ดอลลาร์ปฐมฤกษ์
วันที่ 14 ธันวาคม 2543 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

ดอลลาร์ปฐมฤกษ์

เมื่อวานนี้วันที่ ๑๓ ทองคำได้ ๑ บาท ๗๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐ ดอลล์

มาจากทางไหน ๆ กันบ้าง มีอะไร เอ้า ว่ามา

หลวงตาครับ วันที่ ๒ ก.พ. จะมีคณะจากทางศาลมากราบนมัสการหลวงตาตอนเช้า เวลาประมาณ ๘.๐๐ น.ครับ

อ๋อ ตอนเช้าส่วนมากไม่ค่อยไปไหนแหละ ตอนเช้า ๘-๙ โมงมักจะเป็นปรกติอยู่นี้ทุกวันไม่ค่อยไปไหน

คณะผมประมาณ ๔๐ คนจากหลายจังหวัด คือจะเป็นหลักสูตรอบรมทางศาล จะมีข้าราชการกฎหมายแรงงานในระดับสูงมาร่วมด้วย

มาที่นี่พร้อมกันในเวลานั้นใช่ไหม

ครับ

วันที่ ๓๑ ม.ค. ไปสุรินทร์ เทศน์ที่สุรินทร์ วันที่ ๑ ก.พ. กลับ วันที่ ๒ มานี้ก็พอดี ระยะนั้นพอดี ที่ในตัว จ.อุดรฯ เรานี้มีผู้พิพากษาประจำจังหวัดประมาณสักกี่คน

๓๐ คนครับ

นับว่ามากอยู่นะ ถึง ๓๐ เรียกว่ามาก

มี ๔ ศาลด้วยกันครับ มี ศาลจังหวัด ศาลแขวง ศาลเยาวชน ศาลแรงงาน(คนนี้เขาเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลครับ)

เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเหรอ (ครับ) เคยรู้จักกับคุณพิชิต คำแฝง ไหม (รู้จักครับ) นั่นเป็นลูกศิษย์มาตั้งแต่เรียนอยู่ธรรมศาสตร์นะนั่น คือตั้งแต่เรียนธรรมศาสตร์ พอออกจากธรรมศาสตร์ก็บึ่งไปวัดบวรฯ ไปหาเราทั้งพี่น้อง พิชัย พิชิต เรียนหนังสือด้วยกันเป็นลูกแฝด แต่น่าเสียดายที่พี่ชายได้เสียเสีย เก่งเหมือนกันนะ นั่นไปทางกฎหมายเหมือนกัน ไปทางฝ่ายทนายหรืออะไรจำไม่ได้ แต่น้องมาทางผู้พิพากษา พิชิต คำแฝง ฉลาดอยู่ เพราะพอจะเข้าใจกันได้ดีตั้งแต่เป็นนักศึกษาอยู่ที่ธรรมศาสตร์ เวลาออกจากนั้นตอนเย็น ๆ มักจะไป ถ้าหากพอว่างไปทุกวันเลย ไปกันพี่กับน้อง ๆ จากนั้นก็ค่อยเลื่อนไปเรื่อยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ติดต่อกันเรื่อย ๆ นะ ยิ่งมาขอนแก่นด้วยแล้วมาที่นี่บ่อย บางทีเราก็ไปขอนแก่น คุณพิชิต รู้สึกว่าสนิทกันมากมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เรื่อยมา โอ๊ย ไม่ทราบว่ากี่ปีนะจนป่านนี้ละ

รู้สึกว่าฉลาดดีอยู่ อยู่ด้วยกันนานก็รู้เอง คุณพิชิตนี่ฉลาดอยู่ แต่แกยังมายอเราด้วยนะ เราไม่ได้ออกปากพูดว่าคุณพิชิตฉลาด อะไร ๆ เราไม่ว่านะ แต่อยู่ในความสังเกตตลอด ทีนี้บทเวลาแกจะพูด อยากให้ท่านอาจารย์เป็นทนายหรือผู้พิพากษา ซักคนนี้เก่ง เป็นพระไม่ดีเหรอ โอ๊ย สาธุ ดี เขาพูดตามความรู้สึกของเขา เราว่าเป็นพระอย่างนี้ไม่ดีเหรอ โอ๊ย ดี ขึ้นเลย นึกว่าเป็นพระไม่ดีเราว่า พูดถึงความฉลาดเขาฉลาดอยู่ ฉลาดตั้งแต่เป็นนักศึกษามา สนิทสนมกันมา วางกิริยาเข้าออกหนักเบามันก็ทราบกันตลอด รู้สึกว่าเป็นคนดี รักใคร่ใฝ่ธรรมตั้งแต่เป็นเด็กเรื่อยมาเลย

บ้านแกรู้สึกเราเคยไปหนหนึ่ง ตั้งแต่เป็นนักศึกษาอยู่โน่นนะ เคยนิมนต์เราไปบ้านหนหนึ่ง เราพอจำได้ว่า สุขุมวิท ซอย ๕ นอกนั้นจำไม่ได้แล้ว เรารักอยู่ตลอดมานะพิชิตนี่นะ สนิทตายใจตลอดมา ก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะได้เตือนเพราะเป็นคนดีอยู่แล้ว และฉลาดด้วย ไม่เคยมีอะไรแสลงหูแสลงตา ความประพฤติเหมาะสมกับมาทางฝ่ายผู้พิพากษา

คือผู้พิพากษานี้ต้องเป็นแบบพิมพ์ของประชาชน ความจนตรอกจนมุมจะต้องวิ่งเข้าหาผู้พิพากษา นี้เราเคยพูดเสมอ เพราะนี้เป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายของประชาชน หัวใจอยู่นั้น เช่นเดียวกับคนไข้วิ่งเข้าหาหมอ ชีวิตจิตใจของคนไข้รวมทั้งญาติคนไข้ ไปรวมอยู่ในหมอหมด เพราะฉะนั้นจึงได้สอนพวกหมอเราให้เป็นแบบพิมพ์ที่ดี บางทีก็ชี้หน้าเอาเลยก็มี อย่างนั้นนะหลวงตาไม่เหมือนใคร คือธรรมจะตรงไปตรงมาเลย บางทีสอนไปสอนมาก็มาเจอเอาตัวแอบ ๆ แฝง ๆ เราเลยชี้หน้า นี่นะหมอคนนี้มันมีเมีย ๕ คนนะ ไอ้ห่านี่ว่างั้นเลยเรา นั่นเห็นไหมบทเวลาจะเอา เปรี้ยงต่อหน้า โอ๋ย มาไม่ใช่ผู้น้อยนะมาด้วย เป็นรองปลัดกระทรวงมาด้วย มาก็หวังจะเป็นเกียรติ นำหน้าเป็นเกียรติของท่านเหล่านั้น มาก็มาชี้หน้าเอาต่อหน้าพวกนั้น โอ๋ย พวกนั้นหน้าซีดหมด เราเฉย

ก็เราพูดตามความจริงจะไปสะทกสะท้านอะไร ธรรมหวั่นไหวไม่ได้ ไม่เรียกว่าธรรม ถ้ายังหวั่นไหวยังว่าสูงว่าต่ำไม่เรียกว่าธรรม ตายใจไม่ได้ พูดอย่างนี้เราก็ยังระลึกได้ ก็มาเป็นกับเราเอง เป็นกับใครเราพูดได้ เช่นอย่างพูดว่า คนนี้มันมีเมียตั้ง ๕ คน ไอ้ห่านี่ เราว่าอย่างนี้นะว่าให้หมอ พูดกับคนมาก ๆ ใส่เปรี้ยง โอ๋ย หน้าซีดเลย หน้าซีดก็ตามหน้าเราไม่ได้ซีดนี่ มันซีดแต่หน้าเขาผู้ผิด เราไม่ได้ผิดใช่ไหมล่ะ ทีนี้ก็เลยมาเข้าถึงเรื่องว่า พูดแบบตรงไปตรงมา ความรู้ความเห็นจะเป็นธรรมล้วน ๆ ไปเลย อะไรมาขัดปั๊บตัดปุ๊บออกเลย นี่ละความปลอดภัย ความตายใจ ความไว้วางใจ มีอยู่กับตัวเองก็ไว้วางใจตัวเอง อบอุ่นตลอดเวลา ไม่มีระแคะระคายว่าตัวได้ทำความเสียหายด่างพร้อยที่ตรงไหน ๆ อย่างนี้นะ มันก็อบอุ่น นี่หมายถึงว่าพระเรา

พระเรารักษาแต่ความดีล้วน ๆ วันหนึ่ง ๆ ต้องตรวจคำนวณดูศีลดูธรรมของเจ้าของตลอดเวลา สติสตังระมัดระวังตลอด มันก็อบอุ่นคนเรา ทีนี้ก็เลยย้อนมาถึงเรื่องว่ามันเป็นธรรมในหัวใจ คืออย่างตรงไปตรงมาอย่างนั้น ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก วันหนึ่งก็เคยเล่าให้ลูกศิษย์เหล่านี้ฟัง คือก็ไม่มีใครทำได้อย่างนั้น แล้วไม่มีใครที่จะดุพระในวัดนี้แบบนั้นเหมือนกัน คือตามธรรมดาทำข้อวัตรปฏิบัติปัดกวาดอะไรนี้ เรากับพระเณรจะเสมอกันหมดแต่ก่อนนะ เราพึ่งมาปล่อยตอนอายุแก่ ๆ นี่ พระเณรไปทำให้หมดทุกอย่าง ๆ เราเลยไม่ได้ทำอะไร เดี๋ยวนี้เป็นขอนซุงอยู่ในวัดไปอย่างนั้นละ แต่ก่อนทำอย่างนั้นตลอด ตานี้สอดนี้ส่องตลอดเวลา องค์ไหนเป็นยังไงจี้เรื่อย ๆ นั่นละที่เขาว่าหลวงตาบัวดุ

ก็จะไม่ดุอย่างไร สิ่งที่เหลวไหลมันเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา มันก็ต้องจ้อเข้าเรื่อยซิ ดุเรื่อยซิจะว่าไง พอดีวันนั้นเราเขียนหนังสืออะไรอยู่ จดหมายหรืออะไร เรามองดูนาฬิกา คือปกติบ่าย ๔ โมงปัดกวาด คือบอกไว้ถึงเวลานั้นพร้อมกันทุกคน นัดบอกเวลาไหนตายตัวแล้วใครมาเคลื่อนให้เห็นไม่ได้ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น เป็นปรกติอย่างนั้น วันนั้นก็เราเซ่อเองนี่ที่มาพูด เราเซ่อเอง พอเขียนหนังสืออยู่ มองดูนาฬิกาเหมือนได้ ๔ โมง ๒๐ นาทีแล้ว ก็ความเซ่อมันเอาแน่อะไรได้ที่ไหน ก็เข้าใจว่า โธ้ ตั้ง ๔ โมง ๒๐ นาทีแล้ว ก็ปล่อยนี้ลงปัดกวาดล่ะซี คว้าไม้กวาดปัดออกมา ๆ พอมาถึงหน้าวัดมองดูพระดูเณรที่ไหนไม่เห็นมีสักองค์ แล้วมีเณรหนึ่งรักษาศาลาอยู่นี้ มันคงขวางตามันท่า โฮ้ หลวงตานี้เป็นบ้าแล้วคงว่างั้น แต่มันไม่กล้าพูดก็มันเป็นเณรนี่ เวลานั้นมันฟ่อ ๆ อยู่แล้วนี่

พอปัดกวาดออกมาถึงหน้าวัด เราปัดกวาดบริเวณกุฏิเราเสร็จแล้วก็ออกมาหน้าวัดเข้าสู่ส่วนรวม พอโผล่ออกมานั้นแล้วมองหาพระเณรที่ไหนก็ไม่เห็นสักองค์ เงียบไปหมด เณรนี้แกคงจะรำคาญตา แกก็เลยเอาไม้กวาดไปปัดกวาด เณร ขึ้นที่นี่นะ นี่พระวัดนี้มันตายหมดวัดแล้วหรือ ใครจะไปกุสลาใครมันตายหมดวัดแล้วนี่น่ะ ไม่ดูเวลาเป็นยังไง นี่เวลาเท่าไรไม่เห็นพระเณรมาปัดกวาดสักองค์เดียวเลย มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เณรตอบนะ นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที หือ อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นรีบปล่อยไม้กวาด เดี๋ยวมันจะเป็นบ้าด้วยกันหมด เราจะไปชำระบ้าเรา ให้เราเป็นบ้าคนเดียว กลับปุ๊บเลย บอกว่าให้หยุด อย่ามาปัดกวาดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด แน่ะ อย่างนั้นแล้วเห็นไหมล่ะ

ทั้ง ๆ ที่เป็นไฟอยู่นะ ดุพระเณรเหมือนเป็นไฟพุ่งไปเลย พอว่ามันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที หือ อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นหยุด เณร อย่ามาปัดมันจะเป็นบ้าด้วยกัน เราจะไปแก้บ้าเรา กลับปุ๊บเลย นี่เรียกว่าธรรม เข้าใจไหม ใครผิดบอกว่าผิด เราผิดไม่บอกว่าผิดได้หรือ ธรรมเหนือเรานี่วะ เณรมันคงจะหัวเราะ ดีไม่ดีมันอาจจะไปเล่าให้พระฟัง เราไม่ลืมนะ เพราะดุเป็นไฟไปเลยนี่ พระทั้งวัดไม่เห็นใครปัดกวาด ได้เวลาแล้วมันเป็นยังไง นั่น ทีนี้ที่ไหนได้มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที หือ อย่างนั้นเหรอ บอกให้เณรปล่อยไม้กวาดทันที เดี๋ยวจะเป็นบ้าด้วยกันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เราเป็นบ้าคนเดียว อย่าให้เป็นบ้าทั้งวัดเลยนะ ปุ๊บ ๆ ไปเลย นี่เรียกว่าธรรม เข้าใจไหมล่ะ ธรรมต้องเป็นอย่างนั้น ใครผิดเอาตรงผิด ไม่แก้ตรงนั้นถูกไม่ได้ดีไม่ได้ ต้องแก้ทันที

ความผิดเหมือนกับไฟจี้เราเผาเรานั่นเอง ต้องรีบแก้ไข พูดถึงเรื่องว่าทางหมอก็ดี ผู้พิพากษาก็ดี เป็นหัวใจของโลกอันดับแรกเลยละ ทางคนไข้กับหมอ แล้วทางนี้ก็ผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินเนื้อความให้เป็นที่ลงใจ ปลงใจลงได้ด้วยความถูกต้องในอรรถธรรม ผิดถูกประการใดก็เป็นเรื่องของคนนั้นเอง เราได้รับเหตุการณ์ยังไง ๆ ประมวลเรื่องมาแล้วด้วยความเป็นธรรม ตัดสินเอาด้วยความเป็นธรรม นี่เรียกว่าเราเป็นธรรม แม้จะไม่เป็นธรรมก็ตามด้วยที่เราไม่มีเจตนา เราก็ยังเป็นธรรม เช่น มีคนมาบอกมาเล่าเรื่องราวอะไร ๆ นี้ประกอบกับเรื่องของเรา เรื่องมันก็หนักลงที่จุดนี้เห็นว่าถูกต้องก็ตัดสินอย่างนี้ ความจริงเขามาประจบประแจงผู้พิพากษาก็อาจมีได้ ผู้พิพากษาก็ไม่ได้ผิด ในเจตนาเป็นธรรม แต่กิริยาที่ทำมันผิดไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่เขามาหลอกลวงต้มตุ๋นต่าง ๆ มันเป็นได้นะ

หลวงตาไม่ได้เป็นผู้พิพากษา อยากถามว่ามันเป็นได้ไหม มีได้ไหม มันมีได้เข้าใจไหม คนไหนก็จะแข่งดิบแข่งดี แข่งชั่วนี่นะ แซงหน้าแซงหลัง ที่นี่มีน้ำหนักมากกว่า ทางนี้ก็เอาเหตุผลนี้มาจับพิจารณา น้ำหนักมากกว่าที่ตรงไหน เป็นความถูกต้องแม่นยำ ลงจุดนี้ก็ต้องตัดสินตามนี้ นี่เรียกว่าความเป็นธรรมในหัวใจ แต่กิริยามันผิดพลาดไปจากสิ่งหลอกลวงทั้งหลายมันก็เป็นไปได้ เป็นอย่างนั้นละ เหล่านั้นก็ยังเรียกว่าเป็นธรรม ไม่ได้ผิด ผู้พิพากษาไม่ผิดความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจึงว่าผู้พิพากษากับทางหมอสำคัญ จากนั้นก็พวกตำรวจ ก็กระจายไปเรื่อย ๆ หลักใหญ่ก็อยู่ที่จุดนี้

พอดีวันพรุ่งนี้ก็จะไปกรุงเทพแล้ว แต่คราวนี้จะกำหนดยังไม่ได้นะ คือต้องเอาเรื่องราวเหตุผลต้นปลายทุกอย่าง รวมยอดมาแล้วทั่วประเทศไทยเกี่ยวโยงกับเราคนเดียวนี้ทั้งนั้น เราจะไปเรื่องนี้ เราจะไปพินิจพิจารณา นี่ก็คือเป็นธรรม เราเป็นธรรมล้วน ๆ ไม่เป็นข้าศึกต่อผู้ใด เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการดุด่าว่ากล่าวจะหนักจะเบาอะไร นั้นเป็นเรื่องเหตุผลกลไกของอรรถของธรรมที่จะก้าวไปตามเหตุผลซึ่งเรียกว่าธรรมเท่านั้น อย่างอื่นเราไม่มี เช่น ใครจะว่าเราเป็นข้าศึกศัตรูต่อผู้ใดคณะใดก็ตาม นั้นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องความคิดเห็นของเขา แต่เรื่องของเรานี้ให้กลมกลืนไปตามธรรม แยกธรรมไม่ได้ว่างั้นนะเรา ผิดต้องบอกว่าผิด ถูกต้องบอกว่าถูก เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คอขาดเราก็ไม่ได้เสียดายยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรมที่เป็นหัวใจเราแล้ว

เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการดุด่าว่ากล่าว ไปที่ไหนต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เมื่อควรหนักต้องหนัก ควรเบาต้องเบา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จึงเรียกว่าธรรม ตายใจได้เลย เราเองผู้ชี้แจงไปนั้นเราก็ตายใจด้วยความเป็นธรรมของเราแล้ว ใครจะว่าอะไรเราไม่มีปัญหาอะไรกับเขา เป็นปัญหาของเขาต่างหาก นั่นเป็นอย่างนั้นนะ จึงว่าหนัก

ระยะนี้ก็ยิ่งเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองของเราด้วย หลวงตาอยู่ ๆ ก็เข้าไปอยู่ตรงกลางนั้นด้วย สุดท้ายเหม็นก็ต้องดม ขมก็ต้องกลืนต้องกินจะว่าไงเมื่อเข้าไปอยู่ในวงกลางนั้นแล้ว อย่างชาติบ้านเมืองธรรมดาพระไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นคนละภาค ๆ ทางฝ่ายบ้านเมืองปกครองกันไป ฝ่ายศาสนาปกครองกันทางศาสนาไป ไม่มาคละเคล้ากัน ปกติเป็นอย่างนั้น ตามคติโลกคติธรรมที่ยอมรับกันเป็นอย่างนั้น แต่นี้อยู่ ๆ เป็นยังไง อย่างหลวงตาบัวก็ไม่เคยคาดเคยคิด ว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องในวงการของทั้งชาติ ทั้งศาสนา เรียกว่าบ้านเมืองของเรา มันเข้าไปอยู่จุดกลางจนได้นะ

เหตุผลกลไกก็คือ ความทุกข์จนของชาติไทยเรานี่ เริ่มต้นมาตั้งแต่ได้ยินทีแรกว่า ดอลลาร์เขาฟาดเราไปตั้ง ๕๖-๕๗ บาทต่อดอลล์ อันนี้กระเทือนใจมากเหมือนกัน โห เมืองไทยเรานี้มันไม่ได้ลด ๕๐ สตางค์ มันต่ำกว่า ๕๐ สตางค์ เมืองไทยเราไม่ได้เต็มบาท แค่ ๕๐ สตางค์ยังไม่ได้ ยังลดกว่า ๕๐ สตางค์ไปอีก อยู่ยังไงกันเมืองไทยเรา ปกครองกันยังไง เอาละนะ เริ่มแล้ว ถามลูกศิษย์ลูกหาเขาก็เอารายการที่ถูกต้อง พวกนี้จัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับการบ้านการเมืองการได้การเสียของวงเงินต่าง ๆ ที่ติดหนี้ติดสินเขาเท่าไร ๆ เขาเอามาแจงล่ะซี เรามาดูแล้วยิ่งสะเทือนใจใหญ่

คนไทยตั้ง ๖๒ ล้านคนติดหนี้เขาพะรุงพะรัง ทุกคน ๆ รวมแล้วรายละ ๕ หมื่นบาท โถ ๆ ขึ้นเลยซิที่นี่ นี่ละต้นเหตุนะ พอจากนั้นแล้วก็มีนายตำรวจเขาเอาปัจจัยมาถวาย นี่ก็ไม่พ้นที่จะได้ออกช่วยโลกช่วยสงสารเต็มกำลังของเราแล้วละ อยู่ ๆ เขาก็เอาเงิน ๒,๕๐๐ ดอลล์มาให้ต่อหน้าต่อตาตรงนี้ พอถวายแล้ว เออ เอาละที่นี่ ขึ้นแล้วนะ นี่ละเงินเป็นปฐมฤกษ์ของเรา ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะประกาศออกเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายเต็มความสามารถของเรา โดยถือเอาเงินนี้เป็นปฐมฤกษ์ จากนั้นก็ประกาศเลย ถึงได้เริ่มมา นี้ละเรื่องราวมันนะ พอออกมาก็แยกนั้นแยกนี้ ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เข้าช่องไหน ๆ มันก็กระจายออกไปเรื่อยมา จนกระทั่งถึงจะเอาเข้าคลังหลวง เวลาเข้าไปตรงนั้นก็ไปติดแจอยู่ตรงนั้น ติดประตูกันกึ๊กทางนี้ คนทั้งชาติจะนำเงินเข้าสู่คลังหลวงเข้าไม่ได้ เพราะเหตุไร ก็ซัดกันละที่นี่ นั่นเห็นไหมล่ะ มันก็เป็นจนได้อย่างนี้แหละ

ก็เมื่อเราเป็นผู้นำของชาติทั้งศาสนาอีกด้วย นำพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ นำเงินเหล่านี้ซึ่งเป็นของคู่ควรกับคลังหลวงเป็นอย่างยิ่งต่อชาติไทยของเราทั้งชาติ แล้วทำไมเข้าไม่ได้ เพราะเหตุไร ก็ไล่เบี้ยกันเข้าล่ะซี นั่นเหตุเริ่มเกิดแล้วนะ อย่างนั้นละ เราไม่ได้คิดว่ามันจะเป็น เพราะเมื่อนำสมบัติที่ล้นค่าออกมาจากหัวใจประชาชนทั้งชาติ ซึ่งหนุนเข้าไปเพื่อจะหนุนชาติของตัวเอง แล้วกลับถูกปิดตันเข้าไม่ได้ สิ่งที่ปิดตันมันคืออะไร มาจากเหตุผลกลไกอะไร ก็ไล่เบี้ยเข้าไปล่ะซี นี่ละเรื่องมัน มันถึงได้เกิดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ หลวงตาบัวกับโลก หรือว่าชาติไทยเรา เหมือนว่าเป็นข้าศึกกัน นี่โลกเขาว่านะ แต่เราไม่มี ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น เรื่องโลกเป็นอย่างนั้นหาประมาณไม่ได้ แต่เรื่องธรรมต้องตรงไปตรงมาตลอดเวลา

อย่างที่เวลานี้ก็เหมือนกัน ที่เข้าไม่ได้เพราะเหตุไร ไปคราวนี้ก็จะเอาอีกแหละ ก็อย่างนั้นแล้วจะว่าไงมันจำเป็น ก็เกี่ยวโยงมาถึงเราทั้งชาติว่างั้นเถอะนะ หนุนเข้ามาสู่จุดเดียวนี้หมด เราเป็นผู้คุมทุกสิ่งทุกอย่าง หลักความเป็นจริงเหตุผลต้นปลายอยู่กับเราหมด เขาจึงต้องมาเอาจากเรานี้ออกไป เราจึงต้องนำออกมาแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นเหตุเห็นผลแจ้งขาวดาวกระจ่างแล้วเป็นที่ลงใจกันคนเรา ถ้าตรงไหนที่มัวหมอง นั้นภัยอยู่ที่นั่น ข้าศึกศัตรูอยู่นั้น จะต้องไปแจงพินิจพิจารณาแยกกันออก นี่ละเรื่องราวมัน ถึงได้ไป ไม่ใช่อะไรนะ

เราไม่อยากทำไม่อยากยุ่ง โหย พูดไม่ถูกนะ แต่ทำไมจึงต้องเข้าไปยุ่งได้ เราไม่มีอะไรเลยกับโลกพูดจริง ๆ นะเท่าเม็ดหินเม็ดทราย เราปล่อยหมดทุกอย่างแล้ว ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรมาติดหัวใจเราเลย เหตุไรเราจึงเข้าไปแบกชาติทั้งชาติ เรียกว่าวัฏวนวัฏจักรวัฏวุ่น ทำไมเราจึงเข้าไปแบกวัฏวุ่นจนได้นี่ซิ นี่ละเหตุผลมันน่าคิดอยู่มากนะ มันจะเข้าไปแบกอย่างที่ว่านี่ละ ทางโน้นก็จ่ออยู่แล้วเวลานี้ ถามเรื่องราวกันมายุ่งตลอดเวลา เมื่อไรจะไปกรุงเทพ ๆ ไปเมื่อไรเราก็ไปเอง บทเวลาจะพูดก็ไม่ยากแหละเรา จะเป็นอะไรเสียหายอะไร ถึงกาลเวลาเราก็ไป ถ้าเป็นความเสียหายเราจะไปตามนั้นเลย นี้เรื่องอะไรก็ไม่เห็นมี ถึงเวลาก็พูดกันไว้ซี หรือจะว่าดองก็ดองไว้ เขาดองเราดองจนจะเน่าไม่เห็นเหรอ เราดองเขาบ้างจะเป็นไรวะ ว่าอย่างนี้ละ คือเขารอฟังจากเรา เหมือนกับว่าเราดองทางโน้นไว้ เรายัง�ไม่ไป ต่างคนต่างดองกันนี่นะ

นี่ละที่เราอุตส่าห์พยายามช่วยพี่น้องชาติไทยเรา โอ๋ย เต็มกำลังนะ เราไม่หวังอะไรเลย แต่เหตุใดมันถึงเป็นไปได้ขนาดนี้ มันน่าคิดอยู่มากนะ ไม่มีเจตนา เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีที่จะให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ แต่ครั้นแล้วมันก็ไปเจอกันจัง ๆ มันก็เป็นขึ้นมาจนได้โดยไม่คาดไม่ฝันอย่างนี้ละ มันก็จำเป็นต้องแก้ต้องไขต้องชะต้องล้างไปตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังที่เห็นอยู่เวลานี้

ไปคราวนี้ถ้าหากว่าพอหลอมทองคำก็จะหลอมอีก ถ้าได้ถึง ๔๐๐ กิโลก็จะหลอมเสียทีหนึ่ง คือตามธรรมดาทองคำถ้าได้ ๔๐๐ กิโลก็หลอมเสียทีหนึ่ง ๆ แล้วก็เก็บไว้ พอหลอมแล้วส่วนมากจะฝากคลังหลวงไว้ ยังไม่มอบ คือเมื่อมอบยังไม่ได้เราก็ไม่มอบจะว่าไง สมบัติของคนทั้งชาติมอบสุ่มสี่สุ่มห้าได้เหรอ เรื่องเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นควรฝากจึงต้องฝาก ฝากเพื่อมอบ หรือฝากเพื่อถอน ถอนออกมาด้วยเหตุผลกลไกอะไรจะมีเหตุผลทุกอย่างเลย เรื่องราวเป็นอย่างนั้น

เวลานี้ทองคำได้ทั้งหมดก็ ๒,๒๐๐ กว่ากิโลนะ เรียกว่า ๒ ตันกว่าแล้ว ที่ฝากไว้แล้วก็มี ที่มอบแล้วก็มี แต่ที่มอบก็ลงความเหลวไหลเสียล่ะซีถึงได้ซัดกัน ธนาคารชาติกับรัฐบาล หลวงตาบัวนี้เหมือนกับแชมเปี้ยนใหญ่ฟัดกันละนะคราวนี้ นั่นละเหตุที่จะเป็นก็เป็นอย่างนั้นจะว่าไง ไม่เป็นไม่ได้ เหตุผลมันบอกอยู่นั้น ก็ต้องได้พิจารณากัน นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนี้ นี่เขาก็บอกมาแล้วเวลานี้ บอกว่าสมบัติที่เราไปฝากแต่ถูกต้มไปนั้น เอาแฉลบไปไว้ข้างถุงใหญ่คลังหลวง ที่เราตามติดเข้าไปฟาดกันตรงนั้นแล้ว ตกลงเรียกว่าเขายอมรับนั่นเอง

ไม่ยอมรับจะชี้แจงให้เราทราบได้ยังไงว่า สมบัติเหล่านี้ที่หลวงตามุ่งหมายที่จะให้เข้าสู่คลังหลวง เราบอกจนกระทั่งกฎหมายข้อนั้น ๆ เพราะลูกศิษย์เราอยู่เต็มกรุงเทพมีแต่หัวกะทิทั้งนั้น หัวกฎหมายใช่ไหมล่ะ เอามาแจงกันพิจารณากันเรียบร้อย ลงในจุดนี้แล้ว เราก็สั่งไปตามนี้เลย ทางโน้นก็ตอบรับมาแล้วว่า ได้ลงตามจุดที่หลวงตาต้องการแล้ว คือกฎหมายข้อไหน พ.ศ.เท่าไร ๆ บอกตามนั้นเลย เขาบอกว่าลงตามนั้น ทีนี้เราก็ตอบรับไปว่าเราเพียงรับทราบ คือเรายังไม่รับรอง เพียงรับทราบ จนกระทั่งไปถึงเหตุผลต้นปลายมันทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เรื่องรับรองมันเกิดขึ้นเองไม่ยากอะไรใช่ไหม ไอ้ที่ว่ารับทราบก็คือว่ายังไม่ลงกันได้ ก็ต้องรับทราบไว้ก่อน เรื่องราวเป็นอย่างนั้นละที่จะลงไปคราวนี้ หนักอยู่มากเหมือนกันนะ มีเท่านั้นละ ไม่พูดอะไรมากวันนี้ มีแต่ให้ศีลให้พร…

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก