เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
ความอ่อนแอ ความเข้มแข็ง
เรื่องโรคเรื่องไข้กับยานี่แล้วมากับเรานี้เข้าท่าดีนะละ อยู่หนองผือละไข้อะไรก็ไม่รู้นั่นก็ดี เราก็เอาเสียจมทั้งวันทั้งคืนเลย ลุกไม่ขึ้นจริงๆ ตอนเช้าพอดีวันนั้นฝนตกกลางคืน พวกลมอะไรๆ กิ่งไม้หล่นลงมาทับ ในวัดนั่นขอนไม้มันมากต่อมาก พอสว่างบ้างเรานอนอยู่ในแคร่กำลังเป็นไข้ ลุกไม่ขึ้นเลยละ คือตามธรรมดาเรานี้จะเป็นบ๋อย ของวัดนั้นๆละ ถ้าพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่ที่ไหนเหมือนว่าเป็นบ๋อยของวัดนั้น แต่พระเณรกลัวมากกลัวเรา กลัวบ๋อย บ๋อยคนนี้
คืนวันนั้นเราเป็นไข้ทั้งคืนด้วย เสียงแว็บๆ ได้ยินอยู่นี่อยู่แคร่เล็กๆ พระเณรไปไหนหมด พระเณรไปไหนหมด เสียงแว้วๆ อยู่กลางวัดนะ เรานอนฟังอยู่ คือธรรมดาอะไรๆ นี้มันจะขึ้นอยู่กับเราคนเดียว เพราะอย่างนั้นเราจะเรียกว่าพูดตามอย่างโลกเขาพูดกันก็ว่าเราเป็นบ๋อยกลางวัดนั้นๆ คืออะไรเราจะต้องออกหน้าๆๆ ทั้งนั้นละ นำทั้งหมด เราเป็นบ๋อยอยู่ในนั้นเสร็จ
อยู่หนองผือเหมือนกันนั่นเราก็ลุกไม่ขึ้น กลางคืนฝนตกลมพัด กิ่งไม้เกลื่อนกลาดเต็มวัด พอสว่างบ้างได้ยินเสียงแล้ว ท่านลงมาแล้วนะนั่น พระไปไหนหมด พระไปไหนหมด ว่าอย่างนั้นนะ เสียงลั่นฟังชัดเจน พระไปไหนหมด พระไปไหนหมด อยู่กลางวัด หลวงปู่มั่นลงมาแล้ว คือธรรมดาอะไรๆนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนี้ละ เป็นผู้นำตลอด ไม่ได้บอกว่านำก็เรานำตลอด พระไปไหนหมด พระไปไหนหมด สักเดี๋ยวว่าท่านมหาไปไหน ขึ้นแล้วนะ พระก็กราบเรียนท่านว่าท่านเป็นไข้ เหอ ขึ้นอีกแล้ว ท่านมหาป่วยคนเดียวจนวัดร้างไปหมดเหรอ ขึ้นใหญ่เลย คือไม่ได้ยินเสียงไม้กวาดตอนเช้า
หลังจากนั้นท่านก็เข้าหาเราเลยละ เข้าไปในร้านเลย เอายาไปให้ ยานั้นท่านเคยให้มาแล้ว ไปให้เรา เราไม่ฉัน หลังจากเรื่องราวอันนี้แล้วก็ไปหาเรา ไปบอกว่านี่ยา ท่านมหาเป็นอย่างไร เราอยู่ร้านเล็กๆนะ เอานี่ยา ยานี้ยาเทวดาสู้ไม่ได้ ท่านบอกอย่างนั้นนะ เอาฉันเสีย ท่านก็ยื่นเข้ามาเลยจะว่าอย่างไร อำนาจแห่งความเคารพ เราเอามาฉันให้ทันทีละ ฉันแล้วท่านก็ไป จนกระทั่งมันหายไข้ท่านไม่เคยถามเป็นอย่างไร ยาเป็นอย่างไร โรคเป็นอย่างไร ไม่เคยถามเลย ท่านทำเฉยๆ เราก็เหมือนกัน เราก็ไม่พูดถึงเลยยา
เวลาอะไรท่านคอยฟังผิดปรกติแสดงว่าเหมือนว่าเราไม่อยู่ เพราะอะไร รองหมดๆ น่ะซิ นี่ละพระเณรถึงได้กลัวเรา นี่ไม่ใช่คุยนะ พอตื่นขึ้นมานี้ปั๊บอะไรเข้าถึงหมดเลย ตอนเช้าเข้าถึงหมด พระเณรเลยกลัวเรามากยิ่งกว่ากลัวพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น หลักใหญ่กลัวท่านนั่นละ แต่ว่าปลีกย่อยรอบตัวกลัวเรา คือท่านไม่ได้ลงมาทุกวันทุกเวลา เราไปทุกเวลา ไปดูนั้นดูนี้ดูพระดูเณร
นี่ละที่ท่านว่าเอายามาให้ ท่านเอามาเองนะ ถ้าคนอื่นเอามา..ท่านให้พระเอามาหนหนึ่งแล้วเราก็ไม่ฉัน ท่านคงจะจับอันนั้นเอาไว้ เอายาเม็ดนั้นมาให้เราเลย เอายานี่มโหสถ เทวดาสู้ไม่ได้ยาขนานนี้ มาจากสวรรค์ชั้นไหนก็ตามเถอะสู้ยานี้ไม่ได้ เอาฉัน สู้ได้หรือไม่ได้ก็ตามเถอะท่านเอามาให้เราแล้วมันก็ต้องฉันใช่ไหมละ เราก็ฉัน ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่เคยถามเลยยาให้เราเป็นอย่างไร โรคของเราเป็นอย่างไรไม่เคยถาม เราก็ไม่เคยพูด เป็นอย่างนั้นละ
คือทุกอย่างอยู่ในวัดเราจะต้องออกหน้าๆๆ นี่ถึงว่าเหมือนเป็นบ๋อยกลางวัด เรามันเคยมาแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ทันกับเหตุการณ์ พระเณรเลยมากลัวเรามากยิ่งกว่ากลัวพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนะ เพราะท่านอยู่กุฏิท่านไม่ได้ลงมาเลย แต่เรานี้เข้าเรื่อยออกเรื่อยไปนั้นไปนี้เรื่อย พระเณรเห็นเราเหมือนเห็นเสือโคร่งใหญ่เลยละ กลัว เป็นมาอย่างนั้นตลอดนะ มันหากเป็นอยู่ในใจละ พระเณรองค์ไหนเห็นเหมือนกับนกเห็นเหยี่ยว เห็นเรานี้..แต่ว่าไม่ได้มีการยกโทษอย่างใด กลัวก็กลัวด้วยความเป็นธรรม พูดดุหรือพูดอะไรนี้ก็ด้วยความเป็นธรรมเหมือนกันซี จึงว่าพระทั้งหลายกลัวมากนะอยู่ที่หนองผือ เหมือนว่าเราดูแลตลอดเวลา
ท่านเอายาไปให้ฉันเรายังไม่ฉัน ท่านให้พระเอาไปให้ เราไม่ฉัน สุดท้ายท่านเอามาเองนะ เอายามาเอง เอายานี่ยาเทวดาสวรรค์ชั้นพรหมสู้ไม่ได้ ยานี้ฉันเดี๋ยวนี้หายเลยนะ ท่านว่าอย่างนั้น แล้วยื่นเข้ามาพร้อมตกเลยเราได้ฉัน พอฉันเสร็จแล้วจนป่านนี้ไม่ได้ถามถึงยาถึงโรค ทั้งท่านทั้งเราไม่ได้ถาม พูดถึงเรื่องความเด็ดเดี่ยวทุกอย่าง เฉียบขาด เฉลียวฉลาดแหลมคม นักปราชญ์สมัยปัจจุบันนี้คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เรียกว่านักปราชญ์ จอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบัน จอมปราชญ์กับจอมโง่เป็นอย่างไรทีนี้มันเข้ากันได้ไหมละ นั่นท่านจอมปราชญ์ เรานี้จอมโง่ จอมโง่วิ่งตามจอมปราชญ์
เอาจริงท่านน่ะ เราต้องได้ทำอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นไม่ทันการณ์นะ นี่สมัยปัจจุบันที่ว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือหลวงปู่มั่นเรา ให้เข้าถึงก่อนมันถึงรู้ อยู่นอกๆนี้ไม่รู้ เช่นว่าท่านดุไม่ทราบว่าดุเรื่องอะไร ให้ไปเห็นไปดูด้วยตาของเราเสียก่อนถึงจะชัดเจน ดุด้วยเหตุนั้น ด้วยเหตุนี้ มีเหตุมีผลทุกอย่างท่านทำอะไร อยู่กับท่านถ้าวันไหนไม่ถูกท่านดุวันนั้นรู้สึกเราก็ไม่ค่อยสบายเหมือนกัน ยาของท่านนั่นละยาเทวดาสู้ไม่ได้
ท่านจริงจัง ยานี้เรามาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่เล่นเลย ในย่ามนี้ยาเม็ดเดียวไม่เคยติดย่าม ไข้มาลาเรียเสียด้วย เขาเรียกไข้อะไรไข้จับสั่นจับเสิ่นอะไร มันเลยไข้ทั้งวัน เวลาหนาวก็หนาวสะบั้นจนจะไม่มีอะไรมาห่ม มันหนักเฉยๆ ไม่ได้อุ่นนะ มันเป็นอยู่ภายใน หนาว ถ้าเวลาร้อนร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปอีกแหละ นี่เราพูดเรื่องพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเลยดึงอะไรไปถึงยาสวรรค์ชั้นพรหมสู้ไม่ได้
พูดถึงเรื่องความเด็ดเดี่ยว ความเฉียบขาด ความอ่อนแอท้อแท้ ที่ท่านมาพูดอยู่เชียงใหม่เราเคยได้ออกหนังสือประวัติของท่าน ที่ว่าอาจารย์มหาทองสุกบวชเป็นไข้ อยู่กับท่านนะ พึ่งเป็นพึ่งตายกันจริงๆ คือท่านอาจารย์มหาทองสุกกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น นั่นท่านเป็นพระที่ว่าพึ่งเป็นพึ่งตายกันจริงๆเท่าที่ทราบ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนส่วนมากอยู่กับท่านอาจารย์มหาทองสุกนะ
เพราะอย่างนั้นท่านจึงได้ว่าเวลาอาจารย์มหาทองสุกป่วย ว่าท่านอ่อนแอหรืออะไร ท่านบอกว่ามันอ่อนแอเอาเครื่องนุ่งห่มเหล่านี้มอบให้ผู้หญิง เอาเครื่องแต่งตัวผู้หญิงมานุ่งห่ม มันจะเข้ากันได้ไหม มหาเอามันออกไปให้ผู้หญิงเสีย ท่านว่าอย่างนั้น นั่นละใครๆอาจสงสัยที่ท่านดุท่านอาจารย์มหาทองสุกนะ ว่ามหาๆนี้ให้เอาเครื่องของมหานี้ไปให้ผู้ยากผู้หญิงไปเสีย ความจริงคือท่านเป็นมหาแล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอ่อนแอ ท่านก็ไปดุเอาซิ ดุแล้วมีร้องไห้นะ
เหมือนเราได้เขียนลงหนังสือตามนั้นแล้ว ทำให้คนคิดว่าอาจารย์มหาคนอาจจะหมายความว่ามหาเรา..มหาเรา ยัง ตอนนั้นยังไม่ได้พบกัน ท่านอาจารย์มหาทองสุก เครื่องหมายของมหาให้ออกให้หมด หรือที่พูดนี้เราเสียดายเครื่องหมายมหาเราเหรอ พูดเรื่องความอ่อนแอ ความเข้มแข็งต่างหาก ให้เอามหาปลดออกเลยละ วันนี้ก็มีเท่านั้น
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|