ละเอียดลออมากพระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลก
วันที่ 4 ธันวาคม 2551 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ละเอียดลออมากพระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลก

ก่อนจังหัน

ธาตุขันธ์ไม่ทราบเป็นอะไร เบื่ออาหาร สองสามวันมานี้เบื่ออาหาร มองดูอาหารนี่ขยะๆ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร แต่ก็ฉันไม่ได้ มันเบื่ออาหาร เดี๋ยวนี้เบื่ออาหาร หรือมันจะตายเอาแล้วมันถึงเบื่ออาหาร คนจะตายคนเบื่ออาหาร นี่ก็เบื่ออาหาร เอ้า มันจะเบื่อไปถึงไหนว่ะ เป็นทุกแบบ ฉันจังหันไม่ได้มาสองสามวันแหละ มันเบื่ออาหาร ก็อยู่ธรรมดาไม่ได้เป็นไข้เป็นหนาวอะไร แต่มันก็เป็นเอง เบื่ออาหาร เอ้า เบื่อไป กินมาตั้งแต่วันเกิด มันพึ่งจะมาเบื่ออาหาร แปลกอยู่นะ

         เวลามันหิวข้าวจนตัวสั่นนี่มี ไปบ้านสงเปือย บ้านนั้นไม่ลืมคุณจนกระทั่งป่านนี้นะ ฝังลึกมาก จากบ้านนี้ไปข้าวก็กินสองสามคำ ถึงบ้านสงเปือย กำลังหิวข้าวเป็นประมาณ พอไปเขาหาสำรับมาให้เลย ทิดคำเอาสำรับออกมาเลย พอเอามาเราอยากกราบคนเสียก่อน กราบสำรับเสียก่อนถึงจะมากินข้าว คือมันหิวมากขนาดนั้นละ วันหลังก็อีก บ้านหลังนี้ละ เลยไม่ลืมจนเดี๋ยวนี้ บ้านสงเปือยบ้านทิดคำ เขาเป็นเพื่อนกับพี่ชาย กับนายฝาย สามคนสามก้อนเส้าเป็นเพื่อนกัน พี่ชายเราก็เป็นเพื่อนกับนั้นอยู่ พอไปนั้นแล้วพูดกันไปพูดกันมาไปรู้เรื่องกันอย่างนั้น เราก็อยากกราบเขาอีก บ้านนี้สองหนแล้วนะ มาจากกุมภวามานั้นอีก พอมาถึงเขาก็หาสำรับมาให้ โอ๊ย เราอยากกราบคน เราอยากกราบกระทั่งหมาเขานู่นน่ะ ความเห็นคุณนะไม่ใช่ธรรมดา เป็นอย่างนั้นละ เลยไม่ลืมจนกระทั่งป่านนี้

โอ้ ก็ดีอยู่นิสัยเป็นนิสัยกตัญญูดี ไปเขาหาข้าวมาให้กิน เราอยากไปกราบคนเสียก่อนถึงมากินข้าว มาจากกุมภวาพอมานั่งปั๊บ เขาหาสำรับมาอีกแล้ว เราอยากไปกราบจนกระทั่งหมาเขาเสียก่อนถึงจะมากินข้าว มันไม่ลืมนะ เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ บ้านนี้ฝังลึกมาก นิสัยนี้ก็ดีอันหนึ่ง ใครมาทำคุณต่อเรานี้ไม่ลืมนะฝังลึกมากทีเดียว อันนี้ดีอันหนึ่ง เป็นกตัญญูกตเวทีรู้คุณ จากกุมภวามาบ้านสงเปือย เขาหาข้าวมาให้กิน พอไปนั่งปั๊บเขายกสำรับมาให้กิน โอ๊ย เราอยากกราบจนกระทั่งหมาเขานู่นน่ะ เพราะเห็นคุณเขา กราบเจ้าของ กราบหมาด้วย แล้วถึงจะมากินข้าว

หลังจังหัน

         ทุกวันนี้เราอนุโลมตามธาตุขันธ์นะ พอว่าหนาวก็เอาผ้ามาห่ม ไม่ผิด ในพระวินัยท่านห้ามไม่ให้พระ เว้นแต่พระเป็นไข้ ห้ามไม่ให้ก่อไฟผิงหนึ่ง ห้ามไม่ให้ผิงไฟหนึ่ง นั่น ท่านสอนให้ตื่นเนื้อตื่นตัวขนาดไหน พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยเสด็จออกทรงผนวช ได้รับความสุขสำราญบานใจขนาดไหน แล้วไปทรมานพระองค์อย่างนั้น ตั้งแต่นั้นก็ให้บรรดาสาวกทั้งหลายดำเนินตาม ไม่ให้ผิงไฟ ไม่ให้ก่อไฟผิง เว้นแต่ภิกษุไข้ นอกนั้นห้าม ปรับอาบัติด้วย เพื่อให้มีความเข้มแข็งในการประพฤติปฏิบัติ  การนั่งการนอนจะไปหานั่งที่อ่อนๆ นุ่มๆ นิ่มๆ อย่างนี้ไม่นิยม ปรับอาบัติอีกด้วยนะ อุจฺจาสยน มหาสยนา เวรมณี เพียงศีล ๘ เท่านั้นก็ไม่ให้นั่งให้นอนบนที่นั่งที่นอนอันสูง ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี เพียงรักษาศีล ๘ ส่วนที่ศีลของพระสูงกว่านั้นข้ามไปหมด ไม่แตะ ไม่ให้นอน ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวตลอดเวลา

พระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลกอ่านดูแล้วซึ้งมาก การหลับการนอนกะเวล่ำเวลาให้นอน ก็มีแต่การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเสียด้วยนะ ไม่ได้มีไปทำงานนั้นงานนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ งานใน อปัณณกปฏิปทา การปฏิบัติไม่ผิด ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพานให้ปฏิบัติอย่างนี้ ท่านสอนไว้ อ่านละเอียดลออเพราะอ่านด้วยความตั้งใจ ซึ้งใจนะ ไม่มีอะไรจะขัดใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า น้อมรับๆ เลย เราก็บืนตายไปตามนั้นละ อปัณณกปฏิปทา เรียกว่าการปฏิบัติไม่ผิด ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพาน ให้ปฏิบัติอย่างนี้

สอนการหลับการนอน ให้ตื่นเป็นเวล่ำเวลา ไม่ซ้ำๆ ซากๆ อืดอาดเนือยนาย นั่นละท่านสอนพระ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านสอนอย่างนั้น นอนก็กำหนดเวลานอน เช่นปฐมยามทำความเพียร พอมัชฌิมยามให้พักผ่อน ปัจฉิมยามให้ลุก มีสามยาม ยามละสี่ชั่วโมง ถึงสี่ทุ่ม พักก็พักได้ จากนั้นก็ไปถึงตีสามหรืออะไรก็ให้ลุก ลุกแล้วลงเดินจงกรม ถ้ามันง่วงลงเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ท่านไม่ได้บอกให้ไปแทะกระดาษนั้นแทะหนังสือนี้ แทะหัวกิเลสอยู่ในนี้ซิ

ดูให้ละเอียดลออซิดูธรรมพระพุทธเจ้าจะซึ้งมากทีเดียว สอนละเอียดลออมาก ตามกิเลส แม้เช่นนั้นก็ไม่ทันมัน เวลาจะนอนให้นอนตะแคงข้างขวาท่านสอน แต่ไม่ได้ปรับอาบัตินะ นี่เป็นธรรมสอน ถ้าเป็นวินัยปรับอาบัติ แต่นี้ท่านสอนเป็นธรรม สอนวิธีนอน นอนตะแคงข้างขวา เวลาจะหลับก็กำหนดว่าจะตื่นตามเวลา กำหนดเอาไว้ พอตื่นแล้วก็ลุก ถ้านั่งภาวนามันง่วงให้ลงเดินจงกรม ถ้าเดินจงกรมแล้วมันไม่ง่วงละ ถ้านั่งง่วง ท่านสอนอย่างนั้นละ นี่ดูเอาละเอียดลออมากพระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลก

สี่ชั่วโมงปฐมยามประกอบความเพียรถึงสี่ทุ่ม พักนอน ตีสองนอนสี่ชั่วโมงให้ตื่น ตื่นแล้วถ้ามันจะง่วงให้ลงเดินจงกรม ท่านสอนภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพาน แล้วกลางวันหากจะหลับบ้างก็ได้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ จะพักหลับบ้าง ถ้ามันเพียบตอนประกอบความเพียรกลางคืน มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจะพักบ้างก็ได้ ให้ปิดประตูมิดชิด อย่าให้ใครเห็นอากัปกิริยาของการนอนเรา นั่น ท่านสอนขนาดนั้นนะพระพุทธเจ้า เหมือนราชสีห์นอน เหมือนเสือนอน ระวังตลอด เสือหรือราชสีห์นอนมีสติระมัดระวังตัว ตื่นเนื้อตื่นตัวตลอด

นี่ละตามหลักท่านสอนพระนะ ให้กำหนดไว้พอถึงเวลาแล้วจะตื่น ไม่ใช่นอนแบบจมไปเลย พอตื่นแล้วก็ลุก ถ้าจะง่วงก็ลงเดินจงกรม บอกละเอียดลออ เรื่องสติเป็นสำคัญ ไม่ให้พลั้งเผลอสติ เลินเล่อเผลอสติไม่ดี ให้มีสติตลอด ฟังซิ นี่ละผู้จะฆ่ากิเลสให้มีสติตลอด เรื่องสติให้ระวังอยู่เสมอ ไม่ให้เลินเล่อเผลอสติแบบสัตว์ ยังไม่ตายก็นอนคอยเขียงอยู่แล้วใช้ไม่ได้ นั่นละท่านสอนพระ สอนละเอียดลออมากนะ คือนอนก็ให้กำหนดเวลานอนเวลาตื่น แล้วออกเดินจงกรม นั่งมันจะง่วงให้ออกลงเดินจงกรม กลางวันหากจะพักบ้างก็ได้ ท่านว่าอย่างนั้น กลางวันหากจะพักบ้างก็ได้ให้ปิดให้มิดชิด อย่าให้ใครต่อใครมามองเห็นเวลาหลับนอน นั่นท่านระมัดระวังขนาดนั้น อากัปกิริยาของการนอนไม่ให้ใครเห็น

นี่ละธรรมที่ท่านสอน อปัณณกปฏิปทา การปฏิบัติไม่ผิด แปลแล้วว่าอย่างนั้น ให้ปฏิบัติอย่างนี้ มีความตื่นเนื้อตื่นตัวอยู่เสมอ สอนผู้จะฆ่ากิเลสให้พ้นจากกิเลสตัณหาทั้งหลายสอนอย่างนี้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ให้นอนใจ การขบการฉันให้ฉันแต่น้อย ไม่ให้ฉันมากมันอืดอาดเนือยนายขี้เกียจ นอนไม่ตื่น ฉันแต่น้อยพอยังอัตภาพให้เป็นไป นี่ละนำเอามาสอน วิธีท่านสอนพระท่านสอนอย่างนั้น

แต่เรามันมักจะเลยเถิด ท่านว่าอดอาหารดี ท่านว่าอย่างนั้น เรื่องอดอาหารดีการภาวนาคล่องตัว แล้วไปทำเป็นอย่างนั้นจริงๆ คืออดอาหารไม่ค่อยฉันละ การนอนไม่ง่วงเหงา แล้วนอนแต่งีบหนึ่งตื่น ทีนี้มันก็อดเรื่อยๆ ซิ อดไปจนท้องเสียเราก็ดี มันไม่พอดี มันผาดโผน คือเห็นว่าอดอาหารดีเลยอดเรื่อยๆ อดเรื่อยเลย ถ้าฉันจังหันเข้าไปแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนกับรถบรรทุกของหนัก อืดอาดๆ ไม่คล่องตัว เลยผ่อนอาหาร อดอาหาร ผ่อนมันไม่ถึงใจอีกละ อดอาหาร อดไปอดมาก็ท้องเสีย มันไม่พอดีเรา ท้องเสีย ถ่ายไม่หยุด

นี่เราก็ยังไม่ลืมหมอเติ้ง แกเอายามาให้เราฉัน คือเราถ่ายถ่ายเพราะอันนี้ละ เพราะการฝึกทรมานตัวเอง ไม่ค่อยฉัน นานเข้าไปๆ มันก็ท้องเสีย ท้องเสียถ่ายไม่หยุด เลยหมอเติ้งเอายามาให้ฉัน หายเลยนะ เรายังไม่ลืมคุณหมอเติ้งนะเอายามาให้ฉัน อยู่กรุงเทพแกชื่อเติ้ง เป็นคนจีน หมอเติ้งเอายามาให้ฉันเลยหาย มันถ่ายออกเสียจนมันจะเอาให้ตายจริงๆ นี่ก็เพราะเราอดอาหารมามาก ทีนี้เวลามันไปมันเตลิดมันจะไม่อยู่ พอยาหมอเติ้งมาหักปั๊บเลยหยุด จากนั้นมาเราได้ระมัดระวังการอดเรื่อยมา

เวลาเร่งความเพียรมากๆ มันเอาจริงเอาจังมากนะเวลาเร่งความเพียร อย่างทุกวันนี้ไม่ได้เรื่องละ ถ้าอดอาหารก็ไม่เห็นคิดว่าจะอดทุกวันนี้ แต่ก่อนมีแต่ขยับเรื่อย กินก็ไม่ให้กินมาก ขยับเรื่อย มีข้อบังคับบังคับกันอยู่ตลอดๆๆ แต่ทุกวันนี้ไม่บังคับมันก็ฉันไม่ได้  อย่างวันนี้ฉันไม่ได้ เฒ่าแก่มาแล้วก็อนุโลมตาม พูดให้มันชัดเจนเสียคือที่ท่านฝึกทรมานหมายถึงฆ่ากิเลสนะ กิเลสสิ้นไปแล้วจะฝึกหรือไม่ฝึกก็ไม่เป็นไรละ มันต่างกัน ถ้ากิเลสสิ้นไปแล้วไม่มีใครมาเป็นข้าศึกต่อเรา เราอยากจะนอนเท่าไรก็ได้กิเลสไม่เกิดเพราะมันตายแล้ว ถ้าตอนกิเลสตื่นอยู่แล้วต้องระวัง

การหลับการนอนการขบการฉันได้ระวังทั้งนั้น ไม่ระวังไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน ต้องเอาให้จริงให้จัง เรียกว่าทั้งวันทั้งคืนอยู่กับความเพียรตลอดเลย สติจับติดตลอด  เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาสติจับติดๆ ๆ ตลอดเลย ไม่มีงานการใดมายุ่ง ถ้าผู้ตั้งใจจะฆ่ากิเลสจริงๆ เป็นอย่างนั้นตามที่ท่านแสดงไว้ในความพากความเพียรมีแต่การตั้งสติพิจารณาที่จะฆ่ากิเลสตลอดเวลา ไม่ให้ไปทำนั้นทำนี้เซ่อๆ ซ่าๆ ไม่ใช่กรรมฐานเพื่อฆ่ากิเลส มันกรรมฐานเพื่อพอกพูนกิเลสต่างหาก

ผู้ที่ตั้งใจจะฆ่ากิเลสจริงๆ จะไม่ให้งานใดมาเกี่ยวข้อง มีแต่งานสติคอยจับความคิดปรุงเจ้าของ มันคิดไปอะไร สติมีอยู่คิดปรุงปั๊บดับพร้อมๆ มันไม่ต่อเรื่องต่อราว ถ้าสติเผลอไปเมื่อไรเรื่องราวจะต่อไป เอาให้หนักขนาดนั้นความพากความเพียร ไม่เช่นนั้นไม่ได้ นี้เอาเสียให้สุดยอดเสียเลย ชาตินี้เป็นชาติสุดยอดของเรา การประกอบความพากเพียรก็ทุ่มกันลงเอาชีวิตเข้าว่าๆๆ มา มาสุดท้ายผลแสดงขึ้นเต็มเหนี่ยว เรียกว่าในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย กิเลสก็ม้วนเสื่อ ม้วนเสื่อเพราะอย่างนี้ละ อย่างฟัดกันไม่หยุดไม่ถอย

เอาจริงเอาจังมากทีเดียว กิเลสก็ม้วนเสื่อ ไม่มีอะไรกวนใจ จะว่าคนว่างงานก็ไม่ผิด มันสิ้นหมดทุกอย่างแล้วก็เป็นคนว่างงาน ว่างงานถ้าเป็นโลกเขาคนว่างงานคนไม่มีงานคนจะอดตาย นั่น แต่คนว่างงานทางธรรมะนี่พอหมดแล้ว ว่างงานด้วยความพอแล้วทุกอย่าง นี่พูดให้มันชัดเจน นี่ว่างงาน ว่างงานได้แล้ว อยู่ไปอย่างนั้นละวันหนึ่งๆ ว่างงานหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะทำ กิเลสตัวไหนวะ ว่าอย่างนั้นเลย ก็ฟาดมันขาดสะบั้นลงเห็นต่อหน้าต่อตาแล้วมันจะฟื้นขึ้นมาที่ไหนมาต่อสู้กันอีกเหรอ เอา นั่น คราวนี้ยิ่งจะหนัก ถ้าสมมุติว่ากิเลสมันแฝงขึ้นมาอีกให้เห็น หือ กูนึกว่ามึงตายหมดทั้งโคตรทั้งแซ่มึงเอาโคตรไหนมาเกิดอีกมาต่อสู้กับกูนะ เอานะคราวนี้ คราวนี้ละคราวยิ่งจะเอาใหญ่ แต่ไม่มี หมด  ไม่มีเหลือเลย แสนสบาย กิเลสหมดจากหัวใจขาดสะบั้นลงไปหมด งานสิ้นสุดตรงจุดนั้น

ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำคือการฆ่ากิเลสได้ฆ่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งไปกว่านี้กว่าการฆ่ากิเลสไม่มี แสนสบาย ท่านสอนไว้ เมื่อจิตได้ถึงขั้น วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ เป็นอย่างเดียวกัน ไม่มีอะไรมากวนใจ อยู่ไปคืนหนึ่งวันหนึ่งไม่มีกำหนดเวล่ำเวลากาลนั้นสมัยนี้ หมด รู้ก็รู้อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรรบกวน จิตที่พ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลายไม่มีอะไรกวน อยากจะนอนสักเท่าไรนอนให้ตายก็ได้กิเลสไม่เกิด ถ้าว่าเกิดอยู่ก็เรียกว่ายังไม่หมด ถ้ามันหมดแล้วมันไม่เกิด กิเลสหมด หมดจริงๆ

อย่างที่ว่าเสียงเหมือนฟ้าดินถล่ม แผดเปรี้ยงๆ นี้เหมือนว่าเสริมไฟกองเท่าภูเขาขึ้นมา ความจริงไม่มี เป็นพลังของธรรมต่างหาก ความโกรธไม่มี นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ถึงจะเสียงแผดเสียงเผาขนาดไหนก็ตามเถอะกิเลสไม่เกิด มีแต่เป็นพลังของธรรม เหตุผลกลไกที่จะออกหนักเบามากน้อยจะออกเต็มที่ แต่ความโกรธไม่มี จึงว่ากิเลสหมด ให้มันเห็นในหัวใจเจ้าของซิ ถ้าหมดนั้นแล้วเห็นในหัวใจเจ้าของก็รู้เอง อย่างครูบาอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ โถ เวลาเสียงท่านแผดเปรี้ยงๆ ทีนี้พระเณรทั้งหลายรุมเข้ามานะ เอานะฝนจะตกแล้วนะฟ้ากระหึ่มแล้ว รุมเข้ามา คือได้ฟังธรรมที่ถึงใจ เวลาท่านเปรี้ยงๆ ธรรมท่านออกถึงใจๆ ไม่ใช่กิเลสออกถึงใจนะ เป็นพลังของธรรมออกล้วนๆ เลย ฟัง แหม มันเอิบอิ่มนะ

ยกตัวอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละ เวลาท่านแผดเสียงนี่ โห ใครจะไปสู้ได้เหรอ เปรี้ยงๆๆ ครั้นเวลาตามรอยกันไปมันหากไปทันกันจนได้นั่นแหละ ถ้าไม่ถอยความเพียรนะ พอตามหลังกันไปแล้ว อ๋อ นี่มันเสียงอรรถเสียงธรรม พลังของธรรมต่างหาก ไม่ใช่พลังของกิเลส กิเลสสิ้นไปแล้วเอาอะไรมาเป็นความโกรธ แน่ะไม่มี มีแต่พลังของธรรมพุ่งๆ เลย มันก็จับได้ ทันกันแล้ว รู้ ถ้ามันรู้อย่างเดียวกันแล้วก็ไม่ถามใคร ถ้าไม่รู้อย่างเดียวกันแล้วมันก็เถียงกันวันยังค่ำ เช่นจะฆ่ากิเลสแล้วนอนสักหน่อยดีนะ นั่นเถียงแล้ว มันเถียงนะ พักสักหน่อยก่อน มันไม่สักหน่อยเอาจนหมอนแตก ว่าอย่างนั้นเลย

เราทำสุดขีดเราก็ดีเรื่องความพากความเพียร มันจะเป็นวาสนาอำนวยอะไรก็ไม่ทราบ ว่าอะไรเป็นอันนั้นนะ มันจะเป็นนิสัยวาสนามันมาพร้อมกันหรืออะไรก็ไม่รู้ ว่าอะไรเป็นอันนั้นเลย ขาดกับมือๆ ไม่มีคำว่าเหลาะแหละ ถ้าลงทำอะไรแล้วเอาจริงจังมาก นี่ก็เหมือนกัน ฆ่ากิเลสก็เอาอย่างว่าละ ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วสบาย ไม่มีกิเลสตัวไหน สบายไปเลย วันกิเลสขาดสะบั้นเราก็เคยพูดแล้ว วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นั่นละกิเลสขาดสะบั้น ตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นกิเลสตัวไหนมาแสดงเลย จึงว่ามันตายจริงๆ ถ้ามันไม่ตายจริงมันฟื้นได้ นี่มันไม่ฟื้น เงียบเลย สบายเลย

นี่เราอยู่กับพี่น้องทั้งหลายเราก็อยู่ด้วยความว่างงาน พูดตรงๆ อย่างนี้ละ ว่างงาน งานกิเลสตัณหาที่จะให้ฆ่าให้ฟันรันแทงรบกันนี่ไม่มี หมด จะไปอะไรมาอะไรมันก็เป็นความว่างงาน อยู่อย่างนั้น เป็นคนว่างงาน ไม่มีข้าศึกตลอด ว่าอย่างนั้นเถอะพูดง่ายๆ ถ้าเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วว่างงาน คือไม่มีข้าศึกตลอด ถ้าเป็นฆราวาสว่างงานนี่มันจะตายแล้วไอ้นี่น่ะ เข้าใจไหม มันว่างงาน มันไม่มีงานทำมันไม่ได้สะแตกเข้าใจไหม ถ้าจิตว่างงานฆ่าหมดอะไรแล้วว่างงานว่างหมดตลอด อยู่ไปก็มีแต่มืดกับแจ้งๆ ไม่เห็นหมายอะไรสักอย่าง ธรรมชาตินี้มันจ้าอยู่

นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร สอนจริงเรื่องสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามนั้นเถิดจะไม่เป็นอื่น ต้องเป็นไปตามลูกศิษย์มีครูนั่นละ ให้พากันจำเอานะ นี่ก็ฟัดเต็มกำลังละ ในชาตินี้เป็นชาติที่สุดเหวี่ยงกับกิเลสตัณหา จะเป็นวาสนาอะไรมารวมกันก็ไม่ทราบ คว้าอะไรมันจริงในชาตินี้นะ มันจะถึงพร้อมกันอะไรไม่ทราบ ว่าอะไรเอาจริงๆ ให้เห็นถึงพริกถึงขิงๆ ไม่เหลาะแหละ เอาจนขาดสะบั้นเห็นผลประจักษ์ๆ มาเรื่อย

ทุกวันนี้ก็เป็นคนว่างงานแล้ว ไม่มีอะไรแก้ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ ดูดินฟ้านี้ก็นอกๆ นะ  ดินฟ้าอากาศดูนอกๆ ดูภายในสว่างจ้า นี่ละนิพพานเที่ยงอยู่ตรงนั้นนะ ไม่มีอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้อง นิพพานเที่ยง จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วนิพพานเที่ยง อันนั้นละ หรือธรรมธาตุ ธรรมธาตุกับนิพพานเที่ยงเป็นอันเดียวกัน เป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ นิพพานเที่ยงหรือธรรมธาตุ จิตเป็นธรรมธาตุ สังขารร่างกายมันเป็นของมันก็รู้ ธรรมชาติที่เป็นธรรมธาตุก็รู้ ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกัน ไม่มีวันคืนปีเดือนมาหาธรรมธาตุ กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาไม่มี นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง พากันจำเอา เอาละพอ

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก