ผลประโยชน์ที่เกิดเวลาทุกข์
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผลประโยชน์ที่เกิดเวลาทุกข์

รวมทองคำทั้งหมดถึงปัจจุบันคือวันนี้ได้ทองคำ ๑๑,๘๗๓ กิโล ๒๒ บาท ๓๑ สตางค์ ดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลลาร์

เมื่อคืนนี้มีหนาวบ้าง ว่ามันจะหนาวจริงๆ เห็นมันเริ่มหนาวตั้งแต่วัน ดึกมาว่าจะหนาวจริงๆ ก็ไม่จริง มันหลอกไปเฉยๆ หน้าหนาวพ่อแม่ครูจารย์ท่านแหลมคมมากทีเดียว.บรรดาพระเณรในวัดใครอยู่ตรงไหนๆ ท่านจะรู้หมดที่พัก ท่านไปหาดูจริงๆ อย่างที่ว่าผ้าห่มกันหนาวเหมือนกัน เราอยู่กระต๊อบตะวันออกกุฏิท่าน เราไปกุฏิ กุฏิมันสูงแค่นี้ ไปถึงนั่นปั๊บมองเห็นที่นอนอยู่ กุฏิสูงแค่นี้ ท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้เรา ซึ่งท่านก็ไม่เคยทำให้องค์ใดในวัดนั้น แต่ก่อนๆ เราสืบไม่มีนะเอาผ้าไปบังสุกุลให้

ที่สำคัญเราเองท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุล โห ท่านทำสวยงามมาก เป็นคติตัวอย่าง นอกจากท่านเอาผ้าบังสุกุลซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากแล้ว ยังตามมาด้วยของแปลกๆ อีก เวลาวางผ้าบังสุกุลทั้งเทียนทั้งดอกไม้ท่านทำสวยงามมาก วางไว้บนที่นอนของเรา ที่นอนเราแค่นี้ เปิดหน้าต่างไปก็เห็น ใครเอามาผ้าบังสุกุล ดูเป็นผ้าพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเอาผ้าห่ม แล้วไม่เอาผ้าห่มผืนใหม่ด้วยนะ เอาผ้าห่มผืนเก่า ผืนเก่าก็ผืนท่านเคยห่มอยู่นั้นแหละ ถ้าเอาผืนใหม่มามันก็มีเต็มวัด ท่านกลัวเราจะไม่เอา ท่านเลยเอาผ้าของท่านที่ห่มกลางเก่ากลางใหม่ไปบังสุกุลให้ กลางที่นอนเราเลย เราได้ห่มนะนั่น เพราะความเคารพท่าน ท่านเมตตาเรา เราเคารพท่านด้วยการรับสิ่งของไทยทานที่ออกมาจากเมตตาธรรมของท่าน เราก็น้อมรับด้วยความเคารพเต็มหัวใจ

ท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลวางตรงกลางที่นอน ที่ท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้เรานี้คือเราไม่เอาผ้าห่ม ไม่ใช้ผ้าห่มเวลาหน้าหนาว ให้ผ้าสามผืนเท่านั้น อยู่ในวัดก็ตาม ออกเที่ยวกรรมฐานก็ตามเราทำอย่างนั้น เราฝึกหัดตัวของเรา ถ้ามันนอนไม่หลับก็นั่งภาวนา บางคืนนอนไม่หลับจริงๆ เราเองละเป็นมันถึงชัด กลางคืนนอนไม่หลับเพราะมันหนาวมาก พระทั้งหลายท่านเอาผ้าห่มห่ม ท่านมีผ้าห่มแต่เราไม่มี ไม่มีเพราะอะไร เพราะเราไม่ให้ ดัดเจ้าของ

นั่นละท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้เรา ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเราก็จำต้องรับด้วยความเคารพ คือห่มให้ท่าน อย่างนั้นนะ ไม่ธรรมดานะเรา ท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลวางกลางที่นอน ท่านพับไว้เรียบร้อย มีเทียนมีดอกไม้วาง เห็นอย่างนั้นแล้วลงมา..กุฏิเราก็ไม่สูง ตอนนั้นอายุท่านยังไม่ถึง ๘๐ อยู่หนองผือ ท่านไปมาได้ธรรมดาๆ ท่านขึ้นกุฏิเรา กุฏิเตี้ยๆ ขึ้นไปบังสุกุลไว้เรียบร้อย ถ้าเป็นผู้น้อยทำกับผู้ใหญ่ก็ทำด้วยความเคารพจริงๆ แต่นี้ผู้ใหญ่ทำกับผู้น้อยทำด้วยความเมตตาจริงๆ ซึ้ง อย่างนี้เราก็ได้ห่มให้นะ

ปรกติเราไม่เอาผ้าห่ม หนาวไหนก็หนาวเถอะน่ะ ว่าอย่างนั้นเลย นอนไม่หลับก็ไม่นอนตลอดรุ่งเลย มีหน้าหนาว เราทำของเราอย่างนั้น บางคืนนอนไม่หลับก็ไม่นอน นั่งภาวนา จากนั้นก็เห็นผลทางด้านภาวนา เพราะท่านเคยภาวนามาก่อนแล้ว มาก่อนเราตั้งแต่เรายังไม่เกิดนี่ เวลามันนอนไม่หลับมันก็ภาวนา ทีนี้ภาวนาจิตเข้าข้างใน ข้อหนึ่งได้ผล จิตสงบเย็น สว่างไสว ข้อที่สองลืมแล้ว มี มีผลประจักษ์ อันหนึ่งจิตสงบเย็น ข้อที่สองอะไร เราทำอยู่ทุกปีนะนี่ เราไม่เคยมีผ้าห่ม ตอนหน้าหนาวๆ อย่างนี้แหละ แต่อย่าไปดูกุฏิเราเวลานี้นะมันมีแต่ผ้าห่ม เอาไม้ขีดไฟจุดก้านเดียวไหม้หมดหลังเลย เพราะผ้าห่มเป็นเชื้อให้ แต่ก่อนไม่มีจริงๆ ไม่เอา

พูดถึงเรื่องการประพฤติปฏิบัตินี้เราภาคภูมิใจในตัวเองนะ ภาคปริยัติท่านก็เรียนเราก็เรียน ไม่มีการติการชมใครต่อใคร แต่ภาคปฏิบัตินี้ เอา ใครเก่ง เอา บืน นั่น ภาคนี้เป็นภาคสำคัญมาก ไม่ได้นอน สำหรับผ้าห่มในหน้าหนาวเราไม่เคยเอานะ ไม่เอาจริงๆ มีผ้าสบง จีวร ผ้าสังฆาฏิ เอาผ้าสังฆากับผ้าจีวรพับครึ่งๆ ซ้อนกันพับครึ่งเลย เอาเท่านั้นละง่ายๆ ไม่หลับก็ไม่หลับ ก็มันเคยฟัดกันมาพอแล้วนี่ หลับหรือไม่หลับก็รู้เอง ก็เคยทำมาแล้ว เราไม่เคยเอาผ้าห่มติดตัวไป อยู่ที่ไหนก็ไม่เอาไป คือดัดเจ้าของไม่ใช่อะไร

นี่ละที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้เรา เราอยู่กับท่านมากี่ปีผ้าห่มมีหรือไม่มีท่านก็รู้อยู่ทุกปีๆ หน้าหนาว นอกจากเวลาไม่อยู่ บางทีหน้าหนาวเราเข้าป่าแล้วนะ อย่างนั้นท่านก็ไม่เห็น แต่ท่านเห็นมาเสียจำเจที่เราไม่ใช้ผ้าห่ม เราดัดเราด้วยวิธีการไหนท่านก็รู้ เช่นอย่างบิณฑบาตมาถึงวัด มีอะไรก็หยิบไว้เสียเล็กน้อยๆ จากนั้นก็เอาบาตรไสเข้าไปข้างต้นเสา เอาฝาบาตรปิด เอาผ้าอาบน้ำทับ แล้วไปจัดอาหารถวายท่าน

เราก็ไม่เคยทราบท่าน ท่านดูบาตรเราหรือไม่ดู ที่ไหนได้ท่านดู อย่างนั้นละแหลมคมมาก จอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบันคือหลวงปู่มั่นเรา ท่านใส่บาตรเราจนได้นะนั่น เราไม่เคยพูดกับใครก็ตามในวัดทั้งวัดนี่นะ บางทีมันโมโหนะ โมโหเป็นกิเลสหรือโมโหเป็นธรรมก็ไม่ทราบ คือดูหมู่ดูเพื่อนเวลาเข้าพรรษาสมาทานธุดงค์กัน มันก็คิดในวัดนะ ครั้นไปได้สองสามวันหมดไปๆ เรียวเหมือนหางงู สุดท้ายหมด ที่สมาทานธุดงค์แค่นั้นก็ไปไม่รอด ทั้งๆ ที่บิณฑบาตมามันก็มี อย่างน้อยข้าวในบาตรมี กับไม่มีมากก็มี มันก็ยังทำธุดงค์ที่สมาทานรับเฉพาะของในบาตรเท่านั้นให้ล้มไปได้

นี่เรายิ่งฟิตตัวเราหนักเข้า มองดูเพื่อนฝูงอยู่ด้วยกันมันเป็นเหมือนกับว่าหินลับปัญญา ไม่ยกโทษยกกรณ์ใคร แต่ทางไหนก็ล้มลงๆ อ้าว ถ้าเราล้มอย่างนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งแล้ว แต่เรามันไม่เคยคิดทำอะไรให้ล้มไปเลยไม่เคยมี ถ้าลงได้จับขาดกับมือเลย ก็นิสัยเป็นอย่างนั้น ทีนี้เห็นหมู่เพื่อนล้มเหลวต่อหน้าต่อตา สุดท้ายจนออกพรรษาไม่มีพระสมาทานธุดงค์เลย มันก็ดูหมู่ดูเพื่อนอย่างนั้น เราอยู่กับหมู่เพื่อนดู

พ่อแม่ครูจารย์ใส่บาตรจนได้นะ ท่านเห็นจนได้ เราเอาบาตรมาวางไว้ข้างฝา เอาไปซุกไว้อย่างนั้นละเราทำ ท่านดูเมื่อไร แต่อยู่ๆ ท่านก็ใส่บาตรเราปุ๊บเลย แต่ท่านไม่ใส่บ่อยๆ นะ นานๆ ท่านใส่ทีหนึ่ง เพราะท่านเห็นว่าเราเอาจริงเอาจัง ด้วยเหตุนี้เราอยู่ในวัดพระเณรจึงกลัวเรา อยู่หนองผือกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ดีไม่ดีจะกลัวเรามากกว่าท่าน ระวังเรามากกว่าท่าน เพราะท่านไม่ค่อยลงมา ไอ้เรามันสอดมันแทรก ไปไหนตาแหลมคมด้วย ดูหมู่ดูเพื่อนใครเกะกะระรานตรงไหนๆ มันเห็นหมดนี่ เอามาสอน ดุด่าว่ากล่าวก็มี พระเณรก็กลัวละซี

ท่านอยู่กุฏิท่านไม่ค่อยลง แต่เราลงทุกเวล่ำเวลาไปได้ ดูพระดูเณร พระเณรกลัวเรามาก อยู่หนองผือนาในกับพ่อแม่ครูจารย์ สุดท้ายเลยกลัวเรามากยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์ เพราะไม่ค่อยได้พบท่าน ไอ้เรานี่พบอยู่เรื่อย พบอยู่เรื่อย ต่อยกันอยู่เรื่อย หยิกกันอยู่เรื่อย กัดกันอยู่เรื่อยใช่ไหมล่ะ มันก็ระวังซิระวังเรา เป็นอย่างนั้นอยู่กับหมู่กับเพื่อน มันทำให้อ่อนใจ อ่อนใจในการประพฤติปฏิบัติของหมู่ของเพื่อน อย่างนี้มันจะไปได้เหรอ ก็ยิ่งฟิตตัวเข้า หนักเข้าละเรา

นั่งภาวนาตลอดรุ่งๆ ก็เคยเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังไม่ใช่เหรอ ก้นแตกก็เคยเล่า แตกจนเลอะเรา พ่อแม่ครูจารย์มั่นละมารั้งเอาไว้ คือนิสัยมันผาดโผน ทำอะไรมักจะได้มีผู้สอนน่ะรั้งเอาไว้ ถ้ามันจะผาดโผนเกินไปท่านก็รั้งเอาไว้ ท่านยกข้อเปรียบเทียบปั๊บมันเข้าใจทันที นี่พูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านฝึกอบรมพระ ท่านไม่ว่านะ เฉย แต่เราฟิตตัวเราเอง ยิ่งเข้มข้น ยิ่งหมู่เพื่อนธุดงค์ล้มไปเท่าไรเรายิ่งเข้มข้น ใครมาแตะบาตรเราไม่ได้ แต่พ่อแม่ครูจารย์ท่านเห็นเอาบาตรไปซุกไว้ เวลามาจัดอาหารใส่บาตรท่านเสร็จแล้วก็ไปเอาบาตรออกมา ท่านเตรียมไว้แล้วที่จะใส่บาตรเรา มาปุ๊บปั๊บ มองไม่ทันนะ จับฝาบาตรเปิดเลย

เราจะว่าอย่างไร ขอใส่บาตรหน่อยท่านมหาๆ ศรัทธามาสาย ท่านว่าอย่างนี้ ท่านหาอุบายพูดไป เราก็รับถ้าเป็นท่าน แต่ท่านไม่ได้ใส่ซ้ำๆ ซากๆ นะ ท่านก็ระวังเหมือนกัน เพราะท่านเป็นอาจารย์ของเรา เราทำอย่างนี้ ท่านทำอย่างไร ท่านต้องเป็นอาจารย์ของเราทุกขณะ กระทำลงไปเลอะเทอะให้ผู้น้อยเห็นผู้น้อยดูถูก จะว่าอย่างนั้นแหละ พ่อแม่ครูจารย์เป็นอย่างนั้น เรานี่ไม่เอาใครเป็นครูเลย ไปอยู่ที่ไหนก็เอาเจ้าของเป็นครู เด็ดตลอดเวลาเลย ไม่เอาใครมาเป็นครู เพราะเป็นครูล้มเหลวหมด มันเป็นไม่ได้นะ เจ้าของต้องฟิตเจ้าของหนักแน่นขึ้นทุกวันๆ

เป็นอย่างนั้นละ ที่ได้ธรรมมาสอนหมู่สอนเพื่อนทุกวันนี้ได้มาด้วยวิธีไหน ฟังเอาซิน่ะ ถ้าว่านั่งภาวนาก็จนก้นแตก นั่งตลอดรุ่งๆ คือนั่งคืนแรกมันออกร้อน มันไม่แตกละ พอนั่งซ้ำกันเข้าไปพอออกร้อน จากออกร้อนแล้วมันก็พอง ตลอดรุ่งมันไม่ถอยนี่ ฟาดเข้าไป มันสนุกดี วันไหนมันจะเป็นจะตายจริงๆ มันได้ธรรมอัศจรรย์ขึ้นมาทุกคืนๆ จากการทรมานหนักๆ อย่างนั้น นั่นละมันก็เอา ถ้าคิดถึงเรื่องความทุกข์ก็อ่อนใจในการฝึกทรมานตนเอง ถ้าคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเวลาทุกข์ทับถมมากๆ เราก็พอใจ มันมีผลขึ้นมาด้วยกัน ผลเบื้องต้นก็คือบอบช้ำร่างกายมาก ถ้าจิตไม่ลงง่ายบอบช้ำมาก ถ้าจิตลงง่ายไม่บอบช้ำ นั่งตลอดรุ่งนะ นั่นละลำบากตอนนั้น ร่างกายก็ลำบาก จิตก็ได้ผลในเวลาเช่นนั้นละ มันก็ต้องบืน บืนทำความเพียร ให้พร

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก