เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
ธรรมอัตโนมัติ
ที่เข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ทองคำ ๑๒ ตัน ๕๐ กิโล เข้าแล้วนะนี่ ทองคำของพี่น้องทั้งหลายที่เข้าประดับชาติของตนได้ ๑๒ ตันกับ ๕๐ กิโลแล้วเวลานี้ และยังจะได้ต่อไปอีก ส่วนดอลลาร์ได้ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลลาร์ ทองคำได้ ๑๒ ตันกับ ๕๐ กิโลมาถึงเวลานี้วันนี้ อันนั้นอะไร (ตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น ตั้งงบประมาณไว้ ๕๐๐ ล้านบาท ตอนนี้ได้แล้ว ๒๘๓,๕๕๓,๒๓๘ บาทครับ) นั่นเห็นไหมล่ะ คนนั้นมาไหลมาๆ มันเป็นทะเลหลวงได้อย่างไร ก็เพราะฝนตกทีละหยดละหยาด ตกทั่วๆ ไป ตกไม่หยุดไม่ถอยน้ำก็ท่วมๆ ตลอด อันนี้ก็เหมือนกัน กองบุญของพี่น้องทั้งหลายที่สร้างไม่หยุดไม่ถอยมันก็หนุนขึ้นๆ สุดท้ายถึงนิพพานปึ๋งเลยจะว่าไง
คำพูดอย่างนี้เป็นคำพูดของใครที่มาสอนพวกเราไว้นี้ คำพูดของศาสดาองค์เอกรู้จักไหม เอกคือไม่มีสอง สอนธรรมไว้ด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ทุกขั้นทุกภูมิตลอดถึงนิพพานสุด ทุกข์หมด พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนไม่ผิดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงนิพพานคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเป็นเด็กอมมือหรือมาสอน ผู้ฟังทั้งหลายมีแต่จะกลายเป็นพวกเด็กอมมือไปหมดนั้นใช้ไม่ได้นะ ให้พากันฟัง ความจริงน่ะสำคัญมาก ทำอะไรอย่าเหลาะๆ แหละๆ ถ้าว่าทำให้ทำเลย เป็นคนมีใจจริงมีหลักใจอยู่ภายใน พอเคลื่อนแล้วก็ดาดาษไปเลย ล้มระนาว ถ้าเป็นดาบก็เป็นดาบปราบโลกเข้าใจไหม นี่ละคำพูดของพระพุทธเจ้าสอนไว้ให้ไปปฏิบัติ
ร่างกายเราถ้าไม่ได้สร้างความดีเอาไว้แล้ว จวนเข้ามาเท่าไรยิ่งเดือดร้อน ถ้าได้สร้างความดีเอาไว้ไม่เดือดร้อน พระพุทธเจ้าคือผู้ไม่เดือดร้อน เลยโลกเลยสงสารไปแล้ว นำธรรมที่เลยโลกเลยสงสารดึงสัตว์ทั้งหลายมันก็ไม่อยากไป ถ้าอยากไปก็ปุ๊บปั๊บเลยวิ่งไปหา ไปหาอะไรเหรอ ไปหาหมอน เอาหมอนมัดติดคอไปด้วย ไปหาเสื่อ ถ้าจะทำความดีขี้เกียจ ถ้าทำความชั่วมันเร็ว นี่หมายถึงเบื้องต้นของผู้ฝึกล้มลุกคลุกคลาน อันหนึ่งจะไป อันสองอันสามไม่ไปดึงเอาไว้ สุดท้ายก็อยู่ในมือของมันเสีย วันนี้ก็ผ่านไปวันหน้าผ่านไปสุดท้ายตายไปเปล่าๆ ไม่มีอะไร มีแต่บาปเต็มตัวใช้ไม่ได้นะ ต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างซิ
ใจเป็นนักท่องเที่ยวไม่เคยตาย ยันเลยเรา เรายันเลยไม่เคยตาย ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานฝึกหัดภาวนาทีแรกเราไม่ลืมนะ ออกปฏิบัติทีแรกล้มลุกคลุกคลานไปอย่างนั้น เอากันอยู่อย่างนั้นไม่ถอยจนกระทั่งถึงบัดนี้ พูดให้สุดยอดเสียเลยว่าขาดสะบั้นหมด กิเลสภายในหัวใจขาดไปตั้งแต่ ๒๔๙๓ นู่นน่ะ ไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย ว่าง ทีนี้ว่างงาน นั่นละผู้ว่างงานว่างอย่างนั้น ถ้ามีกิเลสแทรกอยู่งานก็งานกิเลส มีแต่งานกิเลสแฝงเอาๆ ถ้างานของธรรมแล้วพุ่งๆ เลย
พูดถึงเรื่องปฏิบัติธรรมเวลาแรกมันล้มลุกคลุกคลาน พอหนักเข้าไปๆ จิตได้หลักได้เกณฑ์แล้วค่อยแข็งขึ้น ความเพียรขยันเข้าโดยลำดับ สุดท้ายเดินจงกรมจนได้มาดูฝ่าเท้าเจ้าของ มันแตกเหรอฝ่าเท้านี่ มันทำไมมันออกร้อนเอานักหนา มาดูไม่แตก เอามือมาลูบฝ่าเท้าเสียวแปล๊บๆๆ จากนั้นมันจะแตกละ คือหนังหนาๆ ถูกกัดด้วยการเดินไม่ถอยมันก็บางเข้าๆ เข้าไปถึงเนื้อ นั่นละท่านว่าฝ่าเท้าแตกไม่ได้แตกอย่างนี้นะ คือมันกัดเข้าไป มันกัดหนังเข้าไปถึงเนื้อ
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอยเรื่องความเพียร เวลามันหนักจริงๆ แล้วกลางคืนไม่ยอมนอน นอนก็ไม่หลับ นั่งก็นั่งภาวนาฟัดกันตลอด สุดท้ายมาฉันจังหันอย่างนี้มันก็ไม่อยู่ในอาหารนะ มันอยู่ในจิตกับธรรม-กิเลส สามอันนี้ฟัดกันอยู่ลึกๆ นั่นละ ถ้าพูดให้ใครฟังเขาก็จะหาว่าบ้า นี้ผ่านมาเรียบร้อยแล้วกินข้าวก็อิ่มแล้วพูดได้เต็มปาก เป็นอย่างนั้นนะ บทเวลาจิตมีกำลังแล้วทีนี้กลางคืนไม่นอนเลย กลางวันยังจะไม่นอนอีก เวลามันหมุนมันหมุนจริงๆ ฟังเสียท่านทั้งหลาย
นี่ได้ขึ้นเวทีแล้วกับกิเลส ซัดกันถึงขั้นแชมเปี้ยนเลย แชมเปี้ยนไม่มีการว่าหลับนอน แพ้กิเลสตัวไหนตามฟัดกันๆ เอาจนกิเลสหงายเลย นั่นละความเพียร เดินจงกรมท่านว่าฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนฟังไปเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นคนตาบอด บทเวลามาเจอเจ้าของเข้าไปนี้ อ้าว เป็นได้ จนจะก้าวขาไม่ออกมันยังไม่ถอย อันนั้นภายในมันยังหมุน กิเลสกับธรรมฟัดกัน หมุนอยู่ภายในเป็นอัตโนมัติ กิเลสถึงขั้นขาดสะบั้นแล้วธรรมนี้เป็นธรรมอัตโนมัติ หมุนติ้วๆ ทั้งวันทั้งคืน อยู่ไหนอยู่คนเดียวๆ อยู่กับใครไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ
การอยู่กับใครก็เหมือนกับเราเขียนหนังสือ มีคนมาหาติดต่อเรื่องราวอะไรอย่างน้อยก็ได้จับปากกาไว้เสียก่อนยังไม่เขียน นั่นก็หยุด ขาดงานแล้ว พอเขาไปก็เขียนปุ๊บๆๆ เลย นี่งานภายในเหมือนกัน งานฆ่ากิเลสทีแรกมันล้มลุกคลุกคลานไม่อยากภาวนา แต่เวลาภาวนาไปถึงพริกถึงขิงแล้วนิพพานอยู่แค่เอื้อม สาธุไม่ได้ประมาทนะ มันเป็นอยู่ในหัวใจนี้เอง มันไม่ยอมความเพียรกับกิเลส ฉันจังหันอยู่นี้มันไม่ได้อยู่นะกับอาหารการกิน มันจะหมุนของมันอยู่ลึกๆ นั่นละ นั่นละเรียกว่าธรรมะเป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นความเพียรทั้งหมด อยู่คนเดียวนั้นละเป็นตัวของตัวเต็มที่เลย อยู่กับหนึ่งเป็นสองเป็นสามเขามาแบ่งเอา มาติดต่อให้เสียเวลา ถ้าอยู่คนเดียวแล้วมันหมุนติ้วๆๆ
นั่นละความเพียรของผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์มันเป็นได้จริงๆ ถอดออกจากหัวใจมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเป็นการโกหกแล้วเหรอ เวลาขึ้นเวทีแล้วใครไปเห็น ตายอยู่บนเวทีกับกิเลสใครเห็น ไม่เห็นละ บทเวลากิเลสพังลงไปแล้วเอามาพูดซิ พังกิเลส พูดง่ายๆ ว่าพังได้หมดได้ ไม่มีเหลือ นั้นละเป็นคนว่างงาน ถ้าว่างงานแล้วว่างหมด ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากงานของกิเลสนี้ว่างไปหมดเลย นั่นละท่านว่าจิตว่าง จิตหมดงาน
กิเลสละพาให้คนหมุน พาให้สัตว์ทั้งหลายหมุนตลอด จิตไม่หมุนเลย แต่เวลากิเลสมีอยู่นั้นกิเลสเป็นผู้บังคับให้ดีดให้ดิ้นนั้นนี้ไม่หยุดไม่ถอย พอกิเลสพังไปหมดเท่านั้นแล้วว่างไปหมดเลย โห มีกิเลสเท่านั้นที่ทำสัตว์โลกให้ป่วนปั่นวุ่นวายกันอยู่นี้เพราะกิเลสตัวเดียวนี้เท่านั้น แต่ก็เพราะกิเลสตัวเดียวนี้เท่านั้นละที่ไปไหนไม่ได้ ที่ว่าสร้างความดีงาม มันลากเอาไว้ๆ บทเวลากิเลสตัวนี้ตายแล้วดึงเลยดึงดูด ไม่ว่าวันว่าคืน สติกับจิตเป็นอันเดียวกันเลย เรียกว่าสติอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ เป็นอย่างนั้น
ให้มันเห็นด้วยตัวเองมันถึงชัดเจน ยอมพระพุทธเจ้านี้กราบราบๆ เลย เรียกว่า สฺวากฺขาโต ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่ผิด มันผิดแต่ผู้ดำเนินตามแฉลบออกนู้นแฉลบออกนี้เรื่อย มันไม่ไปตามทางสวากขาตธรรม มันไปแต่ทางผิดๆ จึงไม่ถึงไหน ถ้าว่าเดินจงกรมก็สักแต่ว่าเท้าก้าวไปๆ จิตอยู่ห้าทวีปนู่น มันไปเที่ยวห้าทวีป ถ้าจิตกับธรรมมันเอากันจริงๆ แล้วมันไม่ไปไหนนะ ไม่ไป โลกเหมือนไม่มี มีตั้งแต่ตัวข้าศึกคือกิเลสที่มันซัดกับเรา เหมือนกับนักมวยขึ้นไปสองต่อสองฟาดกันอยู่บนเวที..คนดูเต็มโลกเต็มสงสาร นักมวยจะตายแล้วไม่สนใจ มีแต่ฮ่าๆ กันเข้าใจไหมล่ะ
อันนี้ก็เหมือนกันเวลากิเลสมันหนักหนักจริงๆ นะ เวลามันเบาขึ้นๆ นี้ถึงขั้นที่ว่านอนไม่หลับ กลางคืนก็นอนไม่หลับ บางวันมันจะตายจริงๆ เอ๊ มันอย่างไรกัน นี่จึงได้อุบายวิธีการระงับธรรมกับกิเลสฟาดกันถึงขั้นเลยเถิด เลยเถิดอย่างไร เดินจงกรมมันจะก้าวขาไม่ออกทางนี้มันยังหมุนของมันตลอด ฝ่าเท้านี้ออกร้อนเหมือนไฟลน เราไม่เคยฝ่าเท้าแตกละแต่มันจับเงื่อนได้ เพราะความเพียรหมุน ไม่ให้หยุดมันก็ไม่หยุดซิ อยู่ที่ไหนก็ตามความเพียรระหว่างธรรมกับกิเลสฆ่ากันนี้มันจะหมุนของมันอยู่ภายใน
จำเอาใครยังไม่จำ นี่จวนจะตายแล้วเปิดให้ฟังเสีย เหล่านี้เราผ่านมาหมดแล้ว เอาจนเจ้าของ..โห มึงจะเอาให้กูตายจริงๆ เหรอก็มีบางที มันคิดในใจ มันไม่ถอย ทางนี้มันยังหมุน สุดท้ายเลยนักมวยจะไม่ให้น้ำ ให้ตีกันจนตายนักมวย เรื่องฆ่ากิเลสก็เหมือนกันสุดท้ายไม่มีกรรมการห้าม มันบืนของมัน แล้วก็มาม้วนพักกันได้ ไม่มีอะไรเลยจิตมันหมุนมันเป็นธรรมจักร จะให้มันพักมันพักไม่ได้มันหมุนของมันอยู่ตลอด ระหว่างกิเลสกับธรรมไม่ยอมกันนะ กิเลสมีเท่าไรสู้ตลอด ธรรมมีเท่าไรก็พุ่งใส่กันตลอดๆ
นี่ละไม่รู้เรื่องนอน มันไม่นอน ไปนอนภาวนานอนแต่คนใจมันฟัดกันอยู่ ภาวนาไม่ถอย จะยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับเท่านั้นละจิตอันนี้มันจะหมุนของมันตลอด หมุนเพื่อออก ถึงขั้นแล้วเป็นอย่างนั้น มีแต่หมุนเพื่อออก ท่านว่าพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตกแต่ก่อนเราก็ฟังธรรมดา บทเวลามาเจอเราเอาเข้ามันก็ประกอบกับคนนิสัยผาดโผนเอาจริงๆ อย่างที่ว่าละ เอากิเลสขาดสะบั้นลงไปเลย อันนี้ก็เหมือนกันไม่มีอะไรมายุ่ง เรียกว่าว่างงานละ จิตว่างงานว่างหมด ความทุกข์กิ่งก้านสาขาดอกใบรากแก้วรากฝอยถอนออกมาหมดเลย นั่นละความเพียรเวลามันได้ถอนถอนหมดเลย ทีนี้ก็ว่างตลอดเวลา หมดงาน
ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ การประพฤติพรหมจรรย์คือการฆ่ากิเลสนี้เราจบเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าอุทานนะ สิ่งที่ควรทำก็คืองานเพื่อฆ่ากิเลสเราก็ได้ทำมาเรียบร้อยแล้ว บัดนี้จิตของเราพ้นแล้วจากทุกข์ไม่มีอะไรเหลือเลย นี่ละพระพุทธเจ้าออกอุทานกับพวกพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็มีพระอัญญาโกณฑัญญะขึ้นอุทานรับกันเลย ผลของการเทศน์มาออกที่พระอัญญาโกณฑัญญะองค์แรกว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ธรรมดาเขาแปลตามโลกตามศัพท์ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา นี่พูดกลางๆ นะ แต่พูดในวงของนักมวยฟัดกับกิเลสจนกิเลสขาดสะบั้นนี้ไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น เท่านั้นละ เด็ดใส่กันเลย ไม่มีอะไรจะมาตกค้างในหัวใจถึงจะอยู่ได้ ถ้ายังมีอะไรตกค้างในหัวใจแล้วมันอยู่ไม่ได้ มันจะหมุนกันจนเสร็จ นี่ละความเพียรเวลากล้ากล้าจนขนาดนอนไม่ได้
ทีนี้เราก็ลืมเสีย มันเอาเสียจนเจ้าของเองก็งงเหมือนกัน มันหมุนของมันหมุนเพื่อแก้กิเลส หมุนจนเลยเถิด นอนไม่หลับ กลางคืนนอนไม่หลับเลย กลางวันจะมานอนจะไม่หลับอีกจะทำอย่างไร คือจิตมันหมุนถึงขั้นมันหมุน แล้วมาระลึกได้ก็มายุติที่พุทโธนะ พักจิตก็พักที่พุทโธ มันหมุนติ้วๆ อย่างนั้น ทำอย่างไรให้มันหยุดมันก็ไม่หยุด มันหากเป็นของมันเอง ฟังนะท่านทั้งหลายยังไม่เคยฟังมี จิตขั้นนี้มี ลงว่าถึงขั้นนั้นแล้วตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับไม่มีเวลาเผลอให้กัน ซัดกันอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ เป็นอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้คิดไปคิดมา ทุกสิ่งทุกอย่างยังมียับยั้งได้ นี้เราก็จะว่ายับยั้งด้วยธรรมแต่นี้มันธรรมประเภทนี้เรียกว่ารอไม่ได้ มีแต่ฟัดตลอด เอาอะไรมาระงับ คิดนะ ไม่ได้อะไรเอาพุทโธมา
เป็นแล้วนะนี่ ได้ทำแล้ว คือมันหมุนของมัน เอาพุทโธเข้าใส่กึ๊กเลย ห้าม ห้ามด้วยพุทโธ ไม่คิดไม่ปรุงเรื่องอะไรทั้งหมด จะเอาแต่พุทโธคำเดียว ให้มันระงับด้วยพุทโธ สุดท้ายพอพุทโธๆ ไม่ให้มันออก มีแต่พุทโธคำเดียวจิตสงบอ่อนลงๆๆ ลงเงียบเลย หยุด อ๋อ นี่หยุด เวลาจะหยุดหยุดได้ด้วยพุทโธ พักจิตก็พักด้วยพุทโธ เวลาจนตรอกจนมุมจริงๆ มันไปไหนไม่ได้แล้วมันวิ่งขึ้นมาหาพุทโธ ได้พุทโธเป็นหลักใจเป็นสักขีพยาน เอาฟาดกันไปจนจะตายแล้วย้อนขึ้นมาหาพุทโธ ให้อยู่กับพุทโธคำเดียวมันสงบได้นะ ถ้าไม่มีพุทโธให้มีแต่จิตตภาวนาที่มันหมุนตัวมันจะหมุนตลอดเลย นอนก็ไม่หลับ แต่เวลาเอาพุทโธจับเข้าไป มัดไม่ให้ออก ให้อยู่กับพุทโธคำเดียว มันจะออกไปไหนไม่ยอมให้ออก ไม่ยอมรับรู้รับเห็นกับอะไร จะรับรู้รับเห็นกับพุทโธคำเดียว เอาแต่พุทโธๆ
ทีนี้พุทโธนี้กลายเป็นแม่กล่อมลูกให้หลับ ลูกมันร้องไห้แงๆ แม่กล่อมลูก หมด เอาเพลงที่ไหนมากล่อมลูกก็หมดเพลง สุดท้ายเอาพุทโธมากล่อม ทีนี้เอาพุทโธ จะไม่ยอมคิดไปไหนอีก เอาพุทโธๆ ไม่ให้คิดจริงๆ นะ ให้อยู่กับพุทโธๆ แล้วสงบแน่วได้ พักได้ เวลาจะหลับจะนอนเวลานั้นก็นอนได้ พอจิตนั้นถอยออกมาแล้วมันจะเริ่มทำงานก็เอาพุทโธติดกับจิตไว้จนกระทั่งหลับไปด้วยกัน ฟังเสีย นี้เป็นแล้วนะถึงเอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ธรรมที่มันเฉียบขาดมันผาดโผนนะ ความเฉียบขาดธรรมที่จะไปนิพพานให้หลุดพ้นมันผาดโผน มันเลยเถิด ทีนี้หักเข้ามาอยู่กับพุทโธ ให้อยู่กับพุทโธๆ คำเดียวๆ แล้วสงบแน่ว จิตหยุดไม่คิดอะไรเลย
จับได้ อ๋อ พักด้วยวิธีนี้ เราจึงทำด้วยวิธีนั้นเรื่อยมา ไม่อย่างนั้นมันจะนอนไม่ได้ คือมันหมุนขนาดนั้นละจิต จะเป็นจิตของใครก็ตามเวลาผาดโผนมี มีน้อยที่สุดคือไปอย่างเรียบๆ แล้วหมดไปเลย ไม่ได้งงในตัวเองแหละ อันนี้งงแล้วนะนี่ งงในตัวเองงงแล้ว ความเพียรจิตไม่หยุด จิตก้าวถึงขั้นปัญญามันจะหมุนของมันตลอดไม่มีหยุด แล้วเอาอะไรไปหักห้าม เอาพุทโธเข้าไปห้ามกึ๊ก ให้อยู่กับพุทโธคำเดียว ไม่ให้ไปอยู่กับใครหรืออะไรเลย อยู่กับพุทโธคำเดียว พุทโธๆ แต่พุทโธให้พุทโธจริงๆ นะ เหมือนกับเราออกทำงาน เอา ทำจริงๆ ออกพิจารณาก็พิจารณาสุดเหวี่ยง
ทีนี้พอเข้ามาพุทโธรั้งเข้ามา บังคับให้เข้ามามาอยู่กับพุทโธ พุทโธคำเดียวแน่วจากนั้นสงบ ความที่มันดิ้นดีดเป็นบ้าอยู่นั้นหยุดหมด อ๋อ มาระงับด้วยพุทโธ พุทโธมีคำเดียว ไม่ให้คิดแตกแยกไปไหน กิ่งก้านสาขาไม่ให้มี ให้มีแต่คำว่าพุทโธๆ คำเดียวสงบลง กิ่งก้านสาขาของสติปัญญามันเลยเถิด ธรรมะเลยเถิด คือสติปัญญาทำงานแล้วมันผาดโผนเกินไปจนต้องเอาพุทโธ เหมือนว่าก.ไก่ ก.กาอยู่กับตัว สักเดี๋ยวก็สงบมาหมด สงบแน่วเลย
จำเอานะ ท่านทั้งหลายให้จำเอา ที่สอนนี้ได้ทำมาหมดแล้ว จิตมันไม่หยุดมันพุ่งๆ ด้วยสติปัญญา มันเพลินกับการแก้กิเลส มันไม่ยอมหลับ นี่ได้เป็นแล้วมันนอนไม่หลับจริงๆ จิตมีแต่หมุนกับงานกิเลสกับจิตฟัดกัน แต่พอเอาพุทโธเข้ามาบังคับปั๊บให้ทำงานอันเดียว ให้อยู่กับพุทโธๆๆ จริงๆ มันอยู่กับอันนั้นแล้วสงบเลย จะหลับจะนอนก็ได้ ตื่นขึ้นมาก็อยู่กับความสงบ นี่ละจิตเวลาผาดโผนผาดโผนจริงๆ พักไม่ได้ หยุดไม่ได้ สติปัญญาทำงาน แต่เวลาให้พักก็พักด้วยพุทโธ นี้เราเอามายืนยันจากเราเองเราทำแล้ว มันไม่หยุด เวลาออกทางด้านปัญญามันเลยเป็นปัญญาผาดโผน ปัญญาเลยเถิด สติก็เลยเถิดไปตามๆกัน พอเอาพุทโธเข้าสกัดปุ๊บให้อยู่กับนี้คำเดียว ไม่ต้องไปยุ่งกับอะไร ให้อยู่กับพุทโธๆ เรื่อยๆ เดี๋ยวจิตมันก็ยุบยอบเข้ามา อ่อนเข้ามาๆ กึ๊ก อยู่ อ๋อระงับกันด้วยวิธีนี้ มันก็จับได้
พูดก็ไม่ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใด ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้ไปสอนทุกแง่ทุกมุมนะ แต่กิเลสเป็นกับเรามันเป็นได้ทุกแง่ทุกมุม เพราะฉะนั้นเราจึงฟิตสติปัญญาของเราให้ได้หลายแง่หลายมุมจึงทันกัน ทีนี้บทเวลาจะมาทันกันทันพุทโธนะ เอาไปพิจารณาซิพี่น้องทั้งหลาย เป็นมาแล้วนะจึงเอามาสอน ไม่สะทกสะท้าน ไม่ผิด เวลามันเป็นจริงๆ สติปัญญาอย่าว่าจะพอดีนะ ไม่พอดี ต้องมีสติอีกประเภทหนึ่งบังคับกัน จึงให้มาอยู่กับพุทโธๆ สงบ นี่ละจิตมันต้องมีสติปัญญาอีกขั้นหนึ่งมาคอยระงับดับกัน ไม่เช่นนั้นสติปัญญามันก็เลยเถิดได้ จำเอา
ที่พูดนี้ทำมาแล้วทั้งนั้น ฝึกหัดเจ้าของก็เอาวิชาอันนี้ละเรียนวิชาไปกับอันนี้ละ ฝึกหัดแก้ไขเจ้าของ แก้ไขอย่างไรมันก็ได้ เป็นอย่างนั้นละ โธ่ ของง่ายเหรอจิตนี่มันผาดโผน ไปทางโลกมันก็ผาดโผนอยู่ตามธรรมดา ไปมากกว่านั้นเป็นบ้าคนคิดมาก แต่ธรรมะนี้มันไปผาดโผนอย่างนั้น หักความผาดโผนเข้าสู่พุทโธๆ แล้วสงบแน่วเลย อยู่ได้ แล้วก้าวเดินไป เวลามันอ่อนเต็มที่แล้วให้มาอยู่กับพุทโธเสีย อยู่กับพุทโธๆ แล้วสงบในนั้นเสียก็ผ่านได้วันหนึ่งๆ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วสติปัญญาตัวดีดตัวดิ้นก็หายเงียบ ที่ว่ามาบังคับไว้กับพุทโธก็ไม่ทราบอะไรเป็นพุทโธ อะไรเป็นธัมโม สังโฆ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วจะไปหาพุทโธที่ไหน ธัมโม-สังโฆที่ไหน ธรรมอยู่โลกไหนทวีปไหนไม่ไปหา มายุติอยู่กับ เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คืออยู่กับคำบริกรรมจะเอาคำไหนก็ตาม จึงว่าคำใดอะไรมันถูกนิสัยเจ้าของเอาอันนั้นมาบริกรรม สงบนิ่ง นี่ก็ถูกได้ด้วยคำบริกรรมพุทโธ
เวลามันไปมันเลยเถิดจริงๆ มันจะไม่หลับไม่นอน คำว่าพุทโธไม่มีตอนนั้น มีแต่สติปัญญาหมุนติ้ว บทเวลามันจะตายจริงๆ เอาพุทโธเข้ามาหักปุ๊บเลยให้อยู่กับพุทโธ ไม่ยอมให้ไปไหนเลย อยู่กับพุทโธจริงๆ บังคับ สักเดี๋ยวก็สงบแน่ว ได้แล้ววิชา เรียนวิชาไปในตัวๆ ครูบาอาจารย์สอนให้นั้นเหมือนกับว่าไม้ทั้งท่อนให้มาเรื่อยเอา ได้ไม้แผ่นมาแล้วก็ให้ไปเจียระไนเอา ท่านสอนท่านสอนอย่างนั้นละ แต่ส่วนที่จะเอามาปฏิบัติกับตัวเองต้องใช้สติปัญญาของตัวเองมันก็ค่อยเป็นไปได้ นี่เป็นมาแล้วถึงพูดได้อย่างฉะฉานว่าอย่างนั้นเถอะ ถึงไม่เป็นพระธรรมกถึกก็ตามมันเป็นของมันอยู่ในนี้ จำได้ ให้จำเอานะเรื่องภาวนา บางรายมันจะมี เวลามันหนักมากๆ มันจะมีอย่างเดียวกันไม่ไปไหน คือจิตนี้เวลาเพลินในธรรมมากๆ นอนไม่หลับเหมือนกัน แต่เวลามันเพลินในกิเลสมากๆ จนกระทั่งเป็นบ้าไปเลย เอาละอย่าให้พูดมากเลย
ธรรมะเหล่านี้ท่านทั้งหลายได้ฟังแล้วเหรอ ไม่เคยได้ฟัง เราก็ไม่พูด พอถึงขั้นที่จะพูดไม่อยู่ ออกเลยเชียว ถ้าธรรมดาจะออกไม่ออก มันผิดธรรมดาไม่ออก ถ้ามันไปธรรมดามันเบิกกว้างขนาดไหนซัดเลย พุ่งเลย ถ้ามันเหมือนเต่านอนจะไปจับขามันดึงออก อย่างคนขี้เกียจเหมือนพวกเราเหมือนเต่านอน จะไปจับขาเต่าดึงออกให้มันตื่นมันไม่ตื่นละ มีแต่มันจะตายเต่า พวกขี้เกียจ กิเลสกับเต่าเป็นอันเดียวกันเข้าใจไหม ได้พูดให้ฟังหมด เรื่องเหล่านี้ผ่านมาหมดแล้ว ผ่านขึ้นมาขั้นนั้นๆ ผ่านได้ พออันนั้นผ่านแล้วผ่านจนกระทั่งถึงโลกว่าง เรียกว่าหมดแล้วงาน ดังที่ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ ดังที่ว่านี่ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว คือการฆ่ากิเลส กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีกิจใดที่จะยิ่งกว่านี้อีก ก็คือยิ่งกว่ากิเลส กิเลสเหนียวมากนะ ฆ่ากิเลสฆ่าด้วยวิธีนี้ จำเอา เอาละให้พร
ผู้ไม่เคยฟังก็ฟังเสียนะวันนี้ รู้สึกจะเปิดกว้างอยู่วันนี้ กว้างกว่านี้ยังมีอีก ละเอียดกว่านี้ยังมีอีก จนกระทั่งพูดไม่ได้มี อย่างนั้นก็มี มันหลายขั้น
เวลาอัศจรรย์ใจตัวเองมีนะ ถึงขั้นอัศจรรย์ใจตัวเอง อัศจรรย์ตัวเองมี แต่นั้นมันก็เป็นโมหะ ไม่รอบคอบ เป็นแต่เพียงยังไม่ว่าเราสำเร็จแล้วเท่านั้น ละเอียดถึงขั้นอัศจรรย์ เป็นแล้วนี่ จิตมันว่างหมดเลย แต่ลืมดูตัวของเรามันว่างหรือยังไม่ว่าง เหมือนเราเข้าไปอยู่ในห้อง ห้องนี่ว่าง เข้าไปยืนจังก้าอยู่กลางห้อง แล้วประกาศป้างๆ ว่าห้องนี้ว่างๆ มันว่างตายยังไงแกยืนขวางห้องอยู่นั้นน่ะ คนคนนั้นละมันขวางห้องมันจึงไม่ว่าง ออกมาซิ พอลากคนนั้นออกมาว่างหมดเลย
นี่เป็นตนเป็นตัวนี่ละเข้าใจไหม ที่ว่า อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ ท่านบอกไว้ ให้ถอดถอนกิเลสที่เป็นตนเป็นตัวสำคัญว่าเขาว่าเรานี้ออกเสีย อันนี้ก็พระโมฆราช ท่านมีคาถา
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ พิจารณาร่างกายที่ว่าเป็นเราเป็นของเราแตกกระจัดกระจายอยู่สามโลกธาตุนี้ออกให้หมด คืออันนี้ใครก็ว่าเราเป็นเราเขาเป็นเขา สามแดนโลกธาตุเป็นเหมือนกันหมด เอา ถอดออกให้หมด จะพึงหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ ถอนตัวเดียวนี้ออกตัดหมด อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ ให้ถอนอัตตาความสำคัญว่าเขาว่าเราเป็นต้นออก
เวลาไปแล้วลงจากเวทีมาแล้วยังตามไล่ต่อยกันอย่างไร วันนี้ไม่ใช่เป็นบ้าเหรอ ลงเวทีมาแล้วยังหาไล่ต่อยคู่ต่อสู้อยู่เหรอ วันนี้เอาขนาดที่ว่าลงเวทีแล้วยังไม่แล้วยังตามหาต่อยคู่ต่อสู้อีกอย่างไรกัน ธรรมะนี้มีหลายประเภทพูดจริงๆ นะ ประเภทไหนจะมามันจะสัมผัสปั๊บๆ สัมผัสน้อยมันออกน้อย สัมผัสมากเปิดโล่งพุ่งเลย มาจากไหนธรรมพิจารณาซิ ก็มาจากธรรมชาติ ธรรมเป็นหลักธรรมชาติ เข้าถึงหลักธรรมชาติออกหมดไส้หมดพุงเลยจะว่าไง
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|