ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวเถอะ คนเราอยู่ด้วยกัน
วันที่ 13 ธันวาคม 2543 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวเถอะ คนเราอยู่ด้วยกัน

โฮ้ เมื่อคืนจนเป็นไข้นะ จากนี้ไปยังเป็นไข้อีก โอ๋ย หนักมาก อย่างที่ท่านสมบูรณ์ที่เป็นหมอนวดให้ท่านพูดเมื่อวาน ท่านไม่เคยพูดนี่ เราก็ไม่เคยพูดว่าเจ็บนั้นเจ็บนี้ เฉย ไม่เคย ท่านก็ฟัดเต็มเหนี่ยว ๆ ทุกทีที่เห็นสมควรว่าจะถูกตรงไหนท่านก็ซัดลงไป ๆ ไม่ได้คำนึงถึงว่าหนักว่าเบา คือมันแข็งตรงใดมันก็เจ็บตรงนั้น ท่านก็นวดลงเต็มเหนี่ยว ๆ ฟาดตามนั้น ๆ เรื่อยไป เมื่อวานนี้นวดเส้นพอปล่อยมือ ท่านว่า วันนี้รู้สึกว่าหนักมาก ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านว่านวดเส้นวันนี้รู้สึกหนักมาก เราก็เพียงฟังเฉย ๆ หลังจากนั้นมามันก็ตีพิษขึ้น เป็นไข้เลยเมื่อคืนนี้

แต่ไม่ทราบว่าวันไหนน้อยวันไหนมาก วันไหนเห็นจะสลบไปทุกวัน ขนาดนั้นนะ แบบสลบเลยนู่นน่ะ คือท่านนวดท่านนวดถูกต้องซิ ไม่ซ้ำของเก่านะ วันนี้เจ็บแบบนี้ ๆ สำคัญตรงนี้มันอยู่ในนี้ นวดทุกวันไม่ได้ซ้ำกันนะ วันหนึ่งนวดเส้นหนึ่ง ๆ แล้วเจ็บแบบหนึ่ง ๆ เมื่อวานนี้เข้าอุโมงค์ใหญ่มันเลย นี้แตะไม่ได้เลย พอแตะนี้ปล๊าบเลยแถวนี้ ขนาดนั้นมันถึงได้เป็นไข้ล่ะซิ แตะนี้ไม่ได้ อันนี้ที่หนักมากเมื่อวานนี้ ถึงขนาดที่ท่านสมบูรณ์ท่านพูดเอง ท่านไม่เคยพูดนี่นะ เราก็ไม่เคยพูด ที่ว่าเจ็บ ๆ อะไรนี้เราไม่เคยพูด หนักมากหนักน้อยท่านก็ไม่เคยพูด แต่เมื่อวานพอหยุดจับเส้นปั๊บ ว่าวันนี้หนักกว่าทุกวัน ท่านว่างั้น ท่านว่าบรรดานวดเส้นวันนี้หนักกว่าทุกวัน

ไอ้เราไม่ทราบวันไหนมันเบา ไม่เห็นมีวันเบา ฟาดลงวันไหนจะสลบทุกวัน ๆ เราก็ฟัง ทีนี้มันก็เจ็บอีกแบบหนึ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นทุกวัน ไม่นานนะพอปล่อยมือไปยังไม่ถึง ๑๕ นาที ก็มันเจ็บมาโดยลำดับตั้งแต่ขณะนวดนู่นน่ะ จนกระทั่งถึงหยุด นวดเมื่อวานนี้ตั้งชั่วโมงห้านาที เรียกว่าคลุกวงในตลอด ไม่มีระยะเลย ชั่วโมงห้านาที เอาตลอด เพราะเราก็บอกตั้งแต่ต้นแล้ว มีแขนเท่านั้น นอกนั้นพอถูไถไม่ค่อยเป็นอะไร แขนนี้ตัวสำคัญอยู่ มาตลอดเราก็บอกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถึงหนักเมื่อวานนี้

เราก็บอกด้วยว่าจุดนี้สำคัญมาก อยู่ในนี้ มันเหมือนอุโมงค์ใหญ่มันอยู่ในนี้ พอกระดุกกระดิกอะไร ๆ นี้มันจะกระเทือนภายใน ๆ นี้ทุกครั้ง ก็บอกท่านด้วยว่าแขนนี้ยังยกไม่ขึ้น มันตึงตรงนี้ นี่ที่ท่านจะเอาแรงเมื่อวานนี้ แขนนี้ยังยกไม่ขึ้น จากนั้นท่านก็หนักมือเลย เราพอใจเพราะเราเป็นผู้บอกเอง เราพอใจ คือท่านนวดถูกจุด ๆ ท่านก็นวดเต็มเหนี่ยว มิหนำซ้ำตรงไหนที่มันเจ็บมากนั่นละคือมันตึงตรงนั้น แข็งตรงนั้นมาก เรายังบอกด้วยซ้ำ เอ้อ ตรงนั้นแหละ โอ๊ย ท่านฟาดลง..พิลึกนะ พอปล่อยมือเท่านั้นเป็นไข้เลย

เดี๋ยวนี้ยังเป็นอยู่นะ มีลักษณะอะไร ๆ แขนนี้แตะไม่ได้เลยวันนี้ มันหนักขนาดนั้น ธรรมดานวดเส้นมาก็อย่างที่ท่านสมบูรณ์พูดเมื่อวาน ว่าวันนี้หนักมากว่างั้น เราตั้งแต่นวดเส้นมาก็มีเมื่อวานนี้ถึงเป็นไข้ พอดีกัน เจ็บเหล่านี้ไม่ได้เจ็บเพื่อกำเริบนะ คือเจ็บตรงไหนเจ็บเพื่อจะหาย ๆ ที่มันเจ็บมากเพราะมันตึงมากแข็งมากเลย นวดอย่างรุนแรงมันก็เจ็บมาก ทีนี้เวลาหายเจ็บนั้นแล้วอันนี้มันก็อ่อนลง ๆ เราไม่เคยเห็นมันอักเสบนะ ท่านสมบูรณ์นวดเส้นให้มานี้ไม่เคยปรากฏว่าอักเสบอะไร ๆ ไม่มี เรื่องเจ็บยอมรับว่าเจ็บตามเหตุตามผล แต่ไม่เคยกำเริบ

ถ้ารายอื่น ๆ ที่มานวดให้เรานี้ เราต้องสังเกตตลอด ถ้านวดมันมีลักษณะแปลก ๆ นิด ๆ ตรงนี้ให้ระวังเราบอกอย่างนั้นนะ คนอื่น ๆ นวดเราได้เตือนเสมอ ตรงนั้นให้ระวังเราบอก แต่สำหรับท่านสมบูรณ์นี้ไม่บอกเลย ปล่อยเลยเทียว เพราะฉะนั้นมันถึงแบบที่ว่า จะสลบไสล ถ้าธรรมดาแล้วสลบไสลไปเลย แม้ที่สุดเวลามันกระตุกมันมีปฏิกิริยามันก็มี อวัยวะบางส่วน คือเส้นบางส่วนอะไรนี้ พอกดลงไปแรง ๆ นี้มันจะกระตุกผึง ๆ เลย อันนี้เราก็บอกท่านสมบูรณ์ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ คืออันนี้มันดีดของมัน เส้นของมันดีดเอง ผมรับทราบตลอดก็บอกอย่างนี้ ท่านก็ฟาดลง..มันกระตุกของมันอย่างแรง เอา ช่างหัวมัน

คือเส้นมันไปกระทบกันยังไงไม่รู้นะ เป็นบางจุดนะ บางจุดมันจะเจ็บขนาดไหน ถึงขั้นที่โลกเขาพูดว่าจะสลบไสลมันก็เจ็บของมันธรรมดามันไม่กระตุก แต่ไปบางแห่งนี้ โอ๋ย เอาจริง ๆ นะ กระตุกปึ๋ง ๆ ในนี้ มันกระตุกของมันเอง เราก็บอกมันกระตุกของมันเอง เอ้า นวดไป ฟัดเต็มเหนี่ยว ๆ เอาจริง ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่หาย ไม่หายต้องเป็นอัมพาตแน่ ๆ เพราะมันแข็งเป็นไม้ไปหมดเลย เดี๋ยวนี้ค่อยอ่อนลง ๆ ถ้าตรงไหนมันอ่อนแล้วก็ไม่ค่อยเจ็บ ถึงนวดแรงก็รู้ว่าแรงแต่ไม่ค่อยเจ็บ จุดไหนที่มันแข็ง โฮ้ พอจ่อลงปั๊บนี้แปล๊บขึ้นเลย รับกันเลยทันที ทางนี้ก็บอกว่าตรงนั้นละ ให้ฟาดไปเลย เอาหนักว่ะ

ที่เป็นเหล่านี้บอกใครไม่ได้นะ แล้วใครก็นวดไม่ได้อย่างที่ว่านี่นะ คือรับนวด รับทนไม่ได้ว่างั้นเถอะ รู้ได้เฉพาะเท่านั้นเอง อย่างเราแย็บออกไปถาม เป็นยังไงท่านเพ็งนวดขนาดนี้ โอ๊ย ตายเลย ท่านสมบูรณ์พูดแบบโผงผางออกมา โอ๊ย ตายเลย ยังไม่ถึงครึ่งร้องจ้าก ๆ แล้ว ท่านบอกว่ายังไม่ถึงครึ่งร้องจ้าก ๆ ขนาดนี้ตายเลย ท่านเพ็ง วัดถ้ำกลองเพล คือท่านเอาเต็มเหนี่ยวจริง ๆ เราก็ปล่อยเต็มที่เลย จึงว่านวดแบบนี้มันนวดอริยสัจ เข้าใจไหม

ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริง ไม่เคยเป็นภัยเป็นคุณต่อผู้ใด เป็นของจริงล้วน ๆ กายก็เป็นของจริง กายก็ไม่รู้ว่าทุกข์มาเป็นภัยต่อตัวเอง ตัวเองเป็นภัยต่อทุกข์ เป็นปฏิกิริยาต่อกันไม่มี จึงเรียกว่าต่างอันต่างจริง กายก็มีอยู่งั้น เอาไปเผาไฟจนเป็นเถ้าเป็นถ่านเขาก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนอะไร ทุกข์แสดงขึ้นเป็นฟืนเป็นไฟ เหมือนอย่างไฟเขาก็ไม่รู้ว่าเขาร้อน เขาแสดงเปลวอย่างไรบ้าง เป็นความจริงของเขาอันหนึ่ง ๆ ผู้ที่รับทราบ ผู้ที่ยืนดู ถ้ายืนดูอย่างเราแล้วเข้าไปคลุกเคล้าเหยียบทั้งกองไฟเข้าไปด้วยแล้วเผาหมดทั้งตัว ถ้ายืนอยู่ตามหลักความจริงเช่นเดียวกันก็ไม่มีอะไร

คือจิตก็จริง ต่างอันต่างจริงอะไรจะมากระทบกัน ก็ต่างอันต่างจริงอยู่อย่างนั้น นี่เรียกว่าอริยสัจ ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริง สมุทัย อริยสจฺจํ สมุทัยก็เหมือนกัน เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นอารมณ์ที่รุมล้อมอยู่ที่จิต ผลักดันจิต กดจิตอยู่ตลอดเวลา มันไม่มีเจตนาว่ามันผลักดัน จึงเรียกว่าเป็นของจริงอันหนึ่ง เรียนให้ถึงแล้วมันก็รู้กันหมด เมื่อต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างพรากกันเลยไม่ยุ่งกัน

เราถึงได้พูดถึงเรื่องที่เราจับมันได้มั่นคงเท่านั้นไม่มีถอนเลย นั่นละของจริงถ้าลงได้ถึงใจแล้วไม่ถอน ตอนนั่งตลอดรุ่งที่ว่าอยู่วัดนามน ปีพรรษา ๑๐ เราลืมเมื่อไร นั่นเป็นพรรษาที่หักโหมมากที่สุดในความเพียรของเรา เรียกว่าเป็นนักบวชนักปฏิบัติมา แม้จะเลยไปจาก ๑๐ พรรษาแล้วก็ตาม มันก็มียิ่งมีหย่อนไม่เสมอกันถึงเรื่องความทุกข์ในร่างกายและจิตใจ ปีนั้นปีหนักมากทีเดียว คือร่างกายนี้ก็เหมือนเราเอาฟืนมากองไว้นี้ ทุกขเวทนาเหมือนไฟจ่อเข้าไป ลุกเหมือนเปลวมันจรดเมฆนู่น ทุกขเวทนาเผาร่างกาย นี่ละที่ว่าทุกข์มากที่สุด

ทีนี้เมื่อถึงขนาดนั้นแล้วจะทำไง จิตจะทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้นะ ไม่เรียกว่ามรรคสัจ มรรคสัจต้องเป็นความจริงอันหนึ่งของมรรค ของสติ ของปัญญา พิจารณากัน จนกระทั่งแก้กันตกแล้วนี้ สำหรับเราเอง นี่ก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ภาคปฏิบัติที่เอามรรคเอาผลจากพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ที่เรียกว่าท้าทายมาตั้งแต่วันตรัสรู้ทีแรกจนกระทั่งวันปรินิพพานและตลอดไปอีก เป็นของจริงมาตลอด มันมาปรากฏขึ้นที่นี่ ใครจะรู้จะเห็นได้ยังไง เวลาเห็นมันกระเทือนถึงกันหมด

ทุกข์ถึงขนาดที่ว่า หือ นี่เวลาจะตายมันจะเอาทุกขเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ ที่จะให้เราหลง นั่นน่ะเห็นไหม คือขนาดตายมันก็ตายเฉย ๆ ตายต่างอันต่างจริงไปเลย ไม่มีใครกระทบใคร จึงเรียกว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ สมุทัย อริยสจฺจํ มคฺค อริยสจฺจํ มรรคสติปัญญาก็เป็นความจริงถึงกันแล้ว ต่างอันต่างจริง นิโรธก็คือความดับทุกข์ มันก็ดับของมันไปเอง ต่างอันต่างจริง

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนี้นะ กิเลสมันก็สด ๆ ร้อน ๆ หลอกอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันอิ่มพอ เพราะฉะนั้นสัตวโลกถึงหลงตลอดเลย เวลาเข้าถึงกันจริง ๆ เป็นอย่างนั้น จนถึงขนาดอุทานออกมา เอ้อ เวลาจะตายมันจะเอาทุกขเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราให้หลงว่ะ นั่นฟังซิน่ะ ก็ทุกขเวทนาหน้านี้แหละ ถึงขั้นตายก็หน้านี้เองไม่เป็นหน้าอื่นมาจากไหน มันถึงกันแล้วนี่ ตายก็ตายไปเลย ต่างอันต่างจริงไปเลยไม่มีอะไรกระทบกัน นั่นละอริยสัจจะ ที่ว่าถอนสมุทัยได้โดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ นี่ละ มคฺค อริยสจฺจํ

เวลาทุกขเวทนาหนักมาก สติปัญญาจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้นะ สติปัญญาทำงานหมุนติ้ว ๆ แยกแยะเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องทุกข์ เรื่องกาย เรื่องจิต แยกกัน ๆ ๆ ตลบทบทวน ยิ่งทุกข์มากเท่าไรสติปัญญานี้จะอยู่ไม่ได้นะ หมุนติ้ว ๆ ถ้าพูดสรุปความก็เรียกว่า เพื่อหาทางออก เวลานี้ถูกกักถูกขังแล้วด้วยทุกข์อย่างหนัก จะแก้กันวิธีไหน สติปัญญามันออก แล้วเบิกกว้างออก ๆ ฟาดแยกออกไปเลยว่า ต่างอันต่างจริง ๆ พุ่งเลย นั่น ทุกข์หายหน้าไปเลย นั่นเห็นไหม ต่อหน้าต่อตานี้ ที่กำลังจะเป็นจะตายอยู่ในขณะนั้น เวลาพิจารณารอบแล้วนี้ดับพึบเลย ทุกขเวทนาไม่มีอะไรเหลือ

แต่สำหรับเราเป็นสองอย่างเราก็บอกตรง ๆ มันเป็นยังไงก็พูดได้เต็มหัวใจล่ะซิ เต็มปาก เวลามันถึงกันมันรอบกันจริง ๆ แล้วทุกขเวทนานี้ดับพึบหมดเลย กายพึบดับ จิตเราจะพูดว่ารู้ธรรมดานี้ไม่ได้นะ คือสักแต่ว่าปรากฏ คือปรากฏไม่ใช่สักแต่ว่าที่ว่าไม่มีค่านะ สักแต่ว่าอันนี้คือสักแต่ว่าปรากฏ แต่ปรากฏนั้นเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์เหนือทุกสิ่งแล้ว นั่นจิตตายไหมล่ะ เห็นไหมล่ะ อันใดตาย แยกกัน ต่างอันต่างจริงทุกสิ่งทุกอย่าง จิตก็จริงของจิตนี้เด่น แต่จะพูดว่าเด่น ๆ นี้ไม่ได้นะ มันหากพอดีอยู่กับผู้รู้นั้นแหละ เวลาพูดออกมามันผิดมันพลาดนะ ได้แต่ว่าสักแต่ว่าปรากฏ คือความปรากฏนั้นเป็นความอัศจรรย์ อยู่ในวงอริยสัจอยู่นั้นตรงนั้น มันชัดขนาดนั้น

ทีนี้เมื่อเวลาได้หลักได้เกณฑ์มันกล้าหาญชาญชัยซิ จึงได้เคยพูดให้ฟัง ขึ้นไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ก็ธรรมดาลูกศิษย์ไปหาครูบาอาจารย์ ความเคารพเลื่อมใสกิริยามารยาททุกอย่างต้องเหมือนผ้าพับไว้ด้วยกันหมดนั่นแหละ แต่เวลาเราขึ้นไปหลังจากที่ฟัดกันเต็มเหนี่ยวได้หลักได้เกณฑ์มาเต็มที่แล้ว ขึ้นไปคราวนี้ถือครูบาอาจารย์เป็นคู่ต่อสู้เลย ฟัดกันเลย เห็นไหมล่ะ คือความรู้ความเห็นมันอาจหาญ เราไม่เคยรู้เคยเห็น เวลามันเป็นขึ้นมานี้ผึง ๆ ขึ้นไปกราบปั๊บแล้วก็เล่าเลยทีเดียว ผาง ๆ พุ่ง ๆ พุ่งเลย ท่านก็นิ่งฟังเฉย แต่ท่านฟังทุกกิทุกกีนะ กิริยาของการดำเนินผิดพลาดประการใด ท่านคอยจับตลอดเวลา

เราก็พูดเต็มเหนี่ยวของเราที่พูด จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายว่าดับพึบไปด้วยกันหมด มันลงถึงจุดนั้น มันไปยังไงมันถึงลงจุดนั้น ก็บอกไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเมื่อมันรอบแล้ว ๆ มันก็ลงผึงเลยเทียว ทุกขเวทนาดับหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ร่างกายดับจากความรู้สึกทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือ จิตจะว่าดับนี้มันพูดไม่ได้ ที่ว่าสักแต่ว่าปรากฏ อันนั้นละนะที่แปลกต่างอยู่ในวงอริยสัจที่เป็นของจริงทุกสัดทุกส่วน ธรรมชาติอันนี้จิตอันนี้ที่สักแต่ว่าปรากฏ แต่ปรากฏด้วยความอัศจรรย์นะ มันเด่นอยู่ตรงนั้น

เวลาเล่าถวายท่าน โอ๋ย เอาอย่างขึงขังตึงตัง ท่านไม่เคยเห็นนี่ กิริยาอย่างนั้นไม่เคยมี ก็เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยเป็น ก็อยากจะเล่าถวายครูบาอาจารย์ เมื่อผิดพลาดประการใดท่านจะได้แก้ไขหรือดัดแปลง ฟาดให้เต็มเหนี่ยวว่างั้นเถอะ เราต้องการเต็มเหนี่ยวแล้ววันนั้น พอพูดจบลงเราก็หมอบฟัง ท่านก็ขึ้นละที่นี่นะ พอเราเงียบไปแล้ว เรียกว่าหมดฝีมือแล้ว หมอบอยู่มุมเวทีว่างั้นเถอะ คอยฟัง ท่านก็ขึ้นเปรี้ยง ๆ เลย มันต้องอย่างนี้ เอาละ ที่นี่ขึ้นเลยนะ โอ๋ย เสียงท่านลั่นเลยนะ เอาละที่นี่ได้หลัก เอาละอย่าถอยนะ อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนแหละ มันตายเพียงหนเดียวเท่านั้น เอาลงไปเลยที่นี่ อย่าถอย ได้หลักแล้ว

โอ๊ย ทางนี้ก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง ทั้งจะกัดทั้งจะเห่า เห็นใบไม้ร่วง ใบไม้แก่ใบไม้อ่อน เห่าทั้งนั้นกัดทั้งนั้น เรียกว่าได้กำลังใจ ถูกต้องแล้วที่เราดำเนินนี้ มีแต่จะพุ่งเท่านั้น นั่น ขึ้นไปวันหลังท่านก็แย็บเหมือนกันนี่นะ ทางนี้ก็ขึ้นผึง ๆ ขึ้นคนละแบบนะ แล้วแต่มันจะรู้จะเห็นยังไงมันจะขึ้นขึ้นมาของมันเอง เพราะความรู้ในหลักธรรมชาติ ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนจากใคร แต่เป็นของที่แน่ แน่ตลอด มีแต่ อ๋อ ๆ เรื่อยไปเลย นี่ละของจริงที่เห็นแล้วเป็นอย่างนี้นะ

ที่เราได้ยินได้ฟังจากนั้นจากนี้ ฟังมาเท่าไรก็ตามเถอะ มันก็มีความสงสัยอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งเราไปเจอจริง ๆ แล้วหายสงสัยทันที ไม่ว่าจะไปเห็นด้วยตาของเรา ได้ยินด้วยหูของเราแล้วหายสงสัย เพียงคนเล่าให้ฟังเฉย ๆ ไม่หาย เราไปเห็นด้วยตาของเรา ได้ไปฟังด้วยหูของเรานี้ หายสงสัยทันที นี่คือความจริง ไปเจอด้วยตัวเองนี้ อ๋อ ๆ ขึ้นเลยทันที จากนั้นแล้วทีนี้ก็ได้หลัก

นี้พูดถึงเรื่องว่าจิตที่เรียนอริยสัจจบของมัน เรียกว่าต่างอันต่างจริงไม่มีอะไรกระทบกัน ตายเวลานั้นก็ไม่มีอะไรกระทบ เพราะต่างอันต่างจริง เราเป็นสองอย่างก็บอกว่าสองอย่าง ส่วนมากเราจะไม่ค่อยเหมือนใครนะแปลก ๆ อยู่ เราพูดให้ฟังอย่างนี้นะ เวลาปฏิบัติจิตลงมันก็ไม่เหมือนใคร ท่านก็บอกว่าอุภโต ๆ เป็นสองภาคอะไร ท่านว่าไปกลาง ๆ นะ เราก็จับออกมาไม่ได้เมื่อไม่ปรากฏในเรา แต่พอมาปรากฏในเราแล้ว อ๋อ เป็นอย่างนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ เวลาจะลงมันผึงเลยอย่างนี้ก็มี ใครจะคาดจะหมายไม่ได้นะ ต้องเป็นหลักความจริงแสดงตัวเอง

ทีนี้เวลามันจะไม่เป็นอย่างนั้น มันก็รอบเข้า ๆ พิจารณารอบหมด ทีนี้รอบหมดแล้วก็ต่างอันต่างจริง ทุกขเวทนาก็มีอยู่อย่างนั้น กายก็มีอยู่อย่างนั้น จิตก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ไม่กระทบกัน เป็นแต่เพียงว่า กายและเวทนาไม่ดับ รู้อยู่แต่ไม่กระทบกัน จิตก็รู้อยู่อย่างนั้นไม่กระทบกัน อันนี้ตายก็ตายไปด้วยกันเลยไม่มีอะไรกระทบกัน เหมือนอย่างที่ว่าดับหมดนั่นแหละ มันเป็นสองภาคนะเรา ทีนี้เมื่อมันเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็หยุดของมัน รอบของมันตลอด จนกระทั่งถึงวาระที่มันจะค่อยขยับขยายออกมาที่นี่ มันก็รับทราบ เรียกว่าจิตถอยออกมา สำหรับเราเป็นสองอย่างนะ

เป็นทางภาคสมาธินี้ก็ลงแบบหนึ่ง ผึงเลยทันที แบบไม่ได้ตั้งเนื้อตั้งตัว ผึงเลย แบบหนึ่งรอบเข้ามา ๆ รอบเข้ามาเป็นเกาะ จิตดวงนี้เป็นเกาะ สิ่งเหล่านั้นเป็นของจริง ๆ จิตดวงนี้ก็เป็นของจริงในส่วนจิต นั่นเป็นอย่างนี้นะ แล้วก็ไม่กระทบกัน หากไม่ดับทุกขเวทนาไม่ดับ เป็นแต่เพียงว่าไม่กระทบกัน ส่วนได้เสียกันไม่มี นี่ละผลของมันก็คือว่าไม่กระทบกัน เป็นของจริงด้วยกัน สิ่งเหล่านั้นจะดับหรือไม่ดับก็เป็นของจริงของมัน มันเห็นอย่างนั้นแล้วจะให้พูดว่ายังไง

คิดดูซิขึ้นไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น โหย เป็นเหมือนแชมเปี้ยนฟาดกันเต็มเหนี่ยวเลย ท่านคงว่า โอ๊ บ้าตัวนี้ ท่านคงคิดอย่างนั้น บ้าตัวนี้รู้แล้วที่นี่นะ บ้ามันขึ้นแล้วคงว่างั้น ขึ้นจริง ๆ นี่นะ ผึง ๆ ๆ เลย นั่นเห็นไหมความรู้ภายในใจถามใครเมื่อไรวะ นี่ละเรียกว่าของจริงที่เห็นด้วยตัวเองเป็น สนฺทิฏฺฐิโก สนฺทิฏฺฐิโก ประจักษ์ตัวเอง ๆ ไม่ต้องไปถามใคร การเดินการรู้ รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ ๆ แต่ส่วนที่แยกไปทางถูกทางผิดประการใดบ้าง ต้องอาศัยครูอาจารย์อีกทีหนึ่ง ที่เราเล่าถวายท่านเพื่อท่านจะได้แนะ มันแยกไปตรงไหนที่มันผิด ที่เราไม่รู้ ท่านรู้นี่ คอยฟังตรงไหนมันผิดพลาดไปตรงไหน ไม่ถูกต้องตามหลักความจริง ท่านก็แนะ ๆ พอแนะปั๊บจับปุ๊บ ๆ เลยนะ เพราะมันตั้งใจจริง ๆ เรื่องความจริงที่ท่านจะอธิบายออกมา

เพราะฉะนั้นจึงว่า พอกราบเรียนท่านจบลงไปแล้ว เรียกว่าไปหมอบอยู่มุมเวที คอยฟังเสียงท่านดู ท่านออกเวทีแล้วเปรี้ยง ๆ ทางนี้ก็หมอบฟัง เป็นอย่างนั้นนะ โถ มันอาจหาญจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา นี่พูดเรื่องทุกขสัจ ที่มาพูดเหล่านี้นะ เรื่องทุกขสัจที่มาพูดเหล่านี้ มันก็พวกเดียวกัน แต่นี้มันไม่ได้เป็นวงสมาธิ ไม่เป็นวงรบรากัน มันอยู่ธรรมดา อะไรเกิดขึ้นมาก็ธรรมดาเหมือนกันไปเสีย ทุกข์ขนาดไหนก็ธรรมดาของความจริงอันนั้น มันก็รู้ของมันอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีท่าต่อสู้รบกันเหมือนเวลาเราพิจารณาภาวนา อันนั้นต้องฟัดเต็มเหนี่ยวนะ สติปัญญานอนใจไม่ได้เลย หมุนติ้ว ๆ จนกระทั่งมีช่องออก เบิกกว้าง ๆ ผึงออกได้เลย นั่นสติปัญญา จะไปทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ไม่ถูก ไม่ใช่มรรคทนอยู่เฉย ๆ ต้องทนด้วยสติปัญญา ฟัดกันเหมือนนักมวยต่อสู้กันคลุกวงใน ต่างคนต่างฟัดกัน ใครจะไปนอนให้คู่ต่อสู้ต่อยอยู่เฉย ๆ ไม่มีนะ อันนี้ก็เหมือนกัน

ทีนี้เวลาพิจารณาอย่างที่ว่า นวดส้งนวดเส้นอะไรนี้ พูดอะไรก็พูดไม่ถูกนะ คือความรู้อันนี้ก็ไม่เหมือนความรู้ทั้งหลายด้วย มันก็รู้อยู่จำเพาะเจ้าของ ไม่สงสัย ๆ แต่จะพูดให้ใครฟังก็ไม่ได้อีกแหละ พูดได้เพียงเท่านั้นแหละ เอาตายเข้าว่าเลย บอกเอาตายเข้าว่าเลย เข้าใจไหมล่ะ พูดให้ใครฟังไม่ได้ มันเป็นของจริง นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ นะ พี่น้องทั้งหลายให้จำเอา

โห เวลานี้กิเลสมันทับถมจนไม่มองเห็นอรรถเห็นธรรมเลย ธรรมกลายเป็นเศษเป็นเดนไปหมด กิเลสเป็นทองคำทั้งแท่งเหยียบย่ำทำลาย มองไปที่ไหนจนจะมองไม่ได้นะ พูดจริง ๆ ใครจะว่าเราเป็นบ้าก็ตาม ก็เราไม่เป็นบ้า ก็โลกมันเป็นบ้ากิเลสกันทั้งหมดจะให้เราพูดว่ายังไงถ้าไม่พูดว่าอย่างนั้น อย่างนี้มันถนัดดี มันเห็นอย่างนั้นมันรู้อย่างนั้นจะให้ไปรู้ไปเห็นยังไงไปพูดยังไงอีก ก็ต้องพูดตามหลักความจริงตามที่รู้ที่เห็นมาล่ะซี มองดูโลกนี้แหม เวลานี้นะ ชาวพุทธของเรานี้แหละจนอ่อนใจจริง ๆ นะเรา โห มันยังไงกัน เห็นขี้หมูราขี้หมาแห้งเป็นทองทั้งแท่ง ๆ ไปหมดเลย ทองทั้งแท่งเห็นเป็นเศษเป็นเดนไปแล้ว ถึงขนาดนั้นนะอำนาจของกิเลสเวลามีกำลังมาก มันทับหัวใจจนไม่มีอะไรที่เป็นสาระอยู่ภายในจิตนั้นว่ามีสาระบ้างเลยนะ มีแต่อันนี้ดีดดิ้นกัน โฮ้ พิลึกพิลั่น

ใครเทศน์อย่างนี้ ฟังซิน่ะ เทศน์อย่างหลวงตาบัวมีใครพูดใครเทศน์อย่างนี้มีไหมล่ะ พูดให้มันยันก็ว่า หนึ่ง อาจไม่รู้ก็ได้ นั่น เมื่อไม่รู้แล้วเอาอะไรมาเทศน์ ว่าอย่างนั้นก็ได้ ที่พูดนี้พูดออกมาจากความรู้นี่นะ รับกันไหมล่ะ ไม่ได้พูดออกมาจากงมงายนี่นะ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไม่อาจหาญได้ยังไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียวผางทันทีทั่วแดนโลกธาตุ ใครมาค้านพระพุทธเจ้าได้มีไหม นั่นละความรู้เพียงอันเดียวเท่านั้น เหมือนกับธนบัตรจริงนี้ เพียงใบเดียวเท่านั้นชนะธนบัตรปลอมเป็นล้าน ๆ ๆ ได้หมดเลย พิจารณาซิ ธนบัตรปลอมมันมีกี่ล้าน ๆ ๆ ไม่มีความหมาย ธนบัตรจริงขึ้นใบเดียวเท่านั้นชนะหมด นั่น นี่ของจริงธรรมพระพุทธเจ้าขึ้นอันเดียวเท่านั้น ตรัสรู้ขึ้นเพียงพระองค์เดียว ชนะกิเลสซึ่งเป็นของปลอมทั่วแดนโลกธาตุหมด เป็นอย่างนั้นนะ

นี่ก็พยายามสอนโลกสอนสงสาร ไม่ได้มากก็ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวเถอะ คนเราอยู่ด้วยกันนะ อย่าเอาแต่กิเลสไปเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน ด้วยอำนาจวาสนาของตัวเอง ว่าดิบว่าดีว่าเก่งว่ากล้าสามารถ นี้มันเก่งด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้กันทั้งเขาทั้งเรา ไม่มีใครดีนะ ผู้ที่ว่าอำนาจวาสนามาก เก่งกล้าทุกสิ่งทุกอย่างในความสำคัญของตน นั้นคือไฟทั้งกอง ๆ มันไม่รู้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงเตือนให้รู้ ให้รู้เสียว่าเหล่านี้เป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าสงบอันนี้ลงได้แล้วโลกก็จะเริ่มร่มเย็นทั้งเขาทั้งเรา ส่วนกว้างส่วนแคบนี้จะสงบร่มเย็นไปตาม ๆ กัน เพราะต่างคนต่างยอมรับความจริง ผิดถูกประการใดแก้ไขเข้าหากัน ฝ่ายผิด-ผิดมากผิดน้อยก็แก้เข้าไปหาส่วนรวมหรือส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นความถูกต้องดีงามอยู่แล้ว ให้กลมกลืนกันเข้าไปได้ บ้านเมืองเราก็จะสงบร่มเย็น

แต่ถ้าลงเอาฟืนเอาไฟไปจ่อเรื่อย ๆ นี้ จะสร้างมากี่ตึกกี่ร้านก็ตามเถอะ ไม้ขีดไฟก้านเดียวเผาได้หมดเลย อำนาจของกิเลสมันรุนแรงขนาดนั้น ถ้าเรายังเห็นว่ามันเป็นของดิบของดี นี้ละจะเป็นเครื่องจะเผาโลกของเรา เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยของเรานี้จะจมได้เป็นฟืนเป็นไฟได้ มันเผากันได้ระหว่างกิเลสกับธรรม เมื่อทนไม่ไหวมันก็ต่อสู้กันล่ะซิ กิเลสก็ว่าตัวเก่ง ๆ เก่งไม่มองหน้ามองหลัง เก่งเหมือนว่าไม่มีใครเป็นคู่แข่ง ไม่มีใครเป็นเครื่องต้านทาน บทเวลามีมันก็เป็นข้าศึกขึ้นแล้วนั่น พอว่ามีนี่รับกันแล้วนะนั่น รบกันแล้ว นั่นเห็นไหม

จะว่ามีแต่หมัดเราหรือ หมัดเขาก็มีเหมือนกันนี่ คู่ต่อสู้ไม่มีหมัดต่อสู้กันหาอะไร คู่ต่อสู้ต้องมีหมัดลวดลายเต็มตัวของทุกคน คนดีคนชั่วมีลวดลายเหมือนกัน เราอย่าเข้าใจว่าคนชั่วจะมีลวดลายเหนือโลกอย่างเดียว คนชั่วที่ไปกองอยู่ในเรือนจำนั้นเป็นยังไงเห็นไหม เวลาเขาจับได้มันมีลวดลายไหม นักโทษในเรือนจำนั่นเวลาเขาจับได้มันมีลวดลายไหม ใครเป็นคนจับเขาล่ะ ก็คนดีนั่นเองจับ จะเป็นใครไป คนดีก็มีสติมีปัญญามีหัวใจเหมือนกันกับคนชั่วนี่นะ เพราะฉะนั้นจึงให้พยายามปรองดองกันทุกอย่าง ความรู้ความเห็นอย่าให้ขัดให้แย้งกัน ซึ่งเป็นทางแห่งความแตกร้าวและความทำลายชาติไทยของเรา ขอให้กลมกลืนซึ่งกันและกัน อย่าเอามาใช้ในสิ่งที่เป็นภัยต่อส่วนรวม ทั้ง ๆ ที่มันไม่ดีอยู่แล้วเป็นฟืนเป็นไฟแล้วให้รีบแก้ไขดัดแปลง อันนี้เป็นความถูกต้องของธรรม

เราจึงได้ประกาศสอนพี่น้องทั้งหลายตลอดมา เอาธรรมมาสอนไม่เป็นอื่น ถ้าต่างคนต่างปรับปรุงความเข้าใจในแง่ผิดตรงไหนให้เข้าสู่ความถูกต้อง แล้วส่วนรวมก็จะค่อยสงบร่มเย็น ๆ เมืองไทยเราก็สมชื่อสมนามว่าเป็นเมืองพุทธ เป็นเมืองสงบร่มเย็นมานมนานและสืบความสงบร่มเย็นไปได้ด้วยความเป็นชาวพุทธ อย่าเอาชาวผีชาวเปรตชาวมารเข้ามาทำลาย ชาติไทยของเราจะล่มจมไปได้ไม่สงสัย ถ้าต่างคนต่างฝืนต่างคนต่างอวดดิบอวดดีด้วยความชั่วของตัวเองแล้ว นี้ละคือกองไฟ จะเผาบ้านเผาเมืองเผาทั้งตัวของเราเป็นอันดับหนึ่งด้วยนะ เราอย่าเข้าใจว่าเราจะไปเผาบ้านแล้วบ้านพินาศ เรายังอยู่นะ บ้านพินาศเราฉิบหายไปด้วยกัน ไม่มีอะไรดีกว่ากันละ

สิ่งที่ดีก็คือว่าให้ต่างคนต่างปรับปรุงแก้ไข อันใดไม่ดีให้รีบแก้ไขตั้งแต่บัดนี้ กฎหมายบ้านเมืองก็มีศีลธรรมก็มี มีมาเพื่อรักษาความสงบร่มเย็น ไม่ใช่มีมาเพื่อเอาไฟเผาโลกนะ ให้ต่างคนต่างนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จึงสมชื่อสมนามว่ากฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรมประจำชาวมนุษย์เรา แล้วจะมีขอบเขตทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย อยู่ด้วยกันผาสุกเย็นใจทุกคน วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละนะ ว่าจะไม่พูดมาก มันก็มากอยู่นั่นแหละ ไม่รู้อะไรวันนี้ประมาณสักกี่นาที ตอนแรกยัง ๒๕ (๒๕ นาทีครับ)คงจะได้ ๒๕ มันอยู่ในเขตนั้น พอเทศน์ไป ๆ มันจะเตือน ถ้าเร่งแล้วลมมันจะออกแล้วมันกระแทก สักเดี๋ยวก็เตือนยุบยิบ ๆ หยุด อย่างงั้นละ

วันนี้แกงหม้อเล็ก ๆ กินเฉพาะพวกเราศาลา พวกนอกจากนี้อย่าให้กิน ให้กินแต่พวกเราที่ศาลานี่ แกงหม้อเล็ก แกงเอาะ ๆ กินสบาย ๆ พวกนั้นไม่ให้กิน คือที่ว่าไม่ให้กินนี่คือว่า นี่มันจะออกทั่วประเทศไทย อยู่ข้างบนนั้น ว่าไม่ให้พวกนี้กิน เขาก็ได้ยิน เราไม่ให้เขากินเขาก็ได้ยิน นี่เขาหัวเราะ กินจนท้องป่อง มาหาพูดยังไงว่าไม่ให้กินยังไงเขาก็จะว่า เขาจะแหย่เราอีกนะ เอ้า กินก็กินเสียสู ถ้าสูขโมยกินได้กินเถอะ ว่าไปอย่างงั้นเสีย กินอรรถกินธรรมไม่เป็นไรแหละ

เป็นยังไงภาวนา เดี๋ยวนี้เป็นยังไงภาวนา

ดีมากแล้วก็แย่มาก

ดีมากแล้วแย่มาก มันยังไงเป็นยังงั้น เหอ ทำไมเป็นยังงั้น แล้วดีมาก แล้วแย่มาก โอ๋ย ฟังไม่ได้เลยนะ ว่าดีมากเราก็เตรียมจะให้เครื่องฉลองดีมาก พอว่าแย่มากทีนี้ถอยกรูดทันทีเลย ทำไมเป็นอย่างงั้น ให้พยายามทำ อย่าไปคิดไปคาดในสิ่งที่ท่านห้ามแล้ว เป็นภัย ๆ ให้พยายามอยู่ในวงปลอดภัยเข้าใจไหมล่ะ ให้อยู่ในวงนี้ ถึงจะพลั้งจะเผลอบ้างก็ตาม คำว่าเผลอคือสติเผลอจากพุทโธ จากคำภาวนา ถึงจะพลั้งจะเผลอบ้าง ก็ให้ป้วนเปี้ยน ๆ อยู่ในขอบนี้อย่าให้มันออกเตลิดเปิดเปิง พอเผลอออก ออกไปใหญ่นั้นเสียเลย ไม่ให้ออก พอจับได้ปั๊บไล่เข้าวงคอก เข้าวงรั้วให้อยู่นั้น แล้วต่อไปความรู้นี้เมื่อได้รับการสั่งสมเข้ามาก คำว่าพุทโธคือความรู้นี้กลมกลืน คำว่าพุทโธนี่ คือคำพูดในนามของความรู้ คำว่าพุทโธกับความรู้นี้ให้กลมกลืนอยู่ด้วยกัน ต่อไปเราก็สั่งสมกำลัง คือความรู้จะค่อยเด่นขึ้น ๆ

เมื่อความรู้เด่นขึ้น ความวุ่นวายทั้งหลายที่คอยหนุนออกไป จะค่อยสงบตัวลง ๆ ทางนี้พยายามเด่นขึ้น ๆ พอทางนี้ได้หลักได้เกณฑ์พออยู่พออาศัยได้แล้ว สิ่งรบกวนทั้งหลายจะจางไป ๆ ทีนี้ก็อยู่กับอันนี้เลยสบาย เพราะฉะนั้นจึงต้องสอนในจุดนี้ให้ตั้งหลักให้ได้ ถ้าตั้งหลักจุดที่ความรู้นี้ไม่ได้แล้ว มันจะไปทุกแห่งทุกหนในบรรดาที่จะทำความเสียหายแก่เรา มันจะไปได้ทุกซอกทุกมุมเลยนะ กิเลสนี้ซอกแซกมากทีเดียว ก็ฟังซิหลวงตาเคยพูดให้ฟัง เวลามันวุ่นวายนี้จนกระทั่งตั้งสติไม่อยู่ ก็เอามาพูดให้ลูกศิษย์ฟัง จิตดวงนี้นะ เวลาไปตั้งสติจะฟัดกันเอาอย่างเต็มเหนี่ยว ขึ้นไปมันฟัดเรา ๆ ไม่มีสติพอที่จะตั้งตัวได้เลย พอตั้งพับล้มผล็อย ๆ ตั้งเพื่อล้ม ๆ ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ มันเห็นประจักษ์ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นมันถึงเคียดแค้นล่ะซี ถึงขนาดที่ว่าน้ำตาร่วงบนภูเขา โถ ลืมเมื่อไร ทุกวันนี้ยังสด ๆ ร้อน ๆ นะ น้ำตาร่วงบนภูเขา

คือเราจะฟัดมันเต็มเหนี่ยว บทเวลามันฟาดเรามันเลยเหนี่ยวไปแล้วนั่น หงายหมา ๆ ไม่มีทางต่อสู้ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ ตั้งสติมันตั้งยังไง ว่าความเพียรมันเพียรยังไง มันมีแต่ตั้งพับล้มผล็อย ๆ ไอ้เรื่องปัญญาอย่านำมาใช้เป็นอันขาด คือเป็นสัญญาทันทีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ถ้าลงสติตั้งไม่อยู่สัญญาต้องเป็นกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ พุ่งออกเลย เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปหมดเลย ถ้าสติตั้งไม่ได้แล้วอย่าไปใช้ปัญญา ไม่มีความหมายว่างั้นนะ นี่เราเคยมาหมดแล้ว ที่พูดนี้พูดอย่างอาจหาญชาญชัย เวลากิเลสมันเชี่ยวจัด เชี่ยวขนาดนี้ละนะ จนตั้งสติไม่ได้ เราไปเอาอีก เอาเต็มเหนี่ยวกลับมาอีก ฟัดอีก หงายอีก เอา เอาอีก กูไม่ถอยละ

ไปอีก ๆ ๆ ที่ไหน ไปหาพ่อแม่ครูจารย์นั้นแหละจะไปไหน ท่านอบรมให้เต็มเหนี่ยว ทางนี้พอฟิตพอได้กำลังบ้างแล้ว กลับไปอีกซัดกันอีก จึงได้มาถึงวาระนี้ ถึงวาระขึ้นฟัดกันกับท่านเหมือนแชมเปี้ยนต่อยกัน เห็นไหมล่ะ เคยพูดอะไรกิริยาอย่างนี้ ไม่เคยใช้ออกมากับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ด้วยอำนาจแห่งธรรมนี้เต็มหัวใจแล้ว โอ๋ย มันเป็นเองนะ ผึง ๆๆ เลย ท่านคงจะนึกว่า นี่บ้ามันขึ้นแล้ว มันรู้แล้ว บ้ามันขึ้นแล้ว จากนั้นมาแล้วทีนี้ความเคียดแค้นที่ได้น้ำตาร่วงบนภูเขามาประมวลในนี้หมดนะ ประมวลในความพยายาม ๆ จนกระทั่งได้ผลขึ้นมาเป็นที่พอใจ ฟัดกับกิเลส ความทุกข์ความทรมานทั้งหลายกลายเป็นความจริงล้วน ๆ รอบตัวแล้วทีนี้ผึงเลย นั่น มันก็ยิ่งหนักเลยที่นี่

ความเคียดแค้นนี่ เรียกว่าเป็นความเคียดแค้นทางฝ่ายมรรคเป็นธรรม ความเคียดแค้นให้กิเลสในตัวของเรา เราจะฆ่ากิเลสนี้เคียดแค้นเท่าไรยิ่งมีกำลังวังชา ความอุตส่าห์พยายามทุกด้านทุกทางโหมกันมาหมด ความเคียดแค้นฆ่ากิเลสตัวเองนะ ถ้าความเคียดแค้นให้ผู้ใดสัตว์ตัวใดก็ตามอย่า ผิดทั้งนั้น เป็นกิเลสทั้งหมดเลย ถ้าเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเจ้าของจะฟัดมันนี้ นี้เราเอาออกมาพูดไม่มีใครพูด ในตำราท่านก็ไม่ได้บอก เราเรียนเราก็ไม่เคยเห็น แต่มันก็มาเห็นที่มันแสดงออกมาเป็นความจริงจากหัวใจเรา เวลามันเคียดแค้นเต็มเหนี่ยว พอได้กำลังเท่านั้น ทีนี้กิเลสมันหมอบลง ๆ ทางนี้เราขึ้น เหมือนกับช้างขึ้นบนตะพองมันแล้ว ขอกระหน่ำลงเลย ช้างมันร้องโก้ก ๆ ร้องเท่าไรช่างมันเถอะ น้ำตาเรายังสด ๆ ร้อน ๆ สด ๆ ร้อน ๆ ฟาดลงเลย

นั่นซิถึงออกมาหาพ่อแม่ครูจารย์ขึ้นทันทีเลยผาง ๆ นั่นเห็นไหม ตั้งแต่วันนั้นไม่ปล่อยเลย เราเข็ดเราหลาบขนาดนั้น กิเลสฟัดหัวเราจนน้ำตาร่วงเข็ดหลาบเคียดแค้นไม่ถอย เคียดแค้นไม่ถอยหมุนติ้วเลย นี่ละความเคียดแค้นนี้เป็นมรรค เคียดแค้นมากเท่าไรความอุตส่าห์พยายามยิ่งหนักมาก เป็นตายไม่ว่าเลย ความเคียดแค้นเพื่อฆ่ากิเลสตัวเองเป็นมรรคล้วน ๆ เลย จึงได้เอามาพูดให้ฟัง ไม่มีในตำราเราก็เรียน มีตามความจริงของท่านเป็นแต่เพียงท่านไม่จดจารึกออกมา ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ความจริงมันมีแน่ ไม่มีแน่เรารู้ได้ยังไง เราเป็นขึ้นมาได้ยังไง มันเป็นของจริงด้วยกัน จึงมาแยกได้ล่ะซี

ความโกรธความเคียดแค้นให้บุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใดก็ตาม นี่โลกเรียกว่ากิเลสถือว่าเป็นกิเลสล้วน ๆ เลย แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นภัยในหัวใจของตัวเอง จะแก้จะทำลายมันตรงนี้ เคียดแค้นเท่าไรเป็นมรรคทั้งนั้น ๆ มีความเคียดแค้นมากเท่าไร ความเพียรยิ่งหนัก เราหนักตอนที่ขึ้นตะพองมันได้ เราได้ที่แล้วนะ ขอกระหน่ำลงไป เหมือนว่ามันอุทานมันยอมเรานะ มันยอมเรา ๆ เราก็เอาน้ำตาเราขึ้นมาทับกันเลย กูไม่ถอยนั่นเห็นไหมล่ะ กูน้ำตาร่วงเพราะมึง เข้าใจไหมล่ะ นี่ละที่ว่ามันรุนแรงมากนะ ผึง ๆ เลย นี่แก้ความโกรธอย่างนี้ เรียกว่าความโกรธที่เป็นมรรค เป็นทางดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์ เราถอดออกมาจากหัวใจเราเลยมาพูด

หลวงตาเจ้าขา ถ้าเกิดว่ามันกำลังจะออกไป แล้วเราเห็นนี้ เราตบกลับเข้ามาที่พุทโธ

อยู่กับพุทโธ คือมันจะออกไปนั่น คือธรรมชาติหนึ่งอยู่ภายในใจมันดันออก คืออันที่จะออกไปโน้นไปนี้ ไม่ใช่ว่าสิ่งภายนอกเข้ามานะ คือตัวนี้ดันออกไป ไปเป็นภาพอยู่ภายนอก เช่น ภาพหญิง ภาพชาย ภาพนั้น ภาพนี้ เราไม่เห็นตัวมันดันออกไป เห็นแต่ภาพที่มันวาดไว้แล้วว่ามาจากไหน ความจริงไปจากนี้ ไปเป็นภาพอยู่ทางนั้น พอรู้นี้ปั๊บอันนั้นจะดับทันที เข้าใจไหม

เราไม่ต้องดึงภาพกลับเข้ามา

ไม่ต้องยึด ย้อนเข้านี่ปั๊บมันจะหายทันที เพราะตัวนี้เป็นผู้ออกเข้าใจไหม พอเรารู้ เพราะนั้นแสดงว่าเราเผลอแล้วไปเป็นภาพแล้ว ให้ยึดเข้ามาเด่นอยู่กับคำบริกรรม เข้าใจ อย่างงั้นละ จะค่อยดีขึ้นเรื่อย ๆ โห น่าสงสารจะทำไง ก็พยายามเต็มกำลังความสามารถ การแนะนำสั่งสอนเราทั้งเด็ดทั้งเดี่ยว ทั้งดุด่าว่ากล่าว ทั้งนิ่มนวลอ่อนหวานมีแต่เป็นธรรมโอสถทั้งนั้น สำหรับรักษาโรคภายในใจของเรา พยายามเต็มกำลังความสามารถ เพราะฉะนั้นเห็นใจหลวงตานะ พยายามเต็มที่ ไปไหนนี้ไม่มีอะไรนะ สำหรับเรา เราไม่มีเราบอก ใครจะว่าเราเป็นบ้าก็เป็น เราไม่มีในบัญชีของวัฏจักรนี่นะ ไปที่ไหนเราไปนอกบัญชีทั้งนั้น ไม่มีทะเบียน ไม่มีบัญชี ไม่มีกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีอะไรที่จะมาบังคับเราได้ อันนี้มันเหนือไปหมดแล้ว ไปไหน ถ้าไปแบบบ้าก็บ้านอกบัญชี เข้าใจไหมล่ะ ไม่ได้ในบัญชีนะ เราไปที่ไหนไปแบบนั้น แล้วเวลามันโลภมันอยู่ในกรอบในนี้ทางผิดทางถูกมันก็ต้องได้แนะได้ตบกันเข้าไป ๆ ให้เป็นสาระแก่ตัวเอง ให้จำไว้นะ เราสอนทุกแบบนั่นแหละ

พูดจริง ๆ เรา ไม่มีก็บอกไม่มี อยู่ในโลกนี้ก็อยู่งั้นละ กิริยาท่าทาง ธาตุขันธ์เขามีเรามี สมมุติเขามีเรามี ดีชั่วเขามีเรามี ก็ต้องใช้ปฏิบัติประสานกันเป็นธรรมดา ๆ ในวงสมมุติ แต่ธรรมชาตินั้นไม่ได้มาอยู่ในนี้นะ เข้าใจไหมล่ะ อยู่กับสมมุติก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสมมุติ ธรรมชาติที่นอกสมมุติก็เป็นอันว่านอกสมมุติ นั่นมันคนละแบบ เราอยู่ในสมมุติก็ปฏิบัติตามสมมุติ เป็นขั้นเป็นตอน ๆ ให้พรนะ….

วันที่ ๑๕ นี้เราก็จะได้ไปกรุงเทพฯ แล้วนะ พี่น้องทั้งหลายให้อยู่กันเป็นสุข ๆ เรื่องพระทั้งหลายชีวิตจิตใจก็ฝากไว้กับพี่น้องของเรา ศรัทธาทั้งหลายทุกคนดูแลกัน ทั้งข้างนอกข้างใน มีปากมีท้องมีความหิวโหยเหมือนกัน อาศัยพี่น้องทั้งหลาย สืบความเป็นอยู่เพื่อบำเพ็ญศีลธรรม เวลาหลวงตาไปแล้ว หลวงตาไม่ได้ยึดเอาทานศีลภาวนาพี่น้องทั้งหลายไปนะ ทานศีลภาวนาอยู่กับพี่น้องทั้งหลายเอง จะสั่งสมขึ้นทุกคนนะ นี่หลวงตาสั่งไว้เป็นอย่างงั้นนะ คอยดูแลกัน เราไปนี้เราก็ไปธุระเพื่อช่วยโลกช่วยสงสาร หัวใจของชาวไทยเราเวลานี้อยู่นี้หมดนะ ไม่ใช่เล่น ๆ ที่เราไปนี้ก็เพราะเหตุนี้เอง

ทางโน้นโทรมาทางนี้โทรมาเรื่อย ๆ ละ เรื่องราวมันอยู่นี้หมดเลย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องไปเพื่ออันนี้ จนกว่าว่าอันนี้จะเรียบร้อยเมื่อไรแล้วเราถึงจะกลับได้ เราจะกำหนดว่าจะกลับวันที่เท่านั้นเท่านี้ไม่ได้นะ เราต้องถือเอาเหตุการณ์ที่เราไปนี้เป็นสำคัญมาก เมื่ออันนี้เรียบร้อยแล้วก็รู้กันเองไม่ยากอะไร เพราะฉะนั้นใครจะมาถามกลับเมื่อไร อย่ามาถามเดี๋ยวตีปากนะว่างั้น เข้าใจไหม ใครไม่อยากปากแตกอย่ามาถาม เรานะ ให้เก็บปากมิดให้ดี ไม่งั้นฝ่ามือจะเข้าถึงนะ เข้าถึงปาก เอาละไป ๆ

อย่าลืมที่หลวงตาสอนนะ หลวงตาสอนด้วยความเมตตาจริง ๆ เข้าใจไหม พอมันจะเผลอให้ระลึกถึงหลวงตาทันที แล้วเอาพุทโธแทนเข้าไปเลย มันจะเถลไถลไปไหนให้มันอยู่ในวงรั้ว ๆ พุทโธ นี้ ในอยู่นี้อย่าให้มันออก ให้อยู่นี้ ป้วนเปี้ยน ๆ อยู่นี้เป็นไร ตื่นก็ตื่นไปเถอะ หลับก็หลับไปเถอะ ไฟบางทีก็วับ ๆ แวม ๆ บางทีก็เปิดเห็นไฟ บางทีก็เงียบ ก็แสดงว่า สลบแล้วก็ตื่นขึ้นมา ๆ หลับไปตายไปแล้วตื่นขึ้นมาเรื่อย เข้าใจนะ ฝากธรรมะไว้นี่ มีทุกแบบ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก