เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อเย็นวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระนิพพานเป็นเข็มทิศอันสูงสุด
ทองคำที่เราช่วยชาติคราวนี้ได้ไม่น้อยนะ ทองคำทั้งหมดนี้ที่เราได้จากพี่น้องทั้งหลายคราวนี้ ช่วยชาตินี่จำนวนไม่น้อยนะ เป็นหมื่นกว่ากิโล ๑๑,๙๓๘ กิโล ทองคำทั้งหมดนี้เราเอาเข้าคลังหลวงทั้งหมดเลย นับว่าได้สมบัติเข้าคลังหลวงไม่น้อยนะ คราวช่วยชาติคราวนี้นะ ได้สมบัติเข้าคลังหลวงเราไม่น้อยในการช่วยชาติคราวนี้นะ ทองคำก็ได้มาก ดูเอาทองคำที่เข้าคลังหลวง ทองคำที่เข้าคลังหลวงได้เท่าไร (๑๑,๙๓๘ กิโลครับ) นี่ละที่ได้เรียบร้อยแล้วนะ ที่ยังไม่เข้าก็มี นี่ได้ ๑๑,๙๓๘ กิโล ไม่ใช่เล่น ๑๑,๐๐๐ แล้วก็ ๑,๐๐๐ กิโลด้วย ๑๐,๐๐๐ มันก็ต้อง ๑๐ ตัน มันเกือบ ๒ ตันแล้วมัง ที่ได้ทองคำเข้าคลังหลวงคราวนี้ได้เกือบ ๒ ตันนะ ได้ ๑๑,๙๓๘ กิโล เศษจาก ๑๑,๐๐๐ ไปแล้วยังขาดเท่านั้นละจะเข้าคลังหลวงอีก เรายังแน่ใจถ้าเรายังไม่ตายมันจะได้ทองคำเข้าสู่คลังหลวงเพื่อพี่น้องลูกหลานไทยเราให้มีความอบอุ่นเย็นใจ สบายใจ
บ้านอื่นเมืองอื่นเขามีสมบัติประจำชาติของเขา สำหรับบ้านเราเมืองเรา เมืองไทยคนมีตั้ง ๖๒-๖๓ ล้านคน ควรจะได้ทองคำนี้เข้าเป็นหัวใจของชาติ แล้วจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน ถึงน้อยก็น้อยสวยน้อยงาม ได้รับการตกแต่งมาแล้วด้วยทองคำ เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามเวลามีชีวิตอยู่นี้ เวลาเราตายแล้วเราอยากจะพูดว่าจะไม่มีผู้มานำอย่างที่เราทำอย่างนี้นะ คือทำไมจึงว่าอย่างนั้น เราทำนี้เราทำด้วยความเมตตาจริงๆ นะ เราไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไรจากการที่พี่น้องได้ให้ทานแก่เรามากน้อย ได้มาเท่าไรออกข้างนอกหมดเลย ช่วยโลก
ส่วนทองคำนี้เข้าสู่คลังหลวงโดยถ่ายเดียว ไม่ให้แยกแยะไปไหนคือทองคำ ส่วนพวกเงินบาทเงินอะไรนี้กระจายออกทั่วประเทศไทย สำหรับทองคำนี้เข้าคลังหลวงโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จึงมีจำนวนมากมาย ส่วนดอลลาร์ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ นี่หมายถึงที่ได้แล้วนะ ต่อไปยังจะได้อีก ถ้าเรายังไม่ตายก็จะกวนพี่น้องทั้งหลายอยู่นั้นแหละ ถ้าตายไปแล้วก็เป็นอันว่าเลิกแหละ ไม่เอาอะไรเลย เลิก
แม้ที่สุดเวลาหลวงตาบัวตายพี่น้องทั้งหลายจะมาบริจาคจตุปัจจัยไทยทานให้เรา ตลอดถึงการสร้างอะไรหรูหราฟู่ฟ่าให้สมเกียรติหลวงตาบัว เพื่อรับรองแขกคนที่มาในงานนี้เราก็ห้ามไม่ให้ทำ ที่จะมาสร้างหรูหราฟู่ฟ่าในงานศพของเรา เราก็ไม่ให้ทำ จตุปัจจัยทั้งหลายที่มานี้เราจะตั้งกรรมการเก็บรักษาไว้ทั้งหมดเลย ในบรรดาปัจจัยที่นำมาบริจาคในงานศพของเราที่เน่าเฟะอยู่ในหีบนั้นน่ะ เราไม่เอา ถ้าเอามาให้อันนี้ไม่สมเกียรติแห่งชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาติที่มีความแน่นหนามั่นคงอบอุ่น หรืออุ่นหนาฝาคั่งมาดั้งเดิม ควรที่จะได้สมบัติเงินทองจากเราตายซึ่งอุตส่าห์ทำประโยชน์ให้แก่โลกมาเต็มกำลังแล้วนี้ ไปเป็นขวัญตาขวัญใจแก่พี่น้องลูกหลานทั้งหลาพอประมาณ
เพราะฉะนั้นเวลาใครมาบริจาคทานนี้เราจะตั้งกรรมการเก็บให้หมดเลย ไม่ให้ออกไปอีลุ่ยฉุยแฉกสร้างนั้นสร้างนี้ เราสั่งเลยทีเดียว แล้วเงินจำนวนนี้มาบริจาคมากน้อยเพียงไรเราจะเอาเงินจำนวนนี้ทั้งหมดเลยไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงหมด ไม่ให้ออกไปไหนเลย เอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเลย ส่วนไฟหมุนมาหาหีบศพของเราที่เน่าเฟะอยู่นั้นเราเป็นที่พอใจเรา ทำอย่างอื่นเราไม่พอใจ ใครจะมาทำอะไรหรูหราฟู่ฟ่า สู้ชาติหรูหราฟู่ฟ่าไม่ได้ เราชั่งน้ำหนักดูแล้ว ชาตินี่มีน้ำหนักยิ่งกว่าเราขนาดไหน ชาติมีจำนวนตั้ง ๖๒-๖๓ ล้านคน เรามีเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นควรที่จะหนุนชาติซึ่งมีน้ำหนักมากนั้นให้สูงส่งขึ้นไป น้ำหนักมากขึ้นไป จะได้เป็นการประดับประดาชาติไทยของเราในเวลาที่ตาย
เวลามีชีวิตอยู่นี้เราก็ไม่เอาอะไรนะ พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบตามนี้ หลวงตาไม่เอาอะไรเลย ตั้งแต่ปฏิบัติตัวมานู่นน่ะเริ่มออกบวชตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๗ เดือนพฤษภาคม ถึงเดี๋ยวนี้เป็นกี่พรรษา ๗๔-๗๕ พรรษาแล้วมัง นี้เราสร้างอรรถสร้างธรรมเข้าสู่ใจของเรามาโดยลำดับ ขึ้นชื่อว่าความชั่วช้าลามกใดๆ เราระลึกไม่ได้เลยว่าเราฝืนทำหรือเราดื้อดึงต่อธรรมวินัยไม่มี เราทำตามแบบตามฉบับของธรรมวินัยคือองค์ศาสดาโดยแท้ตลอดมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้เราก็อบอุ่นในการรักษาศีลรักษาธรรมจากการบวชของเรา
ชีวิตจิตใจเป็นชีวิตของนักบวช ความเคลื่อนไหวไปมาพูดจาปราศรัยที่ถูกต้องตามอรรถตามธรรมนั้นเป็นคำพูดของเราที่เป็นนักบวช มีศาสดาเป็นผู้ปกครอง ศาสดาคือธรรมคือวินัย ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากหลักธรรมหลักวินัยไป เราได้อุตส่าห์ปฏิบัติมาอยางนี้เต็มกำลังความสามารถ ตั้งแต่ออกบวชมาแล้วก็เรียนหนังสืออยู่ประมาณ ๗ ปีละมัง ออกจากนั้นก็เข้าหาหลวงปู่มั่นเราทีเดียว ไม่ไปไหนละ เพราะตั้งใจว่าเรียนจบแล้วเราจะไปปฏิบัติ เอาพูดตามความรู้สึกของเจ้าของที่ฝังลึกมานมนาน ถึงกับว่าดึงดูดจิตใจเราให้ถึงจุดนั้น ว่าอย่างนั้นเถอะ
เวลาเรียนจบแล้วเราจะเข้าหาครูบาอาจารย์องค์สำคัญที่หาความต้องติไม่ได้แล้ว เราจะทำโอวาทคำสั่งสอนของท่านที่ถูกต้องแล้ว มาปฏิบัติตัวให้เป็นความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา เราก็ได้อุตส่าห์พยายามปฏิบัติ ตั้งแต่เรียนนั้นก็เป็นธรรมดาท่านๆ เราๆ ไม่หนักหนามากนักนะ การเรียนหนังสือไม่หนักมากนัก แต่ตอนการออกปฏิบัตินี้ แหม หนักมากจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่เคยทุกข์เคยทรมานเราก็มาได้รับความทุกข์ความทรมานเวลาออกปฏิบัตินั้นแหละ
เช่นข้าวนี้เราเกิดมาเราไม่เคยมีว่าไม่ได้กินข้าวสองวันสามวัน วันหนึ่งกินกี่หนตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งถึงการบวช แล้วออกปฏิบัติ ทีนี้เริ่มแล้วนะ พอออกปฏิบัติอันใดที่จะเป็นข้าศึกต่อการดำเนินธรรมเพื่อความสะดวก ไม่ขัดข้อง เพื่อความรื่นเริงบันเทิง เพื่อมรรคผลนิพพานแล้วเราจะบำเพ็ญทางนั้น ทุกข์เราก็ยอมเอา เพราะฉะนั้นการอยู่การกินการหลับการนอนเราจึงหาเวล่ำเวลาไม่ได้ มีแต่การฝึการทรมาน ไม่ฉันจังหัน ๖-๗ วันก็มี ถึง ๗ วันเลยละไม่ฉันเลย เป็นประจำอย่างนั้นละ แต่ไม่ได้อดทุกวันๆ นะ คือหยุดเวลานี้ไม่ฉันเสีย ๖ วัน ๗ วัน มาฉันเสียสองสามวันก็อดต่อไปอีก ทีนี้อดต่อไปมากธาตุขันธ์ก็อ่อน แต่จิตใจนั้นดีดผึงๆ ขึ้นเลย เราเห็นคุณค่าทางด้านจิตใจยิ่งกว่าการฉันจังหันอยู่นี้ เราก็พยายามฝืนมาตลอดเลย นี่ก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง ไปอยู่ที่ไหนหาความสะดวกสบายไม่ได้
ถ้าว่านอนก็เหมือนกัน นอนนี้เราไม่อยากพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง กลัวใครจะไม่เชื่อ แต่ความจริงเราทำอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่เข้าไปบวบเป็นนาคนะ พอจะออกจากวัดไปเป็นนาค..ท่านพระครูวัดโยธานิมิตรท่านอยู่วัดร้าง ท่านมาทำบุญวัดป่าบ้านตาด พ่อแม่มอบกับพระครูนี้เรียบร้อยแล้ว พอท่านจะออกพ่อมาบอกว่าท่านพระครูกำลังจะออกจากวัดแล้ว เราก็เตรียมไว้แล้ว เราเตรียมปุ๊บปั๊บไปพร้อมกับท่าน ไปเลย ตั้งแต่บัดนั้นทีนี้นะการหลับการนอนนี้เป็นคนใหม่ทั้งหมดเลย จะเป็นคนเก่าไปไม่ได้ เช่นการหลับนอน..ถ้าไม่มีการมีงานเราอยากนอนอยากหลับอยากตื่นเมื่อไรก็ได้นะ ตั้งแต่วันเข้าวัดเท่านั้นละการตื่นนอนของเราเป็นเหมือนแม่เนื้อตื่นนายพรานนะ ดีดผึงๆเลย กำหนดกฎเกณฑ์ให้ได้ทุกกิทุกกีในการฝึกทรมานเจ้าของ นอนกี่ชั่วโมงกำหนดไว้ให้ดี พอตื่นดีดผึงๆ
การตื่นขึ้นมาด้วยการดีดผึงๆ เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพรานนี้เป็นเวลา ๑๘ ปี เป็นอย่างนี้ตลอดมา ถ้าหากว่ามีผู้ใดผู้หนึ่งนอนอยู่ข้างๆ เรา ถึงหลับอยู่ก็ตามท่านองค์นั้นอาจจะตื่นนอนได้ เพราะการตื่นของเรามันตื่นจริงๆ ดีดผึงเลยเชียว แล้วไม่นอนซ้ำอีก คำสัตย์คำจริงนี้มัดเจ้าของไม่ให้เคลื่อนคลาดไปได้เลย ว่าอย่างไรต้องให้เป็นอย่างนั้นๆ ๆ ตลอด นี่ละการหลับนอนตั้งแต่เรียนหนังสือก็เป็นอย่างนี้ตลอดถึง ๑๘ พรรษา พรรษา ๑๖ นั้นพูดให้ชัดเจนเสียว่า..คือเราเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ออกจาก ๗ ปีนี้แล้วก็เข้าปฏิบัติไปถึงอีก ๙ ปี ๙ กับ ๗ เป็น ๑๖ นั่นละเป็นปีที่เราลดลาวาศอกลงบ้างพอประมาณ ๑๖ ปีซัดกับกิเลสตั้งแต่วันออกปฏิบัติ ใครดีให้อยู่
ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะวันนี้ จะเปิดโลกธาตุให้ฟังจากการปฏิบัติเรามาได้ผลอย่างไรบ้าง ที่นำเทศน์มาสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่เวลานี้ หรืองมๆ เงาๆ งูๆ ปลาๆ มาสอนอย่างนั้นเหรอ เราไม่เป็นอย่างนั้น นี่ออกปฏิบัติมาจนกระทั่งถึง ๙ ปีอีกแหละ เป็นพรรษา ๑๖ ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกไปละนั่นละเข้าการปฏิบัติแล้ว นี้ฝึกทรมานให้ได้ทุกกระเบียด เคลื่อนคลาดไม่ได้เลย ฝึกคนอื่นดุคนอื่นไม่เหมือนดุเรา ดุคนอื่นแทนที่จะได้ผลดีกลายเป็นผลชั่วไป เขาอาจโกรธอาจเคียดอาจแค้นอะไรต่อเราก็ได้ แล้วเขาก็เป็นบาปเป็นกรรม เราโกรธเราเคียดแค้นให้เรา ฝึกเราให้เป็นคนดีไม่เป็นบาปเป็นกรรม เพราะฉะนั้นเราจึงเอาให้เต็มเหนี่ยวการฝึกเรา จะนอนกี่ชั่วโมงกำหนดไว้ปั๊บเลย เคลื่อนไม่ได้
นี้ละคำสัตย์คำจริงเป็นได้นะพี่น้องทั้งหลาย อย่าเข้าใจว่ามันเคลื่อนด้วยการหลับไป เคลื่อนด้วยการหลับไป สำหรับเราไม่มี ลงได้ปักลงขนาดเวลาเท่านั้นเราจะต้องตื่น ไม่ตื่นไม่ได้ ไม่มีเคลื่อนเลย ตื่นนอนนี้ดีดผึงๆ ตั้งแต่ไปเข้านาคทีแรกจนกระทั่งพรรษา ๑๖ นี่ละเวลาออกปฏิบัติยิ่งเอากันใหญ่เลย ดีด พรรษา ๘ ออกปฏิบัติ ๗ พรรษาเรียนหนังสือ ออกปฏิบัติถึง ๙ ปีเต็มๆ ตั้งแต่ฝึกทรมานยิ่งกว่านักโทษในเรือนจำนะ เราฝึกเราด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่มีผู้ใดผู้หนึ่งมาบังคับบัญชา เราทำด้วยความขัดใจเรานี้ไม่มี เราทำด้วยความโล่งใจเรา มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ควรนอนก็นอน ไม่ควรนอนไม่นอน เอานั่งตลอดรุ่งตลอดไปเอาจนก้นแตก
ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ เราได้ยินตั้งแต่หมอนแตก นั่งภาวนาแล้วหมอนแตกเสื่อขาด อันนี้เอาจนกระทั่งก้นแตกจริงๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา นั่งฟาดตลอดรุ่งๆ หลายครั้งหลายหนก้นก็แตก แต่จิตกับกิเลสซัดกันไม่มีถอยนะ หนักเท่าไรกิเลสกับจิตยิ่งฟัดกันอย่างหนักๆ ให้สมใจว่าไม่ได้ทุกข์ในร่างกายเพียงเท่านั้น กิเลสยังพังไปด้วย พังไปด้วย ให้ได้ผลทางนั้นมากกว่าทางร่างกาย จึงได้ซัดกันเสียเต็มเหนี่ยวๆ นี่ละการออกปฏิบัติที่ได้ธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลาย บอกว่าได้ธรรมก็ไม่ผิด ก็เราหาธรรมนี่น่ะ หาเล็กหาน้อย หาไม่หยุดไม่ถอยจนกระทั่งจะสลบไสลก็มี นั่งภาวนาจนก้นแตก เอาแตกก็แตกไป กิเลสไม่แตกไม่ถอย ซัดกันไปอย่างนั้นตลอดเลย
เอาจนกระทั่งพรรษา ๑๖ ๗ กับ ๙ เป็น ๑๖ นั่นละเป็นพรรษาที่กิเลสพังทลายลงจากใจ อยู่ที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เอากันตรงนั้น เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลยทีเดียว คือซัดกันไม่หยุดไม่ถอยเป็นเวลา ๙ ปี นี้ไม่มีถอย ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งให้ตกเวทีไปเลย ไม่ต้องนิมนต์พระกุสลา ขนาดนั้นละท่านทั้งหลายฟังเสียนะ เอาจริงมากไม่ใช่ธรรมดา ซัดถึงพรรษา ๑๖ กิเลสพังเลยทีเดียว อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มพอดี ดีดผึงเลยเชียว เจ้าของอยู่ธรรดานี่ละ แต่ระหว่างธรรมกับกิเลสซัดกัน กิเลสขาดสะบั้นจากจิตตัวลอยเลยนะ ดีดผึงเลยเชียวนะ เราไม่อยากว่าตัวลอย คืออยากให้พูดด้วยความเต็มใจจริงๆ ให้พูดว่าเหมือนฟ้าดินถล่ม ว่าอย่างนั้นเลยนะ แต่ความจริงฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดา ร่างกายนี้มันดีดแรงนะ ดีดผึงขึ้นเลย ตอนนั้นละตอนกิเลสกับธรรมซัดกันขาดสะบั้นตอนนั้นละ ตอนร่างกายพุ่งขึ้นเลย เหมือนว่าอะไรพุ่งขึ้นตกลงนั่นละ
ตั้งแต่บัดนั้นมาทีนี้เกิดความอัศจรรย์ คืนวันนั้นไม่นอน นั่งอยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลยนะ พอกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกันตัวเจ้าของดีดผึงเลยทันที จนกระทั่งเกิดความอัศจรรย์ในเวลากิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน หรือว่าวันบรรลุธรรม ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ อย่างนี้และเหรอ พูดให้มันถึงใจว่าอย่างนั้นเถอะ มันเป็นอยู่ในจิต พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ อย่างนี้และเหรอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย น้ำตาพังนะ คนร้องไห้ก็น้ำตาพัง คนเจอธรรมก็น้ำตาพัง เราไม่อยากพูดว่าใครจะน้ำตาไม่พังถ้าลงเจอธรรมประเภทนี้มาแล้ว
จนกระทั่งถึงว่าย้ำแล้วย้ำเล่าว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ อย่างนี้และเหรอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้มันถึงใจ พระพุทธเจ้าแท้คืออย่างนี้และเหรอ พระธรรมแท้อย่างนี้และเหรอ พระสงฆ์แท้อย่างนี้และเหรอ เอ๊ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มาแล้วนะนั่น แต่ก่อนว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ เราไม่ได้เคยคิดว่ามีอันเดียวนะ แต่พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน นั่นละท่านเรียกว่าธรรมแท่งเดียว ธรรมธาตุ ผึงขึ้นในขณะนั้น โถ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ น้ำตาพังเลย คืนนั้นไม่นอน นั่งอยู่ธรรมดาเรานี้ละ ถ้ามีคนหนึ่งคนใดเข้ามาดูเขาจะว่าเราบ้านะ นั่งอยู่ธรรมดาแล้วกราบ กราบอัศจรรย์ธรรมพระพุทธเจ้าที่ได้มาสวมใส่เข้าในหัวใจของเรา เราไม่อยากพูดว่าได้ตรัสรู้นะ ว่าสวมใส่เท่านี้มันก็พอแล้ว
มันย้ำอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ ไม่นอนคืนวันนั้น นั่งเดี๋ยวกราบ นั่งแล้วเดี๋ยวกราบอยู่อย่างนั้น ถ้าคนอื่นเขามาเห็นเขาจะว่าพระองค์นี้มันเป็นบ้าแล้วเหรอ เขาจะว่าอย่างนั้นละ เราก็ยอมรับมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่นอนในคืนนั้น มีแต่กราบอยู่อย่างนั้น แล้วนั่งรำพึงรำพันถึงความอัศจรรย์นะ จากนั้นมาแล้วก็ท้อถอย พูดตรงๆ เอาให้ตรงๆ นั้นเลย คืออัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย เราถึงพูดว่า โห ธรรมแท้ๆ เป็นอย่างนี้และเหรอ จากนั้นก็มาระลึกธรรมถึงขนาดนี้เราจะไปสอนใครได้ ฟังซิน่ะ
มันก็วิ่งถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทั้งๆที่พระองค์ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าที่จะสอนโลกทั่วไป สามแดนโลกธาตุพระพุทธเจ้าสอนหมด แต่เวลาตรัสรู้ผึงขึ้นมานี่ทำความขวนขวายน้อยนะ ไม่รู้จะสอนอย่างไร ความรู้ถึงขนาดนี้จะสอนใครได้ สอนไม่ได้แล้ว มันเลยไปทุกสิ่งทุกอย่าง ในสามแดนโลกธาตุนี้สอนไม่ได้แล้ว ไม่สมศักดิ์ศรีของธรรมประเภทอัศจรรย์ที่อยู่กับเราเวลานี้ ทำความขวนขวายน้อย ท้อพระทัย จะไม่สั่งสอนสัตว์โลก แต่พระองค์ทรงทราบอยู่ลึกๆ เหตุที่จะได้สอนโลก ไม่นานนักท้าวมหาพรหมมาอาราธนา ได้ยินไหมเวลาก่อนจะเทศน์ พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ นี่เป็นต้นนะ ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้า ขอพระองค์อย่าทำความขวนขวายน้อยนะ เวลานี้สัตว์โลกผู้มีธุลีอันเบาบางจะตามเสด็จยังมีอยู่ ถึงไม่มากก็มี ขอพระองค์อย่าทำความขวนขวายน้อย ขอเมตตาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก
นี่ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงสั่งสอนสัตว์ แต่พระองค์ทรงทราบก่อนแล้วแหละ พระองค์จึงได้มาพิจารณา ทีแรกก็ท้อใจอย่างนั้นละว่าจะไม่สั่งสอนใคร พอมาพิจารณามันก็หยั่งทราบเข้าไปทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นจึงได้เริ่มสอนโลกต่อมา จึงได้เอา พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ นี้มาเป็นสักขีพยานในการแสดงธรรมแต่ละครั้งๆ เราก็ได้ยินทั่วหน้ากันอยู่แล้ว นี้เป็นเครื่องหมายของท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เห็นว่าพระองค์มีความขวนขวายน้อย ไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลกอะไรเลย ธรรมนี้ไม่ใช่วิสัยของสัตว์โลกจะรู้ได้ รู้ได้แต่เราองค์เดียวๆ ไปอย่างนั้นนะ เหมือนว่าสุดวิสัยทั้งหมดๆ
ทีนี้ธรรมะก็ย้อนเข้าไปก่อนที่จะได้สั่งสอนสัตว์โลก ว่ารู้แต่เราคนเดียวๆ คนอื่นไม่รู้ ลบทิ้งหมดหรือ เราเป็นมนุษย์หรือเราเป็นอะไร ได้ตรัสรู้เวลานี้มนุษย์ตรัสรู้หรือใครตรัสรู้ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนโลกทั่วๆไปทำไมตรัสรู้ได้ อยู่ในวิสัย แล้วนอกนันทำไมเหลือวิสัยไปหมด เป็นเพราะเหตุไร นี่ละขึ้นตรงนี้ละ พระองค์จึงทรงหย่อนญาณลงมาจะสั่งสอนสัตว์โลกพร้อมกับท้าวมหาพรหมมาอาราธนา ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ อัศจรรย์ขนาดนั้นนะ ฟังเอานะ
แม้พระพุทธเจ้าจะสั่งสอนสัตว์โลกอยู่แล้วยังทรงท้อพระทัย จะไม่สั่งสอนสัตว์โลก มีท้าวมหาพรหมมาเป็นสักขีพยานอาราธนาพระองค์ แต่อย่างไรพระองค์ก็จะสอนอยู่แล้วแหละ หากมีพยานขึ้นมาอาจเป็นคู่เคียงกัน จึงได้นำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบทุกวันนี้ นี่ที่พระองค์สั่งสอนสัตว์โลก ธรรมนี้ประเสริฐขนาดไหนฟังซิ จะไม่ทรงสั่งสอนสัตว์โลกทั้งๆที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าจะสั่งสอนสัตว์โลกอยู่โดยตรงแล้ว ทำไมจึงท้อพระทัย ก็เพราะธรรมนี้ประหนึ่งว่ามันเหลือวิสัยของสัตว์โลก ไม่มีรายใดจะรู้ได้ๆ ย้อนเข้ามาเราเป็นใคร เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนทำไมรู้ได้ โลกเขาทำไมรู้ไม่ได้ จึงได้ทรงพิจารณาในเรื่องนี้ อ๋อ เราก็คนคนหนึ่งรู้ได้เพราะเหตุไร ก็เพราะสร้างคุณงามความดี สร้างบารมี
เหมือนเด็กทีแรกตัวแดงๆ เกิดมาได้รับการเลี้ยงดูปูปกตลอดเวลา แล้วเด็กเขาก็โตขึ้นมา โตขึ้นมาจนเป็นผู้ใหญ่เหมือนเรา อันนี้ก็เหมือนกันสร้างบารมีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนกระทั่งถึงขั้นควรตรัสรู้แล้วก็ตรัสรู้ผึงขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายควรแก่การเป็นพระอรหันต์แล้วตรัสรู้ขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน พระองค์จึงเอาอันนี้มาเทียบๆ จึงสั่งสอนสัตว์โลก ให้ท่านทั้งหลายจำเอาอย่างนี้นะ
ความจริงธรรมชาติอันนี้วิเศษเลิศเลอสุดยอด จนกระทั่งพระองค์เองก็จะไม่สั่งสอนสัตว์โลก ท้อพระทัย เห็นว่าไม่มีใครจะรู้ได้อย่างเรา รู้ได้อย่างนี้ นี่เราคือใคร เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมรู้ได้ รู้ได้เพราะอะไร รู้ได้เพราะสร้างบารมี มันไม่หนีการสร้างบารมีนะ มนุษย์เหมือนกันก็ตาม แต่มนุษย์มีบุญมีคุณมีสร้างบารมีมาก็เป็นมนุษย์ที่ดีๆเรื่อยเลย จนกระทั่งถึงที่สุดที่ควรจะหลุดพ้นได้แล้ว ตรัสรู้ปึ๋งเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จึงเรียกว่าสาวกของพระพุทธเจ้า มีตั้งแต่พระอรหันต์ทั้งนั้นละตรัสรู้แล้ว กล่อมจิตกล่อมใจให้ถึงขึ้นสูงสุดได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มาเป็นสาวกต่อไปๆ
นั่นละการปฏิบัติบำเพ็ญความเพียร เราอย่าท้อถอยน้อยใจนะ คำสอนของพระพุทธเจ้าให้จำเอาไว้ให้ถึงใจนะว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เราย่อๆ เลยว่าสวากขาตธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วไม่มีสอง ถูกต้องแม่นยำ นรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหม มนุษย์ เปรต ผี อสุรกาย เห็นหมดแล้วจึงมาสอนโลก จึงเรียกว่าโลกวิทูรู้แจ้งเห็นจริงตั้งแต่แดนนรกขึ้นมาถึงพระนิพพานรู้แจ้งหมดแล้ว จึงมาสอนโลก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่คนหูหนวกตาบอดมาสอนโลกแบบงูๆปลาๆ อย่างนั้น สอนด้วยความโลกวิทูรู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงนำมาสอนโลก
เราได้ธรรมของท่านผู้แน่จริงแล้วมาสอนเราทำไมจะไม่ได้เรื่องได้ราว เราก็คนคนหนึ่ง ท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็คนคนหนึ่งได้ธรรมนี้มาสอนสัตว์โลกทั้งหลาย จนได้มีพุทธบริษัทสี่ขึ้นมา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นั่นเห็นไหมได้บริษัทขึ้นมา ล้วนแล้วแต่ผู้หมอบราบกับพระพุทธเจ้าทั้งนั้นละ พระองค์สอนอย่างนั้น นี่เราก็ให้ฝึกหัดตัวเรา เรายกตัวอย่างเรื่องเราเสียก่อนนะ เราเอาแทบเป็นแทบตายอย่างนั้นละ เราเวลาเป็นก็แบบเดียวกัน เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย คือจิตมันดื่มด่ำในพระนิพพาน พูดๆ ง่ายว่าอย่างนี้เลย เรียนหนังสือไปๆ ท่านบอกว่าบวชรักษาศีลรักษาธรรมดีแล้วไปสวรรค์ ผู้สูงกว่านั้นไปสวรรค์ชั้นพรหม ๑๖ ชั้น ต่อจากนั้นไปไหน ไปนิพพาน นี่เรียกว่าผู้สูงสุดไปนิพพาน
แล้วเราจะเอาอะไร มันชั่งน้ำหนักดูในตัวเอง ทีแรกว่าจะไปสวรรค์ก็ดีใจ ครั้นไปสวรรค์มันจะกลับมาเกิดอีก ไปพรหมโลกถึงอายุยืนก็จะมาเกิดอีก ไปที่ไหนจะไม่มาเกิดอีก ไปนิพพานไม่ต้องมาเกิดอีก ติดปุ๊บเลยจิตนะ จิตติดปุ๊บ นั้นละเหตุที่เปลี่ยนความรู้สึกเสียใหม่หมด ถ้าอย่างนั้นเราจะเอาให้ได้พระนิพพานในชาตินี้ ให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ อันใดอย่างอื่นใดเราไม่เอาทั้งหมด เราบำเพ็ญนี้เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว จากนั้นมาก็ฟัดกันใหญ่เลย พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ
นั่นละเวลาออกปฏิบัติมุ่งพระนิพพานเป็นเข็มทิศอันสูงสุด ซัดกันเลย ซัดกันเลย เป็นเวลากี่ปี ปฏิบัติอยู่ตั้งแต่ ๗ พรรษาออกปฏิบัติถึง ๑๖ พรรษา ๙ ปี ระยะ ๙ ปีฟัดกับกิเลส ใครดีอยู่ ใครไม่ดีให้ตกเวทีไปเลย สำหรับเรานี่เอาให้ตกไปเลย คำว่าถอยยกมือยอมแล้วไม่มี การต่อสู้กับนักมวยด้วยกันยอมแล้วยกมือไหว้เขาไม่มี บอกว่าตายเสียเท่านั้น มันตกเวทีก็ตกไปเลย ไม่มีถอย นี่ก็ฟัดกันกับกิเลสเสีย ๙ ปี เอาให้เต็มเหนี่ยวเลยทีเดียว เพราะจิตมันมุ่งต่อพระนิพพาน กำลังจิตเป็นสำคัญนะ ถ้าจิตได้มุ่งอะไรอย่างหนักแน่นแล้วจะถอยไม่ได้นะคนเรา เช่นอย่างความโกรธก็เหมือนกัน ถ้าโกรธกูต้องฆ่ามึงให้ได้คนนี้ มึงไม่ตายกูต้องตายเท่านั้น แบกปืนไม่หนักปืนเดินเข้าไปจี้เลยตูมเลย
นี่ละคนเคียดแค้นอย่างถึงใจฆ่าได้ฆ่าคน ไม่ว่าท่านว่าเราฆ่าได้ทั้งนั้นถ้าถึงใจ ถึงใจในทางที่ดีก็เอาให้ได้ เรื่องพระนิพพานก็ซัด จิตก็อยู่กับนิพพานๆ เกาะติดๆ ซัดเอาเสียจนเต็มเหนี่ยวๆ เลย เป็นเวลา ๙ ปี นี่ก็ดีที่ปฏิบัติอยู่นี้ฟาดถึงเวลา ๙ ปี พอถึง ๙ ปีวันที่ ๑๕ ถ้าจำไม่ผิด เดือนพฤษภาคม ๒๔๙๓ ก็มาเจอเอาจังๆ นี่ละมุ่งจับผิดจับถูกจับพระนิพพาน ซัดเข้าไป ยิ่งความเพียรไม่ถอยเลยนะ เอาพระนิพพานเป็นที่ตั้ง ไม่ได้พระนิพพานให้ตาย ต้องให้ได้พระอรหันต์เท่านั้นเรา
จิตจึงเด็ดมาก ผิดธรรมดาทั้งหลาย อยู่กับหมู่กับเพื่อนอยู่ไม่ได้ ต้องไปอยู่คนเดียว ภาวนาไปคนเดียวเท่านั้นเรา เราไม่เคยเอาใครเป็นหมู่เป็นเพื่อน มันไม่เด็ด ถ้าไปกับเราคนเดียวป่าช้าอยู่กับเรา อยากกินก็กิน ไม่อยากกินไม่ต้องกิน จะเป็นจะตาย อยู่กับเราไม่ต้องเป็นกังวลกับใคร ซัด พุ่งๆ เลย เพราะอย่างนั้นการออกประกอบความเพียรเราจึงไปแต่คนเดียว พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็เสริมด้วยนะ พอว่าไปจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เออ..ใครอย่ามายุ่งนะ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว อย่างนี้ตลอด เสริมตลอดมา ซัดกันเสีย โถ..นึกว่าจะตาย เรื่องความเพียรเพื่อพระนิพพานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ แต่มันไปองค์เดียวซิ อยู่องค์เดียวซิ ป่าช้าอยู่กับเรา มันไม่ได้แบ่งสู้แบ่งรับที่ไหน ป่าช้าอยู่กับเรา เอาเป็นก็เป็น ตายก็ตาย อยู่กับเราทั้งนั้นละ ซัดกันเลย
นี่ละเรื่องราวมัน ปฏิบัติฟัดเสีย ๙ ปี ถึงพรรษา ๑๖ ก็มาลงเอยกันที่นั่นละ มาลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์เป็นเวลา ๕ ทุ่ม จิตนี้มันละเอียดสุดๆ จนได้อัศจรรย์จิตเจ้าของนะ บางทีหลง คือมันสว่างไสว เหมือนว่าครอบแดนโลกธาตุ จนกระทั่งยืนรำพึง เอ๊ จิตเรานี่ทำไมมันจึงสว่างไสวเอานักหนา เวิ้งว้างไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างนี่ มันอัศจรรย์จิตเจ้าของ นี่หลงเจ้าของ ลืมเจ้าของ ไม่รู้ตัว สักเดี๋ยวหนึ่งธรรมปรากฏขึ้นมาอีก เตือนเรา กลัวเราจะหลง ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ คือเราเห็นว่าอะไรสว่างไสวแต่จิตยังไม่สว่าง จิตจุดนี้ยังมีอยู่ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ ผู้รู้นี่ละมันไม่สว่าง มันไม่หมดกิเลส มันไม่กว้างขวาง พอเป็นธรรมทีหลังมันก็ผางเข้าจุดนี้เลย จุดที่ว่ามีต่อมอยู่ที่ไหน..ก็มาปลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ นู่นติดปัญหาข้อนี้ไปถึงจังหวัดเลย ไปคนเดียว กลับมาเดือนหกเพ็ญก็ขึ้นไปปลงอันนี้ละ จึงได้เสร็จกันมาตั้งแต่นั้น หายห่วง
เป็นอย่างไรทีนี้ว่าอย่างนั้นเลย พอจิตนี้ผางขึ้นมาเท่านั้น เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ อย่างนี้และเหรอ ธรรมนี้เป็นของเก่าหรือของใหม่ เอาว่ากันไป ปัจจุบันนี่ คนวิ่งแต่หาอดีตหาอนาคต วิ่งภพนั้นชาตินี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ มันก็ไม่เจอ ซัดเข้ามาในวงปัจจุบันคือจิตตัวรู้ตัวหลง ซัดกัน อันนี้แตกกระจายไปแล้วความรู้เด่นขึ้นมา ผาง นั่นละรู้ในปัจจุบัน นี่ให้พากันจำเอาเสีย ธรรมไม่ครึไม่ล้าสมัย ธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่น เช่นว่าอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา การทำบาปเป็นบาป การทำบุญเป็นบุญมาตลอด และตลอดไปนะ นี่เราทำบุญก็ตลอดไป อย่าไปว่ามันครึมันล้าสมัย กิเลสมันไม่ได้ล้าสมัย มันติดหัวใจบีบหัวใจเรามาตั้งกัปตั้งกัลป์เราไม่เห็นมันล้าสมัยควรจะออกจากหัวใจเราแล้วมันไม่เห็นว่าละ แต่พอจะปฏิบัติธรรมหยอกแหยกๆ ภาวนาได้สองสามคำก็ว่าวันนี้เหนื่อยมาก มรรคผลนิพพานจะหมดแล้วมัง ไปเลย เสียแล้วนะนั่นพากันเข้าใจนะพี่น้องทั้งหลาย
นี่ละการบำเพ็ญตัวบำเพ็ญมาอย่างนี้ พอมาถึงจุดที่ขาดสะบั้นก็วัดดอยธรรมเจดีย์ดังที่เราให้ฟัง นี่ขาดสะบั้นเลย เหมือนว่าตัวลอย หากไม่ลอย ฟ้าดินถล่ม มันกระเทือนหนัก ตั้งแต่บัดนั้นไม่เห็นหน้ากิเลสเลยตัวไหนมันจะมายุมาแหย่เราแบบไหน ให้เราได้เอ๊ะกูก็นึกว่ามึงสิ้นซากไปแล้วทั้งโคตรทั้งแซ่มึง ตั้งแต่วันนั้นๆ แล้วทำไมมึงโผล่ขึ้นมาได้ เอาๆกันอีก ให้ถอยไม่ถอยนะ ยังจะเอากันอีก ไม่มีเลย จนกระทั่งบัดนี้ เป็นอย่างไรท่านทั้งหลายฟังเสีย
ธรรมครึธรรมล้าสมัยธรรมหมดสมัยไปแล้วเหรอ มีตั้งแต่มรรคผลนิพพาน ทำบาปไม่เป็นบาป ทำบุญไม่เป็นบุญ นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี ไปอย่างนั้นน่ะเหรอ นี่ละมันจะเอาไฟเผาหัวอกเจ้าของนะ ให้พากันจำเอา ใครจะพูดแน่นอนแม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ท่านว่าสวากขาตธรรม สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม นี้คือพูดแน่นอนแม่นยำ ว่าอะไรเป็นอันนั้น เป็นอื่นไปไม่มี ไอ้เรานี้มีวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ร้อยสันพันคมที่กิเลสตีหัวเราตลอด เราไม่รู้เหรอว่ากิเลสมันแหลมคม ยังเห็นว่าธรรมนี้ล้าสมัยครึสมัยไปแล้วเหรอ ให้จำเอานะ
วันนี้เทศน์ไปเทศน์มาก็หนักเข้าๆ เลยลืมเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ตั้งแต่เราเทศน์ก็มาปลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่เคยเห็นกิเลสตัวใด ไม่ว่าลูกว่าหลานว่าเหลนว่าโคตรแซ่ของมันที่จะมาโผล่หน้าออกมาให้เราได้เอ๊ะใจว่า เหอ กูนึกว่ามึงม้วนเสื่อไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว มึงยังได้ลูกได้หลานมาจากไหนโคตรไหนอีกมาต่อสู้กับกูให้ได้ฟัดกันอีกไม่มีเลย เงียบ นั่นเป็นอย่างไรปฏิบัติธรรม สวากขาตธรรมแม่นยำไหม กิเลสหลอกเรามันแม่นยำไหม พิจารณาซิ
ถ้าว่าจะภาวนา วันนี้ไปที่นั่นมาเหนื่อย นอนเสียก่อนดีกว่า ดีกว่าธรรมเห็นไหมละ วันนี้เหน็ดเหนื่อยนอนเสียก่อน ว่าอรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เหน็ดเหนื่อยมาก วันนี้นอนเสียก่อน พร้อมกันก็ครอกๆ ถ้าไม่มีพระมากุสลามันไม่ตื่นนะ ต้องไปเอาพระมา กุสลามันถึงจะตื่นนอนขึ้นมาพวกนี้พวกนอนจนได้พระมากุสลา พวกไหน มีไหมลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่ เป็นอย่างไรพิจารณาซิ นั้นละกิเลสหลอกคน ถ้าว่าทำความดีมันจะกล่อมทันทีกิเลส ถ้าจะทำความชั่วมันลบออกหมดมรรคผลนิพพานบุญบาปไม่มี สิ่งเหล่านี้ไม่มี เหมาะสมกับกิเลสเหมาเอาทั้งตัวเลย เข้าใจไหมละ เอาล่ะเทศน์เท่านี้พอละ เหนื่อย
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|