วมันห้ามไม่อยู่ พอพุทโธๆ ลง เออจับเงื่อนได้แล้ว ทีนี้ถอนขึ้นมามันดับปุ๊บแล้วนะถอนขึ้นมา มันจะเป็นแบบคือมันเป็นสติปัญญาอัตโนมัติละเอียดลออไม่หยุดไม่ถอย แต่ไม่มีเวลาพักมันตายได้คนเรา ห้ามตาย เอาพุทโธเข้าห้ามตายเรา พออยู่กับพุทโธๆ หยุดกึ๊กเลย ลงๆ ได้
ตั้งแต่นั้นมาพอได้อันนี้เป็นครู เราไม่เคยพูดให้ใครฟัง ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เจ้าของเองสอนเจ้าของ ทีนี้เวลามันหมุนของมันเวลาไหนก็ตามมันจะไม่หยุด ระหว่างธรรม กับกิเลสอย่างละเอียดซัดกันกรรมการไม่ฟัง สติของเราไม่ฟัง เข้าใกล้ไม่ได้ ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ บทเวลาเอาพุทโธเข้าปั๊บสติอันหนึ่งมาอีก บังคับให้อยู่กับพุทโธๆ คำเดียวลง ให้พากันจำเอานะ นี่เป็นแล้ว จากนั้นมาไม่มีสงสัย นี่ละที่ว่าจิตนี่มันเป็นอัตโนมัติของมันแล้วห้ามไม่อยู่นะ ปัญญากับกิเลสละเอียดมันหมุนกันไป เอาแบบนี้มาใช้ จับได้ เวลาหมุนหมุนไป มันจะตายจริงๆ หมุนเข้ามาหาพุทโธๆ แน่วเลย นั่นละเลยอยู่ได้เพราะพุทโธ..จิต กลับมาเป็นอยู่ได้เพราะพุทโธ
เป็นนะนักปฏิบัติ การภาวนาเมื่อมันแหลมคมเข้าไปละเอียดเข้าไปมันจะเป็นสติปัญญาเป็นเองนะ หมุนไม่หยุดนะ กิเลสกับธรรมกับสติปัญญาเอากัน ห้ามก็ไม่อยู่ มันจะหมุนกัน พอเอาพุทโธใส่กึ๊กหยุดหมด ให้อยู่กับพุทโธ ไม่เอาอะไร อยู่กับพุทโธ สติตั้งอยู่กับพุทโธคำเดียว ธรรมที่เกี่ยวเนื่องตลอดที่มันเป็นอัตโนมัติห้ามหมด ให้มาอยู่กับพุทโธ ลงได้ ลงกึ๊กเลย เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม พอถอนออกไปปล่อยเลย ออกก็ซัดกัน แต่เราจับเงื่อนได้แล้ว เวลามันจะตายจริงๆ ให้พากันจำเอานะ
นี่เป็นเอง เจ้าของสอนเจ้าของเอง เวลาห้ามไม่อยู่ไม่อยู่จริงๆ แต่สติปัญญามันก็มีของมัน มันไม่ปล่อยกันนะ พอถึงขั้นอันนี้มารวมให้สติมาอยู่กับพุทโธนี้หมด ธรรมทั้งหลายที่พิจารณาปล่อยให้มาอยู่กับพุทโธคำเดียวๆเลย เป็นธรรมอันหนึ่งขึ้นมา สงบ อ๋อได้ ให้พากันจำเอานะลูกหลาน ห้ามไม่อยู่นะจิตมันเป็นอัตโนมัติ ละเอียดลออมาก ห้ามไม่อยู่ สติมีก็ตาม มันต้องมีบทเป็นวรรคเป็นตอน พอถึงขั้นนี้แล้วให้มาอยู่กับพุทโธ ให้อยู่กับคำเดียวไม่ปรารถนาอะไรละ ให้รู้อยู่กับพุทโธ หยุดๆ พอหยุดแล้วอ๋อถูกต้อง พอปล่อยถอนขึ้นมาทีนี้จะทำงานอะไรก็ทำตามเดิมของมัน ให้พากันจำเอานะ จิตกับธรรมเวลามันเป็นอัตโนมัติห้ามยากนะ เราก็ได้อุบายมาเอาพุทโธมาห้าม มาอยู่กับพุทโธแล้วไม่ไป อยู่กับพุทโธจนสงบแน่วเลย จำเอานะทุกคน พูดเท่านั้น พูดมากเหนื่อยแล้ว
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|