เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
ความหมุนของใจ
นครไชยศรีเคยไปหมด ที่ไหนๆ เคยไปหมด นครไชยศรีอาหารให้ปลา ปลาเต็มแถวนั้น เราไปที่นั่นเอาของไปมากนะเอาไปให้ปลา แล้วก็มีพระโกโรโกโสกลัวเราจะไปคว่ำถ้วยลาภเขา เอาของไปให้ปลาเขาจะขาดรายได้ เราก็ไม่ทราบจะว่าอย่างไร หัวโล้นๆเหมือนกัน คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง เราเอาของไปมันจะขาดรายได้ของพระนั่นละที่เป็นเจ้าถิ่นหวงซากอยู่นั้น เราสะดุดใจกึ๊กจะพูดอย่างไร เราเอาไปให้ด้วยความเมตตา เอาไปมากนะ
นี่ละมันจะไปคว่ำถ้วยลาภคือรายได้ของเขา ทีนี้เขาเอาไปทางไหนนะ ดูไม่ได้ให้นะนั่น มันไปเสียถ้วยลาภเขาจะคว่ำ เราก็เลยเอาของไปให้ที่อื่นให้ปลาแถวนั้น อาศัยกินกับปลาแถวนั้นนะ พระอาศัยปลากิน พูดก็สวยงามนะ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ก็หมายความว่าอย่ามาแย่งอาหารเด็ก มันทำให้คิดทุกอย่าง อายุแก่มาเท่าไรยิ่งคิดนะ อะไรสัมผัสปั๊บๆ มันจะคิดปั๊บๆๆๆ ไปเลยนะ อย่างที่ว่านี้มันเห็นความละโมบของพระ คนหนึ่งจะเอาไปให้ คนหนึ่งกลัวจะขาดถ้วยลาภ เราก็เลยไม่ให้เขาจะขาดถ้วยลาภ เราเอาไปที่อื่น แถวนั้นเราเคยอาหารไปให้ปลาเยอะนะแถวนั้น
แม่น้ำเจ้าพระยามันเป็นรั้วๆ สำหรับปลาอยู่ เขาเอาอาหารไปให้ปลา เราเคยเอาไปให้ ที่วัดไร่ขิงนะเขามีโรงงานขนมปังนะ เราพอดูไปนั่นเห็นพวกปลาเต็ม เราก็ให้ แล้วถามไปถามมาเขามีโรงงานทำขนมปัง เอาไปล้อไปใส่มาๆ จนสมภารวัดวิ่งมาหามาดู พระท่านมาจากไหนถึงทำผิดพระทั้งหลายมากว่าอย่างนั้นนะ พระองค์นั้นคงจะเป็นเจ้าของอยู่แถวนั้น พระองค์นี้ท่านชื่อให้ไปถามรองดูซิ มาถาม..อาจารย์มหาบัว โอ๊ย ได้ยินกิตติศัพท์กิตติคุณท่านมานานแล้ว เราก็ดูท่าน มาจริงๆนะ พระองค์นั้นละมา มากับเราท่านยิ้มแย้มแจ่มใสนะ เราได้ช่วยปลาเยอะ เอาขนมมาจากโรงงานเขามา ขนใส่ล้อๆ มาเลย เราคุยให้ท่านฟังพอประมาณ เราไปไหนมันมีแต่จะให้นะ มีแต่ความเมตตาจริงๆ นะ ไม่มีอะไรสักสตางค์หนึ่งในนี้ แต่เมตตาครอบหมด มีเท่าไรหมดเลย เมตตาปัดออกหมด ช่วยโลก เป็นอย่างนั้น
พลโทอดุล อุบล เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบกมาถวายสังฆทาน... จิตใจเราใฝ่ธรรมเย็นนะ ถ้าใฝ่ธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งมีดีจนอะไรนะ ถ้าจิตใจใฝ่ธรรมแล้วสุขอยู่ในใจ จิตใจใฝ่โลก ใฝ่โลภเข้าใจอันนั้นร้อน มีเท่าไรก็ร้อน ถ้ามีธรรมในใจเย็นไปหมด เรื่องธรรมสำคัญ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจชุ่มเย็น ไปที่ไหนชุ่มเย็น ต่างกันนะ ธรรมในใจกับกิเลสในใจ กิเลสอยู่ในใจมากน้อยนี้ร้อน สมบัติเงินทองไม่มีความหมายนะ ถ้าจิตใฝ่ไปทางโลกมากๆ ความโลภก็มาก ได้เท่าไรไม่พอๆ จิตใจมันร้อน ถ้าจิตใจไปที่ไหนเย็น เป็นอย่างนั้น
นี่ได้ศึกษาทางธรรมะมาตั้งแต่พ.ศ.เท่าไรที่เข้าบวชนะ (๒๔๗๗) เราเข้าบวชสั่งสมแต่ความดีตลอดมา คิดอ่านเรื่อยๆ อ่านตั้งแต่เรามาบวชจะได้ไปสวรรค์ ว่าอย่างนั้นนะ ความแน่ในใจเจ้าของ จากนั้นไปพรหมโลก สวรรค์ก็ไม่แน่นอน อายุไม่ยืนนาน แล้วไปพรหมโลก พรหมโลกยืนนานแต่ไม่พ้นกฎอนิจจังไปทำลาย แล้วที่ไหนกฎอนิจจัง ทำลายไม่ได้ ถามหาเหตุหาผลเจ้างของนั่นแหละ นิพพานเท่านั้นไม่มีกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มี สภาพแปรปรวนไม่มี เที่ยง นิพพานเที่ยง จึงได้มาสะดุดใจกึ๊กนะจุดนี้ สวรรค์ก็ปล่อย พรหมโลกก็ปล่อย เพราะมันแปรสภาพ เอานิพพาน นิพพานไม่ปล่อย จับติด มันเป็นเจ้าของเองนะ
นี่มาระบายให้ท่านทั้งหลายฟัง เราไม่เคยพูดอย่างนี้ จากนั้นจิตก็หมุน เพราะนิสัยเรามันจริงจัง ถ้าได้ปลงใจลงอะไรแล้วขาดสะบั้นไปเลย อยากไปสวรรค์ สวรรค์อายุยืนนาน ไปพรหมโลกยืนนานแต่มาเกิดตายอีก ไปที่ไหนต้องมาเกิดตาย ไปนิพพาน จิตก็ปักใส่นิพพานเลยนะ ปักจริงๆนะ เอาจริงๆนะ เราเร่งภาวนา ไปหาพ่อแม่ครูอาจารย์เราครูอาจารย์มั่น ท่านใส่เปรี้ยงๆ ท่านกางตาข่ายท่านไว้แล้ว ว่าเราไปหาท่านไปมุ่งผลประโยชน์อย่างยิ่งให้สุดขีดของการได้ยินได้ฟังวันนี้ละ ท่านก็ใส่เปรี้ยง สมกัน จิตก็อิ่มเอิบ
พอลงมาจากกุฏิวันแรก เป็นอย่างไรได้ฟังเทศน์ท่านวันนี้ถึงใจไหม ถามเจ้าของ ได้ฟังเทศน์พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นถึงใจไหม โอ๊ยเอาตายว่าทีนี้นะ ว่าถึงใจแล้วเอาตายว่าเลย จากนั้นก็หมุนทางด้านภาวนา หมุนจริงๆ นั่นละ เพราะนิสัยมันจริงจังการภาวนาจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ พอมันปักเข้านี่มันหมุนตลอดนะ ไม่มีถอยเลย จะเอานิพพานให้ได้ จะให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มันปักใจเจ้าของ ทีนี้ความเพียรมันก็เร่งเต็มที่ มันเร่งตามความมุ่งมั่น อันนี้ทุกข์มากนะ ความมุ่งมั่นดี ความขี้เกียจขี้คร้านเหมือนว่าไม่มี ความที่จะให้ได้มรรคผลนิพพานให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้มีหนักหน่วงมาก ดึงเลยๆ ความเพียรก็เอาเลย
นี้ไม่ทราบว่าไปถึงไหนหรือว่าหันไปทางนั้นแล้วหันไปทางนี้ก็ไม่ทราบนะ เห็นกล้วยเขาหวีงามๆหันใส่นั้น มันอยากหันไปอย่างนั้น มันไม่หันไปสวรรค์นิพพาน เดี๋ยวนี้นะ มันไม่หันก็ว่าไม่หัน เดี๋ยวนี้ไม่หัน ตอนนั้นหัน หมุนจี๋เลย พอไปเต็มที่มันแล้วไม่หัน หันไปทางไหนก็ไม่หัน หันไปเกิดก็ไม่หัน หันไปตายก็ไม่หัน มีแต่ว่านิพพานเที่ยงพอ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นไม่หันไปไหน พูดเท่านั้นละ เกิดตายมากี่ภพกี่ชาติมาตัดสินใจเจ้าของในเวลาธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ถึงธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เรียกว่าธรรมธาตุ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันทีนี้หยุดหมุน หยุดทุกอย่าง
นี่สมใจ สมใจกับความมุ่งหมายของเรา ว่าอะไรเอาอันนั้น ว่าอะไรจริงอันนั้นนะ มันจริงทุกอย่าง พอมาถึงบทนี้ก็จริงคือให้เป็นพระอรหันต์ ให้ไปนิพพานให้ได้ชาตินี้ หมุนจี๋เลยนะ แต่ผลได้แค่ไหนก็ไม่ทราบ พูดถึงเรื่องความหมุนของใจ เพราะมันจริงจังทุกอย่าง ถ้าลงว่าอะไรจริงอันนั้นละ ถ้าลงปักใจปั๊บแล้วเอาละ ถ้ายังไม่ปักใจยัง ถ้าลงปักใจปั๊บแล้วเอานะเท่านั้นพอ หมุนติ้วเลย นี่ก็หมุนจริงๆ ล่ะ ถึงนิพพาน จากนั้นแล้วก็หยุดหมุน เรื่องไปนิพพานไม่อยาก อยากไปไหนก็ไม่อยาก แสดงว่าพอแล้ว ลงในจุดนี้พอ หมุนไหนก็ไม่หมุน ตายนี้จะไปเกิดที่ไหนไม่หมุน เกิดก็ไม่มีความหมาย ตายไม่มีความหมาย เวลาถึงจุดนั้นแล้วมีแต่ว่าพอเท่านั้น มีความหมายเต็มที่พอ นี่ละทำให้เต็มที่แล้วมันพอได้นะ ส่วนโลกไม่มีพอ เรียกว่าบืนเท่าไรยิ่งบืนเอาจนได้ไม่พอ หมุนมันตามนี้พอเป็นระยะๆ ให้ขั้นพอถึงที่แล้วพอ ตัดสินใจเจ้าของ
ให้พากันปฏิบัติให้ดีนะ นี่พูดด้วยความบึกบึนเจ้าของนะ บืนใส่ตรงนั้นบืนใส่ตรงนี้ พอมาถึงนิพพานไม่มาเกิดแล้วหมุนใส่เลย ให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ชาตินี้ จะไม่กลับมาเกิดอีก ทั้งๆที่เงินไม่มีสักสตางค์นะแต่มุ่งเป็นมหาเศรษฐี มันก็เป็นของมันอย่างนั้น จากนั้นมามันก็พอ พอถึงขั้นพอธรรมนี้พอ เมื่อพอแล้วไม่อยากอะไร ไม่ต้องการอะไร สามแดนโลกธาตุปล่อยวางหมดเลย ไม่เอาอะไร ไม่มีอะไรมาติดใจ ให้ติดนั้นข้องนี้ไม่มี นั่นเวลามันพอมันปล่อยหมด ถ้าไม่พอมันก็บืนของมัน
ได้ชมเรื่องความจริงใจนะเราได้ชม ถ้าว่าเอานะเอาจริงๆ ถ้ายังไม่ว่าเอานะยัง หมอนกับเสื่อติดหลังอยู่นั่นละ ถ้าว่าเอานะเสื่อกับหมอนตกเลยทันที ใส่ปึ้งเลย จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้หมดทุกอย่าง พูดให้เต็มยศเสีย หมดทุกอย่าง ที่ว่าต้องการอะไรๆหมด ว่าต้องการนิพพานก็หมด ท่านว่าหมดอยู่ที่ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น คือใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันเป็นธรรมธาตุ หมดละหมดจริงๆ เอาล่ะพูดเท่านี้พากันเข้าใจไหมละ ได้เป็นคติบ้างไหมที่พูดนี่
พากันจริงจัง ทุกอย่างให้จริงจัง ว่าอะไรให้จริงทุกอย่าง อย่าเหลาะแหละ ถ้าเหลาะแหละไม่เป็นเนื้อเป็นหนัง ถ้าว่าเอานะจริงๆ ให้กิเลสหมดจากใจเท่านั้นหมดงาน เป็นจิตว่างงาน ว่างหมดเลย มีกิเลสตัวเดียวสร้างงาน สร้างไม่หยุดไม่ถอยสร้างจนจะตาย ตายทิ้งเปล่าๆ ถ้าธรรมสร้างงานได้เป็นระยะๆ ได้ถึงที่แล้วว่างหมด ไม่เอาอะไร ปล่อยหมดเลย นั่นละเรียกว่าคนว่างงาน จิตว่างงานว่างอย่างนั้น จิตที่วุ่นกับงานก็คือจิตที่มีกิเลส ถ้าสิ้นกิเลสตัวยุ่งนั้นแล้วก็ว่างงาน คนว่างงาน
อย่างทุกวันนี้ไปไหนมาไหนไม่มีงานนะ พูดตรงๆเสียให้ลูกหลานทั้งหลายได้ฟังผลของการปฏิบัติมาว่างจริงๆ วันคืนปีเดือนมีแต่มืดกับแจ้ง เจ้าของว่าจะขาดอะไรจะได้อะไรไม่มี ไม่มีได้ไม่มีเสีย เรียกว่าเป็นคนว่างงานตลอด จิตว่างงาน ว่างจากกิเลสแล้วว่างหมด ถ้ากิเลสยังมีอยู่นั่นละตัวสร้างงาน ถ้ากิเลสหมดไปแล้วก็เป็นจิตว่างงาน หมดตลอดไปเลย เท่านั้นละนะวันนี้
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|