ค่าเครื่องบินจากกรุงเทพฯ มาอุดรมันเท่าไร (๑,๕๑๐ บาทค่ะ) เราก็คิดเห็นเขาคำนวณค่าโดยสารคนหนึ่ง ๆ เท่าไร รวมแล้วเป็นเท่าไร แล้วจ่ายภายในเครื่องบินเขา ตลอดซื้อเครื่องบินมาเท่าไร ๆ เราเห็นใจเขานะ ถ้าเรามีนี่อย่าว่าแต่ ๑,๕๑๐ บาทเลย จะให้ ๓,๐๐๐ เลยเทียว คนหนึ่ง ๆ ให้ ๓,๐๐๐ แต่นี่มันไม่มี โม้เฉย ๆ ทำลงไปไม่มีกำไรเกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นจึงต้องคำนึงคำนวณ พวกนี้พวกคำนวณละเอียดลออมากนะ ต้องละเอียดลออมาก
เมื่อวานนี้ไปนวดเส้นผิดมายังไงไม่รู้นะ แต่ตอนที่นวดก็ไม่รู้ เพราะมันเจ็บแบบชุลมุน เวลามาแล้วมากลางทางรู้สึกขัด ๆ หัวเข่า เอ๊ มันจะนวดผิดไปหรือยังไงน้า มาถึงนี่เวลาเดินจงกรมรู้สึกขัดหัวเข่า จนกระทั่งตอนเช้ามานี้รู้ชัดเจนว่าขัดหัวเข่ามาก คงนวดเส้นผิด เมื่อวานมันหลายคนนี่ ที่ไปนวดเมื่อวานไม่ใช่ธรรมดานะ ไปภูเขียวจะว่าไง ท่านสมบูรณ์ท่านมาที่นี่ แล้วเราก็เคยผ่านมาที่นั่นมาเห็นป้ายบ้าน ๆ หนึ่งเขาติดไว้สะดุดตาด้วยสะดุดใจ ว่าบ้านหนองกุง ก็ทำให้ระลึกได้ว่า ลุง คือพี่ชายของพ่อไปมีครอบครัวอยู่ทางโน้น เขาเรียกบ้านหนองกุงมน เขาเคยไปเยี่ยมกันแต่ก่อน พี่ชายเราก็เคยไปเยี่ยมลุง
เหตุที่ลุงจะไปมีครอบครัวทางโน้น ก็เพราะแต่ก่อนเป็นทหาร กองทหารมาอยู่ทางหนองสำโรงแต่ก่อน ไม่ได้อยู่ทางนี้นะ ทางนี้มาตั้งทีหลัง ตอนเราโตขึ้นมาบ้างแล้วละถึงจะมาตั้งกรมทหารที่นี่ ที่ว่ากรมทหาร ๆ ตั้งทีหลังนะ แต่ก่อนกองทหารตั้งอยู่ทางหนองสำโรง ทีนี้ลุงเรานี้น่ะเป็นทหาร วันนั้นคิดยังไงไม่ทราบมาเยี่ยมบ้าน มาเยี่ยมบ้านตาดนี่แหละ มาไม่มาธรรมดาซิ ขโมยเอาม้าของนายมา ขโมยขี่ม้านายมา พอมาถึงย่านกลางทางนี้ เพราะแต่ก่อนเป็นดงหมด ป่าช้างป่าเสือเต็มไปหมดนะแต่ก่อน เมืองอุดรฯ พึ่งจะเริ่มตั้งละมั้ง ตอนนั้นพึ่งเริ่มตั้งละ ขี่ม้ามากลางคืน วิ่งห้อใหญ่มาละท่า ทีนี้เสือมันอยู่ข้างทางมันก็โดดกัดม้า แกก็ตกข้ามคอม้าไปโน้น แกก็ยังดีอยู่นะ เอาไม้ขีดไฟขีดดู คืออยู่ ๆ ม้าหัวคะมำลงไปเลย คนก็ตกข้ามหัวม้าไป ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ๆ พอขีดไม้ขีดไฟดูนี่ เสือกับม้ามันพันกันอยู่
แต่ดีนะเสือมันไม่กัดถูกคน มันกัดที่คอม้าคนขึ้นอยู่บนหลัง กัดคอม้า คนก็ตกข้ามหัวมันไปทางโน้นแล้วขีดไม้ขีดไฟดู เห็นม้ากับเสือพันกันเลย แกก็วิ่งเลย มันผิด ขโมยเอาม้านายมา นายทหาร ขโมยเอาม้านายมา มาตายนั่นละมันผิดด้วยซี ตอนมากลางคืนมาเยี่ยมบ้านนี่ก็ มาเขาก็กลับของเขาทันก็ไม่เรียกว่าขโมยละ ขโมยแบบธรรมดา แต่ขโมยม้ามาล่ะซี จะรีบกลับไปให้ทันแล้วก็จะเอาม้าไปไว้ที่เดิม มานี้ถูกเสือมันกัดเอา พอตกจากคอม้ามาขีดไม้ขีดไฟดูเห็นเสือกับม้ามันพันกัน เลยโดดผึงมานี้เตรียมของไปกลางคืนเลย กลัวเขาจะจับ นั่นละเหตุน่ะ เป็นพี่ชายพ่อเรานี่ละ ไปกลางคืนเลยไปมีครอบครัวอยู่โน้น เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้นนะ แล้วไปเปลี่ยนชื่อใหม่ด้วย กลัวเขาจะจำชื่อได้ไปเปลี่ยนชื่อใหม่ ไปมีครอบครัวอยู่โน้น นาน ๆ จะมีเยี่ยมบ้านทีหนึ่ง
ตอนไปนั้นเราจะเริ่มเกิดหรือยังก็ไม่รู้แหละ เพราะลูกสาวผู้เฒ่าเป็นลูกคนแรกก็เล็ก ๆ อยู่ ไปมีครอบครัวอยู่โน้น เราผ่านมาเราเห็นเขาติดป้ายไว้ บ้านหนองกุง เอ๊ หนองกุงอะไรน้า ถ้าเป็นบ้านที่ลุงเราอยู่นั้นเขาให้ชื่อว่า บ้านหนองกุงมน แต่ย่านนั้นมันย่านเดียวกัน เราผ่านมามันสะดุดตาแล้วยังไม่แล้ว ทีนี้พอดีท่านสมบูรณ์ท่านผ่านมานั้นเรื่อย ๆ เราก็เลยถามดูว่า ในย่านนั้นมันมีบ้านหนองกุง รู้สึกสะดุดตาสะดุดใจอยู่ แต่เขาไม่ได้บอกว่าหนองกุงมนนะ แต่ก่อนเขาให้ชื่อว่า หนองกุงมน โฮ้ ที่นั่นมันมีหนองกุงอยู่ ๓ กุง กุงน้อย กุงใหญ่ กุงมน
หือ อย่างนั้นเหรอ นั่นละเวลาเราไปนวดเส้นเราถึงผ่านไปนั้นเมื่อวานนี้ ก็ไปจอดจุดนั้นละ ตระเวนหาดูจึงไปเจอบ้าน ว่าบ้านนี้เป็นหนองกุงอะไร หนองกุงมนใช่ไหม เขาบอกว่าใช่ นี่หนองกุงมน จึงได้ซักกัน แล้วญาติยังเหลืออยู่บ้างไหม ยังเหลือ ๒ คน ลูกลุงน่ะยังเหลือ ๒ คนเป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่มาคุยกันเมื่อวานนี้คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง ยังอยู่ เลยซักกัน พูดกันนี้ถูกต้องหมดเลย คือตกม้า ขโมยหนีมามีครอบครัวอยู่นี้ พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อตกม้า ขโมยหนีมา แกเล่าละเอียดลออดีนะ นี่ลูกของลุงคนนี้ เล่าละเอียดลออที่ว่าพวกญาติพวกอะไร บอกชื่อบอกนามหมดเลย ไปเยี่ยมกันอยู่เสมอว่างั้น คนนั้น ๆ เป็นน้องของพ่อคนนี้ละ ของลุงเราน่ะมาเยี่ยม บางทีทางนี้สั่งให้ไปทางโน้นก็มาเรื่อย
เราก็บอกว่าเดี๋ยวนี้พวกนี้ตายหมดแล้วไม่มีเหลือ แล้วทางนี้ยังมีเหลือที่ไหนบ้าง ยังเหลือ ๒ คน คนที่ถามเมื่อวานนี้ดูจะเป็นพี่สาว ก็อายุ ๘๑ ปี ก็ถูก ย่านนั้นเป็นย่านที่เราจะเริ่มเกิดละมั้ง ที่ลุงขโมยหนีไป เพราะลูกสาวของลุงนี้ก็เกิดมาประมาณสัก ๒ ปี ๓ ปีมั้งพ่อก็จากไป ไอ้เราก็เกิดตามหลังนั้น คนนี้เขา ๘๑ เออ ถูกต้อง เรามัน ๘๗ เมื่อวานก็ซักถามกัน ไอ้เรื่องจำหน้าได้นี้จำหน้ากันได้หมดทั้งบ้านนั่นแหละ ทีวีนี่สำคัญมากนะ พอจอดรถลงไปนี้มารุมจ้อกันเลยทีเดียว เรายังไม่ได้ถามถึงญาติถึงวงศ์ ทางนี้จ้อเราก่อนแล้ว คือเขาดูในทีวีเขารู้หมด จากนั้นก็ถามเขาเรื่อย ๆ เราก็ถอยรถมาที่บ้านหลังนี้ละมาคุยกัน เขารุมมากันหมดแถวนั้น
ได้ทราบว่าญาติยังมีอยู่ ลูกลุง ลูกพี่ชายพ่อยังมีเหลืออยู่ ๒ คน เราก็บอกทางนี้ยังเหลืออยู่ ๕-๖ คน น้องชายผู้ถัดกันกับลุงนี้ เพราะคนนั้นก็เป็นพ่อของเรา คุยกันอยู่ประมาณสัก ๓๐ นาทีเมื่อวานนี้ เขายิ้มแย้มแจ่มใสที่เห็นเรานะ เขาไม่ค่อยคิดเรื่องญาติเรื่องวงศ์อะไรนั่น เขาดีใจที่เขาเห็นเรา มานี้จ้อเลย โฮ้ ทีวีนี่สำคัญมากไม่ได้สงสัยนะ พอมองเห็นตาจ้องเลย ใครมาจ้อง ๆ โอ๊ย ชื่อเสียงโด่งดังอะไรเขาว่า เขาเคยไปฟังเทศน์โน้นจตุจักรขอนแก่น เขามาเล่าให้ฟัง ได้รูปหลวงพ่อมากราบทุกวัน วันนี้มาเห็นตัวจริงแล้ว ไม่คาดไม่ฝัน เกิดมาพึ่งมาพบ ไม่ได้นึกว่าจะได้พบ ยิ้มแย้มทั่วหน้ากัน เพราะต่างคนต่างเห็นทีวีแล้ว เมื่อวานเขามาเล่า ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน เราถึงได้มาทราบเรื่องราว ที่ไหนได้เป็นญาติกัน พวกนี้ก็พวกลูกหลานติดต่อกันมาละมาพูด แม่นั่งอยู่ หลายคนเต็มหมดเลย
จากนั้นก็ไปวัดท่านสมบูรณ์ไปนวดเส้นเมื่อวาน ทีนี้ไม่ทราบมันผิดมันถูกตรงไหนก็คือว่า การนวดเส้นนี่เราปล่อยเลยนะ อะไรจะขาดให้ขาดไปเลย ทีนี้ไม่ทราบมันเจ็บถูกเจ็บผิดล่ะซี เวลานั่งรถมาถึงมาขัดหัวเข่า เอ๊ ไปนวดผิดที่ไหน พระก็มี ๒-๓ องค์ที่นวดด้วยกัน ท่านสมบูรณ์เป็นหัวหน้า ขัดปวด เมื่อเช้าไปเดินจงกรมอยู่ในทางจงกรมมันก็ขัดอยู่นั้นตลอด เอ๊ ยังไง ขัดยังไม่หายเลยนี่ เพราะนวดแรง นวดที่ไหนแรงทั้งนั้นแหละ คือเราเปิดให้เลย ท่านสมบูรณ์นวด นวดอย่างเต็มที่ อะไรจะขาดให้ขาดไปเลย อะไรจะหลุดให้หลุดไปเลย เราเชื่อหมอ เอ้า เอาลงเลย มิหนำซ้ำมันเจ็บตรงไหนมาก พอจ่อเข้าไปปั๊บ เออ ตรงนั้นละ ๆ ซัดลงเลยเทียว เหมือนกระดูกขาดไปเลย กระดูกแตกไปเลยละ คือมันเจ็บตรงไหนนั่นละมันแข็งตรงนั้น ซัดลงตรงนั้นทีหลังมันก็อ่อน เพราะเจ็บเพื่อหายเราก็ปล่อยเลย
ทีนี้เมื่อวานนี้ไม่ทราบมันเจ็บแบบไหนต่อแบบไหน นวดทีไรมันก็เจ็บอย่างนั้นแต่ไม่เคยพลาด เมื่อวานนี้พลาดตรงนี้ ขัดมาจนกระทั่งกลางคืน เดินจงกรมก็ขัด เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกัน เอ๊ ชอบกลนะ ตื่นเช้ามาก็ขัดอยู่ที่หัวเข่า มันคงไปผิดเส้นอะไร เพราะตรงนี้มันขัดเข่า ท่านนวดอย่างแรงเมื่อวานนี้ตรงนี้ เหมือนว่ากระดูกมันแตกไปเลยละนวดหนัก ทีนี้เวลามันผิดพลาดก็เลยไม่รู้
การนวดเส้นนี้ ท่านสมบูรณ์กับหมอที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น (หมอณรงค์ศักดิ์ครับ) เออ ณรงค์ศักดิ์นั่นก็เหมือนกัน อันนั้นปี ๒๓ เรายังหนุ่มอยู่ แขนนี้มันจะใช้ไม่ได้แล้วจะยกไม่ขึ้น มันขัดมันปวดไปหมดจนจะยกไม่ขึ้น อาจารย์หมออวยกับคุณหญิงส่งศรีไปติดต่อกับหมอทางโน้นก็บอกมาทางนี้ มาทางนี้เขามาหาเรา เราก็เลยไปทดลองดูว่า ว่าดีจริง ๆ หมอนี่ เป็นหมอมีชื่อเสียงมากในกรุงเทพฯ ว่างั้น เราจึงต้องสละเวลาไป เขามาจับดูเป็นเส้นล้วน ๆ หรือมันมีโรคแทรกอะไรบ้าง ถ้าไม่มีโรคแทรก เอา ปล่อยเลย เอาให้เต็มเหนี่ยวบอกตรง ๆ เลย เขาบอกไม่มี มีโรคเส้นล้วน ๆ นวดให้ถึงฐานมันแล้วจะหายหรือไม่หาย หายเขาว่างั้น เอ้า ถ้าอย่างนั้นปล่อยเลย อะไรจะขาดให้ขาดไปเลย เอาเต็มเหนี่ยวนะ เขาก็ซัดเต็มเหนี่ยวเลย
อาจารย์หมออวยนั่งดูอยู่นั้น ขึ้นหมดทั้งตัวเลย แต่เขาไม่ได้ขึ้นใช้เท้าเหมือนท่านสมบูรณ์ เขานวดด้วยมือ แต่มือเขานี้เป็นเหล็กเลย แข็งขนาดนั้น เราก็ปล่อยเลยเทียว พอนวดเสร็จลงมา ๒ ชั่วโมงกว่านวดครั้งแรก นวด ๓ หนนะ ครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่า ครั้งที่สอง ๒ ชั่วโมงหรือขาดเล็กน้อย ครั้งที่สาม ชั่วโมงครึ่ง นวดครั้งแรกนั่นเป็นครั้งที่เจ็บมากที่สุด เขาก็เอาเต็มเหนี่ยวเลย พอนวดเสร็จลงมา ขอกราบท่านอาจารย์อีกหนหนึ่ง กราบเพราะเหตุไรว่าซิ เขาก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวเลย การนวดเส้นนี่ผมนวดมานี้เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน ผมไม่เคยเห็นรายไหนเลยว่าจะเป็นเหมือนท่านอาจารย์ ผมพึ่งมาเจอวันนี้ รายเดียวเท่านี้ว่างั้นนะ ที่นวดลงไปแล้วเหมือนซุงทั้งท่อนเฉยเลย นอกนั้นเหมือนเสือถูกปืน ร้องจี้กจ้าก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นวดแรงอะไรเลย เพราะฉะนั้นผมจึงขอกราบอีกทีนึง
นี่หมอนี้ก็พูดอย่างเดียวกันกับท่านสมบูรณ์ ท่านสมบูรณ์ก็บอกไม่มี ไม่เคยมี มีแต่ร้องจ้ากทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ถึงขนาดนี้นะร้องแล้ว อันนี้เฉยเลย เราปล่อยเลย เจ็บตรงไหนยิ่งบอกด้วยซ้ำนะ มันเจ็บตรงไหนมาก พอจ่อลงไปปล้าบ ๆ ละเอาตรงนั้นละ ๆ ทีนี้ก็ขนาบใหญ่เลย เจ็บตรงไหนนั่นละข้าศึกอยู่ตรงนั้น เจ็บเพื่อหายเป็นไรไปวะ เอ้า เอาลงตรงนั้นแหละ ฟาดลงไปเลย ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นอัมพาตนะ ต้องนวดกันอย่างขนาดนั้น รุนแรงมากทีเดียว แล้วค่อยหายไป ๆ คือเรานวดเส้นบอกใครไม่ได้นะ พูดได้แต่เรื่องจิตเท่านั้น พูดได้คำเดียว ไม่มีอะไรเหนือจิตไปได้ พูดว่าเรื่องจิตเท่านั้น
อย่างของเรานี้ก็เรื่องจิตจะเป็นเรื่องอะไร พูดได้คำเดียว อธิบายไม่ถูก รู้ได้จำเพาะเจ้าของ ได้แต่ว่าเอา เอาเลย ซัดเลยเทียว ปล่อยเลย อะไรจะขาดให้ขาดออกไป ฟังซิน่ะ นี่พูดได้เรื่องจิตพูดอย่างอื่นไม่ถูก พูดได้คำเดียว อธิบายแต่ว่าจิตเป็นสำคัญนะ สำหรับเรานี้พูดจริง ๆ นวดจะตายกับนวดมันก็ตายกับนวดเฉย ๆ ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนกัน ฟังให้ดี นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าประจักษ์กับหัวใจ เอ้า เอานวดลงไป
เรื่องเจ็บยอมรับว่าเจ็บ เจ็บขนาดไหนก็เหมือนโลกเขาเจ็บกัน แต่จิตเป็นจิต โรคเป็นโรค ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย ต่างอันต่างจริงของใครของเรา กายก็จริงของกาย ทุกข์ก็จริงของทุกข์ จิตจริงของจิต เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน ถึงขนาดแตกออกไปก็ไม่กระทบกัน เข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละที่ว่าเรื่องจิตเป็นสำคัญนะ เรื่องเจ็บรู้ แต่จะเจ็บขนาดไหนก็เป็นเรื่องเจ็บของมัน เหมือนไฟมันแสดงเปลวเต็มเหนี่ยวของมัน มันก็แสดงของมันเต็มเหนี่ยว เราผู้นั่งดูก็นั่งดู ไม่มากระทบเรา ไฟเป็นไฟอยู่งั้น จิตเป็นจิต ทุกข์ขนาดไหนก็เป็นทุกข์ กายก็เป็นกายอยู่นั้น ต่างอันต่างจริงก็ไม่กระทบกัน เวลาปล่อยมันก็อย่างนั้น
แต่การนวดนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้นวด ถ้าผู้นวดเส้นแน่นอนในการนวดเส้นแล้วเราปล่อยให้เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าผู้ไม่แน่นี่เจ็บตรงไหนเราบอก อันนี้เจ็บผิดปกตินะเราบอกให้ระวัง คือเจ็บแล้วมันจะแสดงอาการกำเริบขึ้นมา อักเสบขึ้นมา เรียกว่ามันผิดพลาด เราไม่ทนเจ็บแบบนั้น ไม่ยอมรับ ถ้าเจ็บเพื่อจะหายเอาเลย ซัดลงไปเลย เรื่องจิตเป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ นี่ก็เอาพยานออกมาพูดให้ฟังเห็นไหมล่ะ ถึงขนาดแขนจะขาด เอ้า ขาดไปเลย เอานวดเลยฟังซิน่ะ เห็นไหมล่ะ
นั่นละจิตเป็นจิตอย่างนั้น มันไม่มีอะไรที่จะมามีได้มีเสียต่อกัน ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ต่างอันต่างจริง ถ้าพูดว่าอิสระก็ต่างอันต่างเป็นอิสระของตัวไม่กระทบกระเทือนกัน ถึงเวลาตายมันก็แบบนั้น เวลาจะตายก็ทุกข์แบบนี้จะพาให้ตาย ทุกข์มันก็ไม่รู้ว่าตายนะ มันเกิดขึ้นมันก็ดับไป กายก็เหมือนกัน สลายไปจิตก็ถอนตัวออกเท่านั้นเอง เพราะจิตไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยมีคำว่าป่าช้านะ ท่องเที่ยวมาอย่างนี้กี่กัปกี่กัลป์ของบุคคลและสัตว์แต่ละราย ๆ นี้ เกิดตาย ๆ มานี้กี่กัปกี่กัลป์นานเท่าไรแล้ว ถ้าไม่มีเครื่องรั้งเอาไว้แล้วจะไปอีกอย่างนี้ทำนองเดียวกัน หาเงื่อนต้นไม่เจอ หาเงื่อนตายแห่งความเกิดตายนี้ไม่เจอ ไปของมันอย่างนี้เรื่อย ๆ
เพราะมันมีวัฏจิตอยู่ภายในจิตฝังอยู่นั้น พาให้ไป แล้วอันนี้พาหนุนให้ทำให้เป็นกิริยาของธรรม ธรรมก็มีแทรกอยู่ในนั้น พาให้ทำดี กิเลสเป็นตัวการอยู่ในนั้นแล้วพาให้ทำชั่ว คนเราจึงมีสุขมีทุกข์ สูง ๆ ต่ำ ๆ ภพนั้นภพนี้ ไปได้ทุกภพทุกชาติไม่มีประมาณ สัตว์ทั้งหลายเขาเกิดเขาเป็นไปได้ฉันใด ตัวจิตของเราก็เป็นไปได้ฉันนั้นตามอำนาจแห่งกรรมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นใครจึงอย่าประมาทนะประมาทกรรม ไม่มีอะไรเหนือกรรม โลกธาตุนี้กรรมเป็นสำคัญ เราทำลงไปนั้นเรามีอำนาจทำกรรม ทั้งกรรมดีกรรมชั่วเรามีอำนาจทำ แต่เวลาเราทำลงแล้ว กรรมมีอำนาจที่จะบังคับเราให้เป็นไปตามดีตามชั่วที่ทำนั้น อันนี้ไม่มีใครบังคับได้ ใครอย่าอวดเก่งหนา
ไม่มีธรรมใดที่จะรู้ชัดเห็นชัดยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า เห็นหมดทุกอย่างเลย เป็นไปตามนั้น เรียกว่าลบไม่สูญ คือหลักธรรมชาติลบไม่สูญ เช่นอย่างว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี นี่กิเลสมันหลอก แล้วคนก็สร้างบาปสร้างกรรม กรรมก็บีบเอาซิ บีบเอา มันมีแต่ลมปากเฉย ๆ กรรมไม่ใช่ลมปาก เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ว่าดีว่าชั่วพาไปได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าทำกรรมชั่วก็ลงเลย ทำกรรมดีก็ขึ้นเลย ท่านจึงสอนให้ระมัดระวัง ต่างคนต่างรักตัวเองสงวนตัวเอง ให้ระวังสิ่งที่จะเป็นภัยต่อตัวทั้งปัจจุบันและอนาคต จิตดวงนี้จะเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมทั้งปัจจุบันและอนาคตตลอดไป ถ้าทำชั่วก็จะบีบตลอดไป ทำหนักเบามากน้อยเพียงไรนี้จะบีบไปตามอำนาจแห่งกรรมนั่นละพาให้ไป ๆ เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงเกิดได้ทุกแง่ทุกมุม สัตว์ทั้งหลายเกิดได้ฉันใด เราเกิดได้ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าทำแบบเดียวกันเป็นอย่างเดียวกัน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
หลักกรรมเป็นหลักใหญ่มากในสัตวโลก ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ใครจะนับถือไม่นับถือก็ตาม แต่กรรมนี้สัตว์ทำด้วยกัน ทำดีทำชั่วทำด้วยกันทั้งนั้นแหละ จะมีเจตนาไม่มีเจตนาก็ตาม กรรมเป็นหลักธรรมชาติไม่ขึ้นอยู่กับใครจะยอมรับไม่ยอมรับ เป็นกรรมตลอดไปทั้งดีและชั่วที่ทำลงไป ต้องเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลาตายลงไปอันนั้นมันอยู่ในจิตนี่ ชั่วก็ดี ดีก็ดีอยู่ในจิต อันไหนมีอำนาจมาก และอันไหนที่จะควรรับดีชั่วก่อนหลังกันนั้นมันอยู่ในหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงเกิดได้ทุกแง่ทุกมุมทุกซอก จิตดวงนี้แหละ
เช่นอย่างเชื้อโรค นี่ก็ด้านวัตถุนะเชื้อโรค แต่มองดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องเอากล้องจุลทรรศน์จับลงไปถึงเห็น ทั้ง ๆ ที่เป็นวัตถุ ละเอียดยิ่งกว่าตาเนื้อที่มองเห็นมันก็ไม่เห็น แต่เวลาเอากล้องจับปั๊บเข้าไปก็รู้ อย่างเชื้ออหิวาต์อย่างนี้ ใครไม่เชื่อหมอลองดูซิ แก้วนี้มีเชื้ออหิวาต์เต็มอยู่นี้ ไม่เชื่อ ข้ามองไม่เห็น ไม่เห็นก็ลองซัดลงไปดูซิตาย นั่น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความว่าเชื่อไม่เชื่อ มันขึ้นอยู่กับความจริง คือมีอยู่นั้นความจริง นี่ละอำนาจของกรรมเป็นหลักธรรมชาติ นู่นน่ะภาคปฏิบัตินั่นซิมันถึงชัด
พระพุทธเจ้ารู้ด้วยภาคปฏิบัติ ชัดเจนแจ่มแจ้งทุกอย่าง นำออกมาสอนโลก โลกมันโลกตาบอด เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง และไม่เชื่อ นั่น มันก็ไปตามกรรมของเขาเอง ไม่ได้ไปตามพระพุทธเจ้า คือที่สอนไว้นี้เป็นความจริง ลบล้างไม่ได้เลย ใครจะมาลบล้างแบบไหนก็ไม่สำเร็จ ท่านจึงสอนให้ระวังตัว อย่าอาจหาญชาญชัย นรกอเวจีนี้เผาสัตวโลกมากี่กัปกี่กัลป์แล้วนะ เราเป็นคนพิเศษสัตว์พิเศษมาจากไหนพอที่จะไปลบล้างนรกไม่ให้มี ลบล้างบาปไม่ให้มีเป็นไปได้เหรอ เราเพียงคนเดียวสัตว์ตัวเดียวตาบอด ๆ
พระพุทธเจ้าตาดีทั้งนั้นสอนแบบเดียวกันหมด ไม่มีพระองค์ใดลบล้างได้นะ บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดลบได้ สอนไว้ตามหลักความมีของมัน ส่วนดีสอนว่าดี ส่วนชั่วสอนว่าชั่ว อันไหนที่ควรละ อันไหนที่ควรบำเพ็ญ สอนให้ละให้บำเพ็ญ นี้เป็นความถูกต้อง เมื่อละแล้วมันก็ไม่เข้าไปตรงนั้น เมื่อไม่ทำมันก็ไม่เป็นผลชั่วขึ้นมา ทางดีเมื่อทำก็เป็นผลดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นท่านจึงให้บังคับบัญชาตัวเองสร้างความดี ไอ้เรื่องกิเลสมันจะบีบตลอดไม่ให้เราสร้าง เรื่องความดีนี้เป็นข้าศึกต่อกิเลสทันที ๆ เพราะมันเป็นเจ้าวัฏจักร การทำตามมันก็เป็นไปตามอำนาจของมัน แต่เราจะทำความดีนี้จะฝืนอำนาจของมัน มันจึงไม่ยอมให้ทำ จะทำความดีนี้ โห ฝืนเสียจน
.แม้ที่สุดเข้าไปไหว้พระก็ไปร้องแหง็ก ๆ อยู่ในห้องพระ ก็เคยเทศน์แล้วไม่ใช่เหรอ
คือความขี้เกียจขี้คร้านความไม่เอาไหนมันดึงเอาไว้ให้ร้องดังเสียงแหง็ก ๆ ร้อง โอ้โหย วันนี้เหนื่อยมาก แหง็ก ๆ ขึ้นแล้วใช่ไหม วันนี้ยุ่งทั้งวัน แหง็ก ๆ ขึ้นแล้ว อยู่ในห้องพระ วันนี้ไม่จำเป็นไหว้พระ ร้องแหง็ก ๆ ขึ้นอย่างนี้แหละ ร้องแหง็ก ๆ ว่าไม่จำเป็น ร้องแหง็ก ๆ ว่าเหนื่อยมาก ร้องแหง็ก ๆ ว่าไม่มีบุญวาสนา มันร้องแหง็ก ๆ อยู่นั้น สักเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงโครม นี่วาสนาของข้าคือเสื่อกับหมอน ร้องโครมลงไป แหง็ก ๆ ลงไปนั้น นี่ละเราจะทำความดีมันดึง เข้าใจไหมที่พูดนี้ ไม่เป็นความหยาบนะเข้าใจไหม
ความคิดความปรุงความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความต้านทาน มันเหมือนกับหมาร้องแหง็ก ๆ ต้านทานความดีไม่อยากให้ทำ กิเลสมันดึงเอาไว้ จะทำความดีนี่ร้องแหง็ก ๆ ในศาลามีแต่เสียงลั่น ถ้าผู้มีหูทิพย์ฟังนี้ โอ๋ย ศาลาหลังนี้ดังลั่น มีแต่เสียงร้องแหง็ก ๆ ออกมาจากหัวใจ ๆ ร้องแหง็ก ๆ ออกมา แต่มาประดับประดาตกแต่งเป็นผู้ดีอยู่บนศาลานี้ ผู้ชั่วก็อยู่ในใจซิ ธรรมจับเข้าไปมันเห็นหมด เอากิเลสจับไม่เห็น มันมาประดับร้านหลอกกันไปอย่างนั้นแหละ ภายในมันร้องแหง็ก ๆ ดิ้นตามกิเลส ดิ้นไม่ทันให้กิเลสคอย ร้องแหง็ก ๆ ไปไม่ทัน ให้กิเลสคอย ไม่ได้ว่าจะฝืนกิเลสนะ ให้กิเลสคอยนี้ไปไม่ทัน เดินไปไม่ไหวจะคลานไปให้รอหน่อย ๆ พวกนี้พวกร้องแหง็ก ๆ ให้กิเลสคอย
โอ๋ย มันสลดสังเวชจริง ๆ นะ เอาธรรมจับกิเลส พระพุทธเจ้าจึงได้ท้อพระทัยล่ะซิ ท่านเห็นหมด พวกเรามืดหมด ฟังซิน่ะ ร้อยทั้งร้อย มืดกับแจ้งปะทะกัน ธรรมเป็นธรรมที่สว่าง ปิดไม่อยู่ เห็นหมด กิเลสนี้เปิดไม่ได้ ปิดหมด เพราะฉะนั้นไปที่ไหนจึงมีแต่เสียงร้องแหง็ก ๆ นี่สักเดี๋ยวก็จะเปิดประตูลูกกรงนี่ ไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หยองก็จะร้องแหง็ก ๆ ออกมา วันนี้ข้าหิวเที่ยวเล่น เที่ยวเล่นก็คือเรื่องของกิเลสเข้าใจไหม เที่ยวสนุกสนาน ข้าหิวร้องแหง็ก ๆ ให้เปิดประตูกรงให้ เปิดหรือยังพวกนั้น มันเตรียมร้องแหง็ก ๆ แล้วนะไอ้ปุ๊กกี้เรา นั่นละพระพุทธเจ้าท้อพระทัย ไม่ท้อยังไงเห็นประจักษ์อยู่นั้น จะปิดเท่าไรก็มีแต่เรื่องกิเลสปิด ธรรมจ้าตลอด ไม่มีความปิดบังลี้ลับ เรื่องของธรรมแล้วจ้าหมดเลย นี่ท่านนำมาสอนโลกท่านรู้อย่างนั้น แต่ก่อนท่านก็ไม่รู้เหมือนสัตว์ทั่วโลกนั่นแหละ หูหนวกตาบอดเหมือนกัน เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ทีนี้เวลามันจ้าขึ้นมามันไม่ได้เหมือนเขาล่ะซี มันเหมือนอันที่รู้อยู่นี้
ให้พากันฝืนนะไม่ฝืนไม่ได้ เรื่องการจะทำความดีนี้ เมื่อยังไม่เป็นพื้นเป็นฐานมันต้องบีบสุดเหวี่ยงมันนะ มันต่อสู้เรานี้สุดเหวี่ยงมันไม่อยากให้ทำเลย ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วมันปิดตายเลย ๆ นี่เวลามันหนา ทีนี้ฝืนไปฝืนมาก็พอแย้มออกบ้าง พอลอดได้ ๆ ลอดออก ๆ ต่อไปค่อยเบิกกว้าง ๆ ทีนี้เวลามันเป็นนิสัยเคยทำแล้ว ไม่ได้ทำความดีวันหนึ่งอยู่ไม่ได้นะ นั่นเห็นไหมทางดีเปิดกว้างแล้ว ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ มันหากเป็นอยู่ในใจ รู้สึกมันมีอะไรตะขิดตะขวงไม่สะดวกสบายถ้าไม่ได้ทำความดี เช่น ภาวนา ไม่ได้มาก น้อยก็เอา มันก็ชุ่มเย็นขึ้นในใจ นี่ทางดีเปิดแล้ว
ยิ่งถึงขั้นที่เคยพูดให้ฟัง ขั้นอัตโนมัติ ขั้นธรรมมีกำลังที่จะออกให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียวแล้ว นั่นไม่มีวันมีคืน จนได้รั้งเอาไว้ ขนาดนั้นนะ พลังของธรรมทางดีมีกำลังมากจะอยู่ไม่ได้ มีแต่อยู่ไม่ได้จะไปท่าเดียว ๆ นั่นถึงขั้นธรรมมีกำลัง กิเลสหายหน้าไปหมดนะ เพราะฉะนั้นถึงย้อนมารู้มันได้ว่า ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอนี้เป็นกิเลสทั้งนั้น เมื่อธรรมอันนี้ขึ้นแล้วความอ่อนแอท้อแท้นี้ไม่มี มีแต่ดีดผึง ๆ เลย พ้นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นั่นธรรมถึงขั้นตายใจแล้วตายใจได้อย่างนั้น เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ หวุดหวิด ๆ เรื่อยอย่างนั้น
ใจดวงเดียวนี่นะ เวลามันเป็นปทปรมะมันไม่เอาไหนเลย บาปบุญไม่สนใจขอให้ทำตามอำนาจของกิเลสตัวหนา ๆ นี่เป็นที่พอใจ นี่เวลามันมืดเป็นปทปรมะในบุคคลขั้นนี้ ทีนี้ถูกฟิตถูกตีเข้าไปดัดเข้าไปหลายหนเข้าไปก็ค่อยเป็นเนยยะ ปทปรมะกับเนยยะก็ขัดก็แย้งกัน ขึ้นได้บ้าง ลงมากกว่าขึ้น ครั้นต่อไปขึ้นมากกว่าลง ต่อไปก็พุ่งถึงวิปจิตัญญู เร่งขึ้นแล้ว ขั้นนี้ขั้นวิปจิตัญญูขั้นจะไม่ถอยแล้ว จากนั้นก็อุคฆติตัญญู พุ่งเลย เป็นขั้น ๆ ในบุคคลคนเดียว
แยกออกมาซิ คน ๔ ประเภทท่านว่า จิตของเรามันก็ ๔ ประเภท ให้แยกออกซิ เวลามันไม่เอาไหนนี้ โถ ไม่เอาจริง ๆ นะ นี้ขั้นปทปรมะ ดึงกันไปดึงกันมาหลายครั้งหลายหนก็พอเนยยะเปิดประตูรอรับ ทางนี้ก็หลุดเข้าไปเนยยะได้ ๒ นาทีก็เอา ปทปรมะลากออกมา ตัวยังไม่ออกขาขาดออกมาก็พอใจ เข้าใจไหม ปทปรมะมันดึงออกมา ตัวยังอยู่ในห้องขังดึงออกมา พอต่อไปก็พุ่งเข้า ๆ ทีนี้พุ่ง พุ่งเลย ทะลุ นั่น คนประเภทเดียว คนคนเดียวมันมีขั้นอยู่อย่างนี้ ขั้นที่ไม่เอาไหนไม่เอาจริง ๆ ดึงกันหลายครั้งหลายหนก็ค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งถึงดีดผึง ๆ พุ่งเลย
ขั้นปทปรมะตายตัวเลยก็มี มันมีหลายขั้นนะ ปทปรมะนี้พอที่จะได้บ้างก็เอาจนได้ ปทปรมะที่ว่าเหลือแต่ลมหายใจก็มี หลายประเภทนะ เราต้องแยกมาเป็นประโยชน์ต่อเราซิ เราจะไปยกให้แต่คัมภีร์ ยกให้แต่คนนั้นคนนี้ เจ้าของแบกกองทุกข์เพราะบาปเพราะกรรมจนจะตายยังไม่ดูเจ้าของ พอจะปลดเปลื้องเจ้าของได้บ้างก็ต้องดูบ้างซิ เข้าใจแล้วเหรอพวกนี้น่ะ พวกร้องแหง็ก ๆ ทางหนึ่งดึงขาไว้ ทางหนึ่งดึงออกมา ร้องแหง็ก ๆ แย่งกันตรงนี้ก็แย่งนะ มันร้องแหง็ก ๆ หลายขั้นเข้าใจหรือเปล่า นี่ยังไม่ได้ให้พรหรือ ให้พรเสียก่อน ใครอยากร้องแหง็ก ๆ ค่อยให้ไปนะ เราไม่ตามดูแหละ
ปัญหา
ถาม หลวงตาเจ้าคะ ตอนที่เรานั่งภาวนา ทีนี้จิตแบบว่าไปสัมผัสสิ่งที่เรามองเห็น รู้สักแต่ว่าเท่านั้น ก็คิดว่าสักแต่ว่า ๆ แต่พอไปถึงจุดนั้น จิตมันจะนิ่ง
ตอบ นิ่งก็นิ่ง ความรู้ไม่ได้นิ่ง รู้ตลอด มันนิ่งความเคลื่อนไหวของกระแสจิตที่คิดนั้นรู้นี้เท่านั้น ความรู้จริง ๆ รู้อยู่ตลอด นิ่งก็รู้ ไม่นิ่งก็รู้ เวลานิ่งก็รู้อยู่ อยู่กับความนิ่งไม่เคลื่อนออกไปหากิริยา กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่มาสัมผัส เข้าใจเหรอ
ถาม ต้องสังเกตดูที่จิต
ตอบ ต้องสติดูอยู่นั้นละ ถ้ามีสติรู้ ถ้าไม่มีสติไม่รู้ ฟาดเสียจนแบบหลวงปู่ชอบเป็นไร เสือมาทางหน้า อ๋าว ๆ มาข้างหน้า ตัวหนึ่งอ๋าว ๆ มาข้างหลัง เขาก็บอกแล้วว่า เดี๋ยวนี้เขาติดประกาศไว้ปากดง ติดประกาศตัวใหญ่ ๆ ตั้งแต่ตะวันเที่ยงแล้วห้ามไม่ให้ผ่านป่านี้ไป เสือจะกิน เขาบอกไว้ชัดเจน คือตั้งแต่เที่ยงไปแล้วจะไม่พ้นจากดงอันนี้ แล้วเสือมันมาหากินคนกลางคืน เขาจึงเขียนประกาศไว้ ท่านไปท่านไม่สนใจ ก็ไปเจอเขาอยู่ในดง เขาก็ร้องโก้ก เอ๊ย มายังไงนี่ นี่ไปยังไงก็ไม่พ้นดงนี้ เสือจะกินท่านจะว่าไง กินก็กินซิ เมื่อถึงคราวแล้วอยู่ที่ไหนก็ตาย เสือไม่กินมันก็ตายท่านว่า เขานิมนต์ท่านออกมาท่านไม่ยอมออก ท่านไม่ยอมกลับ ท่านก็ไปดังที่ว่านั่นแหละ
ไปพอตกมืดเข้ามานี้พอดีกลางดงเลย ไอ้เสือมันก็กระหึ่ม ๆ มาทางโน้น แล้วทางนี้กระหึ่ม ๆ มาทางนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องว่ามันเคยกินคน วิชากินคนมันช่ำชองพอแล้ว มาจังหวะเดียวกันทางโน้นทางนี้ถ้าไม่ใช่เทพบันดาล แต่เรื่องของท่านอาจารย์ชอบรู้สึกจะเป็นเรื่องเทพบันดาล พอไปถึงกลางดงจริง ๆ แล้ว ทางโน้นก็กระหึ่ม ๆ มา ทางนี้กระหึ่ม ๆ มา โห วันนี้จะถึงคราวละเหรอ เอ้าถึงที่ไหนมันก็ตายที่นั้นละ อยู่ที่ไหนถึงคราว อยู่ในบ้านในป่าไม่สำคัญ อยู่กับตัวของเราเรื่องความตาย ทีนี้พอถึงจังหวะเสือตัวนั้นมา พอดีเขามาตรงหน้านี้เลย จังหวะเดียวกันตัวหลังก็มาพร้อมกัน ระยะเหมือนกัน ท่านหิ้วโคมไฟไปกลางคืน แล้วมองเห็นชัด ๆ ไฟมองเห็นเสือมันมาใกล้แล้ว ท่านชำเลืองดูตัวหลังมา เรียกว่าจะตะปบพร้อมกันไม่ให้ตั้งตัวได้ว่าอย่างนั้นเถอะนะ
ที่นี่จำเป็นแล้วจิตมันหดเข้ามาภายในหมด จิตก็ลงพึบเลย พอจิตรวมพับลงไปพักแรกนะ รวมพับลงไป แล้วเสียงผุดบอกขึ้นมาว่า เสือทำอะไรไม่ได้ไม่ต้องกลัว บอกขึ้นมานี้ บอกว่าเสือทำอะไรไม่ได้ไม่ต้องกลัว พอเท่านั้นพึบครั้งที่สอง หายเงียบหมด นี่เป็นครั้งที่ว่าดับหมดเลยไม่มีอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งเป็นชั่วโมง ๆ ท่านว่านะ ได้จังหวะแล้วมันก็ถอยขึ้นมา พอถอยขึ้นมาแล้ว โคมไฟที่หิ้วอยู่นี้ดับไปแล้ว เจ้าของยังยืนหิ้วอยู่ ท่านว่ามีแปลกอันหนึ่ง ตอนที่มันลงเต็มที่แล้วนั้น หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ร่างกายน่าจะล้มลงไป ไม่ล้ม ท่านว่าอย่างนั้นนะ พอรู้สึกตัวขึ้นมานี้โคมไฟก็หิ้วอยู่ บาตรก็สะพายอยู่ กลดก็แบกอยู่ อยู่เป็นปกติ พอจิตถอนขึ้นมา อ๋อ เป็นอย่างนี้
ท่านก็เลยนั่งลงจุดไฟด้วยความเอิบอิ่มในความอัศจรรย์ของจิต มันมาปรากฏในเวลาจนตรอกจนมุมอย่างนี้ ท่านคิดได้นะ พอจุดไฟขึ้นแล้วส่ายหาเสือไม่มีเลย หายเงียบไปไหนไม่รู้ ไฟนี้ก็จนกระทั่งหมดเทียน หมดไปตั้งเมื่อไรก็ไม่รู้ ตั้งแต่จุดโน่นน่ะจนกระทั่งเทียนก็หมด มันหมดไปตั้งเมื่อไรไม่รู้ ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องนาฬิกา มันรวมนาน คงไม่มีนาฬิกาแหละ ตั้งแต่เราก็ไม่มีแต่ก่อน มันพึ่งมีปี ๙๓ มีก็จะมีในย่านนั้นแหละ ย่านเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วก็ได้นาฬิกา มันถึงได้มาอวดว่า ๕ ทุ่มละซิ ถ้าไม่มีเอาอะไรมาอวด
อันนี้พอถอนจิตขึ้นมา ทีนี้จิตไม่ได้เป็นอย่างนั้นท่านว่านะ ไอ้ความที่กลัวแต่เริ่มแรกนั้นกลับเป็นความเมตตาสงสารไปหมด ทีนี้อยากพบเสือ ๒ ตัวท่านว่าอย่างนี้นะ พอจุดไฟขึ้นแล้วส่ายหามันอยู่ที่ไหน ถ้าเห็นมันแล้วจะเดินเข้าไปหามันเลย จะลูบคลำหลังมัน ท่านว่าอย่างนั้นนะ แล้วหายเงียบเลย ท่านก็เลยจุดไฟไปเรื่อยตลอด อยากพบเสือตลอด อยากพบด้วยความเมตตาสงสารความรักท่านว่าอย่างนั้น โถ นี้เสือมาช่วยเราให้ได้ธรรมอัศจรรย์ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยถึงขนาดนี้ อยากพบเสือ พอโผล่ไปถึงหมู่บ้านเขาก็พอดีไปบิณฑบาต ออกจากดงไปแล้ว โห เขางงกันทั้งบ้านเลย อ้าวท่านมายังไง ก็มาดงนี้ เสือไม่กินเหรอ ถ้ากินจะได้มายังไงท่านก็ว่าอย่างนี้ โอ๊ย ใครมานี่เสือกินทั้งนั้น จนคนรู้กันหมด ดงนี้ดงเสือกินคนพูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น แต่วันนั้นมันเทพบันดาล เสือไม่กิน มาจังหวะพร้อมกันเลย แล้วหายก็หายเงียบ จากนั้นมาไม่พบอีกเลย หายเงียบเลย
นี้เราพูดถึงเรื่องจิตที่ลงเต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้น มันดับหมดแหละ สัมผัสอายตนะนี่กับภายนอกหมด เพราะจิตไม่ออกมาหาทางเดินนี้ จิตอยู่ข้างใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นประตูเปิดโล่งอยู่เฉย ๆ ไม่มีคนเข้าคนออกเข้าใจไหม กระแสของจิตมันเข้ามันออกของมันไปตามทวาร เวลานั้นมันเข้านั้นหมดเลย ความรู้ดับหมด
ถาม เวลาที่เข้าไปแล้ว อายตนะทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันไม่สนใจแล้วค่ะ มันลงไปอยู่ที่นี่อย่างเดียว
ตอบ มันอยู่ให้มันอยู่ซิ
ถาม ทีนี้หนูก็พิจารณาเรื่องกระดูกที่เคยถามหลวงตามาเมื่อเดือนที่แล้ว ก็เอามาพิจารณาใหม่ ตอนนี้มันเกิดเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ คล้าย ๆ ว่าซ้ำซาก
ตอบ เบื่อหน่ายมันก็ถอยตัวเข้ามา คือมันไม่เบื่อมันเกาะมันติดอยู่อย่างนี้ เวลาเบื่อหน่ายมันก็ปล่อยออกมา ก็เข้ามาหาตัวเป็นตัวของตัวเข้าโดยลำดับเข้าใจไหม แต่ก่อนไม่เป็นตัวของตัว ว่าอันนั้นเป็นเรานี้เป็นของเราไปหมด ยั้วเยี้ย จิตไม่เป็นตัวของตัว ไปเกาะนั้นเกาะนี้ ท่านพิจารณาก็เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย มันปล่อยเข้ามา ๆ พอปล่อยเข้ามาเป็นตัวของตัวเรื่อย ๆ พอเป็นตัวของตัวเต็มที่แล้วปล่อยหมดเลยนะ อันนี้ตัวไม่ตัวไม่ว่าแหละเข้าใจไหม เรียกว่ามันหมดโดยประการทั้งปวง มันปล่อยเข้ามาอย่างนั้นแหละ
พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ชอบก็เป็นคติได้เป็นอย่างดีใช่ไหม เวลาจนตรอก ก็อย่างที่เคยพูดพวกเดียวกันภาวนาด้วยกันอยู่ทางแถวสกลฯ แต่ก่อนท่านขี้ขลาดไม่มีใครเกินท่านว่าอย่างนั้นนะ กลัวมาก ครั้นเวลาถูกดัดแล้วนี้ จิตมันลงเต็มที่ได้ความอัศจรรย์กับเวลาจนตรอก เพราะฉะนั้นเวลาทำภาวนานี่ ท่านจะไม่ค่อยเดินจงกรมตามสถานที่ต่าง ๆ คือจิตมันดื้อ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านจะไปหาที่ไหนที่มีเสือ ไปเจอเสือปั๊บจิตมันจะลงทันที ท่านว่าอย่างนั้น เรียกว่าท่านเรียนลัด กลางคืนท่านไปหาเรียนลัดข้างบนภูเขา ตรงไหนที่สำคัญว่าเสือจะมา ท่านจะไปนั่งที่นั่นแหละ คือจิตของท่านจะลง ถ้าลงแล้วนี้เรียกว่าทำอะไรไม่ได้อย่างที่ท่านอาจารย์ชอบว่า เสือทำอันตรายไม่ได้ไม่ต้องกลัว พอว่าอย่างนั้นพึบเป็นครั้งที่สอง หายเงียบ ลบหมดเลย อันนี้ของท่านก็ลงแบบนั้น ลงแบบลบหมดเลย จนโผล่ขึ้นมา
อันนี้ที่ท่านเล่าให้ฟังชัดเจนก็คือว่า วันนั้นนั่งอยู่ประมาณสักตีสาม จิตมันก็ไม่ลง มันหากเป็นของมันมันไม่ลง เอ๊ มันเป็นยังไงนา เสือไม่เห็นมานา ท่านว่าอย่างนี้นะ ทางถ้ำเสืออยู่ข้างบน มันลงมานี้ไปทางโน้นบ้างลงมาทางนี้บ้าง แคร่ท่านอยู่ที่นี่ เสือไปได้สองทาง ทางนี้ก็ไปได้ลงไปทางโน้น ทางนี้ก็ไปได้ลงทางนี้ขึ้นทางนี้ได้ ถ้ำของเขาอยู่ข้างบน เขาไปหากินมาตอนตีสามตีสี่เขากลับมานอน ทีนี้เวลาตีสี่ท่านนั่งภาวนาฟัดกันอยู่กับความวุ่นวายมันไม่ลง เอ๊ ทำไมเสือไม่เห็นมา มาช่วยสักหน่อย ทีนี้ไม่นานนะ สักเดี๋ยวได้ยินเสียงสวบ ๆ ออกมา เอ้า มาแล้วที่นี่คงเสือ พอเสือมาแล้วท่านกำหนดเอาเสือนั้นโดดมางับคอท่าน ท่านกำหนดเอานะ กำหนดเสือ พอเสืองับคอปั๊บ ที่นี่ก็ผึงลงเลย หายเงียบเลย จนกระทั่ง ๑๐ โมงเช้า ฟังซิ รวมตั้งแต่ตีสี่ถึง ๑๐ โมงเช้านานขนาดไหน นั่นละเวลาลงสนิทอย่างนั้น
พอจิตถอนขึ้นมาแล้ว มองที่ไหน โอ๋ย ตะวันครึ่งฟ้า ออกจากนั้นท่านไปดูมันเป็นเสือจริง ๆ ไหมนะ ไปดูรอยมัน ก็ปัดกวาดไว้เตียนโล่งหมด แม้แต่รอยหนูมันก็เห็นใช่ไหมล่ะ เสือทั้งตัวไม่เห็นได้ยังไง เห็นมันขึ้นมานี้ ๆ ท่านนั่งอยู่นี้มันขึ้นมานี้แล้วขึ้นโน้น โห เสือจริง ๆ ท่านว่า เสือโคร่ง นั่นอย่างนั้นแล้ว เสือมันก็ไปของมัน ท่านก็นั่งภาวนา ส่วนมากท่านบอกไม่กางมุ้งนะ ถ้ากางมุ้งมันเหมือนว่ามีที่ปลอดภัย จิตมันจะไปอบอุ่นภายนอกแต่มันจะสร้างไฟเผาตัวภายใน ต้องเปิดข้างนอกให้เสือเห็นด้วย เวลาท่านนั่งท่านไม่เอามุ้งลง ยุงไม่เป็นไรแหละไม่ได้เท่าจิตวุ่น ๆ นี่ กับเสือตัวปราบจิตยุ่ง ท่านเอาตรงนั้นท่านไม่เอามุ้งลง เวลานั่งเสือมันก็มาแล้วขึ้นไปอย่างนั้นเป็นประจำ
ทีนี้ไปที่ไหนท่านไม่ไปธรรมดา ท่านไปหาแต่ที่ทำเลเสือ เสือไปเที่ยวที่ไหนมากท่านจะไปนั่งอยู่ตรงนั้นเลย ยิ่งให้เจอเสือด้วยแล้วยิ่งชัด คือมันอยากเจอ พอเจอปั๊บผึงเลยทันที ลงเลย นิสัยคนละอย่างไม่เหมือนกัน ไอ้เรามันแบบไหนไม่รู้ เจอเสือดีไม่ดีหัวแตก ชนต้นไม้ชนหินไปก็ไม่ทราบ แต่เราพูดถึงเรื่องว่าเราเป็นแบบไหนไม่ทราบนะ แต่มันก็ชอบเป็นอย่างนั้น ที่ไหนเสือชุม ๆ จิตมันดื้อไปตรงนั้น สติจิตมันดีเข้าใจหรือเปล่า มันก็พอเป็นพยานกัน เวลาไปเจอเสือจริง ๆ มันจะไปแบบไหนไม่รู้ มันจะลงหรือจะโดดหัวชนภูเขาก็ไม่รู้แหละ เพราะเราไม่เคยชนก็ไม่รู้ซิ
ถาม หนูเคยถามหลวงปู่ชอบว่า ตอนนั้นท่านภาวนาอะไร ตอนที่เสือโดดเข้ามา ท่านบอกภาวนาพุทโธอย่างเดียว
ตอบ มันแล้วแต่นิสัยของใครนะ พุทโธเป็นที่เกาะของจิต ธัมโม หรือสังโฆ ธรรมบทใดก็ตามเป็นที่เกาะของจิต จิตเกาะตรงนั้นปั๊บจากนั้นก็ปล่อยหมด พุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วไปด้วยกัน หายเงียบเลย ต้องมีที่อาศัยที่เกาะ เพราะฉะนั้นจึงว่ากลัวที่ไหนมาก ๆ จิตจะไม่ออกเลย บังคับให้อยู่กับพุทโธ ว่าสัตว์ว่าเสืออะไรเป็นจิตนี้ออกไปวาดภาพก่อกวนเจ้าของ ให้อยู่กับคำว่าพุทโธ ไม่กวน ธัมโม หรือสังโฆ ก็ตามไม่กวน เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ให้อยู่กับอันนี้ สักเดี๋ยวก็สั่งสมกำลังทางด้านธรรมะขึ้นได้นี้แข็งแกร่ง กล้าหาญชาญชัย เดินหาเสือได้สบาย เราเป็นแล้วนะ ที่พูดว่าเวลาไปเจอเสือหัวจะไปชนหินหรือไม่ชนก็ไม่รู้ ถ้าจริง ๆ จะไปหามันทำไมหาเสือ ก็ขึ้นเวทีเพื่อจะต่อยกันแล้วนี่นะ เป็นหยังจะโดดเวทีลงมายังไม่ได้ต่อยกันเลยมีอย่างเหรอ พูดไปอย่างนั้นแหละ
ถาม พูดถึงเอามุ้งลงกันกลัว หลวงปู่หลุยเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านพ่อลีเสือมันคงมีอารมณ์ขัน ดูจะเป็นเสือเทพบันดาล มันเอาหางแหย่เข้าไปในมุ้ง
ตอบ ท่านอาจารย์ลีเรอะ อันนี้ท่านไม่เคยเล่าให้เราฟัง เราจึงไม่เคยพูดนะ คือเราพูดคำไหนจะเอาความจริงทั้งนั้นไม่ได้มาหลอก อันนี้ไม่เคยเล่าให้เราฟังเราก็ไม่รู้
ถาม คงเป็นเทพบันดาล
ตอบ เทพบันดาลก็เป็นได้ เพราะเทพบันดาล บันดาลให้เป็นเสือก็มี บันดาลหัวใจเสือก็มี บันดาลเทพทั้งองค์นั่นแหละเป็นเสือทั้งตัวก็ได้ เป็นเทพบันดาลอันหนึ่ง อันหนึ่งเทพบันดาลจิตของสัตว์ก็มี มีหลายประเภท เพราะฉะนั้นใครอย่ามาหลับตาโม้นะ อย่ามาอวดนะ ว่าเทวดาไม่มี พวกทำลายศาสนา พวกเทวทัต เราพูดชี้หน้ามันเลยนะไม่ใช่ธรรมดา มาอวดเหรอว่างี้เลย แม้แต่กูตัวเท่าหนูกูก็เห็นจะว่าไง มึงจะมาอวดกูเหรอ อ้าวมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันถอยใครเมื่อไรมันเห็นอยู่นี่ จะมาอวดได้เหรอตาบอด ๆ ว่าอย่างนี้เลย ผู้ตาดีเห็นอยู่นี่น่ะ กูมึงขึ้นทันทีเลย อะไรจะมากยิ่งกว่าเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมวะ มันตาบอดมันลบไปหมด พระพุทธเจ้าถึงท้อพระทัย ว่านี่น่ะ ๆ มันไม่เห็นจะว่าไง มันตาบอด เอาละไปพวกนี้ มันจะเก้าโมงแล้ว
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com