ความหมายอยู่กับความสงบของใจ (ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ เสด็จ)
วันที่ 14 ธันวาคม 2551 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เนื่องในวโรกาสที่

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

ทรงเข้ากราบนมัสการหลวงตา

เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ความหมายอยู่กับความสงบของใจ

       ปรอทลง ๑๖ จัดว่าไม่หนาว ปรกติมันก็อยู่ที่ ๑๒-๑๓-๑๔ ความหนาว ที่อยู่ในป่านั้นมันไม่มีปรอทวัด ในป่าบางทีมันหนาว หนาวมากจริงๆ ขนาดนอนไม่ได้ตลอดรุ่งเลยก็มี แต่ก็มีเว้นที่ว่าเราไม่มีผ้าห่ม คือเราไม่เอาผ้าห่ม เอาเฉพาะจีวรกับสังฆาฏิพับครึ่งติดตัวกับสบงเท่านั้นละ บางคืนนอนไม่หลับจริงๆ นะตลอดรุ่ง ความหนาวละมันหนักมากยิ่งกว่าความง่วงเหงาหาวนอนที่จะหลับได้นะ หลับไม่ได้มี ตลอดรุ่งเลยนอนไม่หลับ นอนไม่หลับแล้วจะทำอย่างไร ต้องเข้านั่งสมาธิ

เข้าสมาธิภาวนานี้ระงับความหนาวได้ดี พอมันไปไม่ไหว นอนไม่หลับก็ขึ้นมานั่งภาวนา พอนั่งภาวนาจิตพิจารณาเข้าไปข้างในมันไม่ออกข้างนอก พอจิตเข้าไปข้างในแล้วความหนาวนั้นหายหมด คือในขณะที่จิตสงบจิตรวมจากการภาวนานั้นจะไม่มีความหนาวเหน็บเจ็บปวดอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เวลาจิตถอยออกมาแล้วก็ทราบความหนาวเหมือนๆ กัน ในขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้นไม่มีแหละความหนาว จิตมันเข้าข้างใน

คือการภาวนานี้ดูเหมือนจะร้อนข้างในท่า เวลาจิตภาวนาอยู่ข้างในนี้จะไม่มีความหนาวเลย เงียบเลย จนจิตถอยออกมาแล้วก็รู้ความร้อนความหนาวเป็นธรรมดา ถ้าเข้าภาวนาแล้วไม่หนาว หนาวนี้หายเงียบเลย ความหนาวนี้สู้จิตที่สงบตัวเข้าพักตัวอยู่ภายในไม่ได้ จิตสงบความหนาวก็ไม่มี อะไรไม่มี สงบแน่ว ถ้าจิตไม่ได้เข้าสู่ความสงบนี้หนาวมากเชียว

เพราะฉะนั้น พระกรรมฐานที่ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านจึงต้องใช้เวลากำหนดกฎเกณฑ์บังคับตัวเองให้อยู่ในความพอดี เช่นกลางคืนมันนอนไม่หลับ คือมันหนาวมากขนาดนั้นละถึงนอนไม่หลับ ต้องขึ้นมานั่ง นั่งพอจิตสงบเข้าไปๆ แล้วหายหมดความหนาวไม่มี ในขณะที่นั่งสมาธิภาวนาความหนาวไม่มี สงบแน่ว พอจิตถอยออกมามันก็รู้ความหนาว ทีนี้จะนอน ไม่หลับ ต้องเข้าอีก พอจิตเข้าข้างในแล้วความหนาวหายหมดเลย เงียบเลยเชียว นั่นเห็นไหมล่ะอำนาจของจิต นี่ละสำคัญมาก

พอจิตสงบเข้าไปข้างในแล้วความหนาวหายหมด ไม่มี วันไหนมันหนาวมากๆ นี้มันก็นอนไม่ได้ ต้องนั่งสมาธิ สมาธินี้เป็นเครื่องบรรเทาความหนาวได้ดี ทีนี้ตอนกลางวี่กลางวันเราต้องได้เดินมากเอา คือกลางคืนมันหนาวมากจริงๆ ลงเดินไม่ได้ น้ำค้างตกลงบนใบไม้นี้เปียก แต่ก่อนมีน้ำค้างมาก เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีน้ำค้าง อยู่ในป่าในเขาตอนเช้านี้มันเสียงซ่าๆๆ คือน้ำค้างมันมาเกาะติดอยู่กับใบไม้แล้วก็หล่นลงมาใส่ใบนี้ใส่ใบนั้น มันก็เหมือนหน้าฝน นั่นละหนาวมาก น้ำค้างมาก

มันก็ขบขันนะล่ะ ไอ้พวกหมูป่ามันไม่เห็นมีผ้าห่มเหมือนเรา ขนมันก็บางๆ เวลาเรานั่งภาวนาอยู่ในร้านมันยังมาหากินอีกนะกลางคืน สุดสัดๆ มาหากินข้างบริเวณเราพักภาวนา มันก็ไม่เห็นหนาวนะ ธรรมดา เขามากลางคืนมาเป็นฝูงๆ ฝูงละกี่ตัวไม่ทราบกลางคืน เขามาเต็ม หากินไปเรื่อยๆ เรานั่งภาวนาฟังเขามาหมูป่า แต่ก่อนหมูป่ามีเยอะในป่า มาเป็นฝูงๆ เขามาหากินตอนกลางคืน ตาเขาดีกลางคืนตาหมู

ตาสัตว์ก็เหมือนกันนะ ตาสัตว์ที่เที่ยวกลางคืน เขามาหากินตามกิ่งไม้ เราอยู่ข้างล่างเขามองเห็นเรานะ เราเดินจงกรมอยู่ข้างล่างมืดๆ เช่นพวกลิงเหล่านี้ตาดี ลิงตาเห็นชัดเจน ตาดีเหมือนกลางวัน พวกลิงมาเป็นฝูงๆ เขามาหากิน พอดีกับที่เราอยู่ต้นไม้ผลไม้มันสุกเต็มข้างบน เขาก็มารุมกิน ถ้าเขาเห็นเราแล้วเขาหนีเขาไม่กิน ทีนี้เวลาเขามาอย่างนั้นเราก็ยืนแนบอยู่กับต้นไม้นิ่งๆ ไม่ออก เขาก็หากินจนกระทั่งอิ่ม พอสมควรแล้วเรากระดิกนิดหนึ่งเท่านั้นเขารู้เลย ให้สัญญาณกันร้องจี๊กทีเดียวแตกฮือไปเลย เงียบ เขามีสัญญาณนะ มีหัวหน้า ใครทราบเรื่องราวอะไรเขาให้สัญญาณกัน ร้องจี๊กเท่านั้นละ ตัวเหล่านั้นเงียบหมดแล้วต่างตัวต่างไป

ตาดี สัตว์หากินกลางคืนพวกลิงตาดี คือกลางวันมันกลัวคน กลางคืนมันออกหากิน เราเดินจงกรมอยู่กลางคืนเขาเห็นเรา ถ้าเขามาเรานิ่งเสีย เราไม่เดิน เช่นเขามากินผลไม้อยู่บนต้นเราก็ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ให้เขากินอิ่มแล้วตัวไปก็ไป เบาบางไปแล้วเรากระดุกกระดิกร้องจิ๊กเลย เงียบไปเลย ตาเขาดีนะกลางคืน พวกสัตว์ป่าตาดี เราเดินจงกรมเราเข้าไปแอบยืนอยู่ต้นไม้ ไม่กระดุกกระดิกเขาก็ไม่เห็น ผลไม้อยู่ข้างบน พอเขาไปกันบ้างแล้วจะหมดแล้ว เรากระดุกกระดิกจิ๊กเขาร้อง ไปหมดนะ เขาให้สัญญาณกันกลางคืน

คือเราเดินจงกรมเราก็ไม่ค่อยใช้ไฟ ถ้าเดือนหงายแล้วไม่ได้ใช้ละ ถ้าเดือนมืดอาจใช้บ้างเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหาทางจงกรมในที่โล่งๆ ตอนกลางคืน ไม่มีไฟละเดินจงกรมมืดๆ อย่างนั้นละ สัตว์เขาตาดี เขามองเห็นเราทันทีเลย เราอยู่ร่มไม้ เขาหากินข้างบน เขามองเห็นเรา พอเรากระดิกนี่เขารู้ เขาให้สัญญาณกัน แล้วต่างตัวต่างหนีละเขากลัวภัย

วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ เป็นวันอบรมทางด้านจิตใจ เราควรที่จะเข้าสู่อรรถสู่ธรรมในวันเช่นนั้น สงบใจของเรา เพราะใจมันวุ่นที่สุด มันคิดไม่หยุดไม่ถอยตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ หลับนั่นละเป็นเครื่องดับความคิดความปรุงของเรามีเวลาหลับ นอกจากนั้นมันคิดมันปรุงทั้งวัน เวลาจิตสงบก็ไม่คิด จิตสงบสะดวกสบาย ถ้าจิตไม่สงบมันคิดของมันตลอดตั้งแต่ตื่นนอน เอาเวลาหลับนั้นเป็นเวลาสงบจิต ถ้าได้ภาวนาถึงไม่หลับมันก็สงบ สงบสบาย จิตตภาวนาเป็นของสำคัญ

วันนี้ฟ้าหญิงท่านก็เสด็จมา ท่านเคารพรักศีลรักธรรม ท่านอุตส่าห์พยายามมา หนาวท่านก็หนาวเหมือนเรา ท่านก็ทนเอา แต่ที่ไม่ค่อยชอบทนนักก็คือความขี้เกียจ มันไม่เอาไหนนะ มันก็บอกว่าหนาวนักบ้าง ร้อนนักบ้าง มันหาเรื่องใส่เรื่อย ถ้าจะภาวนามันหาเรื่องใส่ มันก็เลยไม่ได้ภาวนา วันหนึ่งๆ ก็สิ้นวันไปเปล่าๆ

การระงับจิตด้วยการภาวนานี้เป็นความถูกต้องดีงาม คือธรรมดาจิตจะต้องคิดต้องปรุงตลอด เวลาเราภาวนาระงับจิตมันก็ไม่คิดไม่ปรุง ความสงบก็มีในเวลานั้น ท่านบอกว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ความสุขอื่นใดสู้ความสงบไม่ได้ ท่านว่า ความสงบใจนี้สำคัญ ร่างกายดีอยู่แต่ใจยุ่งมากก็เป็นทุกข์คนเรา ถ้าใจไม่ทุกข์แล้วร่างกายจะเป็นทุกข์บ้างก็ไม่เป็นไร สำคัญอยู่ที่การอบรมจิตใจให้ดี 

แต่ชาวพุทธเรามักจะไม่สนใจกับศีลกับธรรมทุกวันนี้ มีแต่กิเลสขยี้ขยำเอาทั้งวันทั้งคืน ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มีแต่กิเลสขยี้ขยำจิตให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุดไม่ถอย หาความสงบไม่ได้ คนเราถ้าไม่มีความสงบแล้วก็ไม่มีความหมาย มืดกับแจ้งมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่เห็นให้ความสุขอะไร ถ้าใจสงบเสียอย่างเดียวจะมืดจะแจ้งจะเป็นอย่างไรก็สบายๆ ใจสงบ ใจเย็น ท่านจึงสอนให้สงบใจ ถ้าใจมีความสงบแล้วก็เย็นสบาย ถ้าใจไม่สงบเสียอย่างเดียวมันก็เดือดร้อนมากนะคนเรา

เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาแทบจะไม่มีในหัวใจของชาวพุทธเราแล้ว ตื่นขึ้นมามีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอยากนั้นอยากนี้ๆ เห็นอะไรอยากหมด ไม่มีความอิ่มพอคือความอยาก กินข้าวอิ่มแล้วก็ไม่อิ่ม อารมณ์ของจิตไม่อิ่ม คิดอยู่ตลอด คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ๆ ยุ่งไปหมดไม่ดี ถ้าจิตสงบแล้วมันไม่คิดนะ อยู่ที่ไหนสบาย สุดท้ายความคิดปรุงเป็นเรื่องกวนใจ คือใจที่มีความสงบมากๆ แล้วคิดปรุงขึ้นมาอย่างนี้มันกวนใจนะ ไม่สบาย จิตที่สงบคือจิตไม่คิดไม่ปรุง แน่วอยู่นั้น จิตสงบดี ท่านจึงสอนให้ภาวนา

การที่จะภาวนาให้จิตสงบนี้เป็นของที่ทำได้ยาก คนเราจึงไม่ทำกัน ไม่มีใครที่จะดูจิตของตัวที่มันคิดมันปรุงอยู่ทั้งวันทั้งคืน มีแต่วิ่งตามมันเท่านั้น วิ่งตามความคิดความปรุง ที่จะระงับความคิดความปรุงมาเข้าสู่ความสงบนี้ไม่ค่อยมี มีก็เล็กน้อย นักภาวนาเท่านั้นละที่จะเห็นความคิดปรุงของตัวเอง ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

จิตไม่มีธรรมก็คือจิตไม่มีเจ้าของ ระเหเร่ร่อน จิตมีเจ้าของต้องมีสติสตังระงับจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น ใจก็สบาย ถ้าใจสบายแล้วสบายหมดนะ สำคัญอยู่ที่ใจ ความทุกข์ความสุขรวมแล้วมาอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ใจ ถ้าใจของเราสงบแล้วก็สบาย ถ้าใจไม่สงบแล้วอะไรจะมีมากน้อยมันไม่มีความหมาย มันไปมีความหมายอยู่กับความสงบของใจ ให้พากันภาวนาให้จิตใจสงบบ้างนะ นี่ไม่มีใครมาว่าจิตใจสงบ ไม่มี มีแต่ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้

เจ้าฟ้าหญิงท่านก็มาภาวนากับพวกเรา ถ้าใครไม่เข้าใจเรื่องภาวนาให้ไปทูลถามท่านนะ เป็นอย่างไรพวกเราภาวนาจิตใจไม่อยู่ ท่านภาวนาเป็นอย่างไรให้ท่านได้สอนเราบ้าง เข้าใจไหมล่ะ พวกเรามาภาวนามันภาวนาอย่างไรให้ทูลถามท่าน จิตสงบเป็นอย่างไร จิตฟุ้งซ่านรำคาญเป็นอย่างไร นักภาวนาจะรู้ใจของตนได้ดี คือจิตสงบจิตจะไม่วุ่นวาย สบาย อยู่ที่ไหนอดบ้างอิ่มบ้างไม่สนใจ พอจิตสบายเสียอย่างเดียวเท่านั้นอยู่ได้หมด อยู่ที่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น ถ้าจิตไม่สงบอยู่ไหนก็ไม่สบาย เช่นอย่างคนไข้เอาไปขึ้นชั้นไหน ตึกโรงพยาบาลกี่ชั้น มันก็ไปครวญครางอยู่ตึกชั้นนั้นๆ นั่นละที่คนไข้อยู่ที่นั่น ถ้าสงบแล้วอยู่ที่ไหนก็สบายๆ ใจของเราถ้าสงบแล้วอยู่ไหนก็สบาย ให้พากันฝึกฝนอบรม

เมืองไทยเรานี่สมบูรณ์แบบ มีทั้งพุทธศาสนาเครื่องอบรมใจให้มีความสงบเย็น ทุกอย่างมีหมด ศาสนาอื่นๆ เขาไม่ค่อยมีละ ศาสนาก็ศาสนาแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่สงบเหมือนศาสนาพุทธนะ ศาสนาพุทธนี้ตีตะล่อมใจเข้ามาสู่ความสงบ ใจของเราก็สงบเย็นได้ดี ถ้าใจไม่สงบไม่สบายนะ ถ้าใจสงบอยู่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าตื่นมืดตื่นแจ้งตื่นสว่าง วันนั้นดี วันนี้ดี วันนั้นจม วันนี้ฟู  มันจมมันฟูอยู่กับเรานั่นแหละ ถ้าเราไม่ดีแล้วมันไม่ดีทั้งหมด ขอทำใจให้ดี ถ้าทำใจให้ดีแล้วสงบเย็นทั้งนั้นละ

วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ พอดีฟ้าหญิงท่านมาได้ฟังธรรมของเราแล้วเอาไปปฏิบัติ ต่างคนต่างไปปฏิบัติจิตให้สงบร่มเย็น นักภาวนาจะรู้ความเคลื่อนไหวของใจได้ดี ผู้ไม่ภาวนาไม่รู้ พวกนักภาวนานี่รู้ความเคลื่อนไหวของใจว่าคิดไปในทางใดๆ รู้ได้หมด ถ้าไม่ได้ภาวนาไม่รู้ มีแต่วิ่งตามความคิดความปรุง ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนจะเป็นจะตาย มืดแจ้งหมดไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ แต่ผู้ภาวนาได้เหตุได้ผลจากความสัมผัสสัมพันธ์ จากการระมัดระวังรักษาจิตของตนให้ดี จิตสงบแล้วก็สบาย

ท่านจึงสอนให้อบรมจิต นี่ก็มีครบ พุทธศาสนาก็มีในเมืองไทยเรา ควรจะมีความสงบใจบ้าง เวลาจะหลับจะนอนก็ให้นั่งไหว้พระตามที่เราได้มากได้น้อย แล้วนั่งภาวนาดูความคิดของใจด้วยความมีสติระมัดระวัง ไม่ให้มันคิด เช่นเราจะกำหนดพุทโธก็ให้สติจับอยู่กับพุทโธ ไม่ให้คิดไปทางอื่น ใจก็สงบลงได้ แล้วเราจะสบายๆ นะ

วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ ขอทุกๆ ท่านกลับไปประกอบหน้าที่การงานด้วยความชอบธรรม นำประโยชน์เข้ามาสู่ตนและส่วนรวม บ้านเมืองเราจะมีความเจริญด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี ด้วยความมีขื่อมีแป มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์บังคับตนเองคนเราหาความดีไม่ได้ ต้องมีหลักมีเกณฑ์บังคับตนเอง เท่านั้นละ ต่อจากนี้จะให้ศีลให้พร

(ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรเข้ากราบเรียนหลวงตา เรื่องความคืบหน้าสร้างตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น โรงพยาบาลอุดรธานี)

         ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดร   :  ตามที่หลวงตาได้เมตตา ที่จะสร้างตึกสงฆ์เดิมจาก ๘ ชั้น วงเงิน ๑๑๕ ล้าน หลวงตาอยากจะให้เป็น ๑๐ ชั้น ก็ได้ไปปรับปรุงแบบ อันนี้เป็น ๑๐ ชั้นครับ จากเดิม ๑๑๕ ล้าน ขยายมาเป็น ๑๖๖ ตอนนี้ก็จะเป็น ๑๘๕ จะมีทั้งหมด ๒๖๕ เตียง เป็นของสงฆ์ ๔๓ เตียง ของฆราวาส ๒๒๒ เตียง เฉพาะตัวอาคาร ๑๘๕ ล้าน บวกครุภัณฑ์อีก ๑๕ ล้าน ก็จะเป็น ๒๐๐ ล้านครับหลวงตา)

         หลวงตา                   :     เราตั้งกองผ้าป่าขึ้นรับ ได้หมด ตั้งกองหนึ่งยังไม่เสร็จ ตั้งเข้าอีก เอาเข้าอีก เอาจนเรียบเลย ได้

         ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดร  :   อันนี้จะเป็นตึกที่สูงที่สุดในโรงพยาบาลครับหลวงตา

         หลวงตา                  :      โรงพยาบาลอุดร เอาให้ได้ละ มันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เพราะฉะนั้นเราจึงสนใจ ตึกนี่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม คนไข้เข้า เออ เอาละ

 

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก