เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ว่างงานภายในใจ
ที่ไปตอนเช้าๆ ทุกวันๆ เราเอาของไปมอบให้โรงพยาบาลแต่ละโรงๆ ทุกวัน วันนี้ไปโรงนั้น วันนั้นไปโรงนั้น โรงพยาบาลอำเภอ แต่โรงพยาบาลจังหวัดไม่ได้ไป แต่สุดท้ายก็ไปที่จังหวัดเลย จังหวัดเลยรู้สึกว่าขาดแคลนกว่าทุกจังหวัดบรรดาโรงพยาบาลทั้งหลาย เราเลยไปโรงพยาบาลจังหวัดเลย แล้วมีสองโรงด้วย โรงหนึ่งโรงพยาบาลจังหวัด โรงหนึ่งโรงจิตตเวช เราไปให้ทั้งสองโรง นี่หมายถึงตัวจังหวัด ตามธรรมดาเราไม่ไปตามจังหวัดนะ เราจะไปให้โรงพยาบาลอำเภอๆ แต่ละจังหวัดเราไม่เข้า จังหวัดเลยนี่เข้า จังหวัดเลยรู้สึกจะขาดแคลนกว่า..
ทองคำเราได้อยู่แทบทุกวัน เข้าคลังหลวงหมด สำหรับทองคำไม่แยกไปไหน ทองคำได้ ๑๑,๘๖๘ กิโล นี่ได้ ๑๑,๘๖๘ กิโลแล้วนะทองคำ หาเข้าทุกด้านทุกทางเรา เทศน์สอนประชาชนก็รู้สึกจะไม่มีใครแซงหน้าเราละ เทศน์มากที่สุด ยิ่งตอนช่วยชาติ เทศน์ไปหมดเลยนะ ตอนที่ว่ากำลังช่วยชาติอยู่ดูว่าเทศน์มากที่สุดคือเรา ว่าขนสมบัติเข้าส่วนรวมๆ ก็คือเรา เราพูดตรงๆ เราไม่เอาอะไร ไปที่ไหนได้ที่ไหนๆ มอบเลยๆ เราไม่เคยเก็บ เขียนไว้นั่นว่าเงินเรียกว่าวัดป่าบ้านตาดไม่เก็บ ก็เป็นไปตามนั้นตลอด เราไม่เก็บ ออกช่วยโลกทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้ความเมตตามาแทนที่หมดนะ ความเมตตาเข้ามาหัวใจแทนทุกอย่างที่เป็นพิษเป็นภัยนี้หมดนะ ได้อะไรมามีแต่จะให้ๆๆ แม้ไม่มีก็อยากให้อยู่แล้ว เป็นอย่างนั้น อันนี้มันขึ้นมาอย่างไร มันก็ขึ้นมากับจิต แล้วนิสัยมันก็เป็นมาอย่างนั้น ไม่ว่าใครนะ นิสัยอยากทำบุญให้ทานมันก็ติดตัวมา ติดตัวมา นิสัยตระหนี่ถี่เหนียวมันก็ติดมา เมื่อทางไหนเด่นกว่าทางนั้นก็ออกแสดง
เช่นความตระหนี่ถี่เหนียวมีมากภายในจิตใจของใครมันก็แสดงออก เห็นแก่ได้แก่กิน เห็นแก่เอารัดเอาเปรียบ ได้ทางไหนเอาทางนั้น ได้ทางไหนเอาทางนั้น เรื่องของกิเลสมีแต่จะเอา ที่จะให้ไม่มี เรื่องของธรรมมีเท่าไรก็อยากให้ๆ มีมากมีน้อยมีแต่อยากให้ คำว่าอยากเอาไม่มี สุดท้ายเต็มหัวใจมีแต่เมตตา เมตตาก็ความอยากให้ อยากสงเคราะห์เต็มไปหมด เป็นอย่างนั้นอธิษฐานปฏิบัติธรรม
การที่จะพูดออกมาอย่างเปิดเผยแจ่มแจ้งนี้ ทางโลกเขาว่าอวดดิบอวดดี อวดรู้อวดฉลาด อยากคุยอยากโม้ทางโลกเขา แต่ทางธรรมนี่พูดตามหลักความจริงก็เป็นอย่างนั้น คือเป็นอย่างไรรู้อย่างไรเห็นอย่างไรเวลาพูดออกก็พูดตามรู้ตามเห็น ดังพระพุทธเจ้านำธรรมมาสอนโลก ท่านเอาอะไรมาสอน ก็ออกจากความเมตตาท่าน มีอะไรท่านสอนโลก มีมากมีน้อยก็อยากสอน เพราะความเมตตาอยู่ในนั้น มีมากมีน้อยก็คือความเมตตาอยู่ในนั้นทั้งนั้น
นี่ก็จวนจะตายแล้ว มียิบแย็บออกเสียบ้าง เพราะจวนจะตายแล้วนะ อายุ ๙๖ อยู่ไปไม่กี่ปี ใครจะถือเป็นคติตัวอย่างก็ให้ถือ การพูดออกมาที่จะให้เป็นทำนองของกิเลสซึ่งเคยเป็นมาทุกแห่งหนนั้นไม่เป็น จิตดวงนี้หมด หมดแล้วที่จะพูดเพื่อโอ้เพื่ออวดเพื่อให้เขาเคารพนับถือไม่มี ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วคือเมืองพอ พออย่างสุดยอดอยู่ตรงนั้น แล้วอะไรใครจะเอามายื่นให้ๆ ไม่สูงกว่านี้ เข้าไม่ติด เข้าไม่ติด เขาจะมาชมเชยก็ไม่ติด เขาจะมาสรรเสริญก็ไม่ติด เพราะทั้งสองอย่างนี้สู้ธรรมชาติอยู่ภายในใจ คือธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมทั้งแท่งนี้ไม่ได้ อันนี้มีน้ำหนักมากกว่า
โลกนี้เคยได้ฟัง ไม่เคย เราเองเราก็ไม่เคยได้ยินจากที่ไหน มันก็มาเป็นในหัวใจ ปรากฏในหัวใจ รู้ในหัวใจ ทีนี้เมื่อเวลาจะคุยก็พูดได้เต็มปาก ไม่กระดากอาย เพราะไม่หวังความเยินยอสรรเสริญอะไร พูดตามหลักความเป็นจริงให้เป็นประโยชน์ เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้มาศึกษาอบรมเท่านั้น เพราะอย่างนั้นเราจึงพูดได้ พูดอย่างนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ว่าในชาตินี้เราเป็นคนว่างงานมานานแล้ว ได้ ๕๘ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นแหละเป็นวันพอ พอในจิต พอในธรรมทั้งหลาย
ทีนี้พอนั้นแล้วจะเผดียงให้ใครฟังให้เป็นคติก็พูดได้ เขาจะว่านักโม้โอ้อวดอะไรนี้มันก็ไม่มีในใจ อย่างเวลานี้เราบอกว่าเราเป็นคนว่างงานก็ไม่ผิด ทำอยู่อย่างนั้นละทำงาน ไปอย่างนั้นละไปในงานนิมนต์ต่างๆ สงเคราะห์โลกเราก็ไปๆ แต่มันเป็นคนว่างงานอยู่ภายในใจ ว่างหมด บรรดากิเลสตัณหาภพชาติรวมแล้วเรียกว่าแดนสมมุติ ลบหมด ไม่มีอะไรเหลือในใจเลย นี่ละงานอยู่กับกิเลส กิเลสพาหมุนพาเวียนพาดีดพาดิ้น เมื่อกิเลสสิ้นซากไปแล้วตัวพาหมุนพาเวียนไปตามๆกัน แล้วเหลือตั้งแต่ความว่างเปล่าของจิต คือว่างแบบอัศจรรย์นะอยู่ในจิต นอกนั้นไม่มี
ทีนี้มารวมแล้วก็เลยว่าเป็นจิตที่ว่างงานทุกอย่าง แล้วมารวมเป็นคนก็เป็นคนว่างงาน มารวมเป็นเราก็เราว่างงาน ว่าอย่างนั้น ใครจะว่าเราคุยหรือไม่คุยก็ให้ว่าเอานะ เราปฏิบัติธรรมมาได้กี่ปีแล้ว บวชมากี่ปี (๒๔๗๗ บวช ๗๔ ปีครับ) นั่นละที่บวชมาบำเพ็ญความดีมาตลอด ๒๔๗๗ ที่ออกบวช ตั้งแต่นั้นละเรื่อยมา ออกกรรมฐานยิ่งแล้ว มุ่งจะชำระกิเลสออกจากจิตใจโดยถ่ายเดียว พอออกกรรมฐานก็เรียกว่าซัดกันละ ขึ้นเวที ตั้งแต่บัดนั้นมาจนป่านนี้ละ
มาถึงขั้นจิตว่างงาน งานยุ่งงานเหยิงงานหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอยู่ที่จิต ทีนี้พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วงานหมุนเวียนหยุดหมด งานกวนใจหยุดหมด ไม่มี มีแต่เรื่องงานสงเคราะห์โลกทั้งนั้น พิจารณา เช่นเดินจงกรม นั่งสมาธิ อันเป็นกิริยาอย่างเปิดเผยนะ อยู่ธรรมดาเป็นอย่างหนึ่ง เช่นออกเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เป็นความเพียรอันเปิดเผยของชาวพุทธผู้หวังความพ้นทุกข์ หวังบุญหวังกุศล แล้วเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา หวังอันนั้นแหละ
แต่นี้ผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มี เดินไปก็เดินไปเพื่อพิจารณา อย่างธรรมลึกตื้นหยาบละเอียดแค่ไหนๆๆ ในธรรมแง่นั้นๆๆ แง่ต่างๆ เพราะธรรมมากต่อมาก เข้ากันได้กับใจ ใจจะเป็นผู้พินิจพิจารณาธรรมลึกตื้นหยาบละเอียดได้โดยถ่ายเดียว นอกนั้นไม่มีอะไรมาคิด นั่นละที่เราเดินจงกรม เดินรำพึงธรรม บางทีเดินจงกรมคุยกับเทพอยู่ก็ได้ มันหลายแบบนะ เดินจงกรมนี่หัวใจคุยกับเทพพวกเทพก็ได้ นั่นละมันมีหลายแบบนะ นั่งภาวนานั่งคุยกับเทพอยู่ก็ได้ แล้วแต่นิสัยของใครหนักทางไหน ถ้าผู้มีนิสัยไปทางนั้น คุยกับเทพกับอะไรไป ทีนี้ผู้ไม่มีนิสัยอันนั้น มีอย่างอื่นก็พิจารณาไปตามทางที่ตัวเองสนใจ เป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าจะพูดว่างงานนี้เราพูดให้ลูกศิษย์ฟัง ลูกศิษย์จะมาโจมตีอาจารย์เป็นนักโทษ มหันตโทษก็ได้ แต่จะเป็นหรือไม่เป็นก็ตาม ใครจะเป็นผู้หอบกรรมหอบเวรอย่างนั้นไม่มี อย่างที่ว่าเราอยู่ทุกวันนี้เราอยู่ด้วยความว่างงาน พูดตรงๆ ว่างหมดเลย ไม่มีอะไรมาได้ ๕๘ ปี กิเลสหลุดไปเสียอย่างเดียวเท่านั้นมันว่างหมดเลย กิเลสเป็นขวากเป็นหนาม เป็นแหลมเป็นหลาว เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ มันมีมากมีน้อยจะแสดงฤทธิ์ตามมันมี พออันนี้หมดแล้วจิตนี้ว่าง ความว่าสุขว่าทุกข์อย่างโลกรับกันนั้นไม่มีในจิตดวงนั้น ว่าบรมสุขไปเสีย มันเลยสมมุติแล้วนั่น ที่ว่าความสุขความอะไรนี้อยู่ในแดนสมมุติ ความสุขของท่านผู้สิ้นกิเลสนี้ไม่เหมือนกันนะ ความสุขผู้สิ้นกิเลสนี้ว่าสุขไม่มีที่ไหน สุขแบบนิพพานเที่ยง เป็นอย่างนั้น
นี่เราจวนจะตายแล้วเราเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่างนี้เราไม่เคยสนใจที่จะไปพูดให้ใครฟังนะ เป็นที่รักที่สงวนของตัวเองด้วย มากที่สุดเลย ไม่ไปคุยเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไรๆ หากว่าจะคุยก็ในวงปฏิบัติด้วยกัน วงปฏิบัติถ้าไม่เชื่อใจก็ไม่คุยด้วย ต้องเป็นผู้ที่เชื่อใจ รู้เหตุรู้ผล รู้หลักรู้เกณฑ์ รู้หลักฐานของธรรมจากการปฏิบัติด้วยกัน นั่นพูดกันได้ เป็นอย่างไรจิตเป็นอย่างไรอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นๆ เล่าตลอด จนกระทั่งจิตพ้นทุกข์ไป เล่าให้ฟังได้อย่างตลอด
นี่ก็ปฏิบัติมา ก็มาตัดสินใจกับกิเลสตัวหมุนเวียนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ตัดสินกงจักรที่มันหมุนหัวใจ คือกิเลสเป็นกงจักรหมุนหัวใจออกแล้วเป็นธรรมจักรขึ้นมาแทน ธรรมจักรหมุนนอกโลกหมุนไปด้วยความเมตตา ไม่หนักไม่เหนื่อยหมุนอยู่ตลอด พอกิเลสออกแล้วความเมตตาเข้าแทน อันนี้ก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาอีกนะ ความเมตตามีมากมีน้อยตามนิสัยที่เคยสั่งสมมา ผู้มีความเมตตามากก็แสดงออกมาก ถึงกิริยาอาการก็มี เช่นช่วยโลกช่วยสงสารนี่ออกๆ มาก ผู้ไม่มีก็ออกอยู่ภายในใจ
ฟังเสียท่านทั้งหลายฟังอยากฟัง ปฏิบัติมานี้ไม่ได้เอาธรรมโกหกมาปฏิบัติ เจ้าของปฏิบัติรอดล้มรอดตายมาก็ไม่เคยปฏิบัติแบบโกหกเจ้าของนะ นี่จึงพูด มันจวนจะตายให้ใครได้เป็นข้อคิดบ้างนะ เพราะเราทำมานี้รอดตายเรามา ที่ได้มาสอนโลกทุกวันนี้เราไม่ได้สอนด้วยความโอ้อวด สอนด้วยความเมตตาล้วนๆ ที่ควรจะสอนมากสอนน้อยก็สอนไปตามนั้นละ ไม่มีคำว่าที่อยากโอ้อยากอวด โอ้อวดไปหาอะไร ความโอ้ความอวดมันต่ำที่สุดแล้ว ธรรมอันนั้นสูงสุดมันเข้ากันได้เมื่อไร พิจารณาซิ
เอาเดี๋ยวนี้ละเอาสดๆ ร้อนๆ ความโอ้ความอวด ความอยากสรรเสริญเยินยอเหล่านี้มันต่ำสุด เป็นกองมูตรกองคูถ แล้วกับธรรมชาติที่ธรรมทั้งแท่งนั้นละ ธรรมธาตุนั้นมันต่างกันอย่างไรบ้าง ธรรมธาตุจิตของท่านผู้ทรงธรรมที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วอยู่ในร่างนี้แหละ ร่างนี้สกปรกเหมือนกันหมด แต่จิตนี้เป็นธรรมธาตุเป็นธรรมธาตุเหมือน กัน จิตที่หลุดพ้นจากทุกข์แล้วเป็นธรรมธาตุไม่ต้องถามกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระสาวกทั้งหลายทุกพระองค์ บรรดาพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสทุกพระองค์ท่านไม่ได้ถามกัน เหมือนกันหมด ไม่ได้ถาม ที่ถามหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนให้ถามอันนี้นะ ให้ถามตัวเป็นอยู่นี้ เข้ากันได้หมด เป็นอันเดียวกันเลย
วันนี้เปิดให้ฟังชัดๆ เสียนะ เคยได้ยินไหมธรรมะประเภทนี้ ไม่เคย พูดง่ายๆ เพราะนี้ก็ไม่เคยพูดออกหน้าออกตา นอกจากลูกศิษย์ลูกหานี้เวลาจะออกก็ออกบ้าง ออกหนักออกเบาออกจนทุ่มไปเลยก็มี นั่น แล้วออกไปแล้วหายเงียบเลย เหมือนไม่ได้พูดนะ ไม่ได้เป็นอารมณ์กับคำพูดหนักเบามากน้อย หรือดุด่าว่ากล่าวอะไรเหมือนกัน พูดแล้วแล้วเลย ไม่ได้เป็นอารมณ์กับใคร เพราะไม่ได้พูดด้วยความโมโหโทโสซึ่งเป็นตัวกิเลส พูดด้วยอรรถด้วยธรรม รุนแรงด้วยอรรถด้วยธรรม กำลังก็เป็นกำลังของธรรมต่างหาก ไม่ได้เป็นกำลังของกิเลส
นี่เรียกว่าเป็นคนว่างงานก็ไม่ผิด วางหมด ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงภายในจิตใจ มีแต่รับผิดชอบในธาตุในขันธ์กับสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นธรรมดาไปธรรมดา ไม่ได้เข้าไปถึงจิตล่ะ นี่ละปฏิบัติธรรมเมื่อมันถึงขีดแล้วมันไม่มี ท้องมหาสมุทรก็ไม่กว้างยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์นี้ครอบโลกธาตุ มันของเล่นเมื่อไร น้ำมหาสมุทรมันก็มีขอบมีเขตมีฝั่งมีฝา กว้างแสนกว้างมันก็มีฝั่งมีฝาของมัน แต่จิตที่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วครอบโลกธาตุเลย นั่นมันกว้างกว่าน้ำมหาสมุทรเป็นไหนๆ ให้พากันจำเอานะ
วันนี้พูดเพียงเท่านี้พอแล้ว
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|