มีสติแล้วรู้ทุกอาการ***
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

มีสติแล้วรู้ทุกอาการ

         ทางสากลเขาถือวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันพักงาน ทางพุทธศาสนาถือวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ หรือ ๑๔-๑๕ ค่ำ เป็นวันพักงานของร่างกาย พักจิตด้วย จิตทำงานก็มีการพักกัน กิเลสอยู่หัวใจเรานี่มันไม่พัก มันเป็นอยู่ภายใน คือสังขารที่ปรุงออกมานี้ส่วนมากมีแต่เรื่องของกิเลส มันปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่พูดละแต่มันเป็นของมัน ต่างคนต่างมีโรงงานอยู่ในหัวใจ มันจะคิดจะปรุงตลอดเวลา ให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้

         เราภาวนาถึงได้รู้เรื่องมันชัดเจนนะเรื่องสังขาร เวลามันระงับลงไปให้จิตรวมเต็มที่แล้วไม่มีสูงมีต่ำไม่มีอะไรละ คือหดเข้าไปหมดเข้าไปอยู่ในจุดเดียว จิตคือผู้รู้อยู่ที่นั่นละ เราเห็นได้ชัดเจนก็คือเวลามันจะไปจริงๆ เรานี่เคยเป็นสองครั้งหรืออย่างไร มันจะได้ดูกันชัดเจน ทุกขเวทนานี้เป็นเวลาจวนตัวนะ ถึงขั้น ๙๙% พอถึงร้อยก็ออกเลย ๙๙% ละมันหมุนของมันอยู่ในนั้น เราดูได้ชัดเจนนะ เพราะดูด้วยจิตตภาวนา

         ความเคลื่อนไหวของจิตเป็นอย่างไรๆ อาการทั้งหลายนี่เป็นอย่างไรๆ มันจะหดเข้ามาหมดเลย หดเข้ามาสู่จิตแห่งเดียว ทีนี้พร้อมที่จะโดดละ ถ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไป ๙๙ นี่เราเคยแล้ว มันระงับนะ เวลาทุกขเวทนามีเต็มตัวเลย ถ้าธรรมดาก็ร้องโก้กๆ มันเต็มตัว ไปส้วมถ่าย ๒๕ หน แล้วอาเจียน ๒ หน บทเวลาอาเจียนนี่ขั้นสุดท้ายนะเวลามันอาเจียนนี้เศษอาหารติดฝาผนังนู่น มันใช้กำลังมันเอง ทีนี้หดเข้ามาๆ พออาเจียนเสร็จไปแล้วหดเข้ามา อ้าว จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ พอเห็นชัดเจนแล้วสติซ้ำเข้าอีก สติจ่อเข้าไปนี่คลี่คลายออกมา ถ้าเราปล่อยคงจะไปเลยนะ

         เวลาจิตมีสติเต็มตัวแล้วเคลื่อนไหวอะไรมันรู้หมด เวลามันจะไปก็เหมือนกันมันหดเข้าๆ สุดท้ายที่จะไปจริงๆ ทุกขเวทนาในขณะนั้นดับหมดเลย เหลือแต่จิตเท่านั้น ทีนี้ก็มีวิตกขึ้นมา เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป พอว่าอย่างนั้นสติจับปุ๊บเข้าตรงนั้นอีก กระจายออกเรียกว่าขยายออก ไม่ไป เห็นชัดเจน คือเวลามันเข้าถึงที่จริงๆ แล้วมันจะไปจริงๆ แล้วทุกขเวทนานี้จะดับหมด ดับทั้งๆ ที่เรารู้อยู่นั่นน่ะ เรายังไม่ตาย จึงได้วิตกถามขึ้นอีกว่า หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ มันถึงขั้นจะไป รวมเข้าไปอยู่ที่นั่นละ ดีดคราวนี้ก็ไปละ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไป

         คือมันรู้ของมันทุกขณะนะจิตนี่ เวลาจวนตัวเท่าไรยิ่งรู้ชัดๆ มันไม่ออก นั่นละจิตที่ได้รับการอบรมแล้วเป็นอย่างนั้น มันหนักมากเท่าไรจิตยิ่งจ่อเข้าจุดนั้นๆ มันหนักมากจริงๆ เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ มันดับแล้วนะนั่น ทุกขเวทนาอะไรดับหมดเลย บทเวลาจะไปจริงๆ ปล่อยนะ ทุกขเวทนาปล่อยแล้วถึงจะเคลื่อนตัวออกจิตนะ นี่มันไม่เคลื่อน มันเข้าสู่จุดที่จะดีด ๙๙% เลยวิตกขึ้นอีกทีหนึ่ง หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เราอยู่โถส้วมหรืออะไรนั่งอยู่นั้น เวลาอาเจียนนู่นเศษอาหารเวลาอาเจียนรุนแรงพุ่งติดฝานะ นั่นละตอนมันจะไป คือมันเหนื่อยสุดยอดแล้วก็หดเข้ามาๆ มันจะไปของมัน

