ท่านเพียรปฏิบัติเรียบมาก
วันที่ 23 มิถุนายน 2552 เวลา 11:00 น.
สถานที่ : วัดป่าหนองกอง
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์เนื่องในโอกาสไปเยี่ยมศพหลวงปู่เพียร วิริโย

 ณ วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

ท่านเพียรปฏิบัติเรียบมาก

 

        ท่านเพียรอายุ ๘๒ เหรอ ท่านเพียร-ท่านบุญมีที่ติดสอยห้อยตามเรามาแต่ต้นเลย เราละเป็นคนไล่ออกมานี่ มันควรจะเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้วเราว่าอย่างนั้น แล้วเป็นลูกเขยใหม่อยู่อย่างไร ไป เลยไล่มา ท่านเพียรมาทางนี้ ท่านบุญมีก็มาด้วยกัน อยู่กับเราร่วม ๓๐ ปี ท่านเพียร-ท่านบุญมีเรียบร้อยเหมือนกันหมด ไม่มีด่างพร้อย เรียบร้อยการปฏิบัติของท่าน ท่านเพียรกับท่านบุญมีท่านปฏิบัติเอาจริงเอาจังเหมือนกัน

          ที่อยู่กับเรานานคือท่านสิงห์ทอง พอดีท่านตายเสีย ท่านสิงห์ทองก็อยู่นานแต่ตายก่อน ท่านเพียรกับท่านบุญมีนี้นานนะ เราจึงให้ออกมา ท่านสิงห์ทองเป็นพระชอบตลก นิสัยชอบเล่น ชอบตลกนะท่านสิงห์ทอง แต่อันนี้เรียบๆ ท่านเพียร ท่านบุญมีเรียบๆ แต่ท่านสิงห์ทองเป็นนิสัยชอบตลก ชอบตลก นิสัยเป็นมาดั้งเดิม ที่เป็นลูกศิษย์มานมนานคือท่านสิงห์ทอง-ท่านเพียร-ท่านบุญมี สามองค์ ท่านเพ็งก็แยกไปอยู่กับหลวงปู่ขาว

ท่านสิงห์ทองเป็นคนขี้เล่นนะ ชอบเล่น ชอบตลก ไปหาปลาอยู่ด้วยกันกับน้า น้าคือน้องแม่ ท่านสิงห์ทองก็ไป ไปหาปลามาด้วยกัน พอมาจะถึงบ้านมาพบกัน ไหนละหมานไหม รวยไหม หมานไหมละ เป็นอย่างไรหมานไหม จับงูแต่งูไม่ใช่งูพิษ งูสิงห์งูธรรมดา พอทางนั้นหันหลังให้ ทางนี้เปิดฝาเอางูจริงใส่ เป็นอย่างไรละท่านสิงห์ทอง บ้านเขาอยู่หลังนั้น ทางนี้ก็อยู่หลังนี้ มองเห็นกัน พอไปถึงบ้านฟังเสียงแอ้ๆ บักห่านี่ เอางูใส่ห้องเขา เปิดในห้อง..หมานไหม ท่านสิงห์ทองเอางูใส่ต่อหน้าหลานสาว พอไปถึงบ้านเปิดออกแตกฮือเลย นิสัยตลก พูดเล่นพูดตลก

ท่านสิงห์ทองอัฐิกลายเป็นพระธาตุ ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วก็ตีตราเลยว่านี้คือพระอรหันต์ ถ้าอัฐิไม่บริสุทธิ์ไม่เป็นอรหันต์  อัฐินี้เผาลงไปแล้วจะไม่เป็นพระธาตุ อันนี้ของท่านสิงห์ทองเป็นพระธาตุ ของท่านจวนก็เป็นพระธาตุ มันประกาศอยู่ในตัว ความบริสุทธิ์ของใจมันฟอกธาตุขันธ์ คือความบริสุทธิ์ของใจมันครองร่าง ยิ่งครองร่างอยู่เท่าไรมันก็ซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุที่ละเอียดไปตามส่วนของธาตุ พอมรณภาพแล้วอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุ ท่านสิงห์ทองก็เป็น ท่านจวนก็เป็น

วันนี้คนมากนะ อย่างพระที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีเด่นๆ อยู่หลายองค์นะ พระที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีเด่นๆอยู่หลายองค์ ท่านสิงห์ทอง-ท่านจวน ท่านอะไรบ้างมีแต่พวกอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้ว ถ้าอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วแสดงชัดเจนเลยว่านี้บริสุทธิ์แล้วเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วปิดไม่อยู่ อัฐิกลายเป็นพระธาตุ แต่องค์ใดก็ตามที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านรู้มานานแล้วนะ รู้แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่แล้ว อันนี้มาประกาศทีหลังเวลาท่านล่วงไปเท่านั้นเอง นอกนั้นธรรมดาลูกศิษย์ทั้งหลายรู้แล้วๆ ตั้งแต่ท่านยังไม่ตาย เพราะอรรถธรรมแนะนำสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน สอนแล้วผลก็เป็นอย่างนั้น

ที่เราได้เปิดเผยปิดกันไม่อยู่ก็คืออัฐิกลายเป็นพระธาตุ นี่คือพระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย สำหรับเชื่อ เชื่อกันภายในเชื่อแน่นอน ท่านเชื่อมั่นแน่นอนอย่างไร พอท่านองค์นั้นตายแล้วก็มาเป็นพระธาตุ คนอื่นเชื่อทีหลังนะ ลูกศิษย์ลูกหาเชื่อก่อนแล้ว เชื่อก่อนๆ นั่นละการปฏิบัติธรรม ใครปฏิบัติอยู่ที่ไหนเมื่อไรเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติดีเป็นดี ปฏิบัติชั่วเป็นชั่ว

ท่านเพียรก็ได้เสียไปเสียแล้ว อายุ ๘๒ นะ ท่านเพียรปฏิบัติเรียบมาก ท่านบุญมีเป็นลูกศิษย์ของเราแต่ต้นมา ปฏิบัติเรียบร้อยตลอดมาคือท่านบุญมี-ท่านเพียร-ท่านสิงห์ทอง ที่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับเราตลอดมา นอกนั้นองค์ไหนบ้างลืมๆ แต่สามองค์นี่จำได้ชัด เดินจงกรมจนเป็นเหวนะท่านสิงห์ทอง ขยันมาก การประกอบความเพียรท่านขยันมากท่านสิงห์ทอง มาเล่าให้เราฟัง คือไม่รู้เวลาที่กิเลสสิ้นไป กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา คือมันละเอียดลงๆ ไป ละเอียดจนกระทั่งหมดกิเลส มาเล่าให้ฟัง เราก็ฟังท่าน ท่านเล่าให้ฟัง

เราบอกว่าเรายอมรับ การปฏิบติของท่านก็ยอมรับ แล้วความบริสุทธิ์ของท่าน ตามธรรมดาท่านว่ามีขณะ คือองค์นั้นสำเร็จอยู่ที่นั่นๆ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนในป่าในเขาจะบอกขณะๆ แต่พระอรหันต์มีอยู่ ๔ ประเภท ประเภท ๑ สุกขวิปัสสโก รู้อย่างสงบเงียบ บริสุทธิ์ไปอย่างสงบเงียบ เรียกว่าสุกขวิปัสสโก เจ้าของเองก็ไม่รู้ว่าหมดไปเมื่อไร หากหมดไป จนกระทั่งไม่มีกิเลส ที่จะแก้กิเลสตัวใดไม่มี นี่ประเภทสุกขวิปัสสโก แล้วก็ เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต

พระอรหันต์มี ๔ ประเภท ประเภทสุกขวิปัสสโก แม้เจ้าของก็ไม่ค่อยทราบ คือไม่บอกขณะ สำเร็จขณะไหนนี้เจ้าของไม่รู้ นอกจากนั้นรู้ เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี้บอกขณะ ขณะสิ้นกิเลส แต่สุกขวิปัสสโกนี้รู้อย่างสงบเงียบไปเลย มี ๔ ประเภท มาเล่าให้เราฟัง หาที่จะแก้มันก็ไม่มี แต่ไม่สนใจจะหา ท่านพูดมีหลักนะ ละเอียดมาๆ ละเอียดจนสุดเลย เวลานี้ไม่สนใจว่าจะแก้กิเลสตัวใด ท่านว่า มันหมดไปเลยจริงๆ ท่านว่าอย่างนั้นละ แต่ไม่บอกขณะ เอาล่ะไม่บอกก็ช่างเถอะ ความบริสุทธิ์ในประเภทอรหันต์ก็มีอยู่ ๔ ประเภท สุกขวิปัสสโก รู้อย่างเงียบไปเลย เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต

พระอรหันต์มี ๔ ประเภทด้วยกัน สำหรับท่านสิงห์ทองเป็นประเภท สุกขวิปัสสโก คือรู้เงียบๆ ไปจนหมดเลย นอกจากนั้นมีขณะ ขณะกิเลสกับธรรมกับจิตขาดจากกัน ขาดจากกันเป็นขณะ รู้ขณะ เช่นองค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในที่นั่น บรรลุธรรมอยู่ในอิริยาบถยืน อิริยาบถเดิน อิริยาบถนอน ให้มีขณะบอก แต่สุกขวิปัสสโกนี่ไม่บอก คือบริสุทธิ์ไป หมดๆ ๆ ไปเลย ท่านสิงห์ทองก็มาเล่าให้เราฟัง เล่าถึงเรื่องการปฏิบัติมา การปฏิบัติคือละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่ทราบจะแก้กิเลสตัวใด แล้วไม่สนใจจะแก้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ นี่ละเป็นอย่างนี้ไม่บอกขณะหรืออะไร เอาล่ะเอาสนฺทิฏฺฐิโก รู้ด้วยตัวเองก็พอว่าเวลานี้สิ้นแล้วกิเลส ไม่มีในใจแล้วก็สิ้นเท่านั้นแหละ เราก็ว่า เวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ นั่นออกล่ะ ทีนี้ออกกระจายทั่วประชาชน รู้กันทั่วไปหมด

มาสมัยทุกวันนี้คนมันกิเลสหนาปัญญามันหยาบที่สุด ไม่ว่าพระว่าฆราวาส จะไม่เชื่อคำสอนของท่านผู้วิเศษ ผู้สิ้นกิเลสแล้วนำมาสอนโลก ผู้ฟังเป็นคลังกิเลส เป็นส้วมเป็นถาน  ไม่ยอมรับธรรมของท่านผู้แนะนำสั่งสอน มรรคผลนิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป หูหนวกตาบอด เวลานี้เป็นข้าศึกต่อตัวเองและข้าศึกต่อศาสนา จนศาสนาจะไม่มีเพราะข้าศึกอันนี้ละ  แต่ผู้ปฏิบัติท่านปฏิบัติอยู่ท่านก็รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น อย่างพระท่านอยู่ในป่าท่านจะไปตีระฆังปึ้งๆ ๆ ข้าเป็นพระอรหันต์แล้วนะมันได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ ถ้าในวงเดียวกับท่านรู้หมด ไปมาเป็นอย่างไร ภาวนาอย่างไร ท่านจะเข้าจุดนั้น เป็นอย่างไรท่านก็เล่าสู่กันฟัง สู่กันฟัง ถ้ายังมีขัดข้องตรงไหนท่านก็แนะกันๆ แล้วผ่านได้ๆ

จึงว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว แล้วอกาลิโกไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาในการประกอบความพากเพียร ได้ผลไปตลอด นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ผู้ปฏิบัติมีอยู่มรรคผลนิพพานรอรับสำหรับผู้ปฏิบัติ ถ้าผู้ไม่ปฏิบัติก็มีแต่เสื่อกับหมอนรองรับละ เอาหมอนติดคอไว้ เอาเสื่อมัดติดหลังไป พวกนี้มีแต่เสื่อกับหมอนติดคอ ไปไหนมีแต่เสื่อกับหมอน มรรคผลนิพพานไม่มีพวกนี้ พวกเรานี่พวกเสื่อกับหมอนมัดติดคอเลย มรรคผลนิพพานไม่มี ปัดออกหมด ไม่ให้มี ให้มีแต่เสื่อกับหมอนติดตัวอยู่ทั้งนั้นละ พากันฟังหรือยังพวกนี้

คือใจมันหนาเข้า มันไม่ยอมรับธรรม ใจที่หนาเข้าๆ มันปิดประตูที่จะปฏิบัติธรรม รู้เห็นธรรม มันเปิดโล่งเรื่อยกิเลสตัณหา เปิดโล่งเรื่อย เพราะฉะนั้นจึงสั่งสมแต่กิเลสตัณหา ตายแล้วก็จมลงนรก ผู้ว่านรกไม่มีละผู้ไปจม พระพุทธเจ้าเองเป็นผู้ตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว รู้ทั้งโลกทั้งธรรม ทางโลกทางผีมนุษย์มนารู้หมด นรกอเวจีทำไมท่านไม่รู้ ท่านก็บอกไว้หมด แต่มันไม่ยอมเชื่อ มันก็ไปลงที่ตัวไม่เชื่อนั่นแหละ ใครที่ว่านรกมี บาปมี บุญมี คนนั้นมีขยะแขยงต่อการทำบาป การทำบุญมีความพอใจ การทำบาปไม่มีขยะแขยง ไม่กลัวทำบาป คนไม่มีนิสัย คนหนา การทำบาปไม่กลัว แต่การทำบุญกลัว ขี้เกียจขี้คร้านหาเวล่ำเวลามาลบล้างจนได้นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น มันหนาเข้าๆ มันหนาที่หัวใจของสัตว์โลกนะ คือหนาเป็นพื้นมาเลยพวกนี้ หนาไปตลอดก็มี

อย่างที่ท่านสอนไว้ว่า ตโมตมปรายโน มันมืดบอดตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งวันตาย หาศีลหาธรรมเข้าติดตัวไม่มีเลย ตโมโชติปรายโน ทีแรกก็มืดไม่รู้จักศีลจักธรรม ไม่รู้จักเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล ครั้นเวลาธรรมเฉียดเข้าไปหูหลายครั้งหลายหนหูก็เลยเป็นกลายเป็นหูศีลหูธรรมขึ้นมา ใจก็เป็นใจศีลใจธรรมขึ้นมา ทีนีก็เสาะแหละ เสาะหาธรรม ธรรมก็เปิดอ้าอยู่แล้วรอที่จะเข้าสู่จิตใจ ทีนี้ก็รู้ไปเห็นไป รู้ไปเห็นไป ต่อจากนั้นก็พ้นได้ เป็นอย่างนั้นแหละถ้าเสาะแสวงหา ถ้าไม่แสวงหาตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายไม่มีอะไรดีกว่ากัน เลวเท่ากันหมด ตั้งแต่เกิดมาสร้างแต่ความเลวทรามจนกระทั่งถึงวันตายมีแต่ความเลวทรามติดตัวไป แล้วจมลงในนรกไม่มีวันขึ้นเลย

ถ้าคนสร้างความดีรู้ตัวแล้วก็สร้างความดี แสวงหาศีลหาธรรม จิตก็ค่อยเปิดรับธรรมๆ จิตใจมีความรักใคร่ใกล้ชิดต่ออรรถต่อธรรม ผู้นั้นตายแล้วตโมโชติปรายโน ถึงในเบื้องต้นจะมืดบอดก็ตามแต่ต่อไปแล้วสว่างไสวในกาลต่อไป  โชติโชติปรายโน เป็นผู้มีอุปนิสัยปัจจัยตั้งแต่เริ่มแรกเกิดมา รักศีลรักธรรมเรื่อยๆ มาจนกระทั่งทะลุถึงวันตาย รักศีลรักธรรมตลอดไป คนนี้เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่ง นี่ตโมตมปรายโน มันมืดบอดตั้งแต่วันเกิดมา ไม่สนใจกับศีลกับธรรม สร้างแต่ความชั่วช้าลามก ตายไปแล้วก็มืดบอดไปเลย

เราจะเอาอะไรให้พากันคัดเลือกเอานะ เทศน์นี่เลือกเฟ้นตามธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วมาสอน แล้วก็สุกเอาเผากิน สุกเอาเผากิน ตายแล้วจมนะ อย่าเข้าใจว่าใครจะไปช่วย ติดคุกติดตะรางก็ยังไม่มีคนช่วยได้ ยิ่งลงนรกยิ่งแล้วนะไม่มีใครช่วยได้เลย ให้ช่วยตัวเอง ละชั่วทำดีเสียตั้งแต่บัดนี้ต่อไปแล้วจะดีไปเรื่อยๆ พี่น้องทั้งหลายให้จำเอาเสียนะ

นี่เราก็เริ่มบวชมาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน เป็นชีวิตฆราวาส ความคลุกเคล้าของฆราวาสเป็นไปทุกแบบที่ชั่วช้าลามก พลิกเข้ามาบวชตั้งแต่วันบวชแล้วไม่ฝ่าฝืนอรรถธรรมวินัยตลอดมา จนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ฝ่าฝืน แล้วก็เย็นใจมาๆเรื่อย จนกระทั่งเห็นผลแห่งความเย็นใจสุดยอดกระจ่างขึ้นภายในใจ ไม่ถามกัน มรรคผลนิพพานไม่ถาม ถามหาอะไร พระพุทธเจ้าไม่รู้มรรคผลนิพพานมาสอนเราได้หรือ สอนเราให้รู้เมื่อเรารู้ตามแล้วจะถามใครละ นั่น มันประกาศในตัวเองนะ ความดีความชั่วอยู่ในหัวใจละ นรกไม่เคยเห็นก็เห็นถ้าสร้างความชั่วมาก สวรรค์ไม่เคยได้ไปบุญพาไปจนกระทั่งถึงนิพพานบุญพาไปเอง ให้พากันช่วยตัวเองในทางที่ถูกที่ดี

เป็นอย่างไรละพากันเข้าใจไหม พูดนี้ดังทั่วไปเลยนะ อย่าถือเราเป็นใหญ่กว่าบุญกว่ากรรมนะ บุญกรรมเป็นใหญ่มากทีเดียว นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอำนาจใดที่จะเหนือการกระทำบุญและบาป เหนือกรรมคือกรรมดี-กรรมชั่ว อันนี้มีอำนาจมากท่านว่า ในโลกไม่มีอะไร ท่านจึงบอกว่านตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีกรรมใดที่จะหนักมากยิ่งกว่าการสร้างกรรมดี-กรรมชั่ว กรรมดีมีอำนาจไปทางดี กรรมชั่วมีอำนาจไปทางชั่ว ถ้าละชั่วทำดีกรรมดีก็ยิ่งเพิ่มอำนาจเข้าไป ให้พากันจำเอานะ เอาละเท่านั้นละวันนี้

 

           รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

     และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก