(วันนี้มีผู้มาฟังธรรมประมาณ ๒๐๐ คน)
เวลาหิ้วหม้อแกง เรามองเห็นพระหิ้วหม้อแกง มันมีหูนะ ไปจับหูเดียวหิ้วเราดู เราไม่ได้ไปจับพระหูเดียวดึงลองดูจะเป็นยังไง ไม่ได้คิดได้อ่านอะไรเลย อย่างนี้ละผู้มาศึกษาไม่ได้ใช้สติปัญญาสักนิดหนึ่ง ๆ เลยนะ มันจับหม้อแกงไป หม้อแกงหนัก ๆ มันหิ้วหูเดียว ดูซิฟังซิ แต่เด็กเขาก็ไม่ทำ ทำไมพระวัดป่าบ้านตาดทำได้ถ้าไม่โง่เสียจนเกินประมาณ หม้อนั้นเขามีไว้สองหู เพื่อจับทั้งสองหูให้เสมอกันจะไม่หนักหน่วงเกินไป ไม่ทำให้หูหม้อเสีย แล้วพระทำได้สบายอย่างโง่ ๆ ไม่คิดไม่อ่านอะไรเลย มองไปที่ไหนมันขวาง นอกจากไม่มองเท่านั้น
แล้วเวลาตอนเช้านั้นนอนได้ไปปลุกมาฉันจังหันมากินข้าวก็มีเหรอ ถึงเวลาตอนเช้าที่พระทำข้อวัตรปฏิบัติเป็นความรวมกัน เรียกว่าความสามัคคีนั้น ผู้ที่นอนเหยียดคลุมโปงอยู่มีไหมในวัดนี้น่ะ โห มันขวางเอาจริง ๆ นะขวางศาสนา เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องธรรม ถ้าเรื่องธรรมแล้วต้องมีสติสตังตลอดเวลา นี่เรียกว่าธรรม ทำอะไรมีสติสัมปชัญญะและปัญญารอบ รอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าธรรม ความเคลื่อนไหวไปมาเฉพาะแก้กิเลสตัวเองก็เป็นแบบนั้น เวลาเอาไปใช้ภายนอกก็มีสติปัญญาสัมปชัญญะรอบตัว ๆ ไปตลอดเวลา นี้แลคืองานของพระโดยแท้ที่มีสติสตังรอบตัว อันนี้มันงานอะไรก็ไม่รู้ มองไปที่ไหนดูไม่ได้นะ เซ่อ ๆ ซ่า ๆ
แล้วหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ ผู้อยู่เก่าบางองค์จะตายนะ หนักข้อวัตรปฏิบัติทุกแง่ทุกมุม หมุนติ้ว ๆ แล้วพวกนั้นก็นอนเกลื่อนอยู่ตามส้วมตามถานนั่นแหละ นอนที่อื่นไม่เหมาะ พวกนี้ต้องไปนอนในส้วมในถาน โผล่หน้าออกมานี้หนอนเต็มหน้าเลยประเภทนี้น่ะ พวกนอนอยู่ในถาน โผล่หน้าออกมาหนอนเต็มตัว ดีไม่ดียังประกาศตัวว่าเก่งไม่มีใครเอาหนอนโปะหน้าได้เหมือนเรา เรานี้เก่งกว่าเขา ยังอวดไปอีกนะ กิเลสมันถอยเมื่อไรยังอวดอีก
ข้างในครัวก็ดูให้ทั่วถึงนะ การอยู่การกินอย่าเอากิเลสตัณหามาพาอยู่พากิน ให้เอาธรรมพาอยู่พากิน ธรรมพาอยู่พากินนี้สะดวกทุกอย่าง มีอะไร ๆ เป็นธรรมไปหมด กินมากกินน้อย อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง เป็นธรรมไปหมด ถ้าเรื่องธรรมแล้วไม่ขัดกัน ถ้าเป็นกิเลสแล้ว โถ จ้องมองกันเพ่งโทษกัน คนนั้นได้มากคนนี้ได้น้อย กิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมแล้ว ต่างคนต่างเป็นธรรมไม่มีอะไรกระเทือนกัน บิณฑบาตมาอย่างนี้ได้กล้วยลูกเดียวก็พอแล้ว โอ๊ย วันนี้ภูมิใจได้กล้วยลูกหนึ่ง นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น ได้ข้าวมาเปล่า ๆ ก็ฉัน วันนี้ดีภาวนาไม่ง่วง มีกับมาก ๆ ง่วง ถ้าธรรมแล้วตีเป็นธรรม เป็นแต่ธรรมล้วน ๆ ไม่ขัดข้องกับอะไรทั้งนั้น นี่เรียกว่าธรรมให้พากันจำเอาไว้
พระท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ท่านเป็นอย่างนั้น อะไร ๆ จะไม่ให้เข้ามากระเทือนธรรมเลย ธรรมต้องเทิดตลอดเวลา สติธรรมปัญญาธรรม วันนี้ฉันมากสติไม่ดี ปัญญาไม่ดี ความเพียรไม่ค่อยดี มีแต่เสื่อกับหมอนมัดติดคอติดหลัง นั่นท่านเทียบทันที ๆ เรื่องของธรรมเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงอยู่ง่ายกินง่ายไปง่ายมาง่ายนอนง่าย มีมากมีน้อยสะดวกทั้งนั้นขึ้นชื่อว่าธรรมแล้ว ถ้ากิเลสไม่พอ อะไร ๆ ก็ไม่พอ หามากองเท่าภูเขาก็ยังไม่พอ นั่นละเรียกว่ากิเลส ตัวนี้ละตัวมันทำลายโลกอยู่เวลานี้จะเป็นอะไรไป
ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ร่ำแก่รวย ไม่ทราบมันจะรวยไปหาพ่อหาแม่มันอะไร ธรรมะอยากถามว่าอย่างนั้น หรือถามไปแล้วเราก็ไม่รู้ มึงจะหาไปเผาพ่อเผาแม่มึงเหรอ ธรรมดาเขาเอาฟืนเผาเอาถ่านเผา มึงจะเอากองสมบัติที่ได้มาด้วยความทะเยอทะยานนี้เหรอไปเผาโคตรพ่อโคตรแม่มึงน่ะ นี่คือภาษาธรรม ตีกิเลสต้องเอาอย่างหนักอย่างนี้นะ ไม่ได้ถือเป็นความหยาบโลนอะไร ถือเอาน้ำหนักตีกันให้กิเลสรู้ตัวบ้าง มีแต่เจริญพร ทุกอย่างให้หวานไปหมดเรื่องของกิเลส มันกัดตับกัดปอดด้วยความหวานของมันรู้กันไหมล่ะ ธรรมะส่องเข้าไปเห็นหมด มันใช้เล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคมหลอกลวงเอาตับเอาปอดไปกิน ธรรมะเห็นหมด ฟาดเข้าไปทะลุเลย พากันจำเอานะที่เทศน์นี่ เราดูไม่ได้จริง ๆ นะมองดูที่ไหนมันขวางหูขวางตา คือขวางธรรมนั่นแหละ
แขนเราเป็นมาถึงสองครั้งแล้วนะ แขนข้างขวานี่เป็นมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกก็จนจะใช้ไม่ได้จะยกไม่ได้แล้ว ปวดก็ปวด ขัดปวด แล้วจะยกไม่ได้ ตึงหมด อาจารย์หมออวย-คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) นั่นแหละมานิมนต์ให้ไปรักษา ว่าหมอคนนี้เก่งมาก เราก็เลยไป นี่วาระแรกนะไปนวดเส้น
แกนวดเส้นเรา ไม่ได้รับเข้าในบัญชีร้องจ้ากๆ แจ้กๆ นี้นะ (ชี้ไปทางกลุ่มลูกศิษย์ที่มาฟังธรรมประจำ) อันนี้แตะไม่ได้ร้องจ้ากๆ เราไม่ได้อยู่ในบัญชีนี้ เป็นซุงทั้งท่อนเลย เอ้าว่างั้นเลย เชื่อหมอแล้วนะ คือเขามาจับดูๆ ทุกอย่าง เขาว่าเป็นเพราะเส้นล้วน ๆ ไม่มีโรคแทรก เอาถ้างั้นมอบให้เลย แขนจะขาดก็ให้ขาดไปเลย เราเชื่อหมอ เมื่อนวดเสร็จแล้วหมอจะเอาแขนเรามาต่อกันเอง เอาเลย ใส่เต็มเหนี่ยวเลย
นี่ละที่ว่าหมอ อาจารย์หมออวยนั่งดูอยู่นั้น ให้อาจารย์หมออวยได้ดูเสียบ้าง เรื่องโลกกับธรรมต่างกันอย่างไรบ้าง อาจารย์หมออวยก็เป็นหมอขนาดศาสตราจารย์ แล้วมาดูเรื่อง พุทธศาสน์ ต่างกันยังไง ซัดเลยเต็มเหนี่ยว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะเราบอก ปล่อยเลยเทียว ซัดเอาเสียเต็มเหนี่ยวเลย เราเป็นซุงทั้งท่อนเลย
นวดทีแรกสองชั่วโมงกว่าเล็กน้อย พอลงมาถึง ขอกราบท่านอาจารย์อีกทีนึง กราบเพราะอะไรว่าซิ ผมนวดเส้นมานี้เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน ผมไม่เคยเห็นรายใดเลย ที่จะเป็นอย่างท่านอาจารย์ เห็นแต่ร้องจ้ากๆ อันนี้เฉย ผมไม่เคยเห็นเลย เพราะผมนวดเต็มเหนี่ยวผม อู๊ย มือหมอเหมือนกับเหล็กนะ แข็งไหมเหล็ก มีท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านี้ ผมผ่านมานี้พึ่งเห็นองค์เดียวนี้ รายเดียวนี้เลย ที่เฉยเลยไม่มีอะไร ผมจึงขอกราบ ความหมายน่ะ คือขอกราบอีกครั้งว่างั้นนะ เขาไม่เคยเห็น
แล้วเว้นอีกสามวันมานวดอีก เว้นไปอีกสองวันนวดอีก นวดสามหนหายเลย วันแรกเป็นวันรุนแรงมาก..นวด ถ้าธรรมดามันอดมันทนไม่ได้แหละ แต่นี้ฟังซิ เหมือนขอนซุง เอ้าแขนจะขาดให้ขาดไปเราเชื่อหมอแล้ว แขนขาดไปเวลาหมอนวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาแขนมาต่อกันเอง นู่นเห็นไหม เรียกว่าปล่อยเต็มที่ ซัดเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นทั้งตัวเลยนะ แกขึ้นทั้งตัวเลย ซัดเต็มเหนี่ยว โห้ย นิ้วของหมอนวดนี่ไม่ใช่เล่น ไม่ได้เหมือนนิ้วมือใครนะ แข็งแกร่ง ฟาดลงไปนี้ โถ อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น หายเลยนะ
ทีนี้ก็มาพักที่สองอีก ที่ไปเกิดอุบัติเหตุนี้อีกละ อันนี้ไม่ค่อยรุนแรง ที่ท่านสมบูรณ์นวดนี่นะ ไม่รุนแรงเหมือนนู้น อันนู้นเอาจริง ๆ เพราะแขนจะยกไม่ขึ้น เขาบอกว่าเป็นเพราะเส้นล้วน ๆ เราก็ปล่อยให้เลยเทียว อันนี้มันไปเกิดอุบัติเหตุมา ให้หมอนวดก็ท่านสมบูรณ์นวดให้ ถ้าไม่ใช่ท่านสมบูรณ์แล้วเราจะเป็นอัมพาตเลยนะ เพราะมันรุนแรงมาก จะเป็นอัมพาตเลย แต่นี่ก็ปล่อยให้อย่างนั้น แต่เราไม่ได้บอกว่าปล่อยอย่างที่หมอณรงค์ศักดิ์ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นฝั่งธนฯ นะ นั้นเราปล่อยเลย อันนี้เราไม่ได้บอกว่าปล่อย ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยร้องอุ๊ ๆ อิ๊ ๆ เหมือนบ้าทั้งหลายว่างั้นเถอะ เราพูดจริง ๆ เราอยากเห็นบ้าก็ลองไปให้เขานวดเส้นให้ซิ ร้องจ้ากเลย นั่นบ้าขึ้นแล้ว อันนี้เฉยเลย เพราะฉะนั้นท่านสมบูรณ์จึงได้เอาไปสอนท่านเพ็งวัดถ้ำกลองเพลล่ะซิ ทางนั้นพอกดลงไปร้องจ้าก ๆ เลย นานเข้า ๆ ก็ โห้ย ทำอะไรก็ไว้ลายหลวงปู่บ้านตาดบ้างซิ เอะอะก็ร้องจ้าก ๆ ท่านไม่เห็นร้องอะไรท่านเฉยอยู่ตลอด เหอ (ลูกศิษย์พากันหัวเราะ) อาจารย์เพ็ง ท่านไม่ได้ร้องเหรอ โหย ท่านไม่ได้ร้อง ท่านเฉยเลย เหอ ท่านถอดวิญญาณไปไว้ที่ไหนนอ (องค์หลวงตาหัวเราะ) ท่านถอดเอาดวงวิญญาณไปไว้ที่ไหนนา ก็ไม่ทราบไว้ที่ไหน แต่ว่าท่านไม่เคยร้อง ท่านเฉย ว่างั้น
สำหรับท่านสมบูรณ์นี้ถ้าธรรมดาเขาเรียกว่า ขั้นรุนแรงนู่นน่ะ แต่ถ้าเทียบกับครั้งนั้น ไม่รุนแรง แต่ถึงยังไงก็ตาม ท่านก็บอกว่า ไม่มี ท่านนวดมานี้ ที่จะเฉยอย่างนี้ไม่เคยมี ก็มีแต่หลวงปู่เท่านั้น หาย หายเป็นลำดับลำดาเลย แขนมีกำลังแล้ว ตอนนี้นวดก็ค่อยอ่อนลง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยเจ็บนัก
(ลูกศิษย์จากสหรัฐอเมริกานำดอลลาร์เข้ามาถวาย ๖,๓๕๐ ดอลลาร์ และทองคำหนัก ๒ บาท มีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งกราบเรียนถามเรื่องการภาวนา คุณ..ที่อยู่แคลิฟอร์เนียเขาฝากมาถามปัญหาว่า เขาฝึกภาวนากับอาจารย์ที่เป็นศาสนาพุทธเหมือนกัน เสร็จแล้วเวลานั่งภาวนาไปเขามีอาการเส้นเอ็นปูด กระดูกปูด แล้วก็เจ็บปวดมาก อาจารย์ท่านนั้นก็แนะนำให้หยุดภาวนา แต่เขาก็ยังภาวนาอยู่ด้วยการนั่งเก้าอี้ นั่งกับพื้นไม่ได้ แต่ก็ยังปวด ตอนนี้เลยไม่ได้ภาวนาเท่าไร ก็เลยจะกราบเรียนถามว่า หลวงตาจะเมตตาแนะนำให้เขาปฏิบัติต่อไปอย่างไรดี
หลวงตา เราขี้เกียจตอบ (ลูกศิษย์หัวเราะ) ว่านั่งภาวนามันปูดนั้นปูดนี้ นี่กระจองอแง นั่งไปไม่ได้เป็นเพราะภาวนา ง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขาเป็นเพราะภาวนา (ลูกศิษย์หัวเราะอีก) หูหนวกตาบอดที่ไหนก็เป็นเพราะภาวนา ถ้าใครไม่ภาวนาไม่วิกลวิการ ป่าช้าไม่มี พวกไม่ภาวนาพวกนี้ไม่มีป่าช้า ตายไม่เป็น พวกที่เจ็บปวดง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา หรืออวัยวะต่างๆ เสียไปในแง่ใดก็ตาม เฒ่าแก่ชราคร่ำคร่ามานี้เป็นเพราะภาวนา ๆ เข้าใจไหม ถ้าไม่อยากมีป่าช้าเรื่องของกิเลสก็จะซ้ำเติมเข้าอีก เพราะอันนี้เป็นเพราะภาวนา ๆ นี้ก็คือเรื่องของกิเลสใช่ไหมล่ะ เพื่อจะให้หนักเข้าไปอีกก็คือว่า ไม่ต้องภาวนาจะไม่มีป่าช้ากัน โลกนี้มันมีป่าช้าเพราะภาวนานั่นแหละ เข้าใจเหรอ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า อะไรจะปูดก็ให้มันปูดซิ ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปให้มันเห็นอย่างนั้นซิ จึงเรียกว่านักรบ รบกิเลสตัวมันหาเรื่อง หาเรื่องเก่งนะกิเลส มันหาเรื่อง
พอจะนั่งภาวนามันหาเรื่องแล้ว แหม วันนี้เหนื่อยมาก นั่นเห็นไหมล่ะ ปูดแล้ว ๆ เหนื่อยพาปูดแล้ว เข้าใจไหม พอจะนั่งภาวนานี้งก ๆ งัน ๆ เอ้ามันจะตายแล้วนี่ พวกบ้า เราไม่อยากฟังละขี้เกียจ พูดเท่านี้ก็พอแล้ว ใครไม่มีป่าช้าให้เลิกภาวนา เอ้ามันจะไม่ตายจริง ๆ เหรอกิเลสหลอก พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หน ฟัดกับกิเลส เอามาแจกอยู่นี่เห็นไหม เรามันไม่เพียงปูดนะก้นเราแตก เรานั่งภาวนาก้นแตก ฟังซิ จริงหรือไม่จริง ถอดเอาเรื่องของเรามาพูดเลย นั่งภาวนาฟาดตลอดรุ่ง ๆ นั่งภาวนานี่ เอ้าดูตัวอย่างให้เห็นนี่ ตั้งกึ๊กลงไปแล้วตั้งสัจอธิษฐานขาดสะบั้นลงเลย เรื่องตายไม่มีความหมาย เราจะนั่งตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งถึงสว่างขึ้นเป็นวันใหม่เรียบร้อยแล้ว อย่างลุกออกเร็วต้องนั่งสว่างเป็นวันใหม่แล้ว นอกจากนั้นแล้วมันจะนั่งเตลิดไปไหนก็แล้วแต่มัน แต่นี้ปักเอาไว้นั่งนี่
เราไม่มีเรื่องอะไรข้อแม้ ยกไว้ข้อหนึ่ง ตอนนั้นอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์และหมู่คณะ คือเว้นไว้แต่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นภายในวัด จะเกิดกับครูบาอาจารย์หรือพระเณรองค์ใดก็ตาม นั้นเราจะลุกให้ เพื่อไปช่วยเหตุการณ์ต่าง ๆ มีข้อเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้มีเลย เอาเป็นอะไรเป็นเลย ฟังซิ ซัดกันเลยทีเดียว เอ้า อะไรจะตายก็ตายไม่สำคัญ ต้องเอาวันพรุ่งนี้เป็นเกณฑ์ ปวดหนักออกเลย ปวดเบาให้ออกเลย พูดให้มันเต็มยศก็คือว่าขี้เลย ฟาดใส่ผ้าเลยเทียว ปวดเยี่ยวเอาออกเลย ปวดขี้ออกเลย ตื่นเช้ามาก็ไปซักได้เอง แม่เลี้ยงมาตั้งแต่เป็นเด็ก มันเอาตักแม่เป็นส้วมเป็นถานมาเท่าไรแล้ว นี่ขี้ใส่ผ้าตัวเอง ใหญ่ขนาดนี้แล้วซักไม่ได้ เอาไปฆ่าเสียมันหนักศาสนา อย่าให้หนักศาสนาพระประเภทนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีข้อแม้ เอาอย่างนี้ตลอด พุ่ง ๆ เลย นั่งคืนทีแรกออกร้อนก้น ออกร้อนเป็นกำลัง แต่ส่วนอันนี้มันเหมือนกับว่าไฟเผาทั้งร่าง นั่นเห็นไหม ทุกข์มากไหมนั่งตลอดรุ่ง ใครยังไม่เคยเห็น เอาลองดูซิน่ะ นี่ผ่านมาแล้วได้ ๙ คืน ๑๐ คืน แต่ไม่ติดกัน เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง เอาตลอดรุ่ง ๆ นั้นละเราจึงได้เห็นอำนาจของธรรมกับกิเลสฟัดกัน
เวลาคนจะตายจริง ๆ คนเรานี้ไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ มันขึ้นเอง เวลาจะตายจริง ๆ มันหาทางออกจนได้ด้วยสติปัญญาพิจารณารอบตัว จิตลงผึงเลยนะ ถึงแดนอัศจรรย์เลย อ๋อ เป็นอย่างนี้ละเหรอ เพียงจิตรวมลงด้วยกำลังมีกิเลสอยู่ก็ตาม ลงก็อัศจรรย์ นั่นละได้แดนอัศจรรย์คืนแรกในการนั่งภาวนา ไม่มีพลาดนะ นั่งกี่คืนก็ตามได้ทุกคืนแบบนั้น เป็นแต่เพียงว่าลงช้าหรือเร็วต่างกัน ถ้าวันไหนดินฟ้าอากาศพร้อมอย่างนี้ ยิ่งวันไหนนั่งตลอดรุ่งแล้วให้ฝนพรำทั้งคืน วันนั้นลงได้ดี สนิทมากทีเดียวเพราะอากาศช่วย ถ้าวันไหนร้อนกระวนกระวายภายนอกนั่งภาวนาจิตไม่ค่อยเฉียบแหลม แต่ก็ลงได้ หากลงช้า
วันไหนลงช้าวันนั้นร่างกายบอบช้ำมากทีเดียว จิตลงช้าร่างกายบอบช้ำมาก ถ้าวันไหนจับปั๊บ ๆ ติดปั๊บ ๆ พุ่งลงเลยนี้ วันนั้นพอลุกขึ้นแล้วไปเลย ถ้าวันไหนมันบอบช้ำมากบางทีถึงตีหนึ่งมันยังลงกันไม่ได้ก็ยังมี นั่นน่ะฟังซิ ตั้งแต่หัวค่ำฟาดถึงตีหนึ่ง ทุกข์มากไหมทนทุกข์ทรมาน แต่เรื่องจิตมันฟัดกันเต็มเหนี่ยวไม่มีถอยเลย เรื่องลงนี้ลงได้เป็นแต่ช้ากับเร็ว วันนั้นเวลาจะลุกขึ้น คือเราเข็ดเราเป็นแล้ว พอลุกขึ้นล้มทั้งหงายเลย ล้มแล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ขาอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ของมัน มันตายหมดแล้ว มันเลยเจ็บเลยปวดมันตายหมดแล้ว นั่งยังไงมันก็อย่างนั้น ทีนี้พอคราวหลังจำได้แล้ว วันนี้มันลำบากมาก เวลาลุกขึ้นมาต้องได้จับขาดึงออกมาวาง ขานี้เวลาจับไม่รู้สึกนะมันตายแล้วตายหมด มือรู้เพราะมันเย็น จนกระทั่งเหยียดเท้าออกไปนี้ให้มันอยู่นั้น ถ้าเรากระดิกเท้านิ้วมันยังไม่กระดุกกระดิก อย่าลุก ลุกก็ล้มเลย ถ้ามันกระดิกได้ คู้ได้ เหยียดได้ เอ้า ลุกได้ นี่เวลามันดัดแล้วก็รู้เองใช่ไหม คือรู้ตั้งแต่ยังไม่ลุกนั่นแหละ
คือวันนี้บอบช้ำมากร่างกาย จิตลงได้ยากวันนี้ จะต้องได้จับขาดึงออก เป็นอย่างนั้นทุกวัน ถ้าวันไหนลงได้เร็วนี้ลุกไปเลย เวลาเท่ากันก็ตามมันขึ้นอยู่กับจิตนะ ถ้าจิตลงได้เร็วนี้ไม่บอบช้ำทางร่างกาย ถ้าวันไหนลงได้ช้านี้ต้องได้จับขาดึงออก ๆ วาง จนกระทั่งเลือดลมเดินได้สะดวก กระดิกพลิกแพลงได้แล้วลุกไปได้ นี่เราทำมาฟังซิน่ะ นั่งไม่ได้นั่งคืนเดียว เอาเสียจนกระทั่งก้นแตก แตกเลอะหมด ทีแรกออกร้อน ที่สองต่อมามันก็พอง จากพองแล้วก็แตก จากแตกแล้วก็เลอะ เวลาขึ้นเวทีไม่สนใจกับก้นนะ สนใจกับธรรมเท่านั้น ฟัดกันเลย ๆ
จนพ่อแม่ครูจารย์กระตุกเอาที่ว่า กิเลสมันไม่ได้อยู่กับกายนะ ท่านเห็นว่าสมควรพอที่จะพักผ่อน หรือพออ่อนกำลังการฝึกทรมาน เพราะท่านรู้นิสัยเรามันผาดโผนจริง ๆ ว่าอะไรจริงทุกอย่าง ทีนี้เวลาได้จังหวะฟัดกิเลสได้แล้วก็ไม่ถอย มีแต่จะเอากิเลสท่าเดียว เจ้าของจะตายก็ยังไม่รู้ ท่านเลยมากระตุกเอาบ้าง กิเลสไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับใจ ท่านว่าอย่างนั้น จากนั้นท่านก็ยกเรื่องสารถีฝึกม้ามาให้ฟัง สารถีฝึกม้าเราก็เรียนมาแล้วนี่ ในคัมภีร์มี ถ้าม้าตัวไหนมันผาดโผนโจนทะยานพยศมากที่สุดแล้ว นายสารถีเขาฝึกนั้นน่ะ เขาไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กินหญ้า ไม่ให้กินน้ำไม่ให้กินหญ้า เอากันอย่างหนัก จนกระทั่งม้านั่นลดพยศลงมาเป็นลำดับ ๆ เขาก็ลดการทรมานเป็นลำดับ เมื่อม้าเป็นปกติเขาก็ใช้กับม้าเป็นปกติ ท่านพูดเท่านั้น แต่ท่านไม่ได้ย้อนว่า มันไม่เหมือนหมาตัวนี้ พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้นให้มันถึงใจ หมาตัวนี้มันไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่าอย่างนั้น แต่ท่านเทียบม้าเท่านั้นเรารู้แล้ว
จากนั้นมาเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่งอีก ไอ้สี่ห้าชั่วโมงหกชั่วโมงเป็นธรรมดา แต่ไม่เคยนั่งตลอดรุ่ง ก้นแตกเลอะเทอะ ไอ้แบบที่ว่าอันนั้นปูดอันนี้ปูด เดี๋ยวมันตายแล้วหลวงตาบัวน่ะ เอามาเขียนนี่ออกมาจากไหน ไม่ออกมาจากฟัดกันเต็มเหนี่ยวจะออกมาจากไหน ไม่ได้ออกมาจากอันนั้นปูดอันนี้ปูดนะ เพียงเท่านั้นก็มาโม้ ขี้ทูดกุดถังเขามีเต็มอยู่นั้นปูดปีดทั้งนั้นแหละ เอามาคุยโม้กับอรรถธรรมซิ ปูดนั้นปูดนี้ยุ่งกับมันทำไม มันอยากปูดให้มันปูด มันจะแตกแตกซิ ก็เราเรียนวิชาปูดวิชาแตกให้รอบคอบ มันจะแตกไปไหนก็แตกไปซิ ได้ธรรมครองใจเลิศเลอพอ ธรรมไม่ปูดนะ มันปูดเป็นเรื่องกิเลสมันหลอกท่านั้นท่านี้ เข้าใจ นี่ละฝากมาก็ฝากไปอย่างนี้ละ เข้าใจเหรอ(ลูกศิษย์ ภาวนาต่อไปหรือคะ) ไม่ภาวนาต่อไปหรือจะตายก็แล้วแต่เถอะ นี่ครั้งที่สอง ภาวนาต่อไปหรือ ยังมาถามอีกอะไรกัน
ธรรมเวลาได้ขึ้นในหัวใจแล้วจะเหมือนใครเมื่อไร เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงท้อพระทัยล่ะซิ เวลาได้เกิดขึ้นแล้วไปถามใครที่ไหน ไม่ต้องถาม จ้าหมดเลยถามที่ไหน พระพุทธเจ้าก็รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ อย่างเรามองมาเห็นนี่ ถามใครก็เห็นอยู่นี่ เพียงหยาบ ๆ ก็จะไปถามใคร นอกจากถามชื่อถามเสียง นี่ชื่อว่าไงเท่านั้น ตัวที่มองเห็นอยู่นี้ไม่ได้ถาม มันเห็นกันอยู่แล้ว นี่จิตกับธรรมก็เหมือนกัน ที่ท่านบอกว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จ้าอยู่งั้นแหละ แต่คนตาบอดก็อย่างว่า ว่าเท่าไรมันก็ไม่ฟัง ไม่สนใจ ไม่เชื่อ นี่ละมันโดนเอา ๆ ลงนรกอเวจีนี้มีแต่พวกว่านรกไม่มีนั่นแหละ พวกลงมาก ๆ
พวกที่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้าว่านรกมี บาปมี บุญมี มันกลัวนะ พวกนี้แม้จะทำลงก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ระมัดระวัง แต่พวกที่ลบหมดว่าบาปบุญนรกไม่มี นี่ละพวกที่ทำเต็มเหนี่ยวลงเต็มที่เลยพวกนี้ ลงที่ว่าจ้านั่น มันไม่เห็นมันลบไว้ ความลบไว้กับความไม่เห็นมันมีอำนาจลบความจริงนั้นได้ยังไง นรกอเวจีมีมากี่กัปกี่กัลป์ ไม่ใช่มีมาเมื่อวานหรือวานซืน พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาก็มีอยู่แล้ว ๆ จะลบล้างมันให้ไปไหน บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ มาก็มาเห็นสิ่งเหล่านี้ ๆ ก็ยอมรับตามที่มี ๆ
มาสอนโลก ส่วนดีก็บอกว่าดี ส่วนชั่วก็บอกว่าชั่ว เหตุที่ไม่ดีจะไปตกนรกเพราะสาเหตุอันใด ให้ละสาเหตุอันนั้น จะไปทางดีได้เพราะอะไร เพราะสาเหตุอันนั้น คือทำดี ๆ ท่านก็สอนไว้ นี่ทางเดินเพื่อทางดีทางชั่ว เพื่อนรกหรือไปทางดี ก็คือการทำดีทำชั่ว นอกนั้นไม่มี ใครจะเอาอะไรมาปิดไม่อยู่ถ้าเจ้าของยังทำดีทำชั่วอยู่ เจ้าของละเปิดทางให้เจ้าของเอง ทำชั่วก็เปิดทางให้ตัวเอง จะบอกว่านรกไม่มี บาปไม่มี ก็เจ้าของทำอยู่นี่ บาปทำอยู่นี่ เห็นชัด ๆ อยู่นี่ บุญก็เห็นอยู่นี่ชัด ๆ อยู่นี่ แล้วมันจะไปไหน
ที่เอามาพิมพ์นี่เอามาเล่น ๆ เมื่อไร เราเดนตายมา มันไม่มีใครถอยใครแหละพูดจริง ๆ นะ คงจะเป็นเดชะว่ามีวาสนาอยู่อันหนึ่งเหมือนกัน เรื่องแพ้กิเลสแพ้ถึงน้ำตาร่วงก็แพ้ แต่คำที่ว่าจะถอยกิเลสไม่มี น้ำตาร่วงก็เอาละมึง เอากูขนาดนี้เทียว ลงกูมึงนะมันถึงใจ คือเคียดแค้นให้กิเลสถึงขนาดกูมึงภายในใจ ไม่ได้ออกมาข้างนอก โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวนะ เอ้า ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ไปก็ไปอบรมกับครูบาอาจารย์แล้วมาอีก ฟัดอีกหงายอีก ยังสู้ไม่ไหว เอาอีกกลับมาอีก ฟัดอีก หงายอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ไม่ถอย
ฟิตเรื่อย ๆ ต่อจากนั้นไปมันก็ได้จังหวะ พอได้จังหวะฟัดใหญ่จนกระทั่งก้นแตกเห็นไหม นี่เอากิเลสขั้นนี้ได้นะ ก้นแตก ก้นแตกก็ไม่ถอย หนักตลอดการทำความเพียรของเราเราพูดจริง ๆ ที่จะให้ตำหนิติเตียนความเพียรของเจ้าของว่า ตรงนั้นย่อหย่อนอ่อนแอไม่มี มีแต่ โอ้โห ๆ อย่างนั้นมันก็ทำได้ ๆ คืออย่างทุกวันนี้ทำอย่างนั้นตายเลย เพราะกำลังวังชาก็ดี ความมุ่งมั่นต่อแดนสวรรค์พรหมโลกนิพพานก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมุ่งพระนิพพานอย่างเดียว ให้ถึงความพ้นทุกข์เป็นพระอรหันต์เท่านั้น นี่เรียกว่าความมุ่งมั่น เดี๋ยวนี้มันไม่มีมันหมด มันหมดราค่ำราคาอะไรก็แล้วแต่เถอะ มุ่งจะไปสวรรค์ก็ไม่มุ่ง จะไปนิพพานมันก็ไม่มุ่ง ทีนี้ความเพียรมันจะหนักอย่างนั้นได้ยังไง มันก็ตายเท่านั้นซิ เดี๋ยวนี้มันไม่มุ่งมันหมดราคาแล้ว คงจะเป็นเพราะความเฒ่าแก่ชรานี่แหละ เวลามันมุ่งมุ่งขนาดนั้นะ
ไปที่ไหน ๆ เป็นแบบอัศจรรย์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เอาใครไปด้วย ไปคนเดียว ๆ ตลอดเลย เด็ดขนาดนั้นแหละ ตื่นมาปั๊บซัดกันแล้วระหว่างจิตกับกิเลสกับสติปัญญา จ่อกันอยู่แล้ว ๆ ขนาดนั้นมันหนักไหมล่ะ ถึงเวลาตั้ง ๙ ปีนะ แสดงว่าเรานี้หนักมากอยู่ วาสนาหยาบมากอยู่ ความเพียรขนาดนั้นมันถึงขนาดตั้ง ๙ ปี อันนี้มันก็มีส่วนอยู่ที่ว่า ที่เรานอนใจมันก็มี เช่นอย่างติดสมาธิอยู่ ๕ ปี ก็เรียกว่านอนใจ เป็นความสุขความสบาย แต่ความเพียรมันก็เร่งอยู่ในสมาธิของมันนั้นแหละ ให้อยู่เฉย ๆ มันไม่อยู่แหละ เป็นแต่เพียงว่าวงนี้เป็นวงนอนใจ คือได้รับความสบาย แล้วก็อยู่ในสมาธิทั้งวันมันก็อยู่ได้สบาย ไม่ต้องยุ่งกับอะไร นี่เรียกว่านอนใจอยู่ ๕ ปี
ในระยะ ๙ ปีนั้นที่นอนใจอยู่ ๕ ปี พอก้าวจากนั้นออกทางด้านปัญญานี้ไม่นานนะ ออกทางด้านปัญญานี้ก็ผาง ๆ ๆ เรื่อย พ่อแม่ครูจารย์ผู้คอยแนะแนะตลอด แนะอย่างถูกต้อง ๆ ที่ไหนผาดโผนโจนทะยานมากไป ท่านก็รั้งเอาไว้ เช่นอย่างนั่งสมาธิตลอดรุ่ง ๆ ทั้ง ๆ ที่จิตลง ได้เล่าถวายท่านนี้ โถ อาจหาญมากนะ แต่ก่อนก็เหมือนผ้าพับไว้ เหมือนครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เวลาขึ้นไปหาครูบาอาจารย์กิริยามารยาทเรียบ ๆ ธรรมดา แต่เวลาได้รู้ธรรมในหัวใจขึ้นแล้ว ขึ้นไปกิริยาไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ คึกคักขึงขังตึงตัง พูดออกมานี้ผาง ๆ ๆ เลย เหมือนจะไปสอนท่านว่างั้นเถอะ สอนหลวงปู่มั่น แต่ความจริงคือไปเล่าธรรมะที่เรารู้เราเห็นให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้แนะนำสั่งสอนเรา ทีนี้มันรู้ยังไงมันก็ขึ้นเต็มเหนี่ยวของมัน นี่ละพลังของจิตเข้าใจไหม
กิริยาอันนี้มันเป็นขึ้นมาเองนะ ขึ้นผาง ๆ เต็มที่ ท่านก็คงคิดขำ ๆ ในใจแหละ โฮ้ นี่บ้ามันขึ้นแล้ว ได้หลักแล้ว คงว่าอย่างนั้นนะ ท่านนิ่งเฉยนะ เวลาเราเล่านี้ท่านนิ่งเฉย เราก็เล่าเต็มเหนี่ยวของเราวิธีการพิจารณายังไง ๆ จิตลงได้ยังไง ๆ เล่าให้ท่านฟัง พอจบแล้วก็นั่งหมอบละที่นี่นะ หมอบคอยฟังท่าน โห เวลาท่านขึ้นอีกเหมือนกันนะ ผางเลยนะ มันต้องยังงั้น ขึ้นเลยนะ เอาละที่นี่ได้ที่แล้ว ฟาดมัน เอาเลยนะ อัตภาพนี้ไม่ได้ตายถึง ๕ หนแหละ เราไม่ลืมนะ มันตายเพียงหนเดียวเท่านี้ละ เอาทีนี้ได้ที่แล้วได้หลักแล้ว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะ เสียงท่านเปรี้ยง ๆ ที่พิจารณามานี้ถูกต้องแล้ว เอาให้เร่งอันนี้ให้หนักเข้าไป ให้คล่องแคล่วว่องไว เอาเลยที่นี่ เอาเลย อัตภาพมันไม่ได้ตายถึง ๕ หนละ มันตายหนเดียวเท่านั้น เขาไม่ภาวนาเขาก็ตาย เราตายในวงภาวนาในสนามรบ เอาตายเลย
หมาตัวนี้เมื่อได้เจ้าของยุอย่างนั้นก็ทั้งจะเห่าจะกัด โอ๋ย มาเอาอีก ๆ จนกระทั่งถึงท่านรั้งเอาไว้ คือนิสัยผาดโผน จากนั้นก็เป็นพัก พอจิตพักเข้าเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงได้แล้วในขั้นสมาธิ นอนใจ มาช้าอยู่จุดนี้ ๕ ปีเราพูดจริง ๆ มาช้าที่ว่า ๙ ปีนี้รวม ๕ ปีที่ติดในสมาธิ นอนใจอยู่ในนี้ ๕ ปี พอออกจากนั้นแล้วก็ไม่นาน พอก้าวถึงด้านปัญญานี้มันพุ่ง ๆ สิ่งไม่เคยรู้รู้ สิ่งไม่เคยเห็นเห็น ไม่ต้องถามใครนะ คือธรรมชาติเหล่านั้น ๆ มีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าเรายังไม่รู้ไม่เห็น เหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี เวลามันออกรับกัน ๆ นี้มีแต่อ๋อ ๆ อย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้ารู้รู้อย่างนี้เหรอ มันจ้าของมัน มันซึมมันซาบมันรู้
อะไรมาคาดไม่ได้นะ เรื่องสติธรรมปัญญาธรรมถ้าลงมันได้กระจ่างไปแล้ว ไม่มีอะไรมาปิดมาบังได้เลย แล้วไม่เชื่อใครด้วยนะ ไม่เอาใครมาเป็นพยาน มีแต่อ๋อ ๆ ยอมรับพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้นั้น อ๋อ อย่างนี้ละเหรอ ๆ คือท่านสอนไว้อย่างนั้นแต่เราไม่เห็นก็เป็นปัญหา พอรู้เข้าไป อ๋อ ทันทีเลย ด้วยเหตุนี้เองการแสดงธรรมเราจึงไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ฟังซิสามแดนโลกธาตุ เราไม่เคยสะทกสะท้าน ไม่เคยกล้า ไม่เคยกลัวกับอะไร เป็นธรรมล้วน ๆ ออกพุ่ง ๆ ถึงวาระที่จะควรออกหนักเบามากน้อยเพียงไรมันจะออกของมันเอง ๆ ไม่ต้องคาดต้องหมายต้องด้นต้องเดา ออกตามจังหวะที่เหมาะสม ๆ จะควรหนักเบา หนักเองเบาเอง ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น เรื่อยมานี้
ที่สอนโลกเราสอนด้วยความบริสุทธิ์ใจทุกอย่าง ไม่มีอะไรสงสัยภายในจิตใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาสอนแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ว่าไม่ผิด ๆ เลย เพราะถอดออกมาจากความแน่ใจ จึงได้สอนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก่อนที่จะมาสอนอย่างนี้เป็นยังไง เดนตายมานี่นะ โถ หนักมาก หนักทุกด้านทุกทาง ก็มีเบาบ้างที่ว่าจิตเป็นสมาธิ มีเบาสบายอยู่บ้าง เพลินในสมาธิ อยู่ไหนอยู่ได้สะดวกสบาย จิตนี้แน่วตลอดเวลา พออยู่พอกินแล้ว จนกระทั่งก้าวออกปัญญา ทีนี้ก้าวออกปัญญามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซิทางปัญญา รู้ไปตรงไหน เห็นไปตรงไหน แก้กิเลสไปตาม ๆ กัน ฆ่ากิเลสไปตาม ๆ กัน อ๋อ ๆ อย่างนี้เหรอปัญญา อ๋อ อย่างนี้เหรอปัญญา มันยิ่งพุ่งใหญ่เลย พอออกทางด้านปัญญานี้ได้รั้งเอาไว้ ไม่รั้งไม่ได้มันผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียว
นี่พูดมานี้ ไม่เห็นพูดถึงเรื่องปูด ๆ แปด ๆ อะไร เพียงเท่านั้นก็ อันนั้นปูด อันนี้ปูด ต่อไปนี้เวลากินข้าวลงไปนี้ นี่ลิ้นปูดกินข้าวไม่ได้ นั่นตอนมันจะตาย เข้าใจไหม พอเคี้ยวลงไปนี้ ลิ้นปูด แล้วฟันปูด เคี้ยวไม่ได้ละ ไม่ได้ก็ตายเสียจะได้ไม่เคี้ยว นี่ปัญหาธรรม ตอบกันอย่างนี้ เข้าใจไหม
ไอ้เรื่องที่ว่าหยาบว่าโลน อย่าเอามาเกี่ยวข้องกับธรรมนะ ที่พูดที่ว่านี้ ว่าท่านพูดหยาบพูดโลน กิเลสมันป้องกันตัวต่างหาก มันไม่ให้เข้าไปแตะมัน ตัวหยาบโลนที่สุดคือกิเลส เข้าใจไหมล่ะ เวลาพูดอะไรออกมานี้มันจะหาเรื่อง ว่าท่านพูดว่าหยาบ ว่าโลน ว่าสกปรกโสมม คือ ตัวกิเลสมันสกปรกเต็มตัวของมันแล้ว ธรรมะเป็นน้ำที่สะอาด ชะล้างออกไปอย่างนั้น มันไม่ให้แตะของมัน มันหาว่า พูดหยาบ พูดโลน พูดสกปรก นั่นมันหาเรื่องใส่ธรรม อะไรจะสะอาดยิ่งกว่าธรรม น้ำหนักใดที่จะเหนือกว่ากิเลส ฟัดกิเลสให้ขาดสะบั้น อันนั้นออกมา ๆ เป็นน้ำหนักต่างหาก ไม่ได้เป็นความหยาบโลน ท่านเอาน้ำหนักทุ่มกัน ๆ ถ้ากิเลสมีน้ำหนักมากกว่า ธรรมอาภัพ ล่มเลย จมเลย หงายเลย ถ้าธรรมมีน้ำหนักมากกว่า กิเลสหงาย ๆ เพราะฉะนั้น น้ำหนักจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน จะใช้น้ำหนักนะ ถ้าน้ำหนักทางไหนมากกว่า ทางนั้นชนะ นี่น้ำหนักของธรรมมากกว่า กิเลสแพ้ ๆ
นี่ที่เอามาแสดง เพื่อให้ถึงใจ ๆ ผู้ฟัง ได้แก่น้ำหนัก เข้าใจรึเปล่าล่ะ มาละมาหางมว่า ท่านเทศน์หยาบ เทศน์สกปรก เราไม่เคยคิดนะไอ้เรื่องว่าหยาบ ว่าสกปรก ไม่เคยคิดในการสอนธรรม อะไรที่เหมาะสมซึ่งจะปราบกิเลสได้ อันนั้นจะออกมารับกันทันที ๆ สำคัญก็คือ แง่หนักเบา ถ้าธรรมะหนักเท่าใด กิเลสยิ่งหงายเร็ว ๆ ถ้าธรรมะไม่มีน้ำหนัก กิเลสก็ต่อสู้ได้ กิเลสมีน้ำหนักกว่า ธรรมะหงาย
ใครอย่ามาคิดว่า ท่านพูดหยาบพูดโลน ผิดทั้งเพนะ เราไม่เคยมีเจตนาอย่างนั้น เราเอาน้ำหนักที่จะเปรียบเทียบกันต่อสู้กัน นี่เวลาเห็นชัดเจนก็คือ เห็นเวลาฟัดกับกิเลสภายในหัวใจเรา กิเลสมีน้ำหนักขนาดไหน ทางนี้ก็ออกแบบเดียวกัน ๆ ให้เหนือกัน ยกตัวอย่าง เช่น เราออกมาจากภูเขาไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขา คำนวณเวลาแล้ว ถึงขนาดนั้นยังไปไม่ถึงบ้านเขานะ คืออดอาหารมาหลาย ๆ วัน ทีนี้พอจะไปบิณฑบาตนั้น ถึงเวลามันหิวมากแล้วถึงจะไป ไปมันจะไปไม่ถึงบ้านเขา เราต้องคำนวณเวลาไว้ คำนวณกำลังของเรากับทางเดิน ไกลใกล้ขนาดไหน ถ้าสมมุติว่าวันพรุ่งนี้อดไปอีก แล้ววันมะรืนจะไปอย่างนี้มันจะไปได้ไหม คำนวณ ถ้าไปไม่ได้ เอ้า ถ้างั้นไปเสียวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ไป กำลังกะว่าพอดี พอไปถึงบ้านเขา ถึงอย่างนั้น พอไปถึงกลางทาง มันหมดแล้วกำลัง ไปไม่ไหว ต้องนั่งอยู่กลางทาง พักชั่วคราวเสียก่อน นี่แหละตอนมันรับกัน น้ำหนักรับกัน
พอนั่งอยู่สักเดี๋ยวกิเลสเกิดนะ ไม่ใช่ธรรมเกิด กิเลสเกิดขึ้นมาแล้ว นี่เห็นไหมขึ้นแล้ว เป็นคำพูดเหมือนคนเราพูดขึ้นมาในท่ามกลาง เพราะจิตกับสติอยู่ด้วยกัน เป็นธรรมอยู่ด้วยกัน กิเลสแทรกขึ้นมามันก็รู้ทันที นี่เห็นไหม ท่านอดอาหารที่จะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม ถ้าหากว่าเราจะเชื่อตามกิเลส ก็ว่า โห นี่เราจะตายแล้ว ไม่ไหวละ ต่อไปนี้เราไม่อดอีกแหละ ทำความเพียรแบบนี้ไม่เอาแหละ กลัวตาย นี่กิเลสมันกล่อมจุดนี้ใช่ไหมล่ะ แต่ธรรมะขึ้นรับกันนะ ก็การกินนี้ กินมาตั้งแต่วันเกิด ทีนี้ธรรมขึ้นนะ ทีแรกกิเลสขึ้นเสียก่อน พอกิเลสขึ้นจบลงแล้วธรรมะก็ขึ้น ก็การกินนี้เคยกินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงป่านนี้ ก็ไม่เคยเห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงแค่นี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตายซี นั่นเห็นไหม พุ่งเลย นั่น นี่ละเรียกว่า ธรรมเกิดแก้กัน เรียกว่า น้ำหนัก แก้กัน พอยกออกมาพูดได้ ก็มาพูดให้ฟัง ที่มันฟัดกันอยู่ภายใน ล้วนแล้วแต่พลังของกิเลสกับธรรมฟัดกัน ทางไหนมีน้ำหนักมากกว่า ทางนั้นชนะ ๆ
สำคัญที่ใครภาวนาอะไร เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา มีแต่เรื่องเอาขวากเอาหนามมาทิ่มหูทิ่มตาเราไม่อยากฟังไม่อยากเห็น พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หน พระสาวกบางองค์ฝ่าเท้าแตก ท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก พระจักขุบาลก็ตาแตก หมอเขาแนะให้นอนไม่นอน พอตาแตกใจก็สว่างจ้าขึ้น บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย ตาใจมันเลิศกว่าตาเนื้อเป็นไหน ๆ
โห ธรรมนี่ พระพุทธเจ้าควรท้อพระทัยถึงท้อนะ ไม่ท้อยังไงธรรมชาตินี้ไม่มีใครเห็น ก็เห็นแต่ส้วมแต่ถานนอนจมกันอยู่นี้ เห็นว่าส้วมว่าถานดี ๆ อรรถธรรมดีที่ไหนไม่เคยสนใจ มันก็เห็นแต่ส้วมแต่ถานดี ๆ คลุกเคล้ากันอยู่นั้นจะว่าไง ผู้ท่านผ่านไปหมดแล้วท่านมาเห็นท้อพระทัย โห จะสอนไปได้ยังไง มันเป็น ขอให้ได้เห็นอันหนึ่งขึ้นมา แต่ก่อนไม่เคยเห็นก็เหมือนกับเรากับเขา เราเหมือนเขา เขาเหมือนเรา ไม่เห็นมีใครแปลกต่างกัน พอมันพุ่งขึ้นมาแล้วมันเห็นนี่นะ แต่ก่อนพระองค์ก็เคยเกิดแก่เจ็บตายในวัฏจักรส้วมถานนี้มาเท่าไร กี่กัปกี่กัลป์ ก็อยู่ได้เหมือนโลกทั่ว ๆ ไปอยู่กัน พอผางขึ้นมาเท่านั้น โถ นั่นเห็นไหมล่ะ มันต่างกันอย่างนั้นนะ จึงได้ท้อพระทัยที่จะดึงสัตวโลกให้ผ่านพ้นขึ้นมา โห ไม่ไหวแล้ว นี่ละเลิศขนาดไหน
อย่างเราทำทุกวันนี้ เราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยเมตตาต่อโลก ไม่มีคำว่า กลัวหมดกลัวยังอะไรไม่มี มีมามากน้อยเพียงไร สละออกตลอดเวลา เพราะอำนาจแห่งเมตตาธรรมนี้ มันอยากให้อยู่แล้ว ไม่มีมันก็อยากให้ เมื่อมีมันจะเอาไว้ได้ยังไง มันก็ออกทันที ๆ
ก็อย่างที่เราเคยพูดให้ฟังแล้วนี้ เราช่วยโลกนี้มันทั่วประเทศไทย นี้เอาความจริงมาพูดนะ คือช่วยเต็มกำลังจริงๆ ของมีมากเท่าไร ออก ๆ ตลอด เราไม่เคยเก็บเคยสั่งสมแม้เม็ดหินเม็ดทราย ไม่มีในใจเรา เราเพื่อโลกทั้งนั้น ๆ การทำของเราจึงเต็มเหนี่ยวทุกอย่าง การสงเคราะห์สงหาโลกสงสารทั้งใกล้ทั้งไกลทั่วประเทศไทยทั่วถึงกันหมด ฟังซิ ออกจากเราคนเดียวนี่ ส่งเสียไปทุกแห่งทุกหนที่มีความจำเป็นหนักเบามากน้อย ส่งมาตลอดนะ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ใช่เป็นเมื่อสองสามวันนี้นะ เป็นมาตลอดอย่างนี้ แต่เราไม่ถึงเวลาพูด เราก็ไม่พูด แต่ความเป็นของเรา เป็นมาอย่างนั้นตลอด ๆ
ทีนี้มันก็ผิดซี เพราะเขาไม่เคยทำอย่างเรา เขาไม่เคยเห็นที่ไหนอย่างเรา พวกข้าศึกศัตรู พวกกิเลส พวกโจรพวกมาร มันก็มีทางที่จะแทรกเข้ามาได้ในแง่ต่างๆ หาอุบายโจมตีเราก็มี แต่เราไม่เคยสนใจเรื่องมูตรเรื่องคูถ กับเรื่องธรรมมันเข้ากันได้ที่ไหน ใครจะว่ายังไง ๆ เราไม่เคยสนใจกับใคร เราจะทำตามเรื่องของธรรมล้วน ๆ เราไม่ได้ทำตามแบบส้วมแบบถาน แบบกิเลสตัณหา แบบข้าศึกศัตรูที่มันเคยกัดเคยฉีกกันมาแล้ว มันจะมากัดฉีกเรามันกัดฉีกไม่ได้ เราคือเรา เราก็ทำของเราไปอย่างนี้ จึงไม่เคยหวั่นไหวกับใครว่า จะมาตำหนิติเตียนเราว่าทำอย่างนั้นผิด อย่างนี้ถูก พวกนี้มันไม่ได้ทำอะไร มันคอยแต่ที่จะมาทำลาย ดีไม่ดีทำลายจิตใจประชาชนให้เห็นตามไปด้วยความคิดเป็นพิษเป็นภัยของปากมันได้นะ
เรานี่ไม่มีอะไรจริง ๆ เราบอกตรง ๆ หมดก็ตายไปด้วยความหมดนี่แหละ ทำเต็มเหนี่ยวของเรานี่ ใครจะตำหนิติเตียนว่า เราทำเพื่อนั้นเพื่อนี้ เพื่ออะไร รายได้รายเสียกับผู้ใด เราไม่มี เราให้ด้วยการไม่หวังตอบแทนทั้งนั้น ให้ไปหมดทั่วประเทศไทย เราไม่มีการแบ่งสันปันส่วนกับผู้ใด ที่จะหวังเอาอะไร ๆ กับใคร เราไม่มีในหัวใจเรา ให้มากให้น้อย ให้ด้วยความจำเป็นตามที่เราพิจารณาแล้วทุกสัดทุกส่วน เราให้ไปอย่างนี้ เราจึงไม่มีอะไรสงสัย ใครจะมาหาว่าอะไร มันก็ออกมาจากปากของมันสกปรก มันก็ไปเป่าหูใคร ถ้าคนหลงกลมันก็สกปรกไปตามมัน เสียหายไปตามมัน สร้างบาปสร้างกรรมใส่ตนเอง เราสร้างถ้าพูดว่ากุศลกับโลกก็ถูก เราไม่ได้สร้างบาปสร้างกรรมอย่างนั้น พวกนี้พวกสร้างบาปสร้างกรรม กับการสร้างการกุศลของเรา มันเข้ากันได้ไหมล่ะ พิจารณาซิ
คนหนึ่งทำด้วยความเมตตาล้วน ๆ ต่อสัตวโลกไม่มีประมาณ คนหนึ่งจะมาหาเรื่องนั้นใส่ หาเรื่องนี้ใส่ หาเท่าไรมันก็ไปเผาเจ้าของ ๆ นั่นแหละจะไปเผาใคร ผู้ทำดีความชั่วจะไปเผาได้เหรอ คนทำชั่วนั้นแหละ ออกจากปาก ออกจากความคิดของใจ มันทำเจ้าของให้จมลงในนรกได้ไม่สงสัยนะ เราก็บอกเตือน เพราะเราไม่อยากให้คิด ไม่อยากให้ทำสิ่งที่ไม่ดี ที่เราทำนี้สุดยอดแล้วในหัวใจของเรา เราไม่สงสัยแล้วในการทำต่อโลก
คิดดูตั้งแต่ยังไม่ตายเรายังทำพินัยกรรมแล้ว ฟังซิน่ะ งานศพของเรานี้ ใครมาบริจาคมากน้อยเราจะเอาเข้าคลังหลวงหมด แต่การเข้าคลังหลวงเราก็จะซื้อทองคำ เงินทุกบาททุกสตางค์เราจะเปลี่ยนซื้อทองคำเข้าคลังหลวงหมดเลย เราจะเผาเราด้วยไฟ หรือเขาไม่เผา โยนลงเหวไหนเราก็ไม่สนใจนะ ประสาถังขยะ สนใจกับมันอะไร นี่ตามธรรมดาเขาจะไม่ปล่อยแหละ เขาต้องเผาต้องฝังอะไรแหละ ก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่สนใจ ถ้าว่าเผาก็เผาด้วยไฟ เราจะไม่เอาเงินมาเผานะ เงินนี้ยังจะเป็นประโยชน์ต่อโลก เราจะนำไปเป็นประโยชน์ต่อโลก อันไหนที่มันสิ้นสุดลงไปแล้ว ทำประโยชน์ไม่ได้แล้ว เช่น กระดูกเรานี่ ใครจะเอาไปไหนก็ไปเถอะว่างั้น มีเท่านั้น
ใครอย่ามาสร้างบาปสร้างกรรมกับการสร้างประโยชน์ให้แก่โลกของเรานะ ถ้าไม่อยากจมอย่ามาคิดนะ อย่ามาคิดอย่ามาพูดนะ เราพูดจริง ๆ เราไม่มีอะไรในโลกนี้ สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรติดใจเรา เรื่องเหล่านี้มันเรื่องสกปรก เอามาโปะยังไงมันก็ไม่ติดเรา มันจะไปติดเจ้าของนั่นน่ะ ผู้คิดผู้พูดขึ้นมานั่นน่ะ มันจะไปจมกับผู้นั้นนะ เราบอกว่าเราไม่จม บอกตรงๆ เราไม่มีได้มีเสียกับอะไรแล้วสามแดนโลกธาตุนี้ เวลามีชีวิตอยู่นี้เราก็ทำประโยชน์ให้โลกเต็มกำลังของเรา เต็มตลอดเวลา
เราไปด้วยเมตตานะ ไปที่ไหน ๆ น่ะ เห็นไหมวันหนึ่ง ๆ เราไปทำประโยชน์ให้โลก นี่โกดังดูซิข้างหลังน่ะ แน่นอัดอยู่นั่น ซื้อมาแต่ละครั้ง ๆ เป็นแสน ๆ แสน ๆ อัดเข้าไป ๆ ทางไหนมีความจำเป็น ไม่ว่าทางวัดทางวา เฉพาะอย่างยิ่งทางโรงพยาบาล มาที่ไหนก็มา เราอยู่ก็ตามไม่อยู่ก็ตามเราสั่งเสียไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้มีอัตราเสมอกันหมด ทุกอย่างทุกรถทุกคัน ทุกโรงพยาบาลให้เสมอกันหมด ไม่มีอัดมีอั้นอยู่ตลอดเวลา
เราไปกรุงเทพฯ เขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างนี้ บกบางไม่ได้นะ นี่เห็นไหม เราทำประโยชน์ให้โลกอยู่อย่างนี้ เราไปที่ไหนก็ทำอย่างนี้ จะให้เราทำอะไรชั่วเราทำไม่ได้ เราบอกจริง ๆ เราไม่ทำ เราทำแต่ประโยชน์ให้โลกเท่านั้น อย่ามาคิดอกุศลว่า เพื่อเรา มันไม่ใช่เพื่อเรานะ มันจะเผาเจ้าของนะ เราไม่มีอะไร พูดให้ตรง ๆ ไม่มีอะไรจะเข้าไปถึงได้เลยว่างั้นเถอะน่ะ เรื่องเหล่านี้มันจะไปโปะเจ้าของ เผาเจ้าของนั่นน่ะ อย่าคิดนะ เราบอกตรง ๆ คิดไม่ดีเท่าไรจะเผาเจ้าของทั้งนั้นแหละ ไม่เผาคนอื่นนะ จะให้เราเป็นตามที่เขาคิด ไม่มีทางเป็น เพราะเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น จะทำอะไรให้เป็นก็ไม่เป็น ให้พากันจำเอานะ
เรื่องการช่วยชาติเราช่วยเต็มเหนี่ยวอย่างนี้เรื่อยมา รอบด้านไม่ว่าใกล้ว่าไกล ยิ่งใกล้เหล่านี้ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนรอบเมืองอุดรเรานี้ มีทุกแห่งทุกหนเราช่วยตลอดรอบ โรงร่ำโรงเรียนทุกอย่าง เอ้าให้เงินดงเงินเดือนตามโรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาลที่ไหนให้ทั้งนั้น ๆ จนไม่มีเงินจะให้ ไม่มีสมบัติจะให้นะเวลานี้
นี่เราทำประโยชน์ให้โลก เหมือนตะกร้าตักน้ำ พอยกขึ้นนี่ซ่าหมดเลย ๆ แล้วเราจะเอาความชั่วที่ไหนมาทำให้โลกได้มาตำหนิ แล้วติดปากติดคอติดใจเขาไปเป็นมงคลของเขาล่ะ นอกจากไฟจะเผาหัวเขาเท่านั้นเอง เราจึงเตือน อย่ามาคิดนะ คิดเท่าไรขาดทุนตลอด จนฉิบหายป่นปี้ จากความคิดเจ้าของ จากปากเจ้าของนั่นแหละ จะไม่ไปไหนนะ สำหรับเรา เราไม่มีปัญหาอะไรกับโลกแล้ว เราช่วยในเวลามีขันธ์อยู่เท่านั้น พอขันธ์หมดสภาพแล้วก็ดีดผึงเลย ก็บอกชัดเจนแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราบอกขนาดนั้น เราไม่เคยสะทกสะท้านกับโลกขี้หมูขี้หมา โลกถังขยะเหล่านี้ เราถึงพูดได้อย่างอาจหาญ ตามหลักธรรมที่ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดมาดั้งเดิม เราพูดตามอรรถตามธรรม ตามความจริง เอาละวันนี้ ให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวันทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
WWW.Luangta.com