๒๐๐ นะ ท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้น เราไปอุตริเหยียบแล้วมาหาเรื่องต่อว่าท่าน ท่านก็แก้ปั๊บเดียว สูเหยียบเท่าไร เหยียบคันเร่งเท่าไร บอกว่า ๑๒๐ โอ๋ย กูโดดลงตั้งแต่ ๙๐ โน่น เห็นไหมพับออกนี้เลย
ท่านไม่เสริม ถ้าแยกเป็นธรรมะแล้วท่านไม่ได้เสริมคนประเภทนั้น คนลืมตัว ให้เหรียญไปเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวของตัว ทุกอย่างจะเป็นความราบรื่นดีงามด้วยความไม่ประมาท อันนี้ได้เหรียญไปแล้วคึกคะนอง ว่าดีว่าเด่นอะไร เรียกว่าไม่มีป่าช้าแหละ ถ้าได้เหรียญหลวงพ่อคูณไปแล้วไม่มีป่าช้า ดีที่มันไม่ตาย มันจะมีป่าช้ายังไงคลอง ก็ยังดีในฐานะท่าน เรียกว่าท่านยังเมตตาอยู่บ้าง ท่านโดดลงตั้งแต่ ๙๐ ท่านก็เอาตัวรอดได้ พวกนั้นก็ไม่ตาย ความประมาท เราเอามาพูดอยู่เรื่อยเรื่องหลวงพ่อคูณ คือมีสะดุดจิตอยู่เรื่อย เป็นมงคลอย่างหนึ่ง การโต้ตอบสด ๆ ร้อน ๆ ทันกับเหตุการณ์
ถ้าพูดถึงเรื่องระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกัน ธรรมก็ทันกับกิเลสทันกับเหตุการณ์ เป็นอย่างนั้นนะ พอท่านพูดอย่างนั้น เขาถามมาอย่างนี้ท่านตอบไปอย่างนี้ เข้ากันได้กับระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันบนเวทีคือหัวใจของผู้ปฏิบัติธรรม เป็นอย่างนั้นนี่นะ มองไม่ทัน มวยแชมเปี้ยนเขาก็ว่ารวดเร็วรอบตัว มวยแชมเปี้ยนที่ขึ้นต่อยกันบนเวที เรียกว่ารวดเร็วรอบตัว นี่มวยของวัฏจักร มวยของวิวัฏจักรกับวัฏจักรฟัดกันบนเวทีคือหัวใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวทีด้วยสติปัญญา เริ่มจากอัตโนมัติไปถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาเป็นอย่างนั้น รวดเร็วกว่านั้นอีกมองไม่ทัน นั่นละธรรม ฟังซิ มองไม่ทัน นักมวยเขาต่อยกันนี้หมัดไหนออกทางไหน ๆ ทั้งสองฝ่ายมองไปมันก็เห็นเขาต่อยกัน แต่นักมวยระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวทีนี้ พวกตาเราเซ่อ ๆ นี้บอกว่ามองไม่เห็น อย่าว่ามองไม่ทันนะ มองไม่เห็น เห็นแต่พันกันอยู่ไม่ทราบว่าหมัดว่ามวย ระหว่างคู่ต่อสู้มันต่อยกันยังไง เห็นแต่พันกันอยู่ ๆ ระหว่างหมัดต่อหมัดซัดกันนั้นไม่เห็น
