เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เนื่องในวโรกาสที่ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์
อัครราชกุมารี
ทรงเข้ากราบนมัสการหลวงตา
เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
เปิดโลกธาตุ
ปรกติวันนี้จะต้องไปพักค้างบ้านแพงที่เขามีกองกฐินผ้าป่าอะไร สุดท้ายก็ไปไม่ได้ บอกไปแล้วตะกี้นี้ทางบ้านแพง ที่จะให้ไปพักค้างที่โน่นเพราะมีกองผ้าป่ากฐินอะไร เราคนเดียวสู้ไม่ไหว เลยบอกไปแล้วว่าบ้านแพงที่เราจะไปค้างคืนไม่ได้ไป เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันสู้ไม่ไหวจริงๆ เรา เราคนเดียวดูคนทั้งแผ่นดิน แบกคนทั้งแผ่นดินไหวได้ไง แต่แบกธาตุขันธ์เจ้าของเฉพาะนี้มันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่แล้ว ตกลงบ้านแพงที่จะไปค้างให้เขาคืนหนึ่งวันนี้ในงานผ้าป่ากฐิน เราก็ไปไม่ได้ บอกงดไปแล้ว
เราหมุนไม่ทันกับงานต่างๆ ของประชาชนศรัทธาทั้งหลาย ธาตุขันธ์เราไม่ดีด้วย ใน ๗ วันเต็มๆ มานี้ไม่ดีเลยธาตุขันธ์ มันเป็นอยู่ภายในคนอื่นไม่รู้ เจ้าของรู้แต่พูดไม่ถูก เป็นอยู่ภายใน นี่ก็อายุ ๙๖ แล้วเห็นไหมล่ะ อายุ ๙๖ ย่างมาได้สองสามเดือนแล้ว สิงหา กันยา ตุลา วันนี้วันที่ ๑ พฤศจิกา ย่างเข้ามาได้สามเดือนสี่เดือน แต่ก็ภูมิใจตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ นั้นเป็นวันก้าวเข้าบวช แม่น้ำตาร่วง ดีใจมาก แต่ก่อนมีแต่น้ำตาร่วง เนื่องจากเสียใจเพราะลูกมันโกโรโกโส
ก้าวเข้ามาวันนั้น วันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ ก้าวเข้าบวชเป็นพระ เป็นพระในวันนั้นแหละ รักษาศีลรักษาธรรมตลอดมา ไม่เคยด่างพร้อย ไม่เคยระแคะระคายในเจ้าของว่าศีลธรรมเราขาดไปตรงไหน ไม่มีเลย เพราะรักษาจริงๆ รักสงวนศีลธรรมมาก ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ได้ ๗๔ ปี ๕ เดือน จิตใจได้ภาคภูมิในตัวเองมาตั้งแต่บัดนั้น
บวชเข้าไปให้ได้ไปสวรรค์ อย่างน้อยเกิดมาทั้งทีเวลาบวชนี้ให้ได้ไปสวรรค์ แต่ไม่ทราบว่าสวรรค์อยู่ไหน แต่ก่อนอยู่ในนรกหลุมไหนก็ไม่รู้ จากนั้นก็ก้าวละ เรียนหนังสืออยู่เพียง ๗ ปี ๗ พรรษาเรียนหนังสือเต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่ ๗ ปี จากนั้นก็ออกกรรมฐานเลย ทีแรกคิดจะไปสวรรค์ นี่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ ทีแรกคิดจะไปสวรรค์ มีความรื่นเริงบันเทิงด้วยเทวบุตรเทวดา-อินทร์-พรหมทั้งหลาย แล้วสูงขึ้นไปถึงนิพพาน พอไปถึงนิพพานเกาะติดเลยนะ ที่นี่จะไปนิพพานอย่างเดียว สวรรค์ไม่เอา พรหมโลกไม่เอา ยังกลับมาเกิดอีก จะไปนิพพานอย่างเดียวจะไม่ต้องมาเกิดอีก
จากนั้นก็เอาจริงๆ นะนี่ คิดอย่างไรตกลงใจแล้วเอาจริงด้วย ทีนี้ก็หมุนใส่นิพพาน เข้าป่าเข้าเขา อยู่ในป่าในเขาตลอดเลย ออกปฏิบัติแล้วนะนั่น เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้ว ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ เลย สมเจตนาของเราที่ไปหาท่านอย่างเต็มใจ พอออกมาแล้วถามตัวเองเป็นอย่างไรฟังเทศน์วันนี้ ท่านเทศน์ว่าอย่างไรบ้างวันนี้ ถึงใจไหม ถึง แล้วเราจะเป็นอย่างไรปฏิบัติอย่างไร ต้องเอาตายเข้าว่า นั่น เอาตายเข้าว่ากับให้ได้นิพพานในชาตินี้
ทีนี้จิตตั้งใส่นิพพานเลย พอออกปฏิบัติจิตมุ่งใส่นิพพาน สวรรค์-พรหมโลกยังต้องกลับมาเกิดอีก จะเอาให้ถึงนิพพานในชาตินี้ ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ หมุนจี๋เลย ตั้งแต่นั้นจึงหาความสุขไม่ได้ เหมือนตกนรกทั้งเป็น เข้าป่าเข้าเขาๆ ตลอด ไปองค์เดียวนะ ไปทำความเพียรองค์เดียว พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านส่งเสริม ท่านมหาไปองค์เดียวนั้นละเหมาะแล้ว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านชี้เลยกับพระทั้งหลาย ใครจะไปยุ่ง ร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่อยู่ที่นั่น
เราก็สนุกไปคนเดียว เที่ยวกรรมฐานนี่ไปคนเดียวทั้งนั้น เราไม่ได้ไปกับใคร เราไปองค์เดียวตลอดเลย นี่ก็เป็นเวลา ๙ ปี หนักมากทีเดียว ที่จะเอานิพพานนี่หนักมาก ตกนรกทั้งเป็น คือความเพียรหนักมาก อยู่ในป่าในเขาทนทุกข์ทรมาน ข้าวนี่กี่วันกินช่างมันไม่สนใจ อดไปกี่วันถึงกินข้าว ไม่ได้กินทุกวันนะ ๗ วันเป็นอย่างมาก อด ไม่กิน จากนั้นก็อยู่ในระยะสี่วันห้าวัน สี่วันห้าวันอดไป
ความเพียรนี่หมุนติ้วๆ จะให้ถึงพระนิพพาน คือนิสัยมันผาดโผนอยู่นะ ถ้าพูดถึงