(วันนี้มีผู้มาฟังเทศน์ประมาณ ๑๕๐ คนและนักเรียนรร.อุดรพิทยานุกูล ๒๒๐ คน)
วันที่ ๓๐ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ บาท ๖๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๒ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบคลังหลวงคราวนี้ ๔ พันกิโล รวมทองคำที่มอบและฝากไว้กับคลังหลวงแล้วได้ ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ที่ยังไม่หลอมเวลานี้ ๒๑ กิโล ๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ อันนี้ยังไม่ได้หลอม ได้หลังจากหลอมแล้วนี้ ๒๑ กิโล รวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๐๘๓ กิโลครึ่ง ยังขาดทองคำ ๑,๙๑๖ กิโลที่จะครบ ๔ พันกิโล ส่วนดอลลาร์ที่ว่า ๑ ล้านจะฝากจะมอบนั้น เวลานี้ได้ ๗๓,๗๗๙ ดอลล์
วันที่ ๙ สิงหาฯ ที่รวมพี่น้องชาวอุดรฯ เราทุกอำเภอ ให้มารวมพลังแสดงอำนาจแห่งความรักชาติและความเสียสละให้พี่น้องทั่วประเทศไทยได้ดูเป็นยังไง จังหวัดอุดรฯ เป็นบ้านเกิดหลวงตาบัว ไปเที่ยวหาขู่เอาเงินทางนู้นทางนี้มาทั่วประเทศไทย บทเวลาจะเอาเมืองอุดรฯ เรา ทองคำได้ ๑ สลึง ดอลลาร์ได้ ๓ ดอลฯ เงินสดได้ ๕ บาท ฟังซิน่ะเป็นยังไง เมืองอุดรฯ เราได้เท่านี้เป็นยังไง หลวงตาไปเที่ยวตระเวนกวาดหาเอาทั่วประเทศไทยมา ฟังซิทองคำได้ ๒ พันกว่ากิโล ดอลลาร์ก็ไม่ต่ำกว่า ๕ ล้านแหละ ทั้งที่เข้าแล้วและยังไม่เข้าไม่ต่ำกว่า ๕ ล้าน ดอลลาร์ ๕ ล้านเป็นอย่างน้อยว่างั้นเลย
เงินสดก็เคยได้ประกาศแล้วที่อยู่ในธนาคาร ส่วนที่ออกทำประโยชน์แล้วนั้นไม่นับ เวลานี้ที่อยู่ในธนาคารก็ ๘๕๐ กว่าล้าน ไปหาตระเวนทั่วประเทศไทยมา มัดคออุดรฯ เราเข้าหากันนี้ด้วย บวกเข้าในจำนวนนี้ด้วย จะว่าอุดรฯ ไม่เห็นว่า ไม่ว่ายังไงมัดคอมาแล้ว เอามารวมนี่แล้ว ทีนี้จะตั้งอุดรฯ ให้เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นที่อุดรฯ นี้ พี่น้องชาวไทยเราทราบทั่วหน้ากันว่า อุดรฯ นี้เป็นเมืองเกิดของหลวงตาบัว ไปเที่ยวตระเวน ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด จากพี่น้องทั่วประเทศไทยมาได้จำนวนดังที่กล่าวนี้ แล้ววันที่ ๙ นี้ เป็นวันที่จะแสดงน้ำใจความรักชาติและความเสียสละของพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย โดยมีหลวงตาบัวเป็นผู้นำเหมือนกัน อย่าให้ขายหน้านะ
แล้วไปหาขุดหลุมเอาไว้นะถ้าหากว่ามันไม่เป็นท่า หลวงตาบัวจะมุดลงหลุมเลยเทียวนะ อย่าให้พี่น้องชาวไทยได้เห็น ประกาศเทศน์สอนโลกนี้ก็ โถ ทั่วประเทศไทยว่าไง สอนทั่วประเทศไทยทุกอย่าง บทเวลาโผล่ขึ้นมานี้ให้ดอลลาร์ ๓ ดอลล์ อย่าให้ได้ยินนะ เอา ทุกคนแสดงพลังน้ำใจของเราด้วยความรักชาติ ให้แสดงคราวนี้ อุดรฯ วันที่ ๙ แล้วการแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ หลวงตาก็ไม่ได้ทำอย่างแต่ก่อนแล้วนะเวลานี้ ลดลงแล้ว ที่จะให้รับไปเทศนาว่าการในที่ต่าง ๆ ดังที่ปฏิบัติมานั้น เรียกว่าลดลง ลดลงมากแทบจะไม่เหลือ
ที่เหลือก็คือว่าที่ใดจุดใดงานใดที่สำคัญ ๆ ใหญ่โตพอสมควร เราก็จะไปเทศน์ให้ในงานนั้น ๆ แต่จะให้ไปทุกแห่งทุกหนเวลานี้ไปไม่ได้แล้ว กำลังวังชาไม่อำนวย ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เรียกว่าถอยแล้วด้วยกำลัง ไม่ได้ถอยด้วยน้ำใจ ถอยด้วยกำลัง การเทศนาว่าการเวลานี้ก็จะลดลง เช่นอย่างจะไปเทศน์อุดรฯ ฟังซิ เทศน์ที่อุดรฯ นี้แห่งหนึ่ง แล้ววัดศรีชมภูองค์ตื้อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย นี่ก็วันที่ ๑๙ สิงหาฯ เหมือนกัน เป็นวันเสาร์ นี่ที่หนึ่งที่จะไปเทศน์ นอกนั้นก็ยังไม่รับอะไรที่ไหน ถ้าไม่แน่ใจจริง ๆ ไม่เอาแล้วเดี๋ยวนี้ ลดลง ๆ
หลวงตาได้พยายาม เรียกว่าทำความดี ทั้งตัวเองและพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ ได้ทำอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีบกพร่อง กำลังของเราเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมา การบำเพ็ญก็ดังที่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง การพูดเหล่านี้ไม่ได้พูดเพื่อความโอ้อวดแบบโลกเขาพูดกันนะ เรานำธรรมคือความจริงออกมาพูด อย่างเราปฏิบัติตัวเราดัดแปลงแก้ไข ทรมานฝึกฝนเอากิเลสภายในใจของเราออกก็หนัก ถึงขนาดสละเป็นสละตาย ผลก็ได้เป็นที่พอใจตามเหตุที่ได้สละตายขึ้นมา ผลก็เป็นที่พอใจ
พอใจยังไง ว่าพอแล้วว่างั้นเลย ผลเป็นที่พอใจถึงขั้นว่าพอแล้ว ในสามแดนโลกธาตุนี้เราปล่อยหมดทุกอย่าง แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยมาผ่านภายในหัวใจเราเลย และทุกข์จะเท่าเม็ดหินเม็ดทรายเราก็ไม่เคยเห็นมาผ่านในหัวใจของเรา ผ่านหัวใจ ผ่านร่างกาย ฟังซิ คือทุกข์ในหัวใจนั้นจะเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปหมดแล้ว ทุกข์ไม่มีตลอดไป พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ทุกข์ไม่มีตลอดอนันตกาล เราจะไม่เป็นพระอรหันต์ก็ตาม แต่ทุกข์ไม่มีในหัวใจเราได้ ๕๐ กว่าปีมานี้แล้ว เราก็บอกว่าไม่มีเลย จะทำยังไงก็ไม่มี เป็นอฐานะ เข้ากันไม่ได้แล้ว
ทุกข์ สมุทัย เป็นสมมุติ อันนี้พ้นไปจากสมมุติแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงไม่เกาะเกี่ยวได้เลย นี่ทุกข์ภายในใจของเรา นี่ก็เรียกว่าผลเป็นที่พอใจตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้เพื่อดับทุกข์ ดับทุกข์ก็ดับกิเลสนั่นแหละ กิเลสตัวชั่วช้าลามก ตัวไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักนรกอเวจี ตัวนี้ละตัวมันทำสัตว์ให้ล่มจม ล่มจมตลอดมา ฟาดมันขาดสะบั้นลงจากใจแล้วทุกข์ไม่มีเลยตั้งแต่ขณะนั้น ส่วนทุกข์ในร่างกาย ร่างกายนี้เป็นสมมุติก็เหมือนสมมุติทั่ว ๆ ไป เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนไม่มีอะไรผิดกันเลย เหมือนกัน แต่เป็นอยู่ในขันธ์เท่านั้น ไม่สามารถที่จะไปซึมซาบหรือผ่านเข้าในจิตดวงนั้นได้อีกเลย ทุกข์บีบของมันอยู่ตามขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ กองรูป คือ กายนี้หนึ่ง กองเวทนา คือ ความสุข ทุกข์ ความเฉย ๆ นี้หนึ่ง เรียกว่าขันธ์ ๕ สัญญา ความจำได้หมายรู้ รวมแล้วเรียกว่าความจำ จำคนนั้นจำคนนี้ จำบ้านนั้นบ้านนี้ จำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรียกว่าสัญญา นี่เป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ คือ ความคิดความปรุงของใจ คิดถึงบ้านถึงเรือนถึงลูกถึงหลาน ส่วนคิดถึงอรรถถึงธรรมไม่ค่อยคิดมันแหละ ไอ้คิดถึงลูกถึงหลาน มาอยู่ในวัดก็ว่าคิดถึงลูกถึงหลานถึงบ้าน ไปบ้านแล้วก็คิดถึงวัด นี่เรียกว่าสังขาร สังขารคือความปรุงของจิต ความคิดของจิต วิญญาณ ความรับทราบ ตามองเห็นรูปรับทราบพับ เสียงกระทบหูรับทราบพับ ดับไปพร้อม ๆ นี่ท่านเรียกวิญญาณ นี่เรียกว่าขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ แปลว่า หมวด หรือแปลว่า กอง เป็นกองเป็นหมวด ท่านเรียกว่าขันธ์ ขันธะ ๆ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติจะแสดงตัวอยู่นี้จนกระทั่งถึงวันสิ้นลมหายใจ เรียกว่าวันตาย ขันธ์ ๕ นี้แสดงอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะไปยุติหมดสิ้นไปในเวลาตาย ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติ พอขันธ์ ๕ นี้ดับลงขันธ์ ๕ นี้ไปพร้อมกันหมดเลย ในเวลายังไม่ไปที่ครองขันธ์อยู่นั้นมันก็ดิ้นของมันอยู่อย่างนั้น ใจที่ครองตัวอยู่นั้นรับทราบ ๆ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปซึมซาบรบกวนได้เหมือนแต่ก่อน
แต่ก่อนขันธ์ก็รบกวนได้เพราะมีกิเลส กิเลสเป็นตัวเหตุแห่งการรบกวน ทุกข์เกิดขึ้นในขันธ์กระเทือนถึงจิต อะไรเกิดขึ้นเจ็บหัวตัวร้อนกระเทือนถึงจิต ๆ สุดท้ายจิตหนักมากยิ่งกว่าโรคภัยที่เกิดขึ้นภายในกาย นี่เพราะเชื้อของมันสำคัญ ตัวก่อเหตุอยู่ภายใน ตัวนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มี จะทุกข์มากขนาดไหนก็เห็นว่ามันทุกข์มากแต่ไม่เข้าถึงใจ เป็นอฐานะ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ตกไปปั๊บกลิ้งปั๊บ ๆ ของมัน เป็นธรรมชาติของน้ำของใบบัวที่ไม่ซึมซาบกันอย่างนั้น ระหว่างจิตของท่านผู้สิ้นกิเลสของพระอรหันต์กับสมมุติทั้งหลายก็เหมือนกัน ตกพับกลิ้งตกไป ๆ
ขันธ์นี้จะสิ้นสุดลงในเวลาสิ้นลมหายใจ พอขันธ์สิ้นสุดลงไปแล้ว เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วน ๆ แล้ว สมมุตินี้ไม่เข้ารับเกี่ยวข้องให้ได้รับผิดชอบอีกต่อไป ขันธ์ ๕ นี้ดับก็ดับไปพร้อมกันเลย ขันธ์ทั้งห้ามีอยู่ในทุกธาตุทุกขันธ์ เมื่อเวลากิเลสเข้าไปครองขันธ์ทั้งห้านี้ก็เป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้ดีให้ชั่วไปได้ เป็นเครื่องมือของธรรมด้วยอยู่ในนั้น ส่วนมากเป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้ทำแต่ความชั่วช้าลามก ความคิดความปรุงอะไรไปทางกิเลสทั้งนั้น ๆ นี่เป็นเครื่องมือของกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากออกไปแล้วก็เป็นเครื่องมือของธรรมแทนกัน แต่ธรรมท่านไม่ยึด
กิเลสมันยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นเราเป็นของเรา กวาดต้อนเข้ามาเป็นของมันหมด แต่ธรรมท่านไม่ยึด เป็นแต่เพียงว่าใช้เฉย ๆ พอสิ้นสุดอันนี้ลมหายใจขาดลงไปแล้วก็ขาดพร้อมกันเลย นี่เรียกว่าสมมุติขาดโดยสิ้นเชิงจากความรับผิดชอบของพระอรหันต์ท่าน ในเวลามีชีวิตอยู่ท่านก็รับผิดชอบธรรมดา เป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบ หากเป็นสัญชาตญาณระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยหรือครองตัวอยู่เป็นอย่างนั้น เป็นของมันเอง เช่น เราเดินไปตามทาง ระหว่างพระอรหันต์กับปุถุชนเราเดินไปนี้ เช่น ลื่นล้มนี้ ปุถุชนก็ต้องช่วยตัวเอง ลื่นไม่ควรจะล้มไม่ยอมให้ล้มง่าย ๆ พระผู้สิ้นกิเลสพระอรหันต์ก็แบบเดียวกัน ไม่ควรล้มไม่ยอมล้ม จนกระทั่งสุดวิสัยถึงจะล้ม จะล้มแบบหงายหมาหงายคนก็ไม่รู้ละตอนนั้น นี่เรียกว่าเหมือนกัน
การหัวเราะก็เหมือนกัน เพราะเป็นขันธ์ กิริยาของสมมุติมากระทบสมมุติก็กระเพื่อมออกมา เป็นกิริยาของขันธ์ออกมา เช่นหัวเราะอย่างนี้ ก็หัวเราะได้เหมือนกัน แต่ร้องไห้นั้นท่านเรียกว่าธรรมสังเวช ขันธ์แสดง เช่น พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระสาวกทั้งหลายปลงธรรมสังเวช คือ ขันธ์กระเพื่อม ขันธ์นี่ห้ามมันไม่ได้ พอว่าพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ระลึกถึงบุญถึงคุณท่านเข้ามาประกอบรวมเข้าสู่น้ำใจนี้เกิดความสังเวชขึ้น น้ำตาร่วง เข้าใจไหม
พระอรหันต์ไม่มีน้ำตาเหรอ มีอยู่ในกายของทุกคน น้ำตาก็คือขันธ์ มันกระเพื่อมก็ไหลออกมาได้ เกิดความสลดสังเวช นี่ละท่านเรียกว่าสลดสังเวช ไม่ได้บอกว่าท่านร้องไห้ เพราะคำว่าร้องไห้เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่ปลงธรรมสังเวชนี้เป็นกิริยาของน้ำตาร่วง เกิดขึ้นจากขันธ์กระเพื่อม สังขารปรุงขึ้นมาจากความรับทราบ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว นั่นละพระอรหันต์ทั้งหลายท่านปลงธรรมสังเวช ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน นี่เรียกว่าขันธ์
ขันธ์จะทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์เหมือนกันกับปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์กับปุถุชนก็ขันธ์เสมอกัน การแสดงกิริยาของมัน มันก็แสดงเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมันเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตนั้นไม่เข้าซึมซาบ ผิดกันเท่านั้นเอง เช่น เดินไปถนนหนทางลื่นจะหกล้มนี้ พระอรหันต์กับคนสามัญธรรมดาจะช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยว ไม่ควรล้มไม่ล้ม หรือก้าวเหยียบลงไปเห็นรากไม้เหมือนกับว่าเป็นงูนี้ โดดผางเลยข้ามเลย นั่นละเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณรับผิดชอบ ๆ เป็นอย่างนั้นไป เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ยึดเท่านั้นเอง แย็บ ที่ต่างกัน
กิริยาที่ท่านแสดงช่วยตัวเองนั้นเหมือนกัน แต่ภายในใจของปุถุชนกับพระอรหันต์นี้ต่างกัน คือ ภายในใจของปุถุชนนี้จะตกใจ จิตใจร้อนวูบเลยเวลาตกใจนะ เช่น จะเหยียบงูอย่างนี้ โดดข้ามปึ๋ง จิตใจนี่ร้อนวูบเลย แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น พอรู้ว่าเป็นงูแย็บเท่านั้น นี่ขันธ์แสดงแย็บเท่านั้นเองผ่าน ถึงจะล้มก็ล้ม ท่านไม่ได้เสียใจ มันอยากล้มก็ล้มไป มันทนไม่ไหวทานไม่ไหวก็ล้มไป นี่กิริยาอันนี้เหมือนกัน ขันธ์ของพระอรหันต์กับขันธ์ของปุถุชนเป็นขันธ์เหมือนกัน ต้องแสดงเต็มตัวได้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงไม่เข้าซึมซาบถึงใจท่านเท่านั้นเอง ให้พากันทราบเอาไว้
เราจะพูดให้ฟังอย่างชัดเจนทีเดียว ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะ เป็นอรหันต์ไม่อรหันต์ไม่สำคัญ เอาความจริงมาพูด นี่หลักธรรมชาติของจิต ท่านจึงเรียก ๒ อย่างว่า ผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้วเป็นพระอรหันต์นั้นเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ท่านได้นิพพานในเวลายังครองขันธ์อยู่นั้น เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน จิตนั้นเป็นนิพพานล้วน ๆ เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่ ยังรับผิดชอบโดยหลักธรรมชาติอยู่ ทีนี้ อนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์บรรลัยลงไปแล้ว อันนั้นก็เป็นนิพพานล้วน ๆ เลย ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปน ขาดสะบั้นลงไปตั้งแต่ลมหายใจขาดลงไป ขันธ์ขาดลงไป ระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดจากกัน หมดความรับผิดชอบ ก็อย่างนั้น
ท่านจึงเรียกว่า นิพพาน ๒ สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ยังครองขันธ์อยู่ คือเป็นพระอรหันต์แล้ว สิ้นกิเลสแล้ว ยังครองขันธ์อยู่ ถ้าสิ้นกิเลสแล้วด้วย ตายแล้วด้วยไปเลย นี่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านแสดงไว้ในตำราค้านได้ที่ไหน ไม่มีที่ค้าน ธรรมชาตินี้ยันกันทันที ยอมรับทันทีเลย นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้าพูดถูกต้องหรือไม่ถูกต้องพิจารณาซิ ตรงไหนไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย สอนสัตวโลกไม่มีผิดพลาดตลอดมา คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระวาจาของพระพุทธเจ้า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง รับสั่งคำใดลงไปแล้วคำนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่มีสอง
สอนโลกมานี่มากขนาดไหน ท่านนับประมาณไว้เพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี่น้อยนิดเดียวนะ แต่เป็นคำสั่งสอนที่ถูกต้องล้วน ๆ ไม่มีผิดเลย ทีนี้เวลาปฏิบัติตามไปก็ไปเห็นตามที่ท่านสอนไว้แล้วนั้น จากที่ท่านรู้แล้วเห็นแล้ว ท่านสอนอะไรสอนไว้ ที่เราไม่เห็นมันก็เหมือนไม่มี ๆ เหมือนอย่างคนตาบอดชนต้นไม้ มันก็เข้าใจว่าต้นไม้ไม่มี มันก็ชนเอา ๆ อันนี้พวกตาบอดมันเข้าใจว่าบาปบุญนรกไม่มี มันก็ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก สุดท้ายมันก็โดนเอา ๆ โดนตั้งแต่บาปแต่กรรม โดนแต่นรกนั่น พระพุทธเจ้าพูดสอนโลกสอนให้หลีกมันไม่ยอมหลีก ท่านบอกบาปมี มีแต่กัปไหนกัลป์ใดมา พระพุทธเจ้าไม่เคยลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สัตว์ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ไม่มีพระองค์ใดลบล้างเลย สอนไว้ตามหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่กิเลสมันตามลบหมด ๆ
นี่ละกิเลสตัวเป็นภัยต่อเรานะ ไม่ได้เป็นภัยต่อพระพุทธเจ้า เป็นภัยต่อเราเอง ลบคำสอนพระพุทธเจ้าก็เท่ากับมาลบล้างตัวเองจากความดีทั้งหลายให้เข้าสู่นรกอเวจีนั้นแหละ มันบอกว่านรกไม่มี ๆ ทีนี้ความอยากทำตามใจชอบนั้นมันล้นพ้น มันก็ไปตามความอยากทำ มีตั้งแต่ความชั่วทั้งนั้น นั่นเป็นอย่างนั้น
เราทำประโยชน์ให้โลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้เราก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงขั้นสละเป็นสละตายก็ได้เป็นที่พึงพอใจ ถึงขั้นเมืองพอแล้ว อันดับที่สองก็ช่วยพี่น้องชาวไทยเรานี้ก็ช่วยแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าแกงหม้อใหญ่ ไม่ได้เป็นหม้อเล็กของตัวเอง หม้อเล็กหม้อจิ๋วนี่พุ่งเลย แกงหม้อใหญ่นี่อืดอาด ๆ เอาเชือกมัดคอมันลากมาวัดเสียบ้าง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยไปวัด เอาเชือกไปมัดคอดึงมามันยังร้องแหง็ก ๆ ไม่อยากมา ฟังซิน่ะ นี่ละแกงหม้อใหญ่ ผู้ที่อยากไปมี ไม่ต้องผูกต้องมัดกันดิ้นตามเลยมี ไอ้ผู้ที่ไม่อยากไป ร้องแหง็กหงัก ๆ เต็มวัดเต็มวา ในครัวยิ่งมาก เสียงร้องแหง็กหงัก ๆ อันนี้มาก ทางด้านพระเสียงร้องหงกเหง็ก ๆ ตัวผู้เข้าใจไหม ตัวนั้นตัวเมียก็ร้องแหง็ก ๆ อยู่นั้น
มันร้องแข่งกัน ตัวผู้กับตัวเมีย พระกับฆราวาส ฝ่ายผู้หญิงร้องแหง็ก ๆ ฝ่ายพระก็ร้องหงก ๆ คือถูกเอาธรรมจูงคอมันออกจากทุกข์มันไม่ยอมไป มันสู้ส้วมสู้ถานไม่ได้ ร้องแหง็ก ๆ ใส่ส้วมใส่ถาน เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน ถ้าปล่อยเข้าแล้วมันไม่ยอมออกนะปล่อยหมาเข้าถานนี่ ไปดีนี่มันจึงไปยากนะ โห อำนาจของกิเลสมันดึงเอาจริง ๆ ไม่ใช่เล่น นี่ละหลักธรรมชาติ อำนาจของกิเลสดึงลงตลอด อำนาจของธรรมดึงขึ้นตลอด ทีนี้เวลาธรรมไม่มีกำลัง ดึงส่วนมากสู้มันไม่ได้ สู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนเราจึงทำความชั่วได้ ตกนรกอเวจีได้ ใครจะไปทำความชั่วถ้ารู้นะ ใครอยากไปตกนรกถ้ารู้ แต่กิเลสไม่ให้รู้ แต่ความอยากทำตามทางที่จะไปลงนรกนั้นมันเปิดไว้โล่ง ๆ มันก็อยากไปทางโล่งน่ะซิ แล้วลงเอา ๆ
ให้เชื่อธรรมนะ กิเลสนี้ลบตลอดนะ ลบความจริงตลอดเลย ตลอดมาและจะตลอดไป ความจริงนี้เป็นความจริงตลอดมาและตลอดไป เป็นคนละฝั่ง ฝั่งกิเลสเป็นฝั่งลบล้างความจริง ฝั่งความจริงนั้นลบล้างสิ่งจอมปลอมคือกิเลส ลบล้างกันอยู่อย่างนี้ ให้เอามาลบล้างตัวเองนะ พูดนี้เป็น โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาตัวเอง ๆ ซิ อย่าไปพูดนินทาคนนั้นคนนี้ไปว่าคนนั้นคนนี้ ตัวเองเป็นยังไง เอามาซิ ท่านสอนสอนเพื่อให้เป็นคติ โอปนยิโก น้อมเข้ามาสอนตนภายในมันถึงถูก
อย่างท่านสอนให้ไปเยี่ยมไปดูป่าช้า คนตายเป็นยังไง แต่ก่อนเขาก็เป็นคนเป็นอยู่นี้ สมบัติเงินทองข้าวของยศถาบรรดาศักดิ์เต็มอยู่กับพวกนี้ เวลาตายแล้วมีอะไรเห็นไหม มีแต่กองกระดูก แมลงวันตอมหึ่ง ๆ อยู่นั้นเป็นยังไง เอามาเทียบกับเราซิ เวลาเราตายแล้วเป็นยังไง มันก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราจะดิ้นจะดีดไปอะไรนักหนาจนถึงกับไม่มีป่าช้า เขาตายต่อหน้านี่เห็นไหม นั่นไปเยี่ยมป่าช้าท่านสอนอย่างนั้นนะ เขาตายอยู่ต่อหน้าต่อตาเราจะไม่ตายเหรอ เราเพลินอะไรจนเกินเนื้อเกินตัวจนถึงขนาดจะไม่มีป่าช้า ดูนั่นซิ นี่มันจะไปตายแบบนั้นนะ มันก็รู้ตัวคนเรา เมื่อรู้ตัวมันก็หาที่ยึดที่เกาะเมื่อจะจม ถ้าไม่หาที่ยึดที่เกาะจมแน่ ๆ หาที่ยึดที่เกาะคือความดี ได้ความดีแล้วก็ดีดผึง ๆ ให้พากันเข้าใจนะ ท่านสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า เป็นเครื่องสอนตน
ความตายมีอยู่กับตัวแต่มันมองไม่เห็น ต้องไปมองข้างนอกเสียก่อน มองข้างนอกแล้วย้อนเข้ามาเทียบข้างใน พอได้สัดได้ส่วนแล้วทีนี้ก็ป่าช้าภายใน พิจารณากันตลอด อริยสัจอยู่ที่นี่ มันก็รู้กันที่นี่
นี่ก็ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง เรามาครั้งนี้เป็นครั้งที่เราได้เห็นความสกปรกโสมมของโลกมากทีเดียว เต็มหัวใจเรา เราว่าอย่างนี้เลย นี่เราพูดแบบธรรม เปิดเผย หัวใจมันรู้อยู่นี่จะว่าไง ใครจะว่าไม่รู้ขนาดไหนมันจ้าของมันอยู่อย่างนี้ปิดมันได้ยังไง มันรู้สกปรกโสมม สกปรกมากทีเดียวในเมืองไทยของเรานี้ วงราชการนี้เป็นวงที่สกปรกมาก ซึ่งเป็นหัวใจของชาติไทยเราด้วยนะ เป็นความสกปรกมากที่สุดทีเดียวอยู่ในวงราชการ นี่เอาหลักความจริงมาพูด มันกินมันโกงมันรีดมันไถมันอะไรมีอยู่ในนั้นหมด อยู่ในวงราชการ มากน้อยเป็นมาโดยลำดับลำดาแต่ไม่มาก ทีนี้ค่อยเด่นขึ้น ๆ จนกระทั่งถึงมาปัจจุบันนี้ มันเป็นขั้นที่จะว่าบอกบุญไม่รับแล้วนะ กุสลา ธมฺมา อย่าไป กุสลา เลยกับพวกนี่น่ะ มันบอกบุญไม่รับแล้ว นี้หนาแน่นมากที่สุดจนสลดสังเวช
เราเป็นผู้นำ สอนโลกด้วยอรรถด้วยธรรม ผิดถูกประการใดว่าตามผิดตามถูก นี่เวลานี้กำลังสกปรกมาก ก็บอกชัด ๆ อย่างนี้ กระเทือนไปทั่วประเทศไทย วงศาสนากระเทือนด้วย เราก็ได้ออกมาประกาศป้าง ๆ หักห้ามอย่าทำสิ่งชั่วช้าลามก เป็นการกระทบกระเทือนแก่ตนเองและประเทศชาติบ้านเมือง มันก็เห็นเป็นอยู่นี่เห็นไหมล่ะ มันหยาบขนาดไหน มันจะไม่ยอมเลย จะเอาตั้งแต่ตามความต้องการของตัวเอง ไม่ทราบมันจะเอาไปถึงไหน การงานเหล่านี้เป็นงานสกปรกพาลงนรกทั้งนั้น
เราสอนเราไม่ลงเราพูดตรง ๆ ผิดบอกว่าผิดแต่เราไม่ลง ถูกบอกว่าถูก เราไม่ขึ้น เราพอของเราทุกอย่างแล้ว สอนโลกด้วยความพอทุกอย่าง เราจึงสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เพราะธรรมไม่เป็นข้าศึกกับผู้ใดเลย บอกอย่างตรงไปตรงมา ใครจะตั้งเนื้อตั้งตัวปรับปรุงตัวเองก่อนที่ยังไม่สายเกินไป คือลมหายใจยังหายใจฝอด ๆ อยู่นี้ยังแก้ไขตัวได้ ให้รีบแก้ไขเสียตั้งแต่บัดนี้
เราอย่าไปท้าทายพระพุทธเจ้าที่สอนว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ มี เราอย่าไปท้าทายว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีถ้าไม่อยากจมทั้งเป็น ให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลง ไม่มีใครเหนือพระพุทธเจ้าแหละ ที่ความรู้ความฉลาด ประการสำคัญก็คือว่าไม่มีใครเหนือกรรม กรรมดีกรรมชั่วครอบอยู่หัวทุกคนทุกตัวสัตว์ ใครจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ไม่เหนือกรรม ทำชั่วได้ชั่วทันที ๆ อันนี้ตีตราไว้เลย ๆ ทำดีได้ดีทันที ไม่จำเป็นต้องมีที่ลับที่แจ้งอะไรละ ดีชั่วประกาศอยู่ในตัวของมันเอง ๆ ให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลงไม่งั้นจะจม ชาติไทยของเรานี้จะจม เพราะต่างคนต่างไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมความถูกต้องดีงามและเหตุผลต่าง ๆ มีแต่ดันทุรังจะเอาไปตามความต้องการของตัวเอง ๆ ความต้องการมันเป็นเรื่องของกิเลสไฟเผาโลกล้วน ๆ มันก็เผาทั้งเราเผาทั้งโลกไปได้ไม่สงสัย เพราะคำว่ากรรมอันนี้เหนืออยู่แล้ว ใครจะไปลบล้างไม่ได้เลย วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้แหละนะ เอาละให้พร
พวกนักเรียนก็มีนะ นักเรียนก็มาทั้งชายทั้งหญิง พวกนักเรียนมีทั้งชายทั้งหญิง ให้ไปประพฤติเนื้อประพฤติตัวให้ดีนะลูกหลาน ให้มีแบบมีฉบับ บ้านเมืองที่ดีที่สงบร่มเย็นให้เป็นความสุขแก่ส่วนรวมก็คือต่างคนต่างมีแบบมีฉบับ มีกฎเกณฑ์อันดีงามปฏิบัติประจำตัว ๆ เมื่อคละเคล้ากันแล้วก็ดีงามทั่วไปหมด ให้ตั้งใจปฏิบัตินะ เวลานี้มันกำลังจะเลอะเทอะมากแล้วแหละเมืองไทยของเรา คือไม่มีศาสนา ต่อต้านลบล้างศาสนาต่อหน้าต่อตาเห็นชัด ๆ จากผู้ใหญ่ด้วยป่า ๆ เถื่อน ๆ อำนาจป่า ๆ เถื่อน ๆ กีดขวางโลก เป็นก้างขวางคอชาติไทยเราเวลานี้ มีแต่ตัวใหญ่ ๆ เป้ง ๆ ตัวสกปรกมาก ๆ นั่นแหละ
เป้ง ๆ ก็เป้งด้วยความสกปรก ไม่ได้เป้งด้วยความดีงามพอจะให้โลกร่มเย็น เพราะฉะนั้นให้ลูกหลานไปตั้งใจปฏิบัติ อย่าเอาตัวเป้ง ๆ สกปรกโสมม ซึ่งกำลังจะเป็นภัยต่อพี่น้องชาวไทยอยู่เวลานี้มาเป็นตัวอย่าง จะจมกันทั้งชาติไทย ให้พากันฟิตตัวแก้ไขดัดแปลง สิ่งเหล่านี้เป็นไฟมาดั้งเดิม มีมากมีน้อยเป็นไฟมาตลอด ให้พากันระมัดระวัง
หลวงตาที่สอนนี้ถึงขนาดขั้นสลดสังเวชนะ พูดจริง ๆ คือมันต้านทานธรรม มันเห็นธรรมว่าเป็นข้าศึก กิเลสเห็นธรรมว่าเป็นข้าศึก เราเป็นผู้สอนด้วยอรรถด้วยธรรม ชะล้างสิ่งสกปรกซึ่งเป็นตัวภัยแก่โลก ชะล้างออกเพื่อความสดสวยงดงามของธรรม จะได้ดีขึ้นในหัวใจของโลก แล้วมันก็เป็นอย่างที่เราพูดนี่แหละ เราสลดสังเวชเหมือนกัน โถ หนาขนาดนี้ ศาสนาล่วงได้ ๒,๕๐๐ นี้ เวลานี้ได้เห็นชัดเจนว่า เรื่องของอธรรมเข้าต้านทานธรรม ลบล้างธรรมแบบดื้อแบบด้าน แบบหน้าตาเฉย แบบไม่สนใจว่าเป็นของสูงของต่ำ ยิ่งกว่าความดีดความดิ้นความทะเยอทะยาน ความลืมเนื้อลืมตัวของตน อันเป็นเรื่องของกิเลสคือไฟเผาโลกล้วน ๆ นี้ละตัวสำคัญเวลานี้กำลังออกแสดง
พี่น้องทั้งหลายไม่เคยเห็นให้ดูวงศูนย์กลางของชาติไทยเรา นี่ละธรรมพูดกลาง ๆ อย่างนี้ ไม่มีอะไรเดือดร้อนยิ่งกว่าศูนย์กลางแห่งชาติไทยของเราเวลานี้ ตัวนี้ตัวก่อเหตุก่อภัยอย่างร้ายแรง แบบไม่มีบาปมีบุญ ไม่มีกฎอันดีงามปกครอง ถ้าอันไหนที่จะหลีกเลี่ยงไปเพื่อผลประโยชน์แก่กิเลสแล้ว หลีกเลี่ยงไปทันที ๆ หลบนั้นหลีกนี้อยู่อย่างนั้นเป็นประจำ ปลิ้นปล้อนหลอกลวงอยู่ในนั้นเสร็จเลย จึงเห็นความสกปรก พลิกไปแง่ไหนคูใดมันก็รู้กันทันที ๆ ธรรมจับได้หมดนอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น เพราะกิเลสมันหยาบ ๆ เหมือนปลาซิวลอยน้ำ มันมาผิว ๆ เผิน ๆ ธรรมจับได้หมดเลย ทะลุ ๆ เลย นอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นเองธรรม แล้วรวมออกมาก็ว่า ปลงธรรมสังเวช ว่างั้นนะ
เพราะเราช่วยพี่น้องชาวไทยนี้ช่วยด้วยลมปาก นำออกมาจากธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นความบริสุทธิ์สุดส่วนมาสอน แต่นี้ความสกปรกโสมมมันมาโปะธรรม ๆ กลบธรรม ๆ ลบล้างธรรม มันจึงเกิดความสลดสังเวช ให้พากันจำทุกคนนะ เป็นกรรมของสัตว์จะว่าไง
เมื่อคืนนี้เราไปดูโกดัง คือของโกดังนี้เดี๋ยวนี้เราเอามาไว้เฉพาะโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลนี้มาทุกแห่งทุกหนไม่เว้นแต่ละวัน ๆ เมื่อวานนี้ก็ อำเภอเต่างอย จ.สกลนคร แถวนี้เราเคยไปพักอยู่แล้ว แถวบ้านเต่างอยนี้ เมื่อวานเขามา เขาพึ่งตั้งเป็นอำเภอ เขามาเมื่อวานนี้ เราก็ไปดูของโกดัง แน่น แล้วปิดทางอื่น พระวัดไหนมาก็ไม่ให้เราบอกตรง ๆ เราไม่เสริมพระให้ขี้เกียจ กินมากนอนตื่นสายเหมือนหมูขึ้นเขียง เราตัด เพราะเราเคยดำเนินมาแล้ว เราไม่ได้ดิบได้ดีด้วยการอิ่มหมีพีหมานะ เราได้ดิบได้ดีด้วยอำนาจแห่งความบกพร่องขาดแคลน เรียกว่าทุรกันดารมากที่สุดการดำเนินของเรา เราจึงได้นำเหล่านี้ประมวลเข้ามา ที่เหลือเฟือทั้งหลายไม่ใช่ทาง ที่ขาดแคลนกันดารนั้นแหละทางเดินของธรรม เราเคยเป็นมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงตัดบรรดาวัดทั้งหลาย
เรามีเว้นตั้งแต่ว่าที่เราตั้งหน้าที่จะให้อันดับหนึ่งก็วัดภูวัว นี้ให้เป็นประจำและจะให้ตลอดไป ถ้าพระเหล่านั้นยังตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามที่เราไปเยี่ยมเสมอและแนะนำสั่งสอนตลอดมา แล้วเราจะบำรุงส่งเสริม เพราะเราต้องการพระดี หาธรรมจากพระดีนั้นแหละ เราส่งเสริมธรรมให้ท่าน เอา ถึงไหนถึงกัน หมดเป็นหมด ยังเป็นยัง ส่งไปแต่ละครั้งนี้ ๒ แสนกว่า ๆ แต่ละครั้ง ๆ นี้นะ เราพูดเฉย ๆ เราไม่ได้พูดด้วยความเสียดาย ถ้าเราเสียดายเราทำไม่ได้ว่างั้นเถอะ นี่ด้วยความเสียสละเพื่ออรรถเพื่อธรรม ส่งเสริมพระ นี่วัดภูวัวแห่งหนึ่ง แล้วก็วัดภูสังโฆ อันนี้อยู่ลึกมีพระจำนวนมาก ท่านวันชัยก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ดีอยู่เราก็ไว้ใจ เราจึงส่งเสริม
สองวัดนี้มาเมื่อไรได้เมื่อนั้นเราเปิดไว้เรียบร้อยแล้ว นอกนั้นเราไม่ให้ เราเคยให้มามากต่อมากแล้วพึ่งจะมาปิดตอนนี้แหละ เพราะทางโรงพยาบาลหลั่งไหลมามากทีเดียวเดี๋ยวนี้ ขนให้โรงพยาบาลทั้งขนให้พระมาจากวัดต่าง ๆ เหมือนเป็นพระขอทาน ไม่เอาว่างี้เลย เพราะบวชมาก็เป็นพระขอทานมาแล้ว ยังจะมาขอทานหลวงตาบัวอีก เลี้ยงไม่โตลูกศิษย์พวกนี้ เข้าใจไหมล่ะ ทีนี้ไม่เลี้ยง เราจะเลี้ยงอรรถเลี้ยงธรรมตลอดไปเหมือนอย่างตลอดมานั่นเอง อย่างนี้เราไม่เสริม
ไปโกดังเมื่อคืนเราจะได้อ่านหรือไม่อ่านก็ไม่ทราบแหละ ไปจับหนังสือกองพะเนิน หนังสือนี้ที่เราทราบ หนังสือ หยดน้ำบนใบบัว ๑ แสน ๕ หมื่นเล่ม บริษัทกระทิงแดงกับ ดร. เชาวน์ รวมกันพิมพ์ส่งมา ส่วนกระทรวงต่าง ๆ ตามโรงร่ำโรงเรียนเขาส่งไปหมด นี้เขาส่งมานี้เพื่อให้แจกประชาชน เรามาอ่านด้านหลังเมื่อคืนนี้นะสะดุดใจกึ๊กเลย ด้านหน้าเขาก็บอกไว้แล้วดังที่เราเห็น ด้านหลังมีอีกนะ สุดเล่มปกหลังว่า เราจะทำประโยชน์ให้โลกด้วยความเมตตาเต็มความสามารถ หลังจากนี้แล้ว คือเราตายไปแล้วเราจะไม่กลับมาเกิดอีกตลอดไปจนถึงอนันตกาล นี่ถึงใจทั้งสองเลย หาที่ต้องติไม่ได้คำเหล่านี้ ออกจากหัวใจเรา แน่ใจว่าเราเป็นผู้พูดจึงมาเขียนของเรา เราถอดออกจากนี้จริง ๆ เราไม่สงสัย
นี่ที่ได้สะดุดใจเมื่อคืนนี้ว่า หลังจากนี้แล้ว คือเราจะทำประโยชน์ให้โลกเต็มกำลังความสามารถของเราด้วยความเมตตาล้วน ๆ นี่อันหนึ่งนะ หลังจากนี้แล้ว คือเมื่อเราตายไปแล้วเราจะไม่กลับมาเกิดโลกอันนี้อีกต่อไปตลอดอนันตกาล สะดุดใจกึ๊กเลย และก็เหมาะกันเราหาที่ต้องติคำนี้ไม่ได้เลย ถอดออกจากหัวใจนี้ไปพูด เป็นความจริงล้วน ๆ นั่นแหละ
โลกถ้ามันพอมีนิสัยบ้างมันก็จะรับไปปฏิบัติกัน ถ้ามันไม่มีอะไรเลยเป็นซุงทั้งท่อนก็ปล่อยไปตามลำน้ำเท่านั้นเอง หมดเท่านั้น ให้พากันตั้งใจภาวนานะ อย่ามานอนอยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์นะ ตามดูมันซิจิตดวงนี้ พาเกิดพาตายกี่ภพกี่ชาติตั้งกัปตั้งกัลป์มา จิตดวงเดียวนี่นะมันไม่เคยตาย จำให้ดี ร่องรอยของมันมามีแต่กองทุกข์มาด้วยกัน เกิดที่ไหนภพใดชาติใด มีแต่กองทุกข์ติดตามไป ๆ เพราะกิเลสไปไหนทุกข์ไปตาม ให้ตามร่องรอยมันด้วยธรรม ติดตามมัน ภาวนา มันขี้เกียจฟาดความขยันลงไป ตีความขี้เกียจให้มันแตกกระจายไปนู่น ตามให้มันทันซิ เมื่อทันแล้วไม่ต้องไปถามใคร
พูดแล้วสาธุ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถามท่าน ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้เองเห็นเองประกาศป้างมาแล้วสงสัยไปที่ไหน นี่ละตามทันแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมธาตุเป็นนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ แล้วไม่สูญ ธรรมธาตุ นิพพาน สูญไปไหน นี่ละถึงแล้วก็ไม่สูญ ถึงที่สุด เรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์ หมดโดยสิ้นเชิง ก็ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นไม่สูญ จิตดวงนี้ไม่เคยสูญนะ มันเกิดมันตายอยู่นี้ก็ไม่สูญ เรียกว่านักท่องเที่ยว พอสิ้นจากนักท่องเที่ยวแล้วก็ผึงนิพพาน นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นั่นสูญไปไหน ถ้าสูญเอาอะไรมาเป็น ปรมํ สุขํ พิจารณาให้ดีนะ มาอยู่เฉย ๆ ไม่ได้นะ ให้ดูจิตดวงนี้มันเก่งนักนะ กิเลสเก่งธรรมะไม่เก่งสู้มันไม่ได้
เมื่อวานนี้ช่อง ๓ ก็มาตอนเย็นแล้วไปขึ้นเครื่องบิน ช่อง ๓ นี่ละที่ประกาศทั่วประเทศไทย ช่อง ๓ ออกได้ละเอียดลออ ด้วยความสนใจเลื่อมใสศาสนาจริง ๆ คนที่เขามาชมเชยสรรเสริญเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน นั่นเห็นไหมคนมันรู้กัน เขาออกมาด้วยความจงใจ ด้วยความเคารพเลื่อมใสสนใจจริง ๆ เขาก็รู้ ออกมาพอเป็นพิธีเขาก็รู้ เข้าใจไหม นี่ที่ไหนบอกมาก็อย่างนั้น เมืองไหน ๆ จังหวัดไหน ๆ มานี้ก็ว่า ทราบนี้จากช่อง ๓ แน่ะ จากช่อง ๓ ๆ ใครมาพูดเสียงเดียวกันหมด แล้วเราก็เล่าให้เจ้าของเขาฟัง ให้เป็นที่ยินดี งานนี้เป็นงานที่ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้ว เท่านั้นละ ไปแล้วที่นี่
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com