พอเข้ามานั้นสติเป็นผู้เตือนกัน หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ พอว่านั่นกำหนดปั๊บเข้าไปอีกทีหนึ่งเลยคลี่คลายออกมาๆ ถ้ามีสติแล้วรู้ทุกอาการ มันเป็นอย่างนั้นเองนะ ถ้ามีสติแล้วรู้ทุกอาการจะเคลื่อนไหวอย่างไรๆ รู้ ท่านจึงว่า.สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา  สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เผลอสติก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเผลอแบบที่ว่ามันจะไปมันนั่นละไปแน่ๆ แต่สติมันดีตลอด สตินี่คนป่วยจะไปมันดีตลอดของมันนะ นี่ได้เป็นแล้ว หดรวมเข้ามาเหมือนว่าจะระเบิดปึ๋งไป รวมเข้ามาถึงนั้นแล้วสติจ่อเข้าไปปั๊บตรงนั้นแหละกลับคลี่คลายออกมาหมด เลยไม่ตาย

(เหมือนตอนโรคหัวใจที่รั้งเอาไว้ค่ะ) อย่างนั้นละ รั้งเอาไว้ ถ้ามันรั้งได้ในขณะนั้นมันก็ไม่ไป ที่มันรั้งไม่ได้มันก็ต้องไป ตายทุกคน สุดวิสัยแล้วตายทั้งๆ ที่มีสติ มันไม่มีอะไรละ พูดยากอยู่นะอันนี้ พูดยากอยู่ ถึงเวลาจวนตัวเข้าด้ายเข้าเข็ม มันมาพร้อมกันเลย สติสตังอะไรๆ ลงจุดนั้นปั๊บ คือมันไม่เผลอ ทำอย่างไรก็ไม่เผลอ จ่อเลย ที่กลัวไปว่าจะตายขยายออกๆไม่ตาย เป็น นี่ละสติเอาถึงขีดทีเดียวสตินี้ถึงจะปล่อยกัน สติจึงเป็นของสำคัญมาก

(ตอนขยายออกมีพลังจิตมากใช่ไหมครับ) นั่นละพลังอะไรมารวมอยู่สติเป็นแนวหน้า สติเป็นแนวหน้า มันจะไปสติไม่เผลอ พออันนี้ห่างปั๊บมันก็ไปถ้ามันจะไป หลับก็เหมือนกัน ที่ว่าคนหลับได้ๆ คือสติไปปล่อยกันในเวลาหลับๆ รู้ไหมใครว่าจะหลับตอนไหนรู้ไหม ไม่รู้นะ จนตื่นขึ้นมา โอ้ วันนี้สายแล้วโว้ย สายแล้วโว้ยวันนี้ ถ้าหากว่าไม่ตื่นแล้วก็ไปเลย นี่มันมีแต่พวกอยู่สายโว้ย นี่สายแล้ว

โอ้ เรียนเรื่องของจิตนี้ต้องเป็นนักภาวนา หาที่ตำหนิไม่ได้เลย ท่านซอกแซกถึงกันหมดเลย สติเป็นสำคัญ รวมลงแล้วเป็นสติ สติเป็นสำคัญมาก

(ลูกศิษย์ถามปัญหาขึ้นอีก) คนหนึ่งเป็นบ้าว้อๆ คนหนึ่งเป็นคนดีเต็มยศ ฟังกันมันก็ไม่รู้เรื่อง คนหนึ่งเป็นบ้าเต็มยศ นี้เป็นคนดีเต็มยศ พูดเลยไม่รู้เรื่องกัน

ที่เป็นนี้มันเป็นมาในเราหมดแล้ว เป็นมาที่ยังไม่ตายจนหายอันนี้ละ มันหากเป็นของมันอย่างนั้น เรื่องสตินี่เหมือนว่าจับติดกันเลย มันไม่บอกละว่าให้ตั้งให้ดี มันตั้งของมันอย่างนั้นแล้ว แต่เวลาจะไปจริงๆ มันดับนะ ทุกขเวทนาเต็มที่นี้ดับ พอมันดับลงไปหมดแล้วจิตจะออกละ พอสติจับปั๊บเข้าไปบังคับควบคุมแล้วโรคขยายออก ไม่ไป เราเป็นแล้ว

(ที่หลวงตาเล่าให้ฟังหลวงปู่มั่นท่านก็ไม่ยอมนอนหลับ) ใช่ อันนั้นหลวงปู่มั่นตอนนั้นท่านรั้ง เราไม่ทราบ ท่านไม่ได้พูดให้ฟัง มีแต่ว่าให้เร่งๆ เอาไปสกลฯ บอกให้เร่งนะ ในคืนวันนั้นถ้าหากว่าท่านแย็บออกมาสักนิดหนึ่งนี่ผมรั้งไว้นะ เท่านั้นละเราจะแตกฮือเลยเอาท่านไปสกลฯ เดี๋ยวนั้น โทรศัพท์หรือโทรอะไรโทรถึงกันทันที เอาไปเลยละ นี่ท่านบอกให้เร่งๆ บทเวลาเป็นในเรามันถึงรู้ชัด มันถึงขั้นจะไปจริงๆ เมื่ออยู่ในระยะที่รั้งไว้ได้รั้งได้นะ นอกจากมันสุดวิสัยก็ปล่อย อย่างพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านนิพพานๆ คือหมดวิสัยที่จะรั้ง ถ้าพอรั้งได้รั้งให้ยาวออกไปๆ ที่ว่ารั้งเอาไว้ พอปล่อยพับก็ไปเลย ทีนี้ไปเลยละไปไหนจิตน่ะ เป็นอย่างไรจิตไปไหน ร่างกายก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนแล้ว ความรับรู้ออกแล้วก็ผ่านเท่านั้น เรียกว่าตายๆ

ให้มันได้เห็นเรื่องของเจ้าของเป็นเสียก่อน นั่นพูดได้ชัดเจน ไม่ชัดเจนก็ไม่สงสัยละ คือสติจะเอาอะไรมาบังคับไม่ให้มันเผลอไม่เผลอ จิตตอนนั้นตอนสติเข้าด้ายเข้าเข็มกับตอนจะตายนะ มันเข้ารับกันตอนนั้น แล้วเบิกตัวออกมาเรียกว่าถอนออกมา ก็เพราะสติ นี่เราก็เป็นของเราแล้ว หน้าดำหมดเลย หมู่เพื่อนไปรออยู่ประตูส้วม เพราะมันหนักมากแล้ว เข้าไปคงนานพอประมาณ หมู่เพื่อนไปยืนอยู่ประตูส้วม พอมันสงบเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์อันนั้นหายออกไปแล้ว พอลุกได้ก็ค่อยลุกขึ้นมา พอเปิดประตูปั๊บหมู่เพื่อนเต็ม เราบอกว่าผมเกือบตายอยู่ในถานเมื่อสักครู่นี้ พูดนี้มันไม่ออกคำพูด มันมุบมิบๆ เหมือนลิงพูด โอ๊ย ท่านอาจารย์ทำไมเป็นอย่างนี้ ดูเราผิดไปแล้วนะนั่น พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ คือมันไม่มีอะไรจะพูด มันก็เห็นตั้งแต่ปากมุบมิบๆ เหมือนลิงพูด นั่นละเต็มที่เลย

การเคลื่อนย้ายก็ไปตามวิบากกรรมของมันเหมือนกัน พอเคลื่อนย้ายไปแล้วกำลังที่จะไปต่อภพต่อชาตินั่นละคือสมบัติกับวิบัติ สมบัติก็คือพอเคลื่อนปั๊บขึ้นเลย ขึ้นไปเลย ไปเป็นมนุษย์เหมือนเก่าก็ตาม หรือเทวบุตรเทวดา-อินทร์-พรหมก็ออกจากนี้ไป เวลาจะตายจริงๆ หมดนะทุกขเวทนาในตัวของเราทั้งหมดนี้เงียบเลย ดับหมดเลย มันจะไปตอนนั้นละ คือเตรียมพร้อม ๙๙% สติเราไม่เผลอ หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาๆ ไปก็ไป สติจับปุ๊บเข้าอีก คลี่คลายออกมาเลยไม่ไป

วิถีเรื่องความตายนี้ผู้ภาวนาละรู้ชัดเจน ผู้ภาวนางูๆ ปลาๆ ก็ไม่ได้ ต้องภาวนามีหลักมีเกณฑ์ไป มันจะตามกันเรื่องความตายกับจิตมันจะเคลื่อนจากกันรู้เวลา สติไม่เผลอเลย อันไหนที่พูดนี่แสดงว่าเป็นออกจากเรา ที่ว่าจะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป นั่นละตรงนั้น ๙๙ ต่อร้อยเปอร์เซ็นต์ พอหยุดปั๊บ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไป เรื่องความเป็นความตายมันไม่มีนะ ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มี ท่านไม่กลัวความเป็นกับความตาย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธรรม การพิจารณาก็เป็นธรรม ธรรมต่อธรรมรับทราบกันเท่านั้น

ฝึกให้มันได้อย่างว่านะ จิตนี้เป็นของฝึกได้ ฝึกไม่ได้ท่านไม่สอน อย่างว่าถึงนิพพานนั่นก็ฝึกไปจนถึงนิพพานมันก็ถึงๆได้ ถ้าไม่ฝึกนอนจมอยู่อย่างนี้ก็จมไปเรื่อยๆ ภพนี้ก็จม ภพข้างหน้าก็จม จิตดวงนี้อำนาจของความดีมีมากกว่าเอาไปได้ ขึ้นได้ ถ้าอำนาจความดีไม่มีเวลาตายแล้วอำนาจแห่งความชั่วกดลง ท่านว่าตกนรกไปสวรรค์เป็นอย่างนั้น เคลื่อนอย่างนี้

ให้พากันพิจารณานะ เรื่องความตายเป็นเรื่องประมวลเหตุการณ์เข้ามาหาเจ้าของ จะคิดดีคิดชั่ว ถ้าหากว่าใจดีอยู่แล้วมีแต่ทางดี ถ้าใจไม่ดียิ่งไปคิดทางชั่วนะแล้วอันนั้นก็หมุนเข้ามาๆ ทางชั่ว พออันนี้หลุดปั๊บก็ลงเลย ลงทางต่ำๆ ทางความชั่ว นรกมีหลายหลุม ท่านบอกไว้ว่า ๒๕ หลุม อันดับหนึ่งอันดับสองมาเรื่อย จิตไม่ตาย เห็นชัดๆเลยละไม่ตาย คนหนึ่งเป็นนี่แล้วมาเล่าให้คนไม่เป็นฟังมันได้เรื่องอะไร สมมุติว่าธรรมเข้าขั้นละเอียดสุดจิตมันก็รู้ของมันว่าควรพูดขนาดไหน หนักเบามากน้อยเพียงไรมันจะเป็นของมันเอง พับออกเลยละ

อย่างพวกเราอยู่ในศาลานี่ใครที่จะได้รับสิทธิพิเศษว่า..คนทั้งโลกนี้ตายหมด ไม่ตายแต่เราคนเดียวมีไหมล่ะ คือทั้งโลกนี้ตายหมด ดังพระอัญญาโกณฑัญญะท่านพูดออกมาจากใจท่านจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พุ่งออกมาจากจิตที่เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ให้เบญจวัคคีย์ฟังจะเป็นธรรมธรรมดาได้เมื่อไร ต้องหมุนติ้วๆ พลังของจิตพลังของธรรมไปด้วยกัน กำลังวังชาออกมาพร้อมๆ กันปุ๊บๆๆ นี่ละพลังของธรรม ถ้าไม่มีพลังก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

อย่างที่ว่านี้มาเล่าให้ฟังผู้ไม่เป็นไม่รู้นะ ผู้เป็นแล้วก็เล่าได้เต็มปาก จิตมันจะหมุนลงทางต่ำ สติอันหนึ่งดีดพับเหมือนว่าสกัด สกัดนั่นละคือสติรักษาใจในทางที่ดี การควบคุมความรู้ของตนนั่นละคือสติ ท่านแสดงไว้

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ     โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ           มจฺจุราชา ปสฺสติ

นี่พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราช องค์นั้นจวนจะพ้นแล้วท่านเลยเอาธรรมะเด็ดเข้าใส่เลย

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ      โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ         มจฺจุราชา ปสฺสติ

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความถือว่าเขาว่าเราเสียได้ แล้วจิตจะหลุดพ้นในขณะนั้นจากผู้พิจารณาโลกว่าเป็นของสูญเปล่า สติพิจารณาปัญญาไปด้วยกัน ท่านแสดงไว้ สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ เราก็อ่านอยู่ในตำราแต่ก่อน บทเวลามาปฏิบัติมันเข้าแนวเดียวกันหมดเลย ใครจะเรียนมากเรียนน้อยก็ตามออกจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าทั้งนั้น ไม่ผิด แต่เวลาออกมาปฏิบัติมันผิดมันจึงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เอาละพูดพอหอมปากหอมคอ

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก