ความเพียรด้วยอำนาจของจิต
วันที่ 14 มิถุนายน 2552 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

ความเพียรด้วยอำนาจของจิต

 

        บำรุงอะไรก็ไม่ยากเท่าการบำรุงจิตนะ การบำรุงจิตนี้ยากมากที่สุด ได้ทำแล้วด้วยตัวเอง จะไปให้ถึงนิพพานชาตินี้ว่าอย่างไร ปักใจเลย ไปชั้นนั้นเกิดแล้วตาย ไปชั้นนั้นเกิดแล้วก็ตาย อายุยืนก็ตามก็มาตายด้วยกัน ถ้านิพพานแล้วไม่ตาย เกาะเลย เอาเลย เอานิพพาน ซัดกันเสียจน..โถ เพราะฉะนั้นจึงว่าการบำรุงจิตนี้ยากที่สุดเลย ยากที่สุดคือการบำรุงจิต มีแต่สิ่งที่จะมาทำลายตลอดเวลา บำรุงยากนะบำรุงจิต

นี่หมายถึงว่าขั้นปัญญา ขั้นล้มลุกคลุกคลานเป็นอย่างนั้นละ ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลาน พลิกคว่ำพลิกหงายอยู่นั่นละ ซัดกันอยู่ พอไปถึงมันก้าวเดินแล้วทีนี้เอาละนะ เดินทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอนเลย นี่เวลาธรรมมีกำลัง กิเลสหมอบๆ ธรรมก้าวเรื่อยๆพุ่ง เดินจงกรมจนออกร้อนฝ่าเท้า จนได้เอาฝ่าเท้ามาดู แต่ก่อนท่านว่าพระโสณะท่านประกอบความเพียรฝ่าเท้าแตกท่านว่า เราก็มาเดินจนก้าวขาไม่ออก แล้วมานั่งออกร้อนฝ่าเท้า เลยเอาฝ่าเท้ามาดูแตกเหรอฝ่าเท้านี่  มันเป็นอย่างไร มันก็ไม่แตก แต่หนังหยาบมันเข้าไปสู่เนื้อละเอียด มาจับเอาเสียแปลบๆ มันจะแตก มันแตกไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ มันกัดเข้าไปๆไปถึงเนื้อ เรียกว่าฝ่าเท้าแตก

พระโสณะประกอบความเพียรฝ่าเท้าแตก เราก็เฉียดไป พูดให้มันเต็มยศเลย จนได้เอามาดูจริงๆนี่ นั่งอยู่ที่ไหนฝ่าเท้านี่เหมือนไฟรน พอออกจากทางจงกรมมาแล้ว นะเราจึงเอามาดูจริงๆ มันแตกเหรอ มันก็ไม่แตก แต่เวลามาลูบมันเสียวนะ มันจะถึงเนื้อ คือหนังหยาบละเอียดนี่หนังหยาบนี่ถูกกัดเข้าไปๆ เข้าไปถึงละเอียดแล้วก็จะเข้าเนื้อ เรียกว่าฝ่าเท้าแตก นี่ไม่แตก แต่เฉียดกันเลย เชื่อ เชื่อพระโสณะ เพราะอะไรเชื่อ ไม่ใช่เดินจงกรมฝืนจนฝ่าเท้าแตกนะ จิตมันบืนของมันต่างหากนะ ลงได้เข้านี้แล้วจิตมันจะหมุนของมันเรื่อยๆ ทีนี้เดินจนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก มันหมดกำลังแล้วหยุด

คือกำลังของจิตมันหมุนของมัน มันจะไป แต่เท้ามันไม่เห็นด้วยซิ ฝ่าเท้ามันจะแตก ของเราหวุดหวิดไม่แตก เอาพูดให้มันเต็มยศ กิเลสแตกเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะแตกแน่ๆละ เอาอย่างนั้นซิทำความเพียร เอาจริง นี่พูดจริงๆ นะไม่ได้มาคุยให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟังแบบนักโม้โอ้อวด เราไม่นั่นนะ เอาจริง พูดจริงๆ เอาจริงๆ ทำจริงๆนะ นี่ก็แบบเดียวกัน ฝ่าเท้าไม่แตก แต่เชื่อเด่นชัดว่าพระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก คือจิตใจมันดูดมันดื่มเรื่อยๆ ทางนี้จะเป็นอะไรจนจะก้าวขาไม่ออกจิตมันยังบืน อันนี้ก็เหมือนกันฝ่าเท้าแตก

ถ้าเดินจงกรมธรรมดาบังคับให้ฝ่าเท้าแตก โอ๊ย จ้างก็ไม่แตก มีแต่หมอนละจะแตก เสื่อกับหมอนจะแตกก่อน ถ้าเป็นเดินจงกรมด้วยความดูดดื่มจริงๆแล้วแตก คือมันหมุนไม่หยุด ความเพียรหมุนเข้าเรื่อยๆๆๆ เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆๆ อันนั้นละความเพียรกล้า เขาเรียกความเพียรกล้า พระโสณะฝ่าเท้าแตก เราพอจับเงื่อนได้ ของเราไม่แตก แต่หวุดหวิดๆนะ นี่ละความเพียร ความเพียรด้วยอำนาจของจิตนะ ไม่ใช่ในการบังคับนะ อำนาจของจิตมันหมุนของมันเรื่อย แล้วนี่ก็ก้าวเดินตามจนจะก้าวขาไม่ออกจิตมันยังไม่ถอย นั่นละเรียกว่าฝ่าเท้าแตก แตกได้อย่างนั้นละ

ที่เขาใหญ่ก็ดี ที่นั่นเขาถวายที่เรา อยู่ๆ ก็มาถวายที่ ๗๐ ไร่ เราก็ดูสภาพเหมาะสม พระกรรมฐานไม่มี เอ๊จะทำอย่างไรน้า อยู่ๆ เขาก็มาถวายเลยที่ที่นั่นนะ สักเดี๋ยวคนหนึ่งมาอีก คนนี้ ๗๐ ไร่ คนแรก คนที่สอง ๓๐ ไร่ เป็น ๑๐๐ ไร่ เลยปรึกษาท่านอุทัย ท่านพอใจมาอยู่ให้ เพราะฉะนั้นท่านอุทัยจึงได้อยู่ที่นั่น คือเป็นสายให้เราไปที่นั่นแล้วไปที่นี่ มันเป็นสายต่อกันนะ เรื่องราวอะไรมันหากมี ที่นี่ดี พระตั้ง ๑๐ กว่าองค์ ๑๓ ๑๔ องค์มาอยู่ที่นั่นดี อากาศโล่งดี

การทำอะไรนี่ต้องมีจริงมีจังนะ อย่าเหลาะแหละ เราเห็นผลของการจริงจังมีอยู่แล้วจึงได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ทำเหลาะแหละๆไม่เป็นท่า ผลก็ไม่เป็นท่า เดินจงกรมก็เดินไปอย่างนั้น สะเปะสะปะ จิตไม่ตั้ง สติไม่ตั้ง มันไม่เป็นความเพียร ถ้าสติกับจิตเป็นความเพียรตั้งจี๋ลง ได้ไม่สงสัย นี่ความเพียรทางใจเป็นอย่างนั้น นี่ก็สมมักสมหมายทุกอย่างแล้วนะ ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียรทางใจก็เอาสุดขีดเลย หายสงสัย เรื่องจิตกับกิเลสเป็นอย่างไร มันพรากจากกันมันพรากอย่างไรถึงรู้ นั่นละเอาถึงขีดนั้นถึงอย่างนั้นละ ฟาดเสียขาดสะบั้นไปเลยกิเลส

ถ้าไม่เอาอย่างนั้นจริงๆไม่ได้นะ ต้องหนัก ความเพียรก็หนัก ทำเหยาะๆ แหยะๆ เดินจงกรมสองสามหยอกแล้วหยุดแล้วนอนไม่เป็นท่าละ ทำอะไรก็ไม่เป็นท่า คนนิสัยประเภทนั้น ต้องเป็นนิสัยจริงจังซิ ว่าอะไรว่า ทำอะไรทำจริงๆ เห็นผลๆๆ ทุกอย่าง เราทดลองมาแล้ว ประกอบกับนิสัยมันเป็นอย่างนั้นด้วย นิสัยจริงด้วย ว่าอะไรเอาให้ถึงเหตุถึงผล ได้ผล ทางด้านจิตใจก็เหมือนกัน จึงได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราบอกตรงๆเลย หมดทุกอย่าง ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย เรียกว่าจิตว่างงานแล้ว หมด จิตไม่ว่างงานคือกิเลสมีอยู่ กิเลสมีมากน้อยนั่นละความยุ่งเหยิงวุ่นวาย กิเลสสร้างขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ความลำบากลำบน ร่างกายดีแต่จิตไม่ดีมันก็ยุ่ง พอจิตดีแล้วเสียร่างกายจะเป็นอะไรไม่ค่อยสนใจนะ

นี่เอาให้ถึงขีดแล้ว เรียกว่าจิตว่างงาน ว่างจริงๆ ทุกวันนี้ พูดจริงๆนะ ไปไหนก็ไปอย่างนั้นละ ไปกับโลกสงสารเขา ไปนั้นไปนี้ เหมือนตุ๊กตานะ บางทีพวกลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานเขาชวนให้ไปดูอันนั้นไปดูอันนี้เราก็ไปแบบนั้นแหละ ไม่ได้ไปด้วยความตั้งใจ ไปเอาน้ำใจเขาเท่านั้นแหละ สำหรับเราเองไปหาอะไร เท่านั้นพอ ยุ่ง กิเลสละพาซอกแซกซิกแซ็ก พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่ดิ้น จิตไม่ดิ้น สงบแน่วเลย จึงว่าจิตว่างงาน จิตว่างงานเป็นอย่างนั้น กิเลสหมดแล้วจิตก็ว่างงาน ถ้ากิเลสไม่หมดไม่ว่าง เอาละนะให้พร

 

           รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

 www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

     และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก