เมื่อวานนี้ใครโทรไปจากทางนี้ไปบอกทางวัดดอยธรรมเจดีย์ เราถามพระถามคนขับรถก็บอกไม่ได้โทร ไปทางโน้นเตรียมพร้อมแล้วนี่ เต็มอยู่หน้าศาลา ถามพระไม่ได้เรื่อง ๆ แล้วทราบมาจากไหนพวกนี้ ว่าทราบมาจากทางอุดรฯ โธ่ จากทางอุดรฯ ไปเห็นเตรียมพร้อมแล้วพระเต็มไปหมด พวกแม่ครัวก็เหมือนกันมารออยู่ มายังไงผิดปกตินี่เราแอบ ๆ มา เรามาแบบเงียบ ๆ ของเราไม่ส่งข่าวให้ทางนี้ ที่ไหนได้ทางโน้นเขาก็แอบ ๆ มาเหมือนกัน ต่างคนต่างแอบ เราก็แอบไปเขาก็แอบมาอยู่นั่น มารับกันที่นั่น ไม่ได้พักนาน
ท่านแบนก็ไปผ่าตัดที่ปอด ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วออกไปพักอยู่ เขาก็บอกแล้วที่แต่เราจำไม่ได้ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ว่าเป็นจุดที่ปอด รถวิ่งจากวัดดอยฯ มาถึงที่นี่เป็นเวลา ๒ ชั่วโมง ๑๒ นาที อันนี้ขึ้นอยู่กับรถมากรถน้อยที่ช้าหรือเร็วนี่ ถ้ารถมากก็ต้องรอ รอทุกแบบ รอแซงรอสวน ใครอยากสวนก็สวนไปได้ เอ้า ทางโน้นมาก็ต้องรอ แซงก็ต้องรอ เลยติดกันยาวเหยียดเลย มันก็ต้องช้าไปเรื่อย ๆ แหละ
อย่างเมื่อวานนี้มาเราดูนาฬิกา ออกจากโน้นมาถึงที่นี่เป็นเวลา ๒ ชั่วโมง ๑๑ นาที จากนี้ไปถึงวัดดอยฯ ทางดีตลอดเลย จากบ้านโคกออกไปหาวัดดอยฯ ๖ กิโล เขาเขียนไว้ข้างทางจะแยกขึ้นวัดดอยฯ ว่าทางแยก ๖ กิโล พระมี ๓๗ องค์ เณร ๑ เป็น ๓๘ เรียกว่าน้อยมากว่างั้นเถอะ สำหรับวัดดอยธรรมเจดีย์ไม่เคยน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เพราะสถานที่อำนวย กว้างขวางมาก เป็นทำเลอบรมได้เป็นอย่างดี พระ ๖๐-๗๐ ก็อยู่ได้สบายเพราะที่กว้างมาก เป็นที่สงัดตลอด เรียกว่ารอบภายในวัด เนื้อที่ดูจะประมาณสักพันขึ้นไปไม่สงสัยแหละ จะกี่พันไร่ก็ไม่ทราบ พูดได้แต่ว่าพระ ๗๐-๘๐ องค์นี้สะดวกหมด อยู่ที่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น ใครจะอยู่ที่ไหนอยู่ได้สบาย ๆ สงัดตลอดเลย
วัดนาคำน้อยนี้ก็พันกว่าไร่ อันนี้ก็สะดวกมากอยู่ ทั้ง ๆ ที่เนื้อที่ไม่ได้กว้างอย่างวัดดอยธรรมเจดีย์ แต่ก็สะดวกมากพวกสัตว์พวกอะไร เวลานี้วัดนาคำน้อยเป็นคลังของสัตว์แล้วนะ คือสัตว์ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขอยู่ในบริเวณวัด พวกปลานี้สามสระสี่สระใหญ่ ๆ คือสระนี้เราจ้างเขาไปลอกให้เลย มันเป็นอ่างไม่อยากว่าแอ่ง แอ่งมันเล็ก อ่างใหญ่เลยเทียว แล้วเอารถไปลอกขึ้นหมด ๆ เลย ตั้งสามสระ ที่สระใหญ่ ๆ นะ ทั้งหมดมันสี่สระ ที่เราลอกเต็มเหนี่ยวก็สามสระในเวลาที่เราให้เขามาทำรั้วนั่นแหละ ก็ว่าจ้างรถเขามาเลย พวกสระเหล่านี้ปลาเต็มไปหมด แล้วยังมีทางออกทางเข้าของมัน
น้ำที่ไหลทั้งแล้งทั้งฝนนี้มันก็ผ่านสระน้ำผ่านวัดไปด้วย สะดวกมากทีเดียว ปลานี้ถ้าหน้าแล้งมันก็เข้าไปอยู่ในวัดเสีย พอหน้าฝนมันก็ออกเที่ยวได้ทุกแห่งทุกหนเลย แพร่พันธุ์ไปในที่ต่าง ๆ ออกจากสระนี้นะ คือจากสระใหญ่ เขาเรียกแม่น้ำลาง แม่น้ำลางนี้มันไหลทั้งแล้งทั้งฝนผ่านในวัดออกทะลุเลย ปลาอยากจะออกหน้าฝนก็ออกได้สะดวกสบาย พอหน้าแล้งมันก็กลับเข้ามาอยู่ที่เก่า จึงว่าสะดวกมากสำหรับปลา แล้วนกเป็ดเวลานี้กำลังจะร่วมพันแล้ว นกเป็ดน้ำที่อยู่ในสระเวลานี้ร่วมพันแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หนาวเท่าไรนะ ถ้าหนาวเท่าไรยิ่งมา มาเต็มอยู่นั้น นี่ก็ให้ความอบอุ่นความปลอดภัยแก่สัตว์มากทีเดียว
พวกนกเป็ดนี้เขาก็อยู่ตามที่เขาเคยอยู่ ชอบที่ไหนเขาก็อยู่ สระใหญ่ดั้งเดิมเขาอยู่นั้นมาก ทีนี้กระจายออกมาสระอื่นอีกแต่ไม่มากนัก สู้สระนั้นไม่ได้ เพราะสระนี้เพิ่งลอก ต้นไม้ยังไม่ขึ้นตามรอบสระ เขาต้องหาที่ปลอดภัย เพราะพวกนี้มีลูกมีเต้าครอบครัวเหมือนกันกับเรา เขาระวังเหยี่ยว อันตราย เขาพาลูกของเขาอยู่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ข้างริมสระที่เป็นป่า ๆ เหล่านั้น ถ้าออกแผว ๆ (แผว = ปรากฏ,เห็น) จริง ๆ เขาก็ไม่กล้าออกไป เพราะพวกเหยี่ยวมันจับอยู่โน้น เกาะโน้นปั๊บลงเลยเอาเลย พวกนี้ฉลาดมาก
เราไปวันนั้นเราไปถามละเอียดลออเกี่ยวกับพวกนกเป็ดน้ำ เวลานี้ไม่ถึงพันแล้วเหรอ คงร่วมพัน มืดไปเลย พอตกเย็นนี้ออกหากิน พอตีสี่ตีห้าหลั่งไหลเข้ามาเต็ม ตามสระนี้เต็มหมดเลย อยู่ในนั้นสบาย ๆ เวลาคนไป ส่วนมากพระไม่ค่อยไปแหละ ไม่ค่อยไปกวนเขา ก็มีแต่พระเท่านั้นอยู่ในวัดที่จะเข้าไปตามริมสระ ไม่มีใครมีแต่พระ เดินไปเขาก็อยู่ของเขาสบาย ๆ เฉย พวกนี้รู้เรื่องได้ดีกับพระ พวกนกเป็ดนี้รู้เรื่องของวัดของพระได้ดี เพราะพวกนี้อยู่กับพระมาตลอด เขาออกมาจากทางเมืองจีนหรือเมืองไหน ก็ต้องมาเมืองไทย มาเมืองไทยนี้ผ้าจีวรตากที่ไหนเขาจะลงดูเลย มีสระน้ำที่ไหนเขาอยู่
นั่นละจีวรนี้เป็นเครื่องหมายของนกเป็ด คิดดูซิแต่สระเล็กเรานี่มันก็ยังมาลง มีทีละสองตัว คือเขามาดูลาดเลา มันน่าอยู่ไหม เราสงสัยเลยถามพวกในครัว เราเดินเข้าไปตอนบ่ายสี่โมงมั้ง เห็นมันเล่นน้ำอยู่ อ้าว นกเป็ดทำไมมีสองตัวมาเล่นน้ำยังไงกันนี่ ใครเอานกเป็ดมาปล่อย มันไม่กลัวเราเลย เขาเฉยเขาเล่นน้ำอยู่นั่น เราอยู่ข้างบน นี่หัวหน้าเขา พวกนี้พวกกล้าตาย พวกนี้เข้าไปก่อนไปดูลาดเลา อยู่สักเดี๋ยวเขาก็ไป เขามาเรื่อยนะมาดูสระเรานี่ ถ้าใหญ่กว่านี้เขาจะอยู่ แต่นี้มันเล็กเขาไม่อยู่ อย่างนี้เขาก็ยังอยู่
เพราะฉะนั้นสถานที่ใดที่มีเหมาะสมสำหรับพวกนกเหล่านี้แล้วในบรรดาวัดทั้งหลาย เขามักจะไปอยู่ที่นั่น เพราะเขาหาที่ปลอดภัย อย่างวัดหลวงพ่อตันแต่ก่อน โถ มากจริง ๆ ขึ้นไปนี้เป็นแผ่นไปเลย กลางวันนะ เราเดินไปขอบ เขาเรียกว่าตากแดดหรือตากอากาศ เหมือนพวกฝรั่งอยู่พัทยานั่นแหละ เขาตากอากาศดารดาษอยู่นั่น นกเป็ดเต็มไปหมดเลยนะ เฉย เขาไม่สนใจกับเรา นี่กลางวัน พอตกเย็น ๆ ห้าโมงเย็นหกโมงเย็นนี้บินออกไปหมดไปเที่ยวหากิน พอตีสามตีสี่เริ่มมาแล้ว เต็มอย่างนั้นเป็นประจำ มีมาก เวลานี้ไม่ค่อยมีนะ
อันนี้ก็น่าจะขึ้นอยู่กับวาสนาของผู้คุ้มครองวัดก็ได้ อย่างวัดหลวงพ่อบัว หนองแซง แต่ก่อนมีมาก เวลานี้ดูน่าจะไม่มีแล้ว อย่างนั้นนะ ในสระนั้นเต็มไปหมด เต็มสระ หลวงพ่อบัวอยู่นั้น เราเคยไปนอนอยู่ในสระกลางน้ำดูเขา เต็ม พอหลวงพ่อบัว หนองแซง ล่วงไปก็ค่อยจางไป ๆ เดี๋ยวนี้ดูจะไม่มีนะ นี่ที่ว่าวัดนาคำน้อยนี้เป็นที่อยู่ของสัตว์ได้เป็นอย่างดี พวกหมูป่านี้เต็มไปหมดเวลานี้ ยิ่งมากขึ้นนะหมูป่า แล้วเดี๋ยวนี้มาอาศัยกินกับคนอีกด้วย กินกับคนแบบออกหน้าออกตา แต่ก่อนเราเอาพวกมันพวกอะไรนี้ เราให้รถคันหนึ่งเลยนะ อย่างนั้นเวลาจะให้ ไม่ขอก็ให้ ให้รถกระบะคันหนึ่งเพื่อจะได้บรรทุกมันไปหาเอาตามไร่ตามสวนเขา บรรทุกมันมาแล้วก็มาแจกเป็นแห่ง ๆ ทั่ววัด ให้พวกหมูกับสัตว์เหล่านี้กิน
เวลานี้เขามากินข้าวกับคนแล้วนะเดี๋ยวนี้ มันทะลึ่งเข้ามาเรื่อย ๆ พวกหมูป่าตั้ง ๒๐ กว่าว่างั้น ตอนพระท่านล้างบาตรเขามารอตามนั้นเลย เอาแล้วนะเดี๋ยวนี้ พอเทข้าวนี้เขามากินแหละ ทั้ง ๆ ที่เราก็ให้ ทางอื่นก็ให้ แต่ก็ไม่พ้นที่จะมากินกับพระ ก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เต็มแล้วว่างั้น พอล้างบาตรเขาจะมารออยู่ตามนั้น พอล้างบาตรแล้วสาดออกไป ๆ เพราะบาตรลูกไหนก็ข้าวเต็มบาตร สาดไปเขาก็มาเก็บกินเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ออกมากแล้วหมูป่า ที่ไม่มาก็เยอะ นั่นฟังซิ
แล้วก็พวกลิง ลิงนี้ต้องจับไปปล่อยเรื่อย ๆ มันมากต่อมาก ไปปล่อย ไปปล่อยวัดเหมือนกัน วัดดงอย่างเดียวกัน วัดนี้จึงรับสัตว์ได้มาก ให้ความอบอุ่นแก่สัตว์ได้มาก พวกปลาก็เต็ม พวกนกเป็ดน้ำก็เต็ม พวกลิง ค่าง มีเต็ม หมูป่า มีเต็มไปหมดเดี๋ยวนี้ อีเก้งเขาเอามาปล่อยดูเหมือนได้หกเจ็ดตัว อยู่ในนั้นอีเก้งนะ พวกนี้มาก ไก่ป่าก็อย่างว่านะล่ะ เพราะวัดมันกว้าง มันไม่เหมือนไก่บ้าวัดป่าบ้านตาด คือแต่ก่อนมันเป็นไก่ป่า ดั้งเดิมจริง ๆ มันมีสองพวกเรามาสร้างวัดทีแรกนะ พวกหนึ่งอยู่ทางทิศนี้ พวกหนึ่งอยู่ทางโน้นทางทิศใต้ พอได้ยินเสียงทางโน้นขัน ทางนี้ก็ยกพวกไปตีกันทางโน้น ทางนั้นได้ยินทางนี้ขัน ทางนั้นยกพวกมาตีกัน มีสองพวกตีกันเรื่อย
ครั้นต่อมาพวกนั้นกับพวกนี้ค่อยเจือจางกันออกเรื่อย แพร่พันธุ์ไปเรื่อย ทีนี้เขาก็เอาไก่บ้านมาปล่อยที่หน้าวัดอีกด้วย มาผสม ไก่ป่าเลยกลายเป็นไก่บ้าน ทีนี้เวลาหนักเข้า ๆ มันเลยเลื่อนยศขึ้นเป็นไก่บ้าทั้งหมดวัดเลย แล้วมันยังกว้านเอาพวกในครัวในวัดเหล่านี้เป็นพระบ้า พวกนี้บ้าด้วยกันหมด เลยกลายเป็นบ้าไปหมด วัดนี้เลยเหมือนวัดบ้าละ ให้ภาวนามันไม่ได้เรื่องได้ราว นี่ละมันบ้าตรงนี้ ให้ภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราว ถ้าว่าลงหมอนแล้วเท่านั้นละถึงไหนถึงกันเลย ยังดี เรียกว่ายังไม่เท่าไรนักนะ เวลาเดินออกมาจากครัวออกมานี้ เราไม่เห็นหมอนมัดติดคอมาเท่านั้น ยังดีอยู่ตรงนี้ คงอายบ้าง
ไก่ไม่มาก วัดนาคำน้อยไม่มากนะ แต่ที่วัดมันกว้าง ไก่มีอยู่ทั่วไป แต่ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาดเรา นี้มากจริง ๆ วัดไหนสู้ไม่ได้นะ วัดเราเป็นที่หนึ่งของไก่ ในบริเวณศาลานี้กับในครัว นี้คือคลังไก่ทั้งนั้นนะ ออกไปข้างนอกโน้นจริง ๆ มีอยู่ทั่วไปแต่ไม่ได้มากเหมือนบริเวณพระอยู่ คนอยู่นะ พวกนี้พวกอาศัยคน มีคนมากที่ไหนมาเต็มอยู่นั้น ในครัวไม่มีอะไรมีแต่ไก่เต็มไปหมด คือคนอยู่ที่ไหนเขาอยู่ เขาอาศัยพึ่งคน แล้วถ้าห่าง ๆ ไปคนไม่ค่อยมี เช่นอย่างวัดนี้อยู่ทางโน้นไม่ค่อยมีไก่ป่าเต็มเหมือนอย่างนี้นะ มีอยู่ทั่วไปแต่ไม่มาก หากไม่กลัวเหมือนกันนั่นแหละ เป็นแต่เพียงว่ามีมากมีน้อยต่างกัน อยู่ภายในนี้ โอ๋ย เต็มไปหมด
นี่ละธรรมอยู่ที่ไหนพี่น้องทั้งหลายดูเอาซิ ธรรมอยู่ที่ไหนเย็นที่นั่น อย่างนี้ละธรรม จึงเรียกว่าธรรม ถ้ากิเลสอยู่ที่ไหนร้อนหมด เป็นฟืนเป็นไฟไปตาม ๆ กันหมด ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนเย็นไปหมด แม้แต่สัตว์ก็เย็น อย่างกุฏิเรานั้น นั่นมันคลังกระรอกนะนั่น พอตกเย็นหลั่งไหลขึ้นมานอนข้างบน พอตื่นเช้ามาก็โดดออกโน้น ออกช่องนั้น ๆ หากินตอนเช้า แต่ดีอันหนึ่งเขาไม่กวนเรา พอถึงเวลาเย็น ๆ เขาก็ด้อมมาพับขึ้นนอนเงียบเลย พอตกตอนเช้ามาเสียงคึกคัก ๆ โดดลงกิ่งนั้นโดดลงกิ่งนี้ ต้นไม้รอบกุฏิเขาออกได้ทุกแง่ ตอนเช้าเขาออกหากิน พอตกเย็น ๆ ขึ้นมานอนที่กุฏิเรา ทุกวันนะ เขาไม่ได้กลัว เขากลัวเพียงอำนาจ เรามีอำนาจเหนือเขา เขากลัวเพียงอำนาจ เขาไม่ได้กลัวว่าจะทำอันตรายต่อเขา เขาไม่ได้กลัว เขากลัวเพียงอำนาจเท่านั้น เต็มอยู่นั้น กระรอกนี่มากที่สุด
ไปที่ไหนเย็นนะ สัตว์เย็น พระก็เย็นกับเขานะ อย่างเราเดินจงกรมอยู่ในป่าไม่ใช่อะไรนะ ดูสัตว์มันยั้วเยี้ย ๆ อยู่ข้างทางจงกรม มันไม่ได้กลัวคน กระรอกก็อยู่ข้างบน พวกไก่ก็อยู่ข้างล่างยั้วเยี้ย ๆ คอยดู ถ้าตัวไหนมันจิกมันตีกัน ไล่ขนาบเอาหลงทิศไปเลย อยู่นั้นเขาจึงระวังเรา ถ้าเขาอยู่ดี ๆ ก็ไม่มีอะไร ยั้วเยี้ย ๆ ถ้ามาจิกมาตีให้เห็นละ โอ๋ย หลงทิศไปเลย ไล่ขนาบเอาเลย เขาก็รู้เหมือนกันนะสัตว์ คือถ้าเขามาจิกตีกันนี้เขาระวังเรา เขารู้นะ เพราะตัวไหนจิกตีกันตัวนั้นจะถูกขนาบนะ พวกนั้นก็เลยแตกฮือไปด้วยกันหมด ถูกขนาบเอา
เราดูอย่างนั้นละดูสัตว์ ดูด้วยความเมตตาสงสาร นั่นน่ะจิตวิญญาณแต่ละดวง ๆ ดวงนี้ละที่พาเกิดพาตายตลอดมา ภาษาของธรรมเป็นภาษาออกมาพร้อมทุกอย่าง ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงค้นคว้ารู้เห็นมา ธรรมในหลักธรรมชาติ ธรรมที่ถอดออกจากธรรมชาติออกมาข้างนอกอีก กระจายออกมาเป็นกระแสของธรรมออกมา สองประเภท รากฐานแห่งธรรมคือธรรมแท้ เรียกว่าธรรมธาตุ ผู้รู้ผู้เห็นจิตใจกลายเป็นธรรมธาตุแล้ว นั่นละเอาจิตใจนั้นละออก เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าภาษาธรรม ภาษาโลก ผิดกันนะ ผิดกันมากทีเดียว
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระสาวกผู้เชี่ยวชาญท่านจะนำภาษาธรรมนี้ออกมาจากใจของท่าน ออกมากระจาย และดูความรู้ภายในจิตที่เป็นธรรมอันเดียวกันแล้ว ความรู้นี้เรียกว่าความรู้ของธรรม ความรู้ของกระแสของจิตที่รู้ออกมา ความรู้ของเรานี้อาศัยตา เห็นอะไรแล้วก็นำมาพูดได้ เรียกว่า เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส อะไรมาสัมผัสถูกต้องกายของเรา เราก็พูดได้ตามสิ่งที่มาสัมผัส ซึ่งอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เป็นทางเดินของสิ่งเหล่านั้นให้มาสัมผัสกัน พอจะเกิดความรู้การพูดออกมาได้นะ นี่เรียกว่าภาษาของโลก
ภาษาของธรรมมีทั้งความรู้อันนี้ด้วย มีทั้งความรู้เฉพาะจิตที่ออกรู้ออกเห็นในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะสัมผัสสัมพันธ์อย่างนี้เลยด้วย นั่นท่านมีสองประเภทนะ ประเภทธรรมดานี้ก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ตาก็เห็นเหมือนกันกับเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกที่เป็นคู่ควรกันได้เหมือนกัน ทีนี้ตาใจตาในของท่าน ตาธรรมของท่าน เป็นตาประเภทหนึ่งไม่ได้เหมือนเรา เช่น ท่านบอกว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี เปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุมี นี้คือตาใจเห็นหมด เข้าใจไหมล่ะ อันนี้พวกเราพวกตาบอดจึงไม่ยอมเชื่อแล้วตกเอา ๆ นั่นซิ
มันไม่เห็นมันไม่ดูมันก็ไม่เชื่อ ผู้ที่ท่านเชื่อท่านขยะแขยงในสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย ผู้มีจิตเป็นธรรมล้วน ๆ แล้วจะทำบาปต่อสัตว์ทั้งหลายอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าต่อสัตว์ต่อบุคคลต่อใครก็ตาม จิตนั้นจะขวางกันทันทีเหมือนกำแพงกั้นเลย ท่านทำไม่ลง นั่นมันต่างกัน นี่ละภาษาใจ จะฝืนยังไงก็เห็นอยู่นี้น่ะ เช่นอย่างไฟนี้ก็เห็นอยู่นี้แหละ แล้วจะเอามือไปจี้ได้ยังไงก็รู้ว่ามันร้อนอยู่แล้ว ใครจะไปจี้ ถ้าเป็นคนตาบอดเดินเหยียบไปเลย เข้าใจไหมล่ะ แล้วก็เผาหัวมันนั่นแหละ ถ้าคนตาดีท่านไม่เข้า ท่านหลีก ผู้ที่ตาดีภายในใจเป็นอย่างนั้นนะ
นี่ละพระพุทธเจ้านำภาษาใจ ความรู้ของใจมาสอนโลก แต่โลกมันเอาอายตนะภายนอกไปรับกัน มันรับไม่ได้นั่นซีมันถึงไม่ค่อยเชื่อ กิเลสมันก็ลากลงตรงที่ไม่เชื่อ ๆ แหละ ตกเอา ๆ ท่านผู้เห็นท่านเห็นด้วยใจของท่านจริง ๆ ที่นำมาแสดงนี้เป็นความรู้ของใจ เป็นภาษาของใจล้วน ๆ ไม่ต้องมาอาศัยอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยิ่งกายนี้ไปดูอะไรล่ะ ไม่ต้อง เป็นใจล้วน ๆ ที่รู้ที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็นำอันนั้นมาแสดงต่อโลก โลกไม่เห็นโลกก็ไม่เชื่อ
นี่ละภาษามีสองประเภท ภาษาใจนี้แม่นยำมากที่สุด ภาษาตาเราหูเรามันยังฝ้ายังฟาง ผิดบ้างถูกบ้างเป็นธรรมดา แต่ภาษาใจออกมาจากความรู้ของใจนี้ แม่นยำ ๆ ตลอดไปเลยไม่มีทางสงสัย ไม่ต้องไปถามใคร เจอปั๊บรู้ทันที ๆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน เพราะเห็นอย่างเดียวกัน ตาท่านไม่ฝ้าไม่ฟาง ตาใจไม่ฝ้าไม่ฟางเหมือนตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราซึ่งมีความชำรุดทรุดโทรม จึงเรียกว่าฝ้าฟางได้ทั่วไปในอวัยวะ เวลาใช้ได้ก็ใช้ได้ เวลาใช้ไม่ได้ก็ฝ้าฟาง สุดท้ายใช้ไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ตามีอยู่แต่ก็ตาบอดเสีย หูมีอยู่หูหนวกเสียก็ใช้ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่รับสิ่งต่าง ๆ มีอยู่แต่รับไม่ได้ ๆ มันฝ้ามันฟาง แต่ตาใจท่านไม่ได้เป็น ไม่มีวัย ตาใจท่านไม่มีวัย เฒ่าแก่ชราขนาดไหนจิตใจไม่มีวัย รู้ได้เห็นได้ตลอดเลย
ความจำนี้ก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ นี่เสีย เช่นอย่างความจำเสื่อมทรามอะไรนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กายเหล่านี้เป็นเรื่องขันธ์ ๕ ความจดความจำนี้เป็นเรื่องขันธ์ ๕ เหล่านี้เสื่อมได้ แต่ภายในจิตนั้นซึ่งไม่ได้อาศัยอายตนะเหล่านี้เลยไม่มีเสื่อม ท่านเอาภาษานี้มาสอนโลกนะ ภาษาธรรม ภาษาใจ พวกเรามันพวกภาษาตาบอดจึงลำบากนะ ไม่ค่อยเชื่อ พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม สาวกองค์ใดก็ตาม เวลาเจอแล้วแม่นยำ ๆ เหมือนกันหมดไม่ต้องไปถามกันเลย ท่านพูดท่านจึงพูดได้เต็มหัวใจท่าน พูดได้เต็มปาก เพราะท่านรู้ได้อย่างเต็มใจ ๆ ไม่สงสัย พูดสิ่งใดออกมาแม่นยำ ๆ ถูกต้องหมด ส่วนใครจะยอมเชื่อไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์ สำหรับท่านไม่มีอย่างนี้ แม่นยำตลอด
นี่ละภาษาพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงภาษาของศาสนาทั่ว ๆ ไปนะ คำว่าศาสนาทั่ว ๆ ไปคือโลกอันนี้มีศาสนามามากมายดั้งเดิม ศาสนาต่าง ๆ ของใครก็ว่าของใครดี ใครก็ว่าของใครดี อันนี้เป็นศาสนาของคนมีกิเลส ก็ย่อมมีความรู้เช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ มีผิดมีพลาด มีลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนกัน เพราะกิเลสมีอยู่ภายในใจ แต่ภาษาของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นี้ไม่ได้เหมือนใครเลย
เพราะเป็นภาษาออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ไม่มีคำว่าฝ้า ๆ ฟาง ๆ มืด ๆ ดำ ๆ อย่างนี้ท่านไม่มี กระจ่างแจ้งไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดออกมาคำใดจึงถูกต้องทั้งนั้น ๆ เพราะพูดออกมาด้วยความเห็นอย่างแม่นยำ ๆ ใครเชื่อไม่เชื่อนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น เรื่องความจริงไม่ขึ้นกับใคร เห็นบอกว่าเห็น รู้บอกว่ารู้ ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว มีอยู่ในหลักธรรมชาติของมันเอง อันนี้เรียกว่าธรรม
ธรรมอันนี้พระพุทธเจ้าเท่านั้น พระองค์แรก ๆ คือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสยัมภูด้วยกันหมด คำว่าสยัมภูคือทรงขวนขวายเอง วิธีการตรัสรู้นั้นไม่มีใครมาบอกมาสอนเลย นี่เรียกว่าสยัมภูในทางเหตุ ทรงขวนขวายเอง แล้วสยัมภูในทางผล คือ รู้เองขึ้นมาจากการแสวงเอง จึงเรียกว่า สยัมภู ๆ ทรงขวนขวายเอง ทรงรู้เองเห็นเองเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นสยัมภูทั้งนั้น เวลาตรัสรู้แล้วก็ตรัสรู้ในสิ่งที่มีที่เป็น ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นไม่มีนะ
แต่ก่อนจิตมันมืดมันไม่เห็น เช่นอย่างนี้มันมีอยู่แล้ว แต่เวลามองไม่เห็นก็เหมือนสิ่งเหล่านี้ไม่มี แต่เวลาทางนี้มีรับกันปั๊บ อันนี้มีอยู่แล้ว ๆ ๆ อะไร ๆ ที่ทรงรู้ทรงเห็นสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ๆ จึงนำสิ่งที่มีอยู่แล้วนั้นมาสอนโลก ไม่ใช่ท่านอุตริไม่มีบอกว่ามีนะ สิ่งไม่มีบอกว่ามีไม่มีในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนตามหลักความเป็นจริง นี่จึงว่าเป็นศาสนาที่เป็นคู่โลกคู่สงสารคู่บ้านคู่เมือง คือ พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ไม่แปลกต่างกันเลย
อย่างที่ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ นี้ สิ่งเหล่านี้มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ได้มีมาเมื่อวานนี้นะ พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ สิ่งเหล่านี้มีก่อนแล้ว พอตรัสรู้ผ่านขึ้นมาก็เห็นแล้ว เห็นแล้วก็ยอมรับ ยอมรับก็ออกมาแสดงตามนั้น ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วตลอดมาอย่างนี้ และจะสอนอย่างนี้ตลอดไป เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ตลอดไป เช่นว่าสัตวโลก มันเปลี่ยนก็เปลี่ยนแต่รายของสัตวโลก ที่จะเปลี่ยนจากความมีเป็นความไม่มีนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะสัตวโลกทำกรรมดีกรรมชั่วตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งเข้าทั้งออก มีทั้งมาทั้งไป ผู้ทำชั่วก็ต้องเข้าชั่วอยู่เรื่อย ผู้ทำดีไปดีอยู่เรื่อย
เรื่องกรรมเป็นกฎอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ถึงจะเสวยกรรม เช่น เป็นบาปกรรมนี้นานเท่าไร มันก็มีการเปลี่ยนแปลงของมันด้วยความเชื่องช้าตามอำนาจแห่งกรรมหนักเบาต่างกัน ถ้าเป็นกรรมเบาก็เปลี่ยนแปลงเร็ว สิ้นกรรมไปเร็ว เหมือนคนติดคุกติดตะราง ติดสองเดือนก็มี สามเดือนก็มี ติดสี่ปีห้าปีก็มี ติดตลอดชีวิตก็มี ประหารชีวิตก็มี มันก็มีอย่างนั้น อันนี้สัตวโลกก็เหมือนกัน พวกไปตกนรกก็เหมือนกัน พวกสองเดือนสามเดือนก็มี พวกสี่ปีห้าปีก็มี แบบเดียวกันนั่นแหละ พวกฟาดสักกี่กัปกี่กัลป์ก็มี อันนี้ผู้ไปสวรรค์ก็อีกแบบเดียวกันไม่ผิดกันแหละ มีแง่หนักเบาเสมอกันหมด
ท่านสอนไว้แบบไม่ลำเอียงตามเรื่องของสัตว์ เช่นอย่างตะรางนี้ มันขาดไหมล่ะนักโทษในตะราง พอคนนี้พ้นโทษออกมา เอ้า คนนี้เข้าไปอีกแล้วใช่ไหมล่ะ มันก็เต็มอยู่ในเรือนจำตลอดมา ถึงจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนรายบุคคล ไม่ได้เปลี่ยนความมีอยู่ในนักโทษอยู่ในตะรางนั้นนะ ไม่ได้เปลี่ยน มันมีเต็มอยู่อย่างนั้น เป็นแต่เปลี่ยนรายบุคคล ผู้นี้เข้าผู้นั้นออก ๆ เรื่องสัตว์ที่ตกนรกก็เหมือนกัน พวกนั้นพ้นขึ้นมา เอ้า พวกนี้เข้า ๆ เปลี่ยนแปลง มันจึงแน่นอยู่ตลอดเวลานรกน่ะ สวรรค์ก็เหมือนกัน มีผู้ขึ้น ขึ้นอยู่ ผู้ไปสวรรค์มีอยู่อย่างนี้ ใครจะลบล้างไม่ได้ กิจการงานดีชั่วของคนอื่นที่ทำ เราเป็นผู้ไปลบล้างไม่มี เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นเจ้าของลบล้างเอง
ถ้าทำชั่วเคยทำชั่วลบล้างไม่ทำ กรรมก็ไม่สืบต่อ แล้วจะมีอยู่เฉพาะที่ทำไปแล้วนี้เท่านั้น จากนี้ก็หมดไปเลย เพราะไม่มีเงื่อนต่อไป ผู้ทำดีก็เหมือนกัน ถ้าทำดีต่อไปแล้ว ถ้าหยุดทำดีผลก็หยุดชะงัก นั่น ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นกฎอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกรรมของสัตว์ที่ทำ อย่างว่านรก ๆ ก็เหมือนกัน ตาใจท่านเห็นนี่ ไม่ได้เอาตาเนื้อเห็นเหมือนเรานะ ตาใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันสว่างจ้าเห็นไปหมดเลย ปิดอะไรไม่ได้นะ ไม่มีวิสัยใดจะมาเหนืออำนาจของจิต ธรรมที่รู้ที่เห็นในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นของคู่ควรกัน จะไม่ให้เห็นไม่ให้รู้กันไม่ได้ ต้องรู้กันวันยังค่ำอยู่งั้น ไม่มีอะไรปิดได้อยู่เลย เมื่อถึงกาลจะรู้จะเห็น เพราะธรรมชาติที่จะให้รู้ให้เห็นมีอยู่แล้วดั้งเดิม พอทางนี้ปรับตัวเข้านี่ปั๊บมันก็เห็นละซิที่นี่ เห็นกระจ่างไปหมดเลย ตามกำลังความสามารถของผู้บำเพ็ญมา นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
อย่างพระสาวกท่านไม่ได้มาทูลถามพระพุทธเจ้านะ ท่านมาทูลถวายเฉย ๆ เช่นพระลักขณะหรือพระโมคคัลลาน์ อันนี้ท่านเก่งในทางพวกเปรตพวกผี ครั้นเวลามาเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาพูดไปสัมผัสเรื่องเปรตเรื่องผี พระสาวกองค์นั้นก็พูดขึ้นมา พระสาวกองค์นี้พูดขึ้นมา คือไปอยู่ที่นั่น ไปเห็นเปรตผีประเภทต่าง ๆ เป็นอย่างนั้น ๆๆ องค์นี้มาก็มาเล่าถวายท่านก็แบบเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสธ เห็นไหมล่ะ บรรดาพระสาวกก็ไม่เคยสงสัยในสิ่งที่ตนเห็นแล้วมาทูลพระพุทธเจ้านะ แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สรุปความให้ องค์นั้นเล่าขึ้นมา องค์นี้เล่าขึ้นมา เอ๊ย เราเห็นมาตั้งแต่ครั้งนู้น ๆ นู่นน่ะ จะว่าอะไร ท่านเห็นมาแล้วท่านไม่พูดเฉย ๆ โอ๊ย อันนี้เราเคยเห็นมาแล้วตั้งแต่ครั้งนู้น ๆ นานแสนนานท่านเห็นมาแล้ว ในปัจจุบันตรัสรู้ขึ้นมาท่านก็เห็นตั้งแต่นู้นแล้ว ก็เป็นอย่างงั้นแล้ว เรื่อยมา
พูดถึงเรื่องที่ว่าพระท่านมากราบทูลถึงเรื่องเปรต พวกกามันไปตกนรก นั่นละกรรมของมัน กาไปตกนรก คือกานั้นน่ะ อำนาจแห่งกรรมไปตกนรก นี้เป็นพระลักขณะหรือใคร ไปเห็นสัตว์นรกคือกาไปตกนรก โหย ทำไมกานี้ใหญ่โตพิลึกกึกกือ ไม่เหมือนกาในบ้านในเมืองเรา นรกที่กาไปตกก็เป็นนรกอะไรพิเศษเหลือเกิน พระพุทธเจ้าก็รับสั่งสรุปเลยว่า โอ๊ย เราเห็นมานานแล้วตั้งแต่ครั้งนู้น ๆ แล้วก็เลยย้อนหลังเอาเรื่องอดีตนิทานเรื่องกาตัวนี้มาพูดต่อสาวกอีกด้วยนะ กาตัวนี้น่ะ เขากำลังหาบไทยทานมา เขาจะไปวัด สิ่งเหล่านี้เขาน้อมไปถวายพระแล้ว ทีนี้กาตัวนี้จับอยู่ข้างบน มันก็บินลงมาโฉบเอาอาหารในหาบที่เขากำลังหาบไปถวายพระ โฉบเอาไปกิน เวลาตายแล้วมันก็ไปตกนรกหลุมนี้
พระพุทธเจ้าทรงรับสั่ง เห็นไหมล่ะ ไล่ไปถึงอดีตของกาตัวนี้เป็นยังไงถึงมาตกนรกหลุมนี้ มันไปโฉบเอาของทานเขา เขาหาบไปเขาจะเอาไปถวายทาน แต่ยังไม่ถึงได้ถวายพระ แล้วกาตัวนี้ก็เลยมาเอาไปกินเสียก่อน ทีนี้กากินไปเลยเป็นเปรต แต่พระกินจะเป็นหรือไม่เป็นเราไม่ทราบ ถ้าเป็นแล้วหลวงตาบัวนี้เป็นจอมเลย เพราะใครมาก็ เอามา ๆ เรื่อย มีแต่เอามา ไม่ทราบเป็นเปรตตัวไหนหลวงตาบัวนี่น่ะ ถ้ามีพระพุทธเจ้าท่านจะทรงทำนายเลย เปรตตัวนี้เก่งมากที่สุดเลยท่านจะว่าเรา ใครมามีแต่มา ๆ เรื่อย เปรตตาบัวนี่น่ะ
นี่พูดถึงเรื่องภาษาใจ ความรู้ของใจ เราจะเอามาเทียบเคียงกับความรู้ของอายตนะเรานี้ไม่ได้เลย เป็นคนละโลกว่างั้นเถอะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตนี้ สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ ๆ แต่ตาจิตนี้พุ่งหมดเลย ไม่มีอายตนะนี้มาใช้เลย เห็นหมด ถ้าเป็นตาจิตล้วน ๆ เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นตาอายตนะก็เหมือนเรา เราเห็นท่านก็เห็น เราเห็นท่านก็เห็น ถ้าเราได้ยินท่านก็ได้ยินธรรมดา ถ้าเป็นตาใจแล้วไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้ พุ่งถึงเลย ๆ นี่ละที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราทุก ๆ พระองค์อุบัติขึ้นมาแบบเดียวกันนี้หมดนะ จึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง โลกวิทู รู้แจ้งเห็นชัด ทั้งภายนอกภายในตลอดทั่วถึง เป็นคู่ควรกับโลกที่คอยที่จะยึดจะเกาะอยู่แล้ว จะได้ยึดได้เกาะไปตามอำนาจแห่งบุญกรรมของตน ๆ นั้นละ วันนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนักล่ะนะ เอาแค่นี้ละ วันนี้พูดเรื่องบาปเรื่องกรรม เอาละวันนี้เอาแค่นี้ก่อนละนะ ไม่เอามากละ เรื่องบาปเรื่องกรรม
หลวงตาเจ้าค่ะ ถวายทอง ๑๐ บาทเจ้าค่ะ
โห นั่นไม่ใช่เล่นนะนี่มาแล้ว ๑๐ บาท เห็นไหมเปรตตัวนี้เห็นว่าดีแล้วขึ้นละนะพอพูดถึงเรื่องเปรต เปรตตัวนี้มาแล้ว ๑๐ บาทขึ้นแล้วนะ ดีแล้วเอามาเพิ่มกัน เพิ่มขึ้นเรื่อย นี่ก็ไม่ใช่เล่น เท่าไรนี่ (๒ บาทครับ) เออ ๑๐ บาท เป็น ๑๒ บาท เก่งมาก (เงินอีก ๖,๐๐๐ บาทครับ) โฮ้ มาจากไหนล่ะ จังหวัดอุดรเหรอ เอาละตั้งใจอุทิศส่วนกุศลนะ อันนี้ละที่สามารถที่จะส่งถึงผู้ล่วงลับไปได้ อย่างอื่นไม่มีทาง เป็นอย่างนั้นแหละ มาอีกแล้ว (ถวาย ๑๐๐ ดอลล์ครับ) มาเรื่อย ๆ มาทีไรฟาดเป็นร้อย ๆ มาเยอะนะ มาทุกวัน ให้พร....
ไม่ทราบจะแยกทางไหน ๆ บ้างโรงพยาบาลมากจริง ๆ ก่อนจะลงกรุงเทพฯ นี้ก็จะจ่ายเช็คไม่ใช่เล่นนะ ในระยะนี้ยังไม่ได้จ่ายเลย จากนี้ไปจนกระทั่งถึงวันที่ ๑๑ วงราชการหยุดใช่ไหมล่ะ จ่ายเช็คไม่ได้เลย ต้องวันที่ ๑๒ ไปแล้ว จากนั้นทีนี้จ่ายเช็ค ๆ เคลียร์หมดทุกอย่าง แล้วเราจะไปกรุงเทพฯ เสร็จเราก็ไปล่ะ ก่อนจะไปต้องเคลียร์ให้หมดทุกครั้งที่ไป ไม่ใช่น้อย ๆ นะเป็นล้าน ๆๆๆ นี่นะ เมื่อวานนี้ลืม ถ้าไม่ลืมเราจะเริ่มจ่ายเช็คแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ จนกระทั่งออกจากวัดไปถึงระลึกความจำเป็นได้ เลยตกลงก็จะจ่ายพร้อมกันเลย ชุลมุนละตอนนั้น ถ้าธรรมดาเราจะเริ่มจ่ายแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว จ่ายเช็คโรงพยาบาลต่าง ๆ เครื่องมือแพทย์กำลังตกมา ๆ เราก็จ่าย ๆ เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วทีนี้ไปเลย เราไปแล้วอะไรจะตกมาก็ต้องเก็บค้างไว้ที่นี่ จนกระทั่งเรากลับมาถึงจะมาพิจารณาแล้วจ่าย อย่างนั้นนะ
เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะพวกบริษัทต่าง ๆ ในกรุงเทพฯเหล่านี้เขารู้เรื่องของวัดนี้ดีหมดแล้ว ถ้าเป็นเรื่องของวัดนี้รอเท่าไรเขารอได้ เพราะยังไงก็จะได้ว่างั้นเถอะ คำว่ารอเขาก็ทราบว่าท่านไม่อยู่เท่านั้นเขารู้แล้ว เมื่อไม่อยู่เขาก็รอ พวกบริษัทในกรุงเทพฯจึงไม่มีปัญหาอะไรกับเราตลอดมานะ ไม่เคยมีอะไร บางครั้งเรายังบอก เช่นอย่างกฐินปีกลายนี้หรือไง คือบิลตกมาเป็นหลายล้าน ไม่ใช่น้อย ๆ นะ พอดีเงินเราไม่พอ เราก็บอกว่าให้รอเสียก่อน กฐินผ่านไปแล้วนั่นละ เราก็บอกตรง ๆ เลย ได้เงินกฐินแล้วเราถึงจะจ่ายได้เราบอกอย่างนี้นะ แล้วให้ลงบัญชีไว้ตั้งแต่วันนี้ บิลมาถึงมือเราวันที่เท่านั้น ให้นับดอกไว้ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงวันเราจ่าย เรากะว่าจะจ่ายวันที่ ๕ พฤศจิกา เราบอกเลย จากนี้ให้นับไปกี่วัน แล้วจ่ายค่าดอก เราจะจ่ายให้หมด
เขาก็ตอบมาทันที โอ๋ย ไม่จำเป็นต้องจ่าย นี่ถือเป็นธรรมดา ยิ่งของหลวงตาด้วยแล้วยิ่งเร็วกว่าคนอื่น ยิ่งทางราชการด้วยแล้ว อู๋ย ไม่ทราบว่ากี่เดือนกี่ปีถึงจะได้เขาว่า ของหลวงตาเท่านี้ถือเป็นธรรมดา ยังเร็วกว่าเขาเสียอีก เราก็ตอบว่าถ้าอย่างงั้นเราพอใจ ตกลงเขาไม่เอานะ คือเราบอกว่าอย่างนั้นนะ เราทำนี้เราทำด้วยความเมตตาเข้าใจไหม บิลตกมาถึงเราแล้วนี้เป็นเท่านั้น ๆ เขาควรจะได้รับเงินแล้วนี่ ทีนี้ทั้งต้นก็ยังไม่ได้ดอกก็ไม่มี นี้ทำไง เราจึงบอกว่าต้นเราจะจ่ายวันที่เท่านั้นบอกไปเลยนะ เพราะกฐินวันที่นี้กะวันที่นั้นเราจะจ่ายเงิน ให้นับดอกไปเลยตั้งแต่วันนี้คิดดอกเท่าไร เงินจำนวนนี้คิดดอกเป็นเท่าไร เขาบอกเขาไม่คิด เขาถือว่าอันนี้เป็นธรรมดา แล้วยังเร็วกว่าที่ทั้งหลายอีกเขาว่างั้น เราก็เลยตอบว่า เอ้อ ถ้าอย่างงั้นเราพอใจ เอาละเลิก
พูดถึงเรื่องความเมตตามันเป็นอย่างงั้นแหละ เวลามันหมดมันหมดจริง ๆ นะ เงิน โอ๋ย หมดจริง ๆ เวลาหมดหมดจริง ๆ เรานะ ก็มันไม่ได้เคยเก็บอะไรนี่ มีเท่าไรทุ่มเลย ๆ เวลาหมดมันก็หมดจริง ๆ จนขนาดที่ว่าจะติดหนี้เขา ถึงบอกเขาไว้เลย คิดดอกไว้เลย ถ้ามีใครจะไปให้เขาคิดดอกใช่ไหมล่ะ ก็มันไม่มีมันจำเป็นก็ให้เขาคิดดอกไว้ พอได้มาให้ทั้งต้นทั้งดอกเลย เขาก็ไม่เอา เราคิดดอกตั้งแต่เรื่องที่เราจะให้เงินเขาไม่ทัน เราคิดดอกให้เขา ไอ้พวกความขี้เกียจขี้คร้านมันหมักหมมทั้งหลายนี้คิดดอก วันหนึ่งจ่ายไปเท่าไร ค่าดอกความขี้เกียจขี้คร้านเราไม่ได้ทวงเอานะ ถ้าคิดดอกพวกนี้จมหมดเลย เราจะไปพวกนี้จม ถ้าอยู่นานไม่ได้เดี๋ยวจมพวกนี้ คิดดอกแหลกหมดเลย ไปละ