นี่ละเมื่อเทียบแล้วสติปัญญาอัตโนมัติกับมหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงกัน และมหาสติมหาปัญญาล้วน ๆ จะรวดเร็วอย่างนั้น เรื่องของเรานี้มองไม่ทัน คือสติปัญญาเราจะตามระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันในธรรมขั้นนั้น เรียกว่ามองไม่ทัน มองไม่เห็น ถ้าว่ามองไม่ทันมันก็ยังมีทันอยู่บ้างนะ มองไม่เห็นนี่คือคนตาบอด มืดตื้อเลย อันนี้สนิทดี พวกมืดตื้อพวกตาบอดอย่างนั้นถนัดดี เราอยากพูดว่าอย่างนั้นหรือพูดแล้วก็ไม่รู้ตะกี้นี้
นี่ละเรื่องของกิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวทีคือหัวใจ คือหัวใจนี้มีทั้งกิเลสมีทั้งธรรมอยู่ในนั้น ฟัดกันนี้สะเทือน หัวใจนี้สะเทือน เป็นเวทีอันดับหนึ่ง ร่างกายสะเทือนเป็นอันดับสอง ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน พูดเหล่านี้ใครจะเชื่อวะ นั่นซีพระพุทธเจ้าถึงอ่อนพระทัยหรือว่าท้อพระทัยที่จะสอนสัตวโลก อย่างนักมวยจะขึ้นต่อยกัน ผู้ไปชมมวยก็มีแต่คนตาบอดนั่นซี ตาบอดแล้วก็ยังไม่แล้ว เวทีมวยอยู่อย่างนี้ ตาบอดแล้วแทนที่จะหันหน้าไปดูทางนี้ มันกลับหันหน้าไปดูทางนู้นอีก ตาบอด มันสองชั้นสามชั้น พวกเราบอดหลายชั้นนะ
พวกตาดีพอสมควรก็พอมองเห็นแย็บ ๆ ระหว่างนักมวยต่อยกันบนเวที พวกที่ฝ้าฟางกว่านั้นก็อย่างว่าซุ่มซ่าม ๆ หลังจากนั้นมาสุดท้ายก็พวกตาบอด และตาบอดแล้วยังไม่แล้ว แทนที่จะหันหน้าไปทางเวทีที่เขาต่อยกัน กลับหันหน้าไปทางนู้นอีก ชั้นนี้มันพิลึกเข้าใจไหม หลวงตาบัวมีแต่ลูกศิษย์ชั้นนี้ทั้งนั้นแหละ เอา ใครเข้ามาแข่งมา ลูกศิษย์หลวงตาบัวฟาดนี้ชนะลงทะเลด้วยกันไปเลย พันกันเลย เพราะต่างคนต่างเซ่อ มันเซ่อต่อเซ่อด้วยกันพันกันลงทะเล ยังไม่ลืมตานะ ตกลงไปปลาฉลามงับเข้าไป อยู่ในท้องปลาฉลามยังไม่ลืมตายังหลับครอก ๆ อยู่ในนั้นอีก นี่ละลูกศิษย์หลวงตาบัวเป็นอย่างนี้
การสอนพี่น้องทั้งหลายว่าเราอุตริมาสอนเหรอ ฟังซิน่ะ พูดนี้มันพองขึ้นเลยนะหัวใจ มันอยากให้รู้ให้เห็นน่ะ เวลามันฟัดกันกับกิเลสนี้ โถ ของง่ายเมื่อไร คิดดูซิอยู่กับใครไม่ได้ ฟังซิ ตัดขาดสะบั้นเลยกับใคร เป็นขโมยเทียว คือไม่มีเวลาว่างเลย หมุนติ้ว ๆ นี่ละเริ่มแต่สติปัญญาอัตโนมัติไป เชื่อมเข้าไปหามหาสติมหาปัญญาและมหาสติมหาปัญญา ๓ ขั้นนะ เรียงระดับออกมาระดับของปัญญา ของสติของปัญญา ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติแล้ว สติกับปัญญารู้สึกจะเริ่มกลมกลืนกันไปแล้ว สติกับปัญญาเป็นอันเดียวกัน ๆ พอก้าวเคลื่อนไปหามหาสติมหาปัญญาเป็นอันเดียวกันเลย ไม่ทราบมหาสติมหาปัญญา เป็นอันเดียวกัน แพรวพราวด้วยกันหมดเลย ดูไม่ออก นั่นมันต้องแยกอย่างนั้นซินักปฏิบัติ ไม่งั้นฆ่ากิเลสไม่ได้ กิเลสยังเก่งกว่านั้นอีกนะ ถ้าเราไม่เหนือมันฆ่ามันได้ยังไง
นี่ละที่พูดถึงเรื่องหลวงพ่อคูณ เราก็เอาส่วนหยาบ ๆ มาพูด กระเทือนเข้าไปถึงส่วนละเอียด ละเอียดสุดยอดเลย ของอุบายวิธีการแก้กิเลส พลิกกันอย่างนี้ สูเหยียบคันเร่งเท่าไร เหยียบ ๑๔๐ โอ๊ย กูโดดลงตั้งแต่ ๙๐ กูจะไปช่วยสูได้ยังไง กูเอาตัวรอดกูก็เกือบเป็นเกือบตาย กูจะไปช่วยสูได้ยังไง นั่นเห็นไหมท่านแก้ ฟังแล้วน่าฟัง กิเลสต่อยมาหมัดนี้ทางนี้สวนหมัดนี้ปั๊บเลย นี่เป็นขั้นหนึ่ง เป็นขั้นที่ฟังได้ทั่ว ๆ ไปอย่างนี้ ขั้นละเอียดกว่านี้ก็ต้องเป็นขั้นที่ผู้ฟังละเอียดกว่านี้ ละเอียดกว่านี้เข้าไป ฟังกันได้หมดตลอดเลย
พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น โห เวลาท่านเทศน์ เพราะมีแต่พระแต่เณรอยู่กับท่าน ญาติโยมไม่ยุ่งได้นะ เวลาท่านเทศน์ขึ้นถึงธรรมะขั้นสูงนี่ โถ หมุนติ้วเลย ท่านเทศน์ธรรมดาลักษณะของท่านเป็นเทศน์สุภาพเทศน์บรรจง ไม่เร่งไม่ด่วนอะไรนัก ไม่ปรากฏว่าเป็นนิสัยที่เร่งรีบนะ แต่เวลาท่านเทศน์ธรรมะขั้นนี้พุ่งเลย อันนี้อย่าเอามาเทียบท่านเลย นั่นละคือพลังของจิตพลังของธรรมเป็นอันเดียวกัน พุ่ง ๆ พุ่งออกมา ฟังจนจะฟังไม่ทัน เราก็มีแต่เพลินฟัง ท่านเทศน์จบลงแล้ว ทีแรกท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมง ตั้งแต่เริ่มเทศน์ ๔ ชั่วโมงถึงจบ เห็นไหมเก่งไหม ธาตุขันธ์ของท่านแก่ขนาดนั้น อายุ ๗๐ หมุนติ้ว ๆ เพราะธรรมพาหมุน พุ่ง ๆ เทศน์ธรรมะขั้นสูงเท่าไร โถ พิลึกพิลั่นนะ
เพลิน ๔ ชั่วโมงท่านจบลงแล้ว ทางนี้ยังเพลินยังไม่อยากให้ท่านจบง่าย ๆ นั่นเห็นไหม เรื่องร่างกายอย่าเอามายุ่งเลย มีแต่จิตล้วน ๆ อยู่กับธรรม ร่างกายไม่รู้ตัวเลย หายเงียบไปหมดเลย นั่นเวลาท่านเทศน์ถึงพริกถึงขิง บางวันดับ ฟังเทศน์ท่านแล้วบางครั้งดับถึง ๓ วันก็มีนะ ใจเรานี้ละเอามาพูดได้อย่างเต็มปากทีเดียว ท่านเทศน์นี้เหมือนว่าโลกธาตุนี้ดับหมดเลย เห็นไหมอำนาจของธรรมภายในใจของท่าน นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น เราอย่ามาลูบ ๆ คลำ ๆ อ่านแต่ตำรับตำรามาอวดน้ำลายกัน พวกหนอนแทะกระดาษในศาสนาพุทธเราซึ่งเป็นของเลิศเลอ ธรรมชาติเลิศเลอ มันเข้ากันไม่ได้นะ ฟังแล้วอ่อนใจเหมือนกันเราพูดจริง ๆ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามผู้ใดนะ เอาธรรมนั้นมาพูดเปรียบเทียบกับพวกเราที่มันโง่เง่าสูงสุดยอดความโง่ อันนั้นสุดยอดแห่งความเลิศเลอ เอามาเทียบกันแล้วมันเทียบกันไม่ได้ ก็เหมือนส้วมเหมือนถานกับทองคำทั้งแท่งเอามาตั้งแข่งกันอยู่นี้ว่าไง พิจารณาซิ
เวลาท่านเทศน์นี่จิตหมุนติ้วเลย ลงผึง ๆ นี่เป็นขั้นหนึ่งนะ พอขั้นปัญญาแล้ว ท่านเทศน์ถึงเรื่องปัญญานี่มันจะตามขยับสวมรอยปั๊บ ๆ ท่านพุ่ง ๆ ออกเรื่อย ขั้นปัญญาไม่ได้อยู่กับที่นะ ขั้นสงบนี้ท่านเทศน์เร่งเท่าไรยิ่งหมุนลง จิตยิ่งแน่วไปเลย นี่ขั้นสมาธิ ถ้าขั้นปัญญาแล้วท่านเทศน์เท่าไร ท่านขยับทางนี้ขยับตาม ๆ พอดีเรากำลังพิจารณาอยู่ในอารมณ์ใด กำลังขัดข้องอารมณ์ใดคอยฟัง พอไปถึงนี้ท่านจะไปไหน เพราะท่านผ่านไปแล้วเรายังไม่รู้ เราติดอยู่ในจุดนี้ ท่านเทศน์ไปนี้จ่อละเอาท่านจะไปไหน ท่านผ่านผึงเลย เพราะท่านรู้แล้วนี่ท่านผึงเรายังติด พอท่านผ่านผึงเราก็ผ่านด้วยกัน ได้ก้าวหนึ่งสองก้าวก็เอาครั้งหนึ่ง ๆ ต่อไปขยับไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นนะฟังเทศน์ภาคปฏิบัติ มันถึงได้ผลเป็นที่พอใจ
เหมือนพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายสำเร็จมรรคผลนิพพานตั้งเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ฟังซิ ไม่สมควรสำเร็จสำเร็จได้เหรอ ธรรมสมควรอย่างยิ่งที่จะให้สัตว์ที่มีอุปนิสัยสำเร็จได้ ต้องสำเร็จด้วยกัน นอกจากหูหนวกตาบอด ผู้มาเทศน์ก็เป็นหนอนแทะกระดาษไปอย่างนี้ มันก็ไม่ได้เรื่องทั้งเขาทั้งเรานั้นแหละ เป็นเหมือนกันหมด ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ผู้เทศน์ท่านรู้จริง ๆ ท่านเห็นจริง ๆ แล้วเปิดโล่งหมดเลย โลกธาตุนี่อะไรมาขวางวะ เวลามันรู้มันรู้อย่างนั้นจิตน่ะ
ทีแรก ๔ ชั่วโมง ขยับลงมา ๓ ชั่วโมง ขยับลงมา ๒ ชั่วโมง พอถึงขั้น ๒ ชั่วโมงนี้หยุด จากนั้นไม่เทศน์อีกเลย ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง พอถึงขั้น ๒ ชั่วโมงนี้หยุด แล้วจากนั้นไม่เทศน์อีก ให้ลดกว่านั้นไม่เคยมีถ้าท่านได้เทศน์แล้ว มันไม่เหมือนคนแก่นะเวลาเทศน์ อะไร ๆ นี้ผึงผังขึ้นพร้อมกันหมด เพราะกำลังใจกำลังธรรม เวลาท่านเทศน์เหมือนไม่เป็นพระแก่แหละ เสียงนี่เร่ง บางทีจนจะฟังไม่ทัน พลังของธรรมพลังของจิตพุ่ง ๆ เลยเป็นอย่างนั้นนะ พอเทศน์จบแล้วเราก็ระลึกถึงตาเพ็ง วัดถ้ำกลองเพล คือท่านเทศน์ท่านมีนิสัยอันหนึ่งของท่าน ไม่มีใครท่านก็ไม่รักษามารยาท เป็นไปตามนิสัยสะดวกเลย เวลาท่านเทศน์ท่านมีมือด้วย เวลาท่านเด็ดเท่าไรมือของท่านอย่างนี้ ๆ ด้วยนะ มันต้องอย่างนี้ ๆ คือให้ถึงใจท่านพูดง่าย ๆ ใครจะเอากิริยาอันนี้ไปใช้ตายหมดนะพวกนี้ พวกสัตว์นรก
พลังของธรรมออกมาใช้กิริยาอย่างไหนก็จะเป็นไรไป มือท่านชี้นี้พอดีไปโดนกระโถนตกลงพักหนึ่ง พระนั่งอยู่พักล่าง ท่านนั่งอยู่พักบน อย่างนี้ ๆ ใส่กระโถนกลิ้งตกไปนู่น ท่านหยุดเลยนะ พอกระโถนกลิ้งตกไปท่านหยุดกึ๊กเลย แล้วหยุดเลย แน่ะ เห็นไหมล่ะอะไรไปผ่านไม่ได้นะธรรม ถึงบอกแล้วเวลาเทศน์อย่าให้อะไรมาผ่านนะ ให้ธรรมออกพุ่ง ๆ พอเริ่มออกก็ค่อยเริ่มเคลื่อนไหวเอื่อย ๆ พอได้จังหวะก็เร่ง ๆ ธรรมะขั้นสูงเท่าไรที่ควรแก่คนมีทุกชั้นที่จะฟังธรรมะนี้ได้ ฟังได้ทุกขั้น ๆ ตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน ธรรมท่านจะเป็นเหมือนเครื่องบินเหินฟ้า ขึ้นจากสนามบินนี้ก็ค่อย ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นพุ่งเลย
อันนี้เวลาท่านเทศน์ทีแรกก็เอื่อย ๆ พอได้จังหวะแล้วก็เริ่ม ๆ จากนั้นก็พุ่ง ๆ พุ่งเลย ทีนี้เวลาท่านกำลังพุ่งเต็มที่มือท่านก็ไปโดนกระโถนตกไปนู่น กลิ้งไป พอกลิ้งไปท่านหยุดกึ๊กเลย นั่นเห็นไหมมีอุปสรรคแล้ว กระโถนเป็นอุปสรรค ท่านหยุดกึ๊กเลยแล้วไม่เทศน์อีกนะ พอหยุดกึ๊กพระจับกระโถนขึ้นมา เอาใบใหม่ขึ้นมาเปลี่ยนปุ๊บปั๊บทันที สักเดี๋ยวก็ว่า เป็นยังไงล่ะเพ็ง ท่านว่าฟังซิ เป็นยังไงล่ะเพ็งฟังเทศน์น่ะ เทศน์ขนาดนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราวอยู่เหรอท่านว่าอย่างนั้นนะ เราไม่ลืม พระแน่นเลย เหมือนไม่มีพระนะ เต็มอยู่นั้นเงียบเลย
หือ เทศน์ขนาดนี้ยังไม่ได้ความอยู่เหรอ ถ้ามันยังไม่ได้ความ เอา ให้มันได้ความชัด ๆ หน่อยน่ะ เอามือนี่ล้วงเข้าไปในทวารนั่น เอาของดีที่อยู่ในทวารนั่น แล้วเอามาดมดูมันเป็นยังไง มันยังไม่ได้ความอยู่เหรอ ถ้ายังไม่ได้ความเอาเข้าใส่ปากท่านว่า ฟังซิน่ะ เอามาดมมันยังไม่ได้ความแล้วเอาเข้าใส่ปาก มันจะได้ความไหม เห็นไหมท่านหย่อนลง ๆ ขนาดไหนมันก็หยิบไม่ได้ ๆ จนกระทั่งถึงขั้นใส่ปาก นี่หย่อนยานลงมาที่จะฉุดลากขึ้น มันยังเอื้อมไม่ถึง ๆ ความหมายว่าอย่างนั้นต่างหากนะ
ท่านไม่ได้พูดหยาบโลนนะเข้าใจไหม ไอ้โลกกิเลสมันจะหาว่าท่านหยาบโลน ท่านไม่มี คือหมายความว่าท่านหย่อนความเมตตาลงธรรมะลงขนาดไหน เอื้อมขึ้นมันก็ไม่ถึง หย่อนลงมันก็ไม่ถึง ๆ จนกระทั่งโยนใส่ถานเลย แล้วให้ไปกว้านเอาในท้องออกมาดม ดมไม่ได้ให้กิน เอาเข้าปากน่ะ ท่านหย่อนลงขนาดนั้น นี่ละธรรมะ เราจะไปว่าท่านพูดหยาบพูดโลนยังไง ธรรมะท่านหย่อนลง ๆ ขนาดนั้น คือเทศน์อย่างนี้แล้วให้มันได้รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ แล้วมันจะค่อยขยับขึ้นไปเอง ความหมายว่าอย่างนั้น
ทำอย่างนั้นมันก็ไม่รู้ ทำอย่างนี้ก็ไม่รู้ ก็ต้องเอากองคูถมาวางไว้นี่ ให้มันพิจารณากองคูถ มันก็ยังไม่เห็น จับกองคูถมาดมมันยังไม่เห็นอยู่เหรอ ฟาดกองคูถใส่ปาก ขนาดนั้นมันเห็นหรือยัง ความหมายว่างั้นเข้าใจไหม เข้าใจหรือยังที่พูดนี่ ยังมาหมายว่าเป็นความหยาบช้าเลวทรามเหรอ นี่ละกิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ เพราะตัวกิเลสมันตัวหยาบโลนที่สุด มันปิดป้องตัวของมันไม่ให้ใครไปแตะต้องเลย พูดอะไร ๆ มานี่จะไปโดนมัน มันต้องปัดเอาไว้ ๆ หาว่าพูดหยาบพูดโลนพูดดุพูดด่า
เพราะกิเลสมีแต่ไพเราะเพราะพริ้ง สำนวนอ่อนหวานต้มตุ๋นนี้เก่งมาก ภายนอกนี้หวานทีเดียวภายในเต็มไปด้วยยาพิษ นั่นเห็นไหมกิเลส เรื่องธรรมนี่จ้าออกหมด ทั้งภายนอกภายในสะอาดหมด ตรงไหนตรงนั้น พูดผิดถูกประการใดว่าไปตามหลักตามเกณฑ์ นี้คือธรรม เป็นธรรมที่สะอาด น้ำสะอาดสุดยอด กับกิเลสที่มันสกปรกสุดยอดมันจึงซัดกันล่ะซี กิเลสกับธรรมถึงได้เป็นข้าศึกต่อกันมาตลอดทุกวันนี้
ทองคำเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคมได้ ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๑๓ ดอลล์ เรียกว่าพักเครื่อง จะเริ่มติดเครื่องแล้ว ทองคำรวมทั้งหมดเวลานี้ได้ ๒
๔๖๐ กิโลครึ่ง อย่างน้อยต้องได้ถึง ๔ พันกิโลเป็นพื้นฐาน อันนี้เราเด็ดไว้แล้วนะ ถ้าหากเด็ดอันนี้ไม่ขาดสะบั้นไปแล้วชาติไทยของเราควรไปนอนจมอยู่ในทะเล ให้ปลาฉลามมันหั่นหอมหั่นกระเทียมช่วยกันหมดทะเลหลวง ให้พวกปลาฉลามเขาไปประกาศลั่นโลก ปลาฉลามในมหาสมุทรทะเลใหญ่ทุกทะเล ทะเลไหน ๆ ให้เขาประกาศกันลั่นไปหมดว่า เมืองไทยเวลานี้ไม่เป็นท่าแล้ว ทองคำเพียง ๔ พันกิโลคนทั้งประเทศรวมแล้ว ๖๒ ล้านคน ทองคำยังขาดอยู่หนึ่งสตางค์ เมืองไทยหมดปัญญาแล้ว หามาเพิ่มให้เต็ม ๔ พันกิโลไม่ได้เลยนี้ นี่ปลาฉลามเขาจะประกาศลั่นไปหมดเลย
พวกเราเวลานี้กำลังขนครัวลูกครัวเมียครัวพ่อครัวแม่ หมูหมาเป็ดไก่ของชาติไทยทั้งชาติ ขนลงทะเล เขาไม่มีที่พักแล้วถูกความจนไล่เขา เขาไม่สามารถจะต้านทานความจนได้ กำลังหลั่งไหลลงทะเล พวกเราให้เตรียมต้อนรับกันอย่างดีนะ หัวหอมจะเอามาเท่าไร กระเทียมจะเอามาเท่าไร ทุกสิ่งทุกอย่างเครื่องประกอบ พวกไม่เป็นท่านี่ให้เตรียมมาพร้อม นี่ปลาทะเลเขาจะประกาศกันนะ อยากให้ปลาทะเลเขาประกาศหรือไม่อยากให้ประกาศ ถ้าไม่อยากให้ประกาศ ๔ พันกิโลนี้จะขาดไปหนึ่งสตางค์ไม่ได้ ถ้าอยากให้เขาประกาศ ออกจากนี้ไปให้ต่างคนต่างเถลไถล ให้มันขาดหมดคอเมืองไทยเรา เอาละพอ
วันนี้พอสาย ๆ หน่อยก็จะไปเทศน์ทางอำเภอสีชมพู ทางไปชุมแพนะ จากนี้ไปเราเคยตั้งนาฬิกาแล้วดูไม่เกินชั่วโมง ๔๕ นาที จากนี้ก็ไปหนองบัวลำภู ศรีบุญเรืองแล้วก็สีชมพู เลยศรีบุญเรืองไปข้ามแม่น้ำพองไปสีชมพู ดูเหมือนตกประมาณชั่วโมง ๔๕ นาที ที่นี่เราก็ช่วยน้อยเมื่อไร สีชมพู รถยนต์ก็ให้ เครื่องมือแพทย์ก็ให้ อันใหญ่กว่านั้นก็คือซื้อที่ให้ ที่ทีแรกเราจะซื้อให้กว้างขวางนะ ที่โรงพยาบาลเพียง ๙ ไร่แคบนิดเดียว ไปดูแล้ว โห ยังไงกันนี่ เขาก็มาขอเรา เราก็จะทำไงจึงไปดู ตกลงก็เลยให้ไปติดต่อกับเจ้าของที่นาเขาที่มันติดกันกับโรงพยาบาล เขาให้เพียง ๑๕ ไร่เท่านั้น เขาบอกให้มากกว่านั้นไม่ได้ ๑๕ ไร่นี้ราคาเท่าไรเราก็ไม่ต่อเลยนะ เพราะการซื้อซื้อด้วยความเมตตาสงสารคนไข้ ด้วยความสงสารเจ้าของนาเขา
เพราะฉะนั้นเราซื้ออะไรก็ตาม คำว่าต่อรองจึงไม่มี ให้เลย ๆ เพราะมันแยกอยู่อย่างนี้ละ นี้เลยซื้อได้ ๑๕ ไร่ เขาให้เท่านั้น เอา เท่านั้นก็เอาละ เหมาะ เขาก็พอใจ อันนี้มัน ๙ ไร่ อันนี้ ๑๕ ไร่ ทีนี้ทางนี้จะปิดไม่ได้เพราะนาเขาอยู่ทางโน้นกว้างขวาง ต้องเปิดให้ทางนาเขาตามเดิม ที่ของโรงพยาบาลตกลงก็เลยเป็นรั้วไปเลย ทางนี้ข้ามปั๊บเข้านี้ที่ซื้อใหม่นะ อันเก่าเลยจะกลายเป็นโรงเลี้ยงเด็กไป ๑๕ ไร่นี้ถ้าเราจำไม่ลืมว่า ๘ แสนบาทนะ แต่เวลาถมซิ ที่มันต่ำถมเข้าไปเสีย ๑ ล้าน ๓ แสนกว่า ถมมากกว่าราคาที่ นี่เราก็ได้ให้แล้ว ความหมายว่างั้น แต่บอกเขาว่าสิ่งก่อสร้างที่เขาจะก่อสร้างใหม่เหมือนเป็นโรงพยาบาลใหม่ขึ้นมาจากโรงพยาบาลเก่า จะสร้างเท่าไรก็แล้วแต่เถอะเราให้ได้เท่านี้เราไม่มีเงินเราบอก เขาก็ขวนขวายหามาสร้างได้ เมื่อเราบอกเราไม่มีเงินแล้วเขาก็หามาได้ แต่นี้ก็เหมือนเป็นสองโรงไปละ เอาละให้พร
เวลานี้กำลังช่วยเรือนจำอุดรฯ ห้องน้ำทั้งหญิงทั้งชาย ห้องน้ำห้องส้วมให้หมดเลย ทะลุหมดเลย เขากำลังลงมือ แล้วเตือนไปด้วยเพราะพวกนี้มันชอบอืดอาด เราติดต่อทีไรได้ดุกันทุกทีนะ ถ้าติดต่อกับวงราชการมักจะได้ดุเพราะอืดอาด เราว่าให้ จริงเลยผึงเลย ๆ นี่ให้อะไรแล้วเราเป็นฝ่ายติดต่อเสียเอง ทีแรกมาขอเรา ครั้นเราพิจารณาตามเหตุตามผลแล้วเราก็ให้ตามเหตุผล ครั้นให้แล้วสุดท้ายทางโน้นจะมาติดต่อเรา กลับเป็นเราเป็นฝ่ายติดตามเรื่องราว ก็ดุเอาล่ะซี นี่ขู่ไปแล้วนะเรือนจำนี่ ไปหาหัวหน้าเขาให้รีบส่งเรื่องไปด่วน บอกว่าท่านให้แล้ว ให้รีบจัดการเสียนะ ถ้าหากว่าไม่จัดการในระยะนี้ เงินเป็นความจำเป็นต่อโลกมากมายมาตลอดเวลา อาจจะหมุนเงินนี้ไปทางไหนก็ได้ เพราะเวลานี้ผู้บกพร่องต้องการอยู่มากมาย เตือนไปอย่างนี้ เขาก็เร่งแล้วเวลานี้ กำลังเริ่มสั่งซื้อของแล้ว เห็นไหมถ้าเราจี้เข้าไปเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่จี้มันก็ไปอย่างนั้นอีก เราจึงเตือนไว้ถ้าหากว่าล่าช้า เงินจำนวนนี้เราจะหมุนไปทางอื่น เขาก็ต้องรีบเขากลัวจะหมุนไป มันต้องจี้กันอยู่เรื่อยอย่างนั้นซี
เราเคยดุให้พวกสาธารณสุข รู้สึกจะบ่อยกว่าที่อื่นนะ เพราะโรงนั้นติดต่อโรงนี้ติดต่อมันก็เข้าไปกระทรวงสาธารณสุข ไปอืดอาด ๆ อยู่นั้นซิ เราตีเข้าไปตรงนั้นเลย ได้ดุบ่อยละ สาธารณสุขนี้ดุบ่อย เอาจริง ๆ เราไม่ว่าเล่นนี่นะ เอาละที่นี่พอ