รู้ความดั้งเดิมของจิต***
วันที่ 11 มิถุนายน 2552 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

รู้ความดั้งเดิมของจิต

 

        พอว่าเทศน์ของหลวงตาเราระลึกถึงตอนมีแต่พระปฏิบัติ ไม่มีคนภายนอกเข้าเกี่ยวข้อง ตอนนั้นเด็ดทีเดียว ยังเสียดาย คงยังมีเก็บไว้อยู่นะเดี๋ยวนี้นะ ตอน ๒๕๐๔-๒๕๐๕ ตั้งแต่ก่อนหน้ามาถึง ๒๕๐๔ ๒๕๐๕ พอดีได้เทปมาอัดเสียง พอ ๒๕๐๖ เราป่วยปัจจุบันอยู่บนวัดดอยธรรมเจดีย์ เราคิดถึงเรื่องธรรมะเหล่านั้นเผ็ดร้อนมากทีเดียว เดี๋ยวนี้ให้เทศน์อย่างนั้นไม่ได้นะตาย เพราะกำลังไม่มี มีแต่กำลังของธรรม กำลังของจิต กำลังของธรรม กำลังของร่างกายที่จะช่วยหนุนให้เป็นเครื่องมือไม่มี อย่างทุกวันนี้ไม่มี หมดกำลังล่ะเดี๋ยวนี้ เรายังคิดเสียดายอยู่

          เมื่อวานไปไหน (ไปโรงสีเถ้าแก่สมหมาย) เขาให้ไปดูหอปราสาทปราแสท เขา เขาสร้างหอปราสาท มานิมนต์แล้วนิมนต์เล่าให้เราไปดู เราก็เลยไปให้ เมื่อวานไปร้อยเอ็ดโดยเฉพาะ สละทั้งวันไปร้อยเอ็ด แล้วเขาก็ทำเรียกว่าเต็มยศเขาล่ะ เขาสร้างอะไรไว้นะ เขาทำกุฏิไว้ให้หลวงตาไปพัก โถ กุฏิหลังนี้กับหลวงตามันเข้ากันไม่ได้ เราว่าอย่างนี้ มันเป็นอย่างไรเข้าไม่ได้ก็สร้างเพื่อหลวงตานะ ที่เข้าไม่ได้มันมีเราบอก

คือไม้ไปหามาจากจังหวัดแพร่ จังหวัดอะไรทางภาคเหนือ มีแต่ไม้สักทั้งนั้นทำกุฏิ เราขึ้นไปนั่งบนเตียงให้ครู่หนึ่ง ทำสวยงามจริงๆ ถ้าพูดตามโลกนะ มีแต่ไม้สักไปเอามาจากไหนไม้อันนี้ มาจากทางจังหวัดแพร่ โถ มีแต่ไม้สัก กุฏิหลังนั้นมันจะเป็นกี่ล้านไม่รู้นะ มีแต่ไม้สักทั้งนั้น เราขึ้นไปนั่งที่เตียง เตียงก็เตียงไม้อย่างเดียวกันหมดแหละ โถ สร้างไว้หลวงตามาพักที่นี่ เราก็บอกว่าเออพักได้แค่ไหนก็เอา วันนี้เอาแค่นี้เสียก่อน แล้วกลับมา

อันนั้นก็เหมือนกัน กุฏิหลังนั้นมีตั้งแต่ไม้สัก เราก็เลยต้องถามดู ไม้นี้มาจากไหน มาจากทางจังหวัดแพร่ โถ พูดตามโลกสมมุติมันก็สวยงามมาก มีแต่ไม้สักทั้งนั้นเลย เราขึ้นไปนั่งให้สักครู่หนึ่ง ไปไหนคนแห่ตามซี มันไม่ได้ถนัดใจถนัดดูพิจารณา แห่ไปตามไม่ได้เรื่องนะ เมื่อวานได้เฉพาะร้อยเอ็ดเท่านั้นละ ไปเฉพาะโรงสีเสี่ยสมหมาย จากนั้นมากลับเลย กลับถึงวัดก็พอดีประมาณบ่ายสี่โมง

พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้และเวลาบำเพ็ญท่านบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา ในกองขยะ  ไปประทับที่ไหนๆ มีแต่สิ่งที่โลกเขาไม่ประสงค์ ไม่สนใจ ท่านไปอยู่ที่อย่างนั้นนะ ที่ต้นโพธิ์ใหญ่ก็นางสุชาดาเขาเอาข้าวมธุปายาสถวาย ๔๙ ก้อน จากนั้นเลยประทับที่นั่น จะภาวนาที่นี่ ถ้าตายก็ตาย ไม่ได้ตายให้ได้ตรัสรู้ ตั้งสัจจอธิษฐานลงจุดนั้นเลย ถ้าตายก็ตายไปเลยไม่ได้ตรัสรู้ ถ้าได้ตรัสรู้ก็จะให้ได้เป็นที่สง่างามในต้นไม้ต้นนี้ ต้นนั้นเป็นต้นโพธิ์ เพราะฉะนั้นต้นโพธิ์จึงเป็นที่ระลึกกราบไหว้ของชาวพุทธเราเรื่อยมานะ ท่านไปหาบำเพ็ญอยู่อย่างนั้นนะ ได้ตรัสรู้ขึ้นมาธรรมอันเลิศเลอก็อยู่ที่เช่นนั้น ที่กองขยะๆ

เราไปดูเขาทำดิบๆ ดีๆ เรานึกเอามาเทียบเคียง มันอดคิดไม่ได้ละ ยิ่งจิตขั้นนี้แล้วยิ่งคิดมากนะ ๕๐-๖๐ ความคิดมาก มาถึงขั้นนี้คิดไปอีกแบบหนึ่ง มันหากเป็นอยู่ในจิตนะ มันหากเป็นเอง คิด ก้าวหน้าถอยหลังไปไหนมาไหนมันคิด ก้าวหน้าคือว่าเพื่อความเจริญ ไม่เจริญถ้าถอยหลังก็จม ถ้าก้าวหน้าก็ขึ้นสูงขึ้นเป็นลำดับๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน นี่เรียกว่าก้าวหน้า ถอยหลังก็จมลงนรก

พระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญอยู่ในป่า ไม่มีโลกใดเขาสงวนเขาเสาะแสวงเขาสนใจกันนะ พระองค์ก็ไปอยู่ที่เช่นนั้น ได้ตรัสรู้ขึ้นมาใต้ร่มโพธิ์ ร่มโพธิ์จึงเป็นคู่เคียงของพุทธศาสนามาตลอด แม้ที่สุดเขาทำทางถนนไป ในกรุงเทพนะ เวลาเขาขยายถนนต้นโพธิ์อยู่ที่นั่น อยู่ข้างๆถนนนะ ต้นโพธิ์ก็ไม่ต้นใหญ่นักละ เขาก็เคารพนะ หน้าที่การงานมันก็มาจำเป็นอยู่กับเขาที่จะต้องจัดต้องทำ เรานั่งรถไปดูเห็นต้นโพธิ์ต้นเล็กๆ อยู่นั่น ถูไปไถมาอยู่นั่น แต่ไม่กล้าจะขุด เราดู นี่คือเขาเคารพ มันจำเป็นจะทำอย่างไร หน้าที่บังคับให้มาทำอย่างนี้ ถูไปไถมาหากไม่กล้าทำจริงๆนะ นี่คือความเคารพเป็นอยู่ในจิต ทำจริงๆ ทำไม่ลง ทำแบบหนูหนวกตาบอดไป อยู่ในกรุงเทพนั่นแหละ เราดูอยู่ ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้มหาคุณแก่พระพุทธเจ้าของเรา เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรต่อต้นโพธิ์ต้นนั้นมันเท่าไร อย่างละ ๗ วันๆ เราลืมล่ะนาน เพราะฉะนั้นต้นโพธิ์อยู่ที่ไหนชาวพุทธเราเคารพมาก

เราก็อ่อนลงทุกวันนะ ไม่ได้แข็งนะ อ่อนลงทุกวัน เรื่องร่างกายอ่อนลง ไปไหนมาไหนโซซัดโซเซ อายุมันเท่าไร ๙๖ (๑๒ สิงหานี้ ๙๖ ปีเต็ม) มันจะ ๙๖ ปีเต็มเกือบจะถึงร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเดินมันถึงส่ายไปส่ายมา เดินจงกรมอยู่ในกุฏิก็เหมือนกัน เราไปชนเอาลูกกรง ชนเอาลูกกรง เป็นอย่างนั้นละ มันหากเป็นของมันเอง โซซัดโซเซ ทุกวันนี้เดินไม่สะดวก

แต่มันเป็นนิสัยที่เคยเดินมาฝังจิต ต้องเดินอยู่อย่างนั้นนะ เดินพิจารณาอะไรมันก็สะดวก มันก็เป็นผลดีอันหนึ่งการเดินก็ดี พิจารณา กลางคืนเงียบๆ มันเป็นตนของตนเต็มตัว อยู่คนเดียวกลางคืนเงียบๆแล้วเป็นตัวของตัวเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าอยู่อย่างนี้สับสนปนเปวุ่นวาย อันนั้นเลยเหมือนกองมูตรกองคูถ เราทั้งคนพระทั้งองค์เหมือนกองมูตรกองคูถ ทีนี้เรื่องสมมุติมันก็เหยียบย่ำไปมาแหลกอยู่กองมูตรกองคูถนั่นละแหลกหมดเลย

เอ้อ มันได้สนุกพิจารณา ชาตินี้เป็นชาติพิจารณาเต็มที่ มันหากเป็นของมันเอง ทุกแง่ทุกมุมมันสอดแทรกไปหมด ไม่เคยเห็นก็เห็น ไม่เคยรู้ก็รู้ นั่นละเรื่องญาณของพระพุทธเจ้า เพียงตัวเท่าหนูมันก็เป็น เป็นก็บอกว่าเป็น ถึงจะเท่านี้ก็บอกว่าเป็น ญาณของศาสดาเป็นอย่างไร โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน โลกผีโลกคนจนกระทั่งถึงนิพพาน นั่นคือความรู้ของศาสดา ทีนี้เวลามันเปิดตัวของมันแล้วมันก็ไปเต็มภูมิของมันเหมือนกันนะ คือมันเปิดตัวของมัน จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่เปิดตัวเต็มที่ เต็มภูมิของตัวเอง เต็มวาสนาของตัวเองมันก็ไปเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน ภูมิของศาสดาก็ไปเต็มเหนี่ยวของศาสดา นี่ละมันตามนิสัยวาสนานะ

สิ่งไม่เคยรู้ก็รู้ สิ่งไม่เคยเห็นก็เห็น แต่สิ่งที่มาพูดควรหรือไม่ควรนี่สำคัญมากนะ เห็นอะไรก็เห็นไปอย่างนั้นละ เห็นรู้อยู่ภายในใจก็รู้เป็นแบบหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น มันของเล่นหรือจิตนี่ให้มันเปิดตัวออกซิน่ะ มันมืดตื้ออยู่นี้ละ มันเหมือนไฟฟ้าเอาแก้วดำครอบเอาไว้มันก็ใสอยู่ข้างใน แต่ข้างนอกมืดไปหมด แก้วดำๆ ครอบ สมมุติครอบหมด นอกสมมุติมันอยู่ข้างในมันจ้าๆ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นี่ละการบำเพ็ญธรรม ท่านทั้งหลายฟังเสีย นี่จวนจะตายแล้วค่อยเปิดออกๆ

สุดล่ะ ในชีวิตของเรานี่มาสุดชาตินี้แหละ หมด ไม่มีที่จะก้าวไปไหน ก้าวถอยก็ไม่มี ก้าวหน้าก็ไม่มี อยู่ที่ปัจจุบันคืออะไร ธรรมธาตุ จิตนี้เมื่อบริสุทธิ์เต็มที่แล้วท่านบอกว่านิพพานเที่ยงกับธรรมธาตุเข้ากันได้สนิทเลย ท่านว่านิพพานเที่ยงครอบไปหมดเลย ธรรมธาตุมันจ้าอยู่เฉพาะเจ้าของ เห็นได้ชัด อันนั้นเขาคาดได้นะว่านิพพานเที่ยงคาดกันได้ แต่ธรรมธาตุนี่คาดไม่ได้นะ เป็นอยู่กับผู้ที่รู้ที่เห็นเท่านั้น อันนี้ละท่านผู้บำเพ็ญถึงที่สุดของจิตของธรรมแล้วเป็นธรรมธาตุทั้งนั้นละ ไม่มีคำว่าดีว่าชั่ว สมมุติอะไรหมดโดยประการทั้งปวง มีธรรมชาติอันนั้นละเรียกว่าเป็นธรรมธาตุ จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วท่านเรียกว่าจิตพระอรหันต์ พอร่างกายแตกพังลงไปแล้วอันนั้นก็เป็นธรรมธาตุไปเลย นั่นละการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญอย่างนั้น

เวลาได้รู้ได้เห็นแล้วมันก็ย้อนหลังในความตะเกียกตะกายของตัวเอง เป็นอย่างไรๆ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน บำเพ็ญไปล้มไป ล้มที่ไหนก็ไปถูกแต่เสื่อแต่หมอนนั่นแหละ ที่อื่นไม่ถูกละ ไปถูกแต่เสื่อแต่หมอน ฟังเสียงเสื่อหมอนมันแตกเสียงดังโคมเคมๆ เสียงกรน โคกเคกๆ อยู่บนเสื่อบนหมอน เวลาไปสุดขีดแล้วพูดไม่ได้นะ ท่านบอกได้แต่นิพพานเที่ยงหรือคำว่าธรรมธาตุเข้ากันได้สนิท นิพพานเที่ยง..เอาอันนี้ละอันธรรมธาตุเป็นว่านิพพานเที่ยงให้ฟังทั่วๆไปได้ ถ้าว่าธรรมธาตุฟังไม่ค่อยเข้าใจกัน คือธรรมธาตุที่เหนือทุกอย่างหมดแล้ว ท่านว่านิพพานเที่ยงอันนั้นละเป็นธรรมธาตุ

จิตล้วนๆแล้วจะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอะไร จะเรียกได้พอเข้าใจกันได้ก็คือว่าจิตเป็นธรรมธาตุ นั่นละหมดละทีนี้ เรียกว่าหมดงาน จิตว่างงาน ว่างงานของจิตว่าง กิเลสเป็นตัวสร้างงาน สร้างความวุ่นวายขึ้นมา ธรรมะซักฟอกเข้าไป ระงับลงไป เหมือนน้ำดับไฟ เมื่อน้ำมีมากไฟก็มุดมอดลงไป มุดมอดลงไป ดับหมดแล้วเย็นฉ่ำเลย สว่างจ้าเลย นั่นละจิตเมื่อเราได้ชำระให้เต็มที่เต็มฐานพูดไม่ได้นะ ที่จะพูดให้เป็นไปตามนั้นพูดไม่ถูก พูดไม่ได้ละ แต่เจ้าของไม่สงสัย..การบำเพ็ญธรรม

นี่ละพุทธศาสนาจริงไหม คว้านู้นควานี้ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี เรียกร้องหามาช่วยตัวเอง แต่ตัวเองจะสนใจช่วยตัวเองไม่สนใจ มันก็คว้าไปอย่างนั้นละ ถ้าช่วยตัวเองได้แล้วมันไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตัวของตัวเป็นอันเดียวไม่มีคู่แข่ง จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วไม่มีคู่แข่ง พระพุทธเจ้าจะกี่หมื่นกี่ล้านองค์ก็ไม่ถามกัน เป็นอันเดียวกันหมด พูดแล้วสาธุไม่ได้ประมาทนะ นี่ก็เข้ากันได้กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านพูดถึงเรื่องจิตที่ถึงที่สุดวิมุตติแล้ว พูดแล้วท่านว่าสาธุ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ถามหาอะไรอันเดียวกัน ท่านว่าอย่างนั้น เวลามันเข้ารับกันแล้วยอมรับทันทีเลย

อย่างที่ท่านพูดว่าพระโสณะประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก เราก็อ่านไปทีแรกนะ เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ฝ่าเท้าแตกคือว่าพวกหนังหยาบๆ เนื้อหยาบๆ ถูกตัดเข้าไปด้วยการเดินถูไถไปมา สุดท้ายเข้าไปถึงเนื้ออ่อน นั่นละเรียกว่าฝ่าเท้าแตก ถงเนื้ออ่อนคือฝ่าเท้าแตก ท่านทำไมท่านเดินอย่างไรถึงต้องฝ่าเท้าแตก เราดูในตำรานะ ตำรามี เราก็ธรรมดาเหมือนขอนซุง อะไรๆจะขึ้นไต่ขึ้นตอม ขี้ราดใส่ก็ไม่ว่าอะไร ขอนซุงนะ บทเวลามันกระจายออกแล้ว โถ ไม่ใช่เล่นๆนะ

จิตที่ยังไม่ได้ซักฟอกนี้อะไรมันถูกอะไรมันก็อันเดียวกันหมด ไม่มีอะไรว่าสะอาดว่าไม่สะอาด มันเป็นอันเดียวกันหมด เป็นกองมูตรกองคูถ พอชำระออกๆใสสง่าขึ้นมาจนจ้าแล้วทีนี้ถึงมารู้ความดั้งเดิมของจิต ที่อยู่ในวัฏฏะเป็นดั้งเดิมอันหนึ่ง วัฏวน วิวัฏฏะดั้งเดิมอันนั้นละ ดั้งเดิมโดยแท้ คือถึงความบริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพาน นั่นละดั้งเดิมแท้ หมดไม่มีอะไรเลยละ เท่านั้นละ

จะไปที่ไหนจิตคิดปั๊บ ถ้ามันจืดชืดๆไม่อยากไป พอจิตคิดถึงว่าไปสุทธาวาสดูดปุ๊บเลยนะ เรื่องใหญ่อยู่ที่นั่นในโลกสมมุติในมนุษย์เรา วัดสุทธาวาสเป็นวัดที่หลวงปู่มั่น-หลวงปู่เสาร์เริ่มสร้างวัดนี้ขึ้นมา นี่ประโยคใหญ่อันหนึ่ง ท่านมาพักที่นั่นละ พวกชาวสกลนครเขาอาราธนาท่านให้พักอยู่ที่ดงบาก เขาเรียกดงบาก ดงหมดนะนั่น สนามบินอยู่นู้น นอกนั้นเป็นดงทั้งหมด ท่านเลยพักให้เขา เลยสร้างวัดขึ้นที่นั่น ทีนี้ท่านมาบำเพ็ญอยู่เข้าๆออกๆอยู่ที่นั่นเป็นประจำ พอสุดท้ายท่านก็ชี้นิ้วเลยไปตายวัดสุทธาวาส ท่านชี้เลยนะ ที่ไหนๆ ท่านไม่เคยชี้ขาดเหมือนท่านจะไปตายวัดสุทธาวาส ท่านบอกอย่างนั้นละ ต้องเอาเราไปตายที่วัดสุทธาวาส ท่านว่า

ท่านก็พูดออกมาพอเป็นปริยายนิดหน่อยว่าวัดสุทธาวาสนี้มันเป็นส่วนรวม ถ้าตายตามบ้านนอกคอกนานี้เราตายคนเดียว สัตว์จะตายพินาศเพราะเราเป็นเหตุนี่มากต่อมากท่านว่านะ เพราะเขาไม่มีตลาด ถ้าไปตายสุทธาวาสเขายังพอบรรเทากันนะ เขามีตลาด เราต้องไปตายที่สุทธาวาส บอกต้องไปตายวัดสุทธาวาส นั่นละถึงได้มา พอมาถึงบ้านภู่มาพักอยู่นั่นหลายวันพอสมควร ตอนั้นท่านเริ่มเร่งแล้ว นี่จวนแล้วนะท่านว่า ให้รีบพาไปสุทธาวาสท่านบอก ท่านจวนแล้วให้รีบพาไปสุทธาวาส

พอถึงวันแล้วท่านเร่งใหญ่เลยนะ กลางคืนท่านนั่งภาวนาหันหน้าไปสุทธาวาส  ใส่ปัญหาให้พวกพระขี้เท่อมันโง่ มันจะตายไม่ว่าเราไม่ว่าครูบาอาจารย์ เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นตัวรับทุกอย่างสับยำลงกับเรา เราอยู่ในมุ้งกับท่าน ครั้นได้ออกมาก็มากราบเรียนครูบาอาจารย์ด้วยความเผ็ดร้อนตามที่ท่านสั่ง มาองค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ เราโมโหนะเรายังไม่ลืมนะ โมโหให้ครูบาอาจารย์ เพราะเราไปรับมาจากในมุ้งของท่านนะ ออกมารีบมาหาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านเร่งอย่างนั้นๆๆๆ เราฟังได้เหตุการณ์ทุกอย่างแล้วก็ออกไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ องค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ ทำเฉยๆ เมยๆ ไป เราเลยชักโมโหให้ครูบาอาจารย์ นี่เราก็ยอมรับ ถ้าว่าเป็นบาปก็ยอมรับนะ

มีคำเดียวที่เรายังรออยู่นั้นนะ บอกว่าผมรั้งไว้นะเท่านั้นละ ถ้าได้ยินคำนี้ปั๊บเราจะออกกลางคืนในวันนั้นเลย นี่ท่านเร่งเราให้รีบๆ ท่านบอกให้รีบ ดุเราแหลก ทีนี้นำออกมาก็ออกมากราบเรียนครูบาอาจารย์ ท่านไม่ไปเห็นเหตุการณ์ในมุ้งเหมือนเรา ครั้นออกมาองค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ จืดๆ ชืดๆ เราชักโมโห เรายอมรับนะ มันเป็นอย่างไรครูบาอาจารย์เหล่านี้ เราเอาความจริงออกมาพูดสดๆร้อนๆ แล้วทำไมถึงจืดๆ ชืดๆ ไปอย่างนี้ คือมันคิดยกโทษครูบาอาจารย์เหมือนกัน เพราะเราไปรับมาสดๆ ร้อนๆ เป็นไฟออกมาจากในมุ้ง

นอนท่านก็จะไม่นอนคืนนั้น อย่าให้นอนท่านว่า อันนี้เราก็ยังคิดไม่ทันแต่ก่อน  ไม่นอน ให้หันหน้าไปสกล คือบอกอะไรก็เฉยๆ ลูกศิษย์ลูกหา ที่ท่านว่าท่านจะเร่งไปสุทธาวาส ให้ไปสุทธาวาสวันนี้คืนนี้ อย่ารอนาน คือท่านรั้งเอาไว้ แต่ท่านไม่บอก ถ้าท่านบอกว่านี่ผมรั้งเอาไว้นะเราจะเตรียมของออกกลางคืนเลยนะ แต่นี้ท่านไม่ได้แย็บคำนี้ออกมา ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์ องค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ เราเลยโมโหให้ครูบาอาจารย์ เพราะเรารับมาจากในมุ้งสดๆ ร้อนๆ ครั้นไปพูดกับครูบาอาจารย์แล้วองค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ จืดๆ ชืดๆ มันโมโหซิเราก็ดี

พอตอนเช้ารถสกลมาพอดี จะมาดลบันดาล เราก็สืบถามเหมือนกันว่าใครเอารถมารับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น มีใคร ไม่มี แล้วเป็นได้อย่างไร ออกมากจากบริษัทคุณแม่นุ่ม มาท่านก็ไปเลย ท่านพูดคำเดียวเท่านั้นว่านี่พระมากๆ รถเท่านี้มันจะพอกันเหรอ  ท่านว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่พอจะขนจนหมดทั้งวัน ท่านก็เงียบเลย ฉีดยานอนหลับให้ท่าน เพราะท่านเร่งพอแรงแล้ว เร่งจะไปสกล นอนก็ไม่อยากนอน คือมีแต่เร่งจะไปสกล

คือคำว่านอนก็ไม่ยอมนอนก็คือว่ามันเหมือนนักมวยแชมเปี้ยนเรานี่ เวลาขึ้นต่อกรกันบนเวทีแชมเปี้ยนนั่นน่ะมองไม่ทันนะหมัดเขาต่อยกัน เวลามันนอนหลับครอกๆ อยู่นี่เอาฆ้อนไปตีหัวมัน มันมีความหมายอะไรนักมวยแชมเปี้ยนน่ะ มันก็ตายทิ้งเปล่าๆ ใช่ไหมละ เวลามันต่อยลองมันดูซิน่ะ เราตายก่อนมันเสียด้วย ขึ้นไปยังไม่ถึงเวทีมันเตะทีเดียวตก อันนี้ก็เหมือนกัน เวทีท่านจัดเจนพอแล้ว ล้างโลกล้างสงสารล้างหมดแล้ว รอแต่ลมหายใจ ความหมายว่าอย่างนั้น ท่านไม่พูดเฉยๆ ว่านี่ท่านรอไว้นะ ถ้าท่านพูดอย่างนี้ๆ แล้วเราจะไปกลางคืนเลย เลยตกลงรอจนถึงเช้า พอดีรถเขามารับ มารับแล้วขึ้นเลย ฉีดยานอนหลับให้แล้วไป พอยานอนหลับสร่างออกไปๆ ดูอาการของท่านตื่นขึ้นมาแล้วมองนั้นมองนี้ ดู คราวนี้ไม่พูดสักคำนะ

ไปถึงที่หมายแล้ว..กุฏิหลังนั้นเขาสร้างถวายท่าน ตอนท่านอยู่อุดรเขาสร้างทางนู้นถวายให้ท่านไปพักที่นั่น ท่านจากอุดรมาพักที่นั่น บทเวลาท่านจะสิ้นลมท่านก็จะมาพักที่วัดสุทธาวาสอย่างเดียวๆ ไปนู้นก็ดูนั้นดูนี้ คราวนี้ไม่พูดสักคำนะ คือพิษยา ฉีดยานอนหลับมันจางลงไป ท่านตื่นขึ้นมาก็มองนั้นมองนี้ ท่านมองดูกุฏิ จุดหมายของท่านที่สั่งมามันตรงกันหรือมันเคลื่อนอย่างไร ท่านดูเห็นชัดเจนว่าเป็นกุฏิของท่านเอง ที่ท่านมาพักจากอุดรไปสกลนคร พอกลับไปสกลนครที่จะไปทิ้งสังขารท่านก็ไปดูอีก ดูคราวนี้ไม่พูดนะ

พอตื่นนอนพิษยาหมดแล้วตื่นขึ้นมาก็มองนั้นมองนี้ พอมองแล้วแน่ใจแล้วเป็นสถานที่เราต้องการ สักเดี๋ยวสงบใจ ดูหมดทุกอย่างแล้วสงบใจ เรียกว่าหายสงสัย ทีนี้จะตั้งหน้าทำหน้าที่จากโลกสงสาร โลกหมุนเวียน โลกเป็นฟืนเป็นไฟเข้าสู่แดนนิพพาน จากนั้นสงบนิดหนึ่ง พอจากสงบแล้วทีนี้แสดงอาการนะ ดูขนาดนั้นเรา ท่านดูหมดดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านสั่งไว้ตรงไหม ตรงหมดแล้ว จากนั้นท่านสงบ มาสงบใจหายกังวล พอจากนั้นปั๊บทีนี้ก็เริ่มทำงานที่จะนิพพาน

เราดูขนาดนั้นละ สลดสังเวชนะ พระอรหันต์นิพพาน แหม..ดูไม่ออกนะ ไม่รู้เวลา ท่านสิ้นลมสิ้นเมื่อไร เราจ่ออย่างนี้ตลอดนะ ครูบาอาจารย์ก็นั่ง..ผู้ใหญ่ เราก็เอาคอเราสอดเข้านี่ดู ท่านก็เริ่มทำหน้าที่นิพพาน มีหายใจเล็กน้อย จากนั้นละเอียดลงๆ เงียบไปเลยนะ ไม่เห็นอาการกระดุกกระดิกในอวัยวะส่วนต่างๆ แม้นิดเดียวเลยนะ สงบๆ ไปเลย จนกระทั่งว่าท่านสิ้นเมื่อไรไม่รู้นะ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์อุปัฌาย์ท่าน  สังเกตดูไปนาน ท่านว่าไม่ใช่ท่านสิ้นแล้วเหรอ เลยจับเอานาฬิกามาดู เดากันว่าตี ๒ กับ ๒๓ นาที นั่นะเอาอันนั้นละด้นเดาว่าท่านสิ้นเวลานั้น ความจริงท่านสิ้นแต่เมื่อไรไม่รู้ดูอยู่ คือละเอียดลงๆ ละเอียดเงียบไปเลย ไม่เห็นกระดุกกระดิกเวลาจิตจะละขันธ์ เงียบเลย เลยเอาอันนั้นละว่าท่านสิ้นเวลาตี ๒ ๒๓ นาที เราก็ดูอยู่ด้วยกันจะว่าอย่างไร

ท่านผู้วิเศษนิพพานก็อัศจรรย์นะ พ่อแม่ครูอาจารย์นี้สุดยอดแล้วนะในสมัยปัจจุบัน คือพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันสุดยอด เราไม่ถามใคร เพราะอยู่ติดกับท่านมาตลอด ด้วยความโง่ก็หลับตาดู เวลามันสว่างขึ้นมาก็ลืมตาดูจนสุดความสามารถ หายสงสัยว่าพระอรหันต์นิพพานเป็นอย่างนี้ ลงตรงนั้น ท่านนิพพานนิพพานอย่างนี้ ที่ท่านบอกไว้แน่นอนคือว่าอายุ ๘๐ ท่านจะสิ้นท่านจะตาย ท่านบอก อายุเราไม่เลย ๘๐ ท่านบอกไว้เลย ถึง ๘๐ แล้วไปเลย ท่านว่า

ทีนี้พอเริ่มป่วยก้าวเข้าสู่เขตของอายุ ๘๐ ท่านเริ่มป่วยแล้ว เออนี่ละมาแล้วนะ นี่ละเขตที่จะเข้าสู่ความตายมาถึงแล้ว ไข้คราวนี้เอายาเทวดามาใส่ก็ไม่หาย มีแต่จะตายท่าเดียว ท่านว่าอย่างนั้น แล้วเป็นความจริงด้วย แต่มันไม่ตายง่ายนะ โรคทรมาน ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเลยนิพพานในการป่วยคราวนั้น คราวนี้ท่านบอกไว้เลยว่าคราวนี้เป็นครั้งสุดท้าย การป่วยของเราจะไม่หาย เอายาเทวดามาใส่ก็ไม่หาย รอวันเวลาของมันเท่านั้นละ ยาอะไรมาใส่ท่านก็เฉย แล้วไปเลย

จิตใจเราตอนนั้นกำลังหมุนติ้วอยู่นะ เวลาท่านมรณภาพจิตใจของเรากำลังหมุนติ้วๆ ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน มันไม่ยอมนอน คือจิตมันหมุนทางด้านธรรมะ วันท่านมรณภาพจากไปตั้งแต่ตี ๒ จนกระทั่งถึงเวลาท่านบิณฑบาต เรานั่งเฝ้าศพท่าน รำพึงรำพันถึงเรื่องความตะเกียกตะกายของเรายังมีผู้ฉุดผู้ลาก ผู้ฉุดผู้ลาก บัดนี้ท่านสิ้นไปแล้วใครจะมาฉุดมาลากเรา รำพึง จนกระทั่งถึงเวลาบิณฑบาตหมู่เพื่อนไปสกิด เรานั่งเฝ้าศพท่าน บอกว่าถึงเวลาบิณฑบาตแล้ว กราบศพท่านแล้วไปบิณฑบาต นั่งแต่ตี ๔ นะ ตี ๒ ท่านสิ้น จากนั้นมาจัดการศพของท่านปุ๊บปั๊บ เอาวางไว้ที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว หมู่เพื่อนขยับขยายออกไป เราก็นั่งเฝ้าจนถึงเวลาบิณฑบาต

ท่านก็นิพพานไป อัศจรรย์เหมือนกันนะ เหมือนฟ้าดินถล่มในหัวใจเรา เพราะวิ่งขึ้นหาท่านบางวันถึงสามหนก็มี ท่านไม่เคยแสดงความอิดหนาระอาใจ คนหนึ่งจะตายยังมาถามมายุ่งทำไมท่านไม่เคยว่า เราขึ้นไปท่านนอนหลับอยู่กราบปั๊บๆ ธรรมะของเราก็ร้อนของเรา ร้อนที่จะวิ่งออกจากวัฏฏะ ขันธ์ของท่านก็ร้อนวิ่งที่จะสลัดกองมูตรกองคูถคือสังขารไป ท่านขึ้นมานั่งปุ๊บนะ เวลาธรรมดามีคนพยุงนะ เวลามาคุยธรรมะกับเราไม่มี พอขึ้นไปกราบที่ท่านนอน กราบที่เท้าของท่าน กราบเรียนอธิบายเรื่องจิตของเรา ท่านนอนฟัง พอได้จังหวะแล้วท่านลุกปุ๊บปั๊บ ไม่มีใครพยุง ลุกปุ๊บปั๊บขึ้นมา เอาฟังนะ ท่านอธิบายให้ฟังอย่างนั้นๆ ๆๆ ที่เราติดข้องในปัญหาต่างๆ เอาฟังนะ เราก็ฟังนิ่ง พอพูดไปๆ ถามเข้าใจหรือยัง ถ้าเรายังนิ่งท่านย้ำอีกๆ วาระสุดท้ายเราจะเอาให้เต็มเหนี่ยวของเรา พอเราเข้าใจปุ๊บกราบปั๊บๆท่านล้มนอน ไม่มีใครยุ่งได้ละ

แต่ก็เดชะสำหรับเราไม่เคยมีการขัดข้องจากท่านเลยนะ ไปหาท่านเมื่อไรได้ทั้งนั้นเลย เวลาไหนอยู่องค์เดียวเราขึ้นไปหาท่าน ท่านไม่มีอะไรตลอดสาย เหล่านั้นขึ้นไปหาท่านได้ง่ายๆเหรอ คือเรานี่ละคอยเฝ้าท่านอยู่ตลอด ใครเข้ามาควรหรือไม่ควร  ควรเข้าหาท่านเมื่อไร ไม่ควรอย่างไร เราจะด้อมๆ ดูรอบๆ อันนี้เราเองเสียเองเป็นผู้ไปกวนท่าน ท่านไม่ว่าอะไรนะ เอาล่ะไปละนะ

 

            รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

   www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

     และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก