ให้พิจารณาเรื่องเกิดตายของตัวเอง
วันที่ 29 มีนาคม 2552 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

ทรงเข้ากราบนมัสการหลวงตา

เมื่อเช้าวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

ให้พิจารณาเรื่องเกิดตายของตัวเอง

 

          ให้พากันสนใจในอรรถในธรรม อย่างน้อยเป็นคู่เคียงกันไปกับทางลบที่เพลิดเพลินไม่รู้จักเป็นจักตาย ให้เอาป่าช้าไปสกัดรัดกั้นมันบ้าง ว่าสัตว์ทุกตัวมีป่าช้าด้วยกัน ไม่ใช่มีแต่มนุษย์ มนุษย์ไม่เห็นป่าช้า ให้มีป่าช้าความเกิดความตายความแปรสภาพเป็นภาพเตือนใจเราเสมอเพื่อที่จะก้าวเดิน ให้จิตใจได้รับการอบรมถูกคำเตือนจากธรรมเสมอ เรื่องความแก่เจ็บตาย ความพลัดพรากจากกัน เป็นของไม่ดีโลกไม่ต้องการ แต่เจอกันเป็นประจำ

พิจารณานี้เป็นหินลับปัญญา ให้พิจารณาตัวเองให้มีทางเดินไปบ้าง มาก็หลับตามาเกิด อาศัยกรรมดึงไป กรรมดี-กรรมชั่วดึงไป ถ้ากรรมชั่วก็ดึงลง ถ้ากรรมดีก็ดึงขึ้นๆ จิตเรานี้มันเหมือนฟุตบอล เตะไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่บุญบาปจะส่งไปทางไหน ไม่ใช่มาเกิดตามลำพัง อำนาจแห่งกรรมดี-กรรมชั่วติดมาด้วยทุกคน เกิดมาถ้ามีกรรมดีพามาเกิดก็มาเกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ถ้ากรรมชั่วพามาเกิดก็ไปเกิดในที่ไม่พึงปรารถนา

ให้พากันระมัดระวัง เวลานี้เป็นเวลาที่มีชีวิตอยู่ คิดได้อ่านได้ทุกอย่างทางดีทางชั่ว ให้แก้ไขดัดแปลงตัวเอง จะไปดัดแปลงเอาเวลาตายแล้วไปเคาะโลงโป้กๆ รับศีลนะ บอกพ่อบอกแม่รับศีลรับทาน ตัวเองไม่สนใจกับศีลกับทานอะไรเลย ตายแล้วก็หลับตาตายไป หาความสว่างติดตัวไม่มี ใช้ไม่ได้นะ ให้จิตมีธรรมไปสว่างกระจ่างแจ้งไป จิตมีธรรมกับไม่มีธรรมต่างกัน อยู่ก็อยู่ด้วยความมืด ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ อันนี้เพราะมันอยู่ในฐานะแห่งความเกิดสำหรับสัตว์โลกที่มีกิเลส เกิดวันยังค่ำ ตายได้ตลอดเวลา

นี่ให้พิจารณาเรื่องความเกิดตายของตัวเอง ทุกคนตายได้ด้วยกันทั้งนั้น ส่วนจิตนั้นไม่ตายนะ จิตนี้ไม่มีตาย ถ้าถึงสุดยอดแล้วเป็นธรรมธาตุ เช่นจิตพระพุทธเจ้า-จิตพระอรหันต์เป็นจิตธรรมธาตุนะ ธรรมธาตุเลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีที่ต้องติ จิตของเราเต็มไปด้วยความมัวหมองมืดตื้อ เวลาไปเกิดก็หลับตาไป ไปเกิดที่ไหนตายที่ไหนหลับตามันไม่เห็น ไปเกิดแต่สิ่งไม่พึงปรารถนานั้นแหละ

ให้พากันสร้างใจอบรมใจ ให้ระงับดับใจให้อยู่กับบทธรรมบ้าง เช่นอย่างนั่งภาวนาให้จิตอยู่กับพุทโธเป็นต้นนะ เราจะชอบคำบริกรรมคำใดก็ได้ เช่นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือมรณัสสติก็ได้ ระลึกถึงความตายเป็นเครื่องเตือนใจ ให้รู้ทางเข้าทางออกทางไปมาทางเกิดทางตายของตน เวลานี้มันไม่รู้มาเกิดก็กรรมมืดตื้อนั่นละผลักไสให้มาเกิด ตายก็ตายไปด้วยความมืดตื้อ ไม่ดีเลย นี่อยู่ด้วยความอบรม ยิ่งเรามามีพุทธศาสนาเป็นแก้วส่องทางด้วยแล้ว ควรจะนำพุทธศาสนาคืออรรถธรรมมาเป็นเครื่องกำกับใจ ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องกำกับใจแล้วใจมักจะไหลลงทางต่ำเสมอ ให้พากันอบรมนะ

จิตใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วกับจิตใจที่มืดตื้อไปด้วยส้วมด้วยถาน คือกิเลสตัณหานี้ต่างกันมากนะ ราวฟ้ากับดินนะ กิเลสของท่านที่ซักฟอกอยู่แล้วไปที่ไหนก็สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา จะไปตายที่ไหนท่านก็ไม่วิตกวิจารณ์เพราะมีความสว่างจ้าด้วยธรรมรักษาใจอยู่ทุกเวลา ผู้ไม่มีธรรมในใจเลยมีแต่บาปแต่กรรมเต็มหัวใจ ไปที่ไหนก็หลับตาชนไปเลย มันหาความสุขไม่ได้นะ

เราเกิดมาในชาตินี้พบพระพุทธศาสนา แดนแห่งธรรม แดนแห่งบุญแห่งบาปที่พอจะรู้ได้เห็นได้ละได้บำเพ็ญได้ก็ควรจะได้ละได้บำเพ็ญเสียเวลานี้ บทเวลาตายแล้วจึงไปเคาะโลงโป้กๆ ให้มารับศีลรับอะไร ตอนมีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับศีลกับธรรม ตายแล้วจะไปเคาะโลงให้คนตายแล้วไปรู้บาปรู้บุญได้อย่างไร เราต้องเคาะเราแต่เดี๋ยวนี้ เคาะโลง โลงผีคือตัวของเรา เอาสติปัญญาเคาะเข้าไป มันจะตายแล้วนะให้เคาะโลงอย่างนี้เตือนใจเจ้าของ อย่าให้มันหลับไม่ตื่นทั้งวันทั้งคืนไม่ดี ให้พิจารณา

ศาสนาก็พร้อมแล้วกับมนุษย์เรา ที่เกิดมาแดนพุทธศาสนาที่ควรจะรู้บาปรู้บุญ รู้ดีรู้ชั่ว รู้อรรถรู้ธรรม ก็ขอให้รู้ แล้วเมื่อมีทางรู้แล้วมันก็มีทางออก พอถีบตัวออกได้ เขาเป็นทุกข์ อย่างน้อยทุกข์เบาลง หรือเราไม่เป็นทุกข์ มันต่างกัน ให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายตั้งอกตั้งใจปฏิบัติธรรมนะ นี่ตั้งแต่ยังไม่บวชก็ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรนะ เวลาบวชไปเรียนหนังสือก็เรียกว่ายังไม่รู้ ออกภาคปฏิบัติถึงได้รู้นะ

ภาคปฏิบัติจะกระจ่างแจ้งขึ้นในการปฏิบัติของตัวเองนั่นละ สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นในใจ จิตสงบ จิตเย็น จิตสบาย จิตสว่างไสว รู้ในเวลาเราภาวนาอบรมใจด้วยภาคปฏิบัติ ให้นำภาคปฏิบัติไปปฏิบัติตัวเองนะ อย่าพากันอยู่เฉยๆ มันตายได้ทุกคน เวลาตายแล้วคว้าอะไรไม่ทัน สุดท้ายไปคว้าเอาแต่ขวากแต่หนามคือกองทุกข์มาเผาหัวใจตนเอง ให้พากันจำเอานะ

วันนี้เทศน์เพียงเทานี้ละ เพราะมันเหนื่อย วันหนึ่งๆ เราเหนื่อยลงทุกวัน สังขารร่างกายอ่อนลงๆ แต่จิตเราไม่ได้วิตกวิจารณ์ว่าอ่อนลงหรือไม่อ่อน คงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดเวลา สบายตลอด ถึงร่างกายมันจะแตกก็แตกไป ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟมันต้องลงสภาพเดิม ธาตุเดิมของมัน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ใจที่มีธรรมก็เป็นธรรมในใจไป นั่นละการฝึกหัดอบรมตนเป็นความดีอย่างนี้ละ ให้พากันจำเอาไว้นะ

วันนี้ฟ้าหญิงท่านเสด็จมาฟังอรรถฟังธรรม บำรุงจิตใจด้วยการอบรมใจ เราก็ให้ถือท่านเป็นคติตัวอย่าง ท่านอุตส่าห์เสด็จมา จากกรุงเทพมานี้เป็นของเล่นเมื่อไร ลำบากมากทีเดียวกว่าจะมาถึงอุดร ได้มารับการอบรมจากครูจากอาจารย์แล้วก็ไป ใจที่ได้รับการอบรมเป็นใจที่ผ่องใส เห็นทางออกทางเข้าของตัวเอง ถ้าใจไม่ได้รับการอบรม ไม่ทราบว่าเข้าว่าออก หากจมอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พากันจำเอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

  รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

           และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

             พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก