(วันนี้มีผู้มาฟังธรรมประมาณ ๓๐๐ คน)
วันพรุ่งนี้ก็จะไปเทศน์ที่วัดใหม่ วัดใหม่นี่เรายังไม่ได้ตั้งชื่อนะ เรียกว่าวัดใหม่เฉย ๆ วัดกกสะทอน เราสร้างให้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ที่สร้างวัดก็ซื้อให้ กำแพงวัดก็ทำให้ ศาลาใหญ่ของวัดก็ทำให้ สามกษัตริย์นี้หนักมากไม่ใช่เล่น สระสำหรับนกเป็ดน้ำเราก็ให้สระหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมานะ มาชั่วระยะ คือตั้งใจทำสระไว้สำหรับนกเป็ดน้ำ มันชอบวัด ถ้ามีวัดอยู่ที่ไหนนกนี้จะไปเลยละ เขาเคยอาศัยอยู่กับวัด นี่ไม่ค่อยมี ถ้าหากมีนกเป็ดน้ำมากขึ้นเราอาจขยายสระนี้ออกไปอีกทางทิศเหนือ ดูเหมือน ๔ ไร่นะ สระนี้ ๔ ไร่ ขอบนอกเข้ามารวมแล้ว ๔ ไร่ เป็นตัวสระจริง ๆ ก็คงไม่ถึง ๔ ไร่ เพราะเป็นคูสระหมดรอบอยู่ในวง ๔ ไร่ หากว่ามีนกเป็ดน้ำมามาก เราจะให้เขาขุดเบิกออกไปอีกทางด้านทิศเหนือ แต่นี้ไม่ค่อยมีสังเกตดู คือนกเป็ดกับพระเขารู้ได้ดี อยู่ที่ไหนเห็นจีวรตากอยู่นี้เขาจะร่อนลงดูว่ามีน้ำท่าไหม เขาเคยอาศัยวัด
อย่างวัดนาคำน้อยก็เหมือนกัน เวลานี้มีอยู่ประมาณสักสี่ห้าร้อยตัว พวกนี้มันเป็นครอบครัวใหญ่แล้ว มีลูกมีเต้าอยู่นั้นเลยไม่ไปกับเขา พวกจรมานี้เขาว่ามาจากไซบีเรีย หน้าหนาวเขาหลบหนาวทางโน้นมาอยู่ทางนี้ พอสิ้นหน้าหนาวแล้วเขาก็กลับไป แต่พวกที่อยู่ดั้งเดิมนี้มีลูกมีเต้าอยู่นี้หมดเลย ไม่ไปพวกนี้ เวลานี้รวมแล้วประมาณสักสี่ห้าร้อย เป็นปกตินะ ถ้าหน้าหนาวมากขึ้นอีกเป็นพัน เราก็ทำสระใหญ่ให้เขา ในนั้นมีอยู่ ๓ สระ ใหญ่ทั้งนั้น ขุดลอกหมดไปล้านกว่าเฉพาะสระ ก็ทำให้พวกนกเป็ด พวกปลา วัดนี้จึงเพาะสัตว์ได้เยอะนะ พวกปลาก็เยอะ ผ่านไปมาได้ในสระ แต่สระใหญ่นั้นไม่มีน้ำผ่านเข้า มีแต่ปลาอยู่ดั้งเดิม อีกสองสระดูว่ามีน้ำผ่าน ทั้งแล้งทั้งฝนมีน้ำไหลอยู่ตลอด ปลาอยู่ข้างในก็ออกไปข้างนอก
นี้เป็นแหล่งเพาะปลาได้ดีสระวัดนาคำน้อยน่ะ ปลามีมาก นกเป็ดน้ำมีมาก ลิงมีมาก หมูมาก พวกเก้งมีประมาณหกเจ็ดตัวเอาจากที่อื่นมาปล่อย เพราะนั้นเป็นทำเลที่เหมาะกับสัตว์ป่า เนื้อที่ตั้งพันกว่าไรมั้ง เราก็ทำกำแพงรอบหมดเลย จึงปลอดภัยสำหรับสัตว์และสมบัติภายในวัด ถามว่าเคยมีคนมารุกล้ำไหม ว่าไม่เคย นั่นละเราทำไว้ อย่างนั้นละเหตุผลฟังเอาซิ คือกำแพงนั้นสำหรับรักษาสมบัติของวัด ความมั่นคงของวัด และสัตว์อยู่ในวัดได้รับความร่มเย็นทั่วถึงกัน จึงต้องทำกำแพงให้ เราละทำให้เอง เวลานี้ก็ชุ่มเย็นมากนะ บริเวณนั้นดูเหมือนพันกว่าไร่ละมัง สระนั้น โถ สระใหญ่ นกเป็ดเต็ม เวลานี้เขากำลังขยายออกไปจากสระเดิม สระใหญ่เวลานี้ต้นไม้กำลังปกคลุมเข้ามาตาม เขาชอบที่รก ๆ นะ ที่เตียนโล่งจริง ๆ เขาไม่ชอบ มันมีเหยี่ยว ได้ระวังเหยี่ยว
เราไปเมื่อสองสามวันนี้ถามดูทุกแง่ทุกมุม สัตว์ได้รับความสะดวกมาก ไม่มีใครไปยุ่ง แต่งูนั้นหมดไปไม่ค่อยมี แสดงว่าหมูกิน กินไม่เลือกนะหมู มันเอาขาดสะบั้นไปเลย แต่ก่อนมีงูเยอะ พวกงูเหลือม งูจงอาง อะไรต่ออะไร เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีว่างั้น แสดงว่าหมูกินหมด
วัดท่านแบนดูเหมือนไม่ค่อยมีสัตว์นะ วัดท่านแบนนี้ไม่ค่อยมี อันนั้นก็กว้าง วัดดอยธรรมเจดีย์ (จ.สกลนคร) กว้างเหมือนกัน ทำเลกว้าง พระก็มีมากเหมือนกัน ดูเหมือน ๖๐-๗๐ พระน่ะ พระกับสัตว์มันอยู่ด้วยกัน เป็นอะไรกันวะ ยั้วเยี้ยๆ อย่างอยู่ในวัดเรานี้ ไม่มีสัตว์อื่นก็ไก่เต็มวัดนี่ มีอยู่ทั่วไป พวกกระรอก ที่มากพวกนกชนิดเล็กๆ เต็มวัดนะ ไก่นี้มากมีอยู่ทั่วไปหมดเลย ไก่ เขาก็อยู่สบายกับพระ แล้วพระเลี้ยงดูด้วย พวกกระต่ายนี้มีอยู่ทั่วไป พระท่านเลี้ยงดูตามที่ต่างๆ ที่ท่านพักอยู่ ก็มีผักอะไรๆ เขาก็อยู่กับพระ เพราะฉะนั้นเราจึงห้ามหมาไม่ให้ไปเพ่นพ่านข้างใน หมาไม่ไปละ อยู่แถวนี้หมา เข้าไปข้างในพระขนาบเอาหลงทิศออกมาเลย (หัวเราะ) หมา มันไปทำลายสัตว์ท่านละซี จากนี้ก็ไปครัว จากครัวก็มานี้ ไม่ค่อยไปข้างใน เพราะพระไม่ให้เข้า พระไล่ทันทีเลย เพราะมันมีสัตว์เต็มอยู่ พวกกระต่าย กับหมานี่ไล่กัดเลยนะ
นั่นเห็นไหมล่ะ ศาสนาอยู่ที่ไหนเย็นที่นั่น กุฏิเรานั้นเป็นทำเลที่พักที่นอนของกระรอก กระรอกกระแตไปเต็มอยู่นั้น เดี๋ยวนี้เราขี้เกียจไล่มัน เฉยเลย แต่ก่อนก็ไม่ค่อยไล่ นอกจากมันกำลังขึ้นมาบันได เราลงไปทำท่าใส่คึกคัก กระโดด พอเราลงบันไดไปแล้วกลับมาอีก (หัวเราะ) ขึ้นอีก อยู่อย่างนั้น เดียวนี้ไม่สนใจละ เพ่นพ่านๆ ก็เฉยเลย อย่างนั้นแหละเห็นไหม ธรรมอยู่ที่ไหนเย็นไปหมดนะ ธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน การให้อภัยกัน ไม่ทำลายกัน ทำสัตว์ทั้งหลายให้ร่มเย็นไปตามๆ กันหมด ถ้ากิเลสไปไหนเป็นไฟไปเลยนะ
คราวนี้เราเบื่อจริงๆ นะ ถ้าพูดเป็นภาษาโลก แหมโลกมันสกปรก สกปรกมากทีเดียว เราอยู่ในเมืองไทยเราก็เห็นในเมืองไทยเราสกปรกมาก จากความประพฤติเลอะเทอะของกิเลสดันออกไปให้ทำ เลอะเทอะไปหมดเลยจนดูไม่ได้ แม้ที่สุดในวัด มันก็เลอะเทอะเข้าไปเหมือนกัน อย่างวัดนี้ก็เป็นวัดสำเพ็ง รู้แล้วยังว่าตั้งชื่อเป็นวัดสำเพ็ง ยกฐานะให้เป็นวัดสำเพ็ง ยั้วเยี้ยๆ ทั้งพระทั้งฆราวาส ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ หลั่งไหลเข้ามาอยู่อย่างนั้นยุ่งไปหมด ผู้แบกหามจะตาย
พระท่านรักษาความดีงามไว้ด้วยกฎระเบียบ กฎคือวินัย ระเบียบคือธรรม ท่านปกครองจนเป็นนิสัยของท่าน อันนี้สัตว์ก็มาอาศัยเย็นหมด ทีนี้เมื่อสำรวมระวังจนชินต่อนิสัยแล้ว ก็เหมือนไม่ระวังนะ มันรู้ของมันเอง จะผิดตรงไหนรู้ทันทีๆ ไม่ต้องตั้งท่าระวัง คือมันชินต่อการรักษาการระวัง นี่คือความเคยชิน คนเคยชินในทางดีก็อย่างที่ว่านี่
เคยชินทางชั่วไม่ได้ทำชั่วอยู่ไม่ได้นะ วันหนึ่งๆ อยู่ไม่ได้ มันดีดมันดิ้น คนเคยทำดีไปทำชั่วไม่ได้นะ มันขัดกันทันทีๆ เลย เราดูแต่จิตของเรา วันไหนมีลักษณะเพ่นพ่าน วันนั้นบังคับยาก บังคับเข้าสู่ความสงบร่มเย็น ความสงบร่มเย็นเป็นบ่อแห่งความสุขอยู่ตรงนั้น กระแสของจิตที่ส่งออกไปในที่ต่างๆ นั้นคือเชื้อฟืนเชื้อไฟ ส่งไปที่ไหนเป็นไฟมาเผาเจ้าของ (--ตัวเอง) ทีนี้เวลาระงับสิ่งเหล่านั้น สั่งสมความสงบ คือมีธรรมเป็นหลักยึดของใจ เช่น คำบริกรรม เป็นต้น ให้ยึดอยู่ในหลักนั้นแล้วจิตจะค่อยสงบเข้ามา กระแสความวุ่นวายของมันที่ส่งไปข้างนอกมันก็ไม่ไป มันอยู่นี้ จิตก็สงบเย็น นี่ละธรรม สมถธรรม ความสงบ สมาธิธรรม ปัญญาธรรม จากนั้นก็วิมุตติธรรม นี่เรียกว่าธรรม
เรื่องของกิเลสนั้นเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด อยู่ที่ไหนอยู่ไม่ได้ เจ้าของ (--ตัวเอง) อยู่คนเดียว เราอย่าเข้าใจว่าคนนั่งอยู่คนเดียวเขาเป็นความสุขนะ หัวใจมันเป็นไฟ คือโรงงานใหญ่อยู่ที่นั้น มันคิดมันปรุงเรื่องราวอะไรๆ แล้วก็กว้านความคิดทั้งหลายอันเป็นฟืนเป็นไฟเข้ามาเผาตัวเอง อยู่คนเดียวก็เป็นไฟเผาอยู่ในหัวอก ไม่ได้เผาที่อื่น ธรรมจับดูเห็นหมดจะว่ายังไง กิเลสมันก็เป็นไฟเผาหัวใจสัตวโลก ให้ดีดให้ดิ้นตลอดเวลา โลกไม่เห็นไม่สนใจดู แต่ธรรมเห็นหมด จ้าเลย นั่นละธรรมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงอย่าคิดนะว่า ใครเป็นคนมั่งมีศรีสุข ยศถาบรรดาศักดิ์สูงจะมีความสุข คิดผิดทั้งเพ เรียกว่าคิดผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
เรื่องของกิเลสพาคนให้มีความสุขที่ไหน ได้มาด้วยอำนาจกิเลส ยศถาบรรดาศักดิ์ตั้งขึ้นมา คือกิเลสมันพาให้หลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เป็นไร อย่างผู้ตั้งชื่อตั้งนามยศถาบรรดาศักดิ์ให้ ท่านตั้งเพื่อการส่งเสริมทำคุณงามความดีนะ ท่านไม่ได้ตั้งเพื่อแผ่อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ มาเป็นไฟเผาโลกนะ เดี๋ยวนี้กิเลสมันเอาเป็นเครื่องมือหมด สมบัติเงินทองข้าวของ กิเลสเอาเป็นเครื่องมือ กิเลสพาหามา หามาได้แล้วก็มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาเจ้าของ เจ้าของเองก็ตื่นลมๆ แล้งๆ ว่ามีอันนั้นมีอันนี้ เพียงประเดี๋ยวประด๋าวความคิดอารมณ์หลอกเจ้าของเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นเขามียังไงเขาก็มีอยู่อย่างนั้น ตายไปแล้วเขาก็มีอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ไปตกนรกขึ้นสวรรค์เหมือนหัวใจนะ หัวใจตัวคึกตัวคะนองนี่มันพาไปลงนรกได้
มันเผาอยู่ที่หัวใจนะ ไฟนี้เผาอยู่หัวใจของทุกดวง ถ้าไม่มีธรรมยิ่งเผาตลอดเวลา หาจุดที่หมายไม่ได้เลย ถ้ามีธรรมก็มีน้ำดับไฟระงับบ้าง เวลาจะตายจริงๆ ก็ระงับเข้ามาสู่ความสงบสุข เช่นภาวนา เข้าห้องพระ กราบพระชั่วขณะหนึ่ง จิตคิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะสงบ ถ้าคิดออกตามกิเลสจะเผาตลอดๆ เลย เข้าในห้องพระสงบอารมณ์ ไหว้พระเสร็จแล้วนั่งสงบอารมณ์ นี่เรียกว่าธรรม สงบใจ เป็นน้ำดับไฟ ความคิดทั้งหลายก็ค่อยสงบลงๆ เย็นสบาย นั่นละท่านเรียกว่าธรรม อยู่ที่ใจนะธรรม กิเลสก็อยู่ที่ใจ แผ่อำนาจออกไปภายนอกออกจากใจ ธรรมแผ่อำนาจออกไปภายนอกก็ออกไปจากใจเหมือนกัน ใจนี้เป็นภาชนะทั้งกิเลสทั้งธรรม คือทั้งดีทั้งชั่ว
ไม่มีอะไรมีความสุขนะในโลกนี้ เอาธรรมจับนี้เหมือนบ้านะพวกเรา ไม่ได้ผิดอะไรกับบ้า มันดีดมันดิ้นไม่รู้เนื้อรู้ตัว หาทางออกไม่ได้แล้วกว้านเข้ามาเผาเรื่อยๆ กิเลสหลอกเรื่อยให้ดิ้นเรื่อยๆ คำว่าพอไม่มีนะกิเลส เมืองพอของกิเลสไม่มี ถ้าธรรมแล้วพอ ไม่ว่าขั้นใดธรรมพอเป็นระยะๆ เช่น ความสงบ สมาธิธรรมนี่นะ พอเต็มภูมิสมาธิ จะทำให้ยิ่งกว่านั้นก็เหมือนน้ำเต็มแก้ว ล้นออกหมด อยู่ สมาธิเต็มภูมิ นี่เรียกว่า พอในขั้นสมาธิ ธรรมแล้วมีความพอ แต่กิเลสไม่มี พอถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิแล้ว จะทำให้มากเท่าไรก็เหมือนน้ำเต็มแก้ว ล้นออกหมดๆ กระทั่งปัญญาก็เอาทะลุ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปเมื่อไรแล้ว ปัญญาก็ยุติลง เรียกว่า พอ
ปัญญาก็พอในการแก้กิเลส จะแก้อะไรมันสิ้นไปหมดแล้ว ปัญญาเหล่านี้เป็นเครื่องแก้กิเลส กิเลสหมดสิ้นไปแล้วก็ระงับไปเองในหัวใจ จิตที่เข้าถึงขั้นพอแล้วก็อย่างนั้น พอหมดเลยที่นี่ นั่นละธรรมะมีพอเป็นขั้นๆ กิเลสไม่พอ มีเท่าไรไม่พอ สัตวโลกจึงไม่มีที่ยุติในเรื่องความทุกข์ความทรมาน ไม่ว่าภพใดชาติใด สถานที่ใด กิเลสอยู่ในหัวใจๆ สร้างแต่กองทุกข์ให้สัตว์ทั้งนั้นเต็มไปหมดทั่วบ้านทั่วเมือง มันหลอกตลอดเวลานะกิเลส แหม แหลมคมมาก ไม่มีอะไรแหลมคมเกินกิเลส มันถึงได้ครอบโลกธาตุ อยู่ในอำนาจของมันทั้งนั้นนะ
เวลาธรรมมีอำนาจปราบมันเรียบวุธลงไปเลย หมดแล้วไม่มีอะไรเข้ามาผ่านเลย ใจของพระอรหันต์ท่านไม่มีเชื้อของไฟคือกิเลส เชื้อของกองทุกข์คือกิเลสไม่มีผ่าน ท่านจึงไม่มีทุกข์ทางใจตั้งแต่วันกิเลสบรรลัยลงไปแล้ว ตัวเหตุสร้างทุกข์บรรลัยลงไปแล้วทุกข์จะเกิดมาจากไหน เพราะทุกข์คือผลของกิเลสสร้างขึ้นมา เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทุกข์ซึ่งเป็นผลจะมาจากไหนไม่มี จิตของพระอรหันต์ท่าน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่มีทุกข์ตั้งแต่วันขณะกิเลสขาดสะบั้นลงไป บรมสุขนั้นเป็นธรรมชาติเองนะ ไม่ใช่เป็นสุขเวทนาอย่างนี้ เกิดขึ้นแล้วดับไป หรือมีความยิ่งหย่อนสุขมากสุขน้อย ลดลงเพิ่มขึ้น อันนี้ไม่มี ท่านพอ นั่น
แล้วทุกข์ก็ไม่มี มีก็มีแต่เพียงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์อันเป็นเรื่องของสมมุติ ธาตุขันธ์นี้เป็นสมมุติ ธาตุขันธ์ของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ แข้งขาตีนมือเราก็เป็นสมมุติ มันก็มีความเจ็บปวดแสบร้อน แต่ยังไงมันก็เป็นอยู่ตามสภาพของสมมุตินี้เท่านั้น ไม่เลยนี้ออกไปหาวิมุตติได้ จิตที่บริสุทธิ์แล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งกันเลย เป็นหลักธรรมชาติไม่ต้องบังคับ จะทุกข์มากทุกข์น้อยถึงขั้นตายก็ตาม ทุกขเวทนาจะดิ้นอยู่ในวงวัฏฏะของมัน จะไม่เข้าไปถึงวิมุตติจิตได้เลย นี่เป็นหลักธรรมชาติ ท่านเรียกว่า เป็นอฐานะ ให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้แล้ว เรียกว่าจิตหลุดพ้นแล้ว เป็นอย่างนั้น
ทีนี้จิตหลุดพ้นแล้ว อำนาจแห่งความสว่างไสวที่ออกจากความหลุดพ้นนี้จึงหาประมาณไม่ได้ ใครอย่ามาคาด รู้ได้เฉพาะผู้เป็นๆ คนอื่นจะมาคาดผิดทั้งเพๆ นั่นละที่ว่า จิตของท่านสว่างจ้า รู้ได้เฉพาะท่าน คนอื่นไปรู้แทนไม่ได้ นั่นละอำนาจของธรรม อำนาจของจิตที่สิ้นเชื้อแห่งความกดขี่ปิดบังทั้งหลายแล้ว สว่างจ้าขึ้นมา อันนั้นท่านก็ให้ชื่อว่า นิพพาน หรือธรรมธาตุ ธรรมธาตุรู้สึกว่าสนิทมาก ก็เป็นไวพจน์ของกันนั่นละ นิพพานก็ดี วิมุตติก็ดี ธรรมธาตุก็ดี แต่รู้สึกว่าธรรมธาตุจะนิ่มกว่าทุกอย่าง ว่าธรรมธาตุครอบหมดเลย นั่นจิตของท่านเป็นธรรมธาตุ
จิตดวงนี้แหละ ตั้งแต่เริ่มแรกมันเกิดมาแต่เมื่อไรๆ ไม่มีใครนับได้ว่าเกิดมาแต่เมื่อไรๆ แล้วมันก็เป็นของมันไปอย่างนี้เรื่อย เมื่อมีเชื้อให้พาหมุนมันก็หมุน จึงเรียกว่า จิตคือนักท่องเที่ยว มันเที่ยวของมันไปด้วยอำนาจแห่งกรรมหมุนให้ไป หมุนไปทางดีทางชั่วตามอำนาจแห่งกรรม ทีนี้พอหมดเชื้อนี้แล้ว ธรรมชาติที่ว่า จิตไม่เคยตาย นี่ละที่ว่า เป็นธรรมธาตุ ไม่สูญไปไหน เป็นธรรมธาตุ เรียกว่า อยู่ตัวแล้ว ถ้าภาษาสมมุติเรา ไม่มีความเคลื่อนไหว กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปเกี่ยวไม่ได้เลย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ออกมาจากเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยเชื้อของกิเลสพาให้เป็นไป มาเรื่อยๆ อย่างนี้ พอชำระบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็หลุดจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ถึงแดนวิมุตติหรือธรรมธาตุ กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเข้ายุ่งไม่ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติเหมือนกัน
นี่ท่านเรียกว่า ธรรม มีอยู่ครอบโลกธาตุ กิเลสมันก็ครอบโลกธาตุเหมือนกัน เป็นข้าศึกกัน ถ้าไม่มีธรรม มีแต่กิเลสก็เหมือนกับว่า มีแต่ไฟ ไม่มีน้ำดับไฟ ทุกข์หาประมาณไม่ได้เลย ถ้ามีน้ำดับไฟก็พอมีประมาณ พอมีที่หลบที่ซ่อน เช่นอย่างเราวิ่งออกมาจากแดด เข้าสู่ร่มไม้เราก็เย็น มีอรรถมีธรรมพอเป็นที่เกาะที่อาศัยบ้าง ก็เย็นคนเรา ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมเลย โอ๊ยเท่าไรเท่านั้นนะ ตายเกลื่อนอยู่งี้ ตายทับกัน ตายทับตายถมกัน คนหนึ่งๆ นี้ ถ้าหากว่าเราจะเอาร่างกายของแต่ละภพละชาติของเรา ซึ่งไม่สลายแหละ ตายเมื่อไรก็เอามาวางกองกันไว้ๆ เมืองไทยทั้งประเทศนี้ไม่มีที่วางศพของคนคนเดียวนะ นั่นละเกิดมานานขนาดไหน ฟังซี มันตายมานานขนาดไหน ตายทับตายถมกัน ตายทับตายถมภพชาติเจ้าของ ทั้งภพชาติผู้อื่นสัตว์อื่น เต็มทั่วแดนโลกธาตุ มีแต่ป่าช้าของกิเลสเผาสัตว์
นี่แหละถ้ามีแต่เรื่องของกิเลสจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ธรรมจึงต้องมาชะมาล้างๆ ผู้ที่ชะล้างได้มากน้อยมีอำนาจวาสนากว้างออกไป ภพชาติทั้งหลายนี้ก็หดตัวลง ย่นเข้ามาๆ ความทุกข์ก็ย่นเข้ามาพร้อมกัน จนกระทั่งเชื้อแห่งภพชาติอยู่ภายในจิต ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว หมดภพชาติไม่มี ความเกิดตายต่อไปอีก ซึ่งเป็นการแบกหามกองทุกข์ไปด้วยกันนั้นหมดไปด้วยกันไม่มีอะไรเหลือ นั่นละที่นี่ ท่านว่า นิพพานเที่ยง หรือธรรมธาตุเที่ยงคืออันนั้นเอง ไม่เกิดไม่ตาย ธรรมธาตุนั้นไม่มีคำว่า ไปเกิดไปตาย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ เรียกว่า นิพพานเที่ยง
เราดูโลกนี้มันเหมือนว่า แหม ถ้าจะดูแบบโลกแล้วจะดูไม่ได้นะ ถ้าดูก็ดูแบบธรรมซึ่งเป็นหลักธรรมชาติ ไม่หนักใจกับสิ่งชั่วสิ่งดีอะไร อะไรมีอยู่ยังไงก็รู้เห็นตามเป็นจริง มันหากเป็นเอง ไม่แตะไม่ต้อง ไม่แบกไม่หามทั้งดีทั้งชั่ว ไม่เป็นอารมณ์ เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ ไม่มีคำว่ารับ ว่าได้ว่าเสียกับสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้น นั่นละจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น
พวกเรานี่เจออะไรไป แบกเลย เจอขี้ก็แบกขี้ ถ้าหากว่าแบกตดได้ ก็จะแบกตดนะ แต่นี้มันแบกตดไม่ได้ แบกได้แต่ขี้ พวกนี้พวกแบกขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงเต็มหัวใจ ไม่แบกได้ยังไง นั่น พวกแบกกองขี้ พวกส้วมพวกถาน นั่น กรมแรงงานใหญ่อยู่ที่ครัว กรมแรงงานใหญ่อันดับหนึ่งอยู่ที่ภายในวัด อยู่ที่พระ นี่กรมแรงงานใหญ่ที่กิเลสมันผลิตไฟเผาหัวใจพระ เผาหัวใจพวกอยู่ข้างใน นี่เข้าใจไหม ว่าแรงงานนั้น แรงงานนี้ กรมแรงงานนั้น กรมแรงงานนี้ กรมแรงงานกิเลสเผาหัวใจผู้ภาวนา ไม่เห็นพูดบ้างวะ นี่มันอดไม่ได้พูดเสียบ้างแหละ นี่เห็นไหมวัดป่าบ้านตาดนี้คือ กรมแรงงาน เข้าใจไหม (หัวเราะ) กรมแรงงานไฟเผาหัวใจพวกขี้เกียจ มาภาวนาเอาเสื่อเอาหมอนมัดติดหลังมัดติดคอ แรงงานใหญ่ก็อยู่นั่นละ เข้าใจ วันนี้เอาเท่านั้นแหละ เหนื่อย..เทศน์แรงงานใหญ่ เคยได้ยินไหม กรมแรงงานใหญ่
เมื่อวานนี้มา ๖ โรงนะโรงพยาบาล มาเอาของในโกดังเมื่อวานนี้ รวมทั้งหมด ๖ โรง วันละสี่ห้าโรงเป็นประจำ ๆ เขารู้ทั่วถึงกันหมดแล้ว ไม่ว่าใกล้ว่าไกลมาทั้งนั้น ของอยู่โกดัง สั่งซื้อมาแต่ละครั้ง ๆ นี้เป็นแสน ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะของหลายประเภท เอาแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น สั่งแต่ละครั้ง ๆ เป็นแสน ๆ ฟาดเข้ามาเต็มโกดัง ไม่นานหมด เพราะโรงพยาบาลต่าง ๆ มาทุกวัน เช่นอย่างเมื่อวานก็ ๖ โรง คือเราให้เต็มอัตราเสมอกันหมด จำนวนที่จะให้ให้เสมอกันหมดเลย ตบท้ายก็เติมน้ำมันรถให้ทุกคันรถไป เราก็บอกปั๊มน้ำมันของเราอยู่โน้น ปั๊มน้ำมันของเรามันเป็นถัง ๆ มีน้ำมันหลายประเภท เพราะรถมีหลายชนิดที่ใช้น้ำมันต่าง ๆ กัน อย่างนี้เป็นประจำนะ กว้างขวางมากนะโรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่เคยมา พึ่งได้ยินก็มีมานี่ โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้ยินไม่เคยมา ก็มาเรื่อย ๆ คงจะทราบข่าวจากเพื่อนกันนั่นแหละ โรงพยาบาลต่าง ๆ
วันพรุ่งนี้ตอนบ่าย ๒ โมง จะมีการทอดผ้าป่าที่วัดใหม่กกสะทอนนะ แล้วฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จะเสด็จวันพรุ่งนี้ ให้พี่น้องทั้งหลายมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน มาอนุโมทนาเข้าเฝ้าท่าน ชมบารมีท่าน การทอดผ้าป่าท่านถวายทองคำมาเยอะนะ ฟ้าหญิงท่านถวายทองคำ ในวงศ์กษัตริย์ถวายออกมาเยอะนะ มีฟ้าหญิงจุฬาภรณ์นี่เป็นหัวหน้า ถวายเข้ากองผ้าป่าเพื่อช่วยชาติของเรา ถวายทองคำนะ ทองคำมาเรื่อย ส่วนเงินสด ดอลล่าร์ก็ตามๆ กันมาจากวงศ์กษัตริย์นะ
..
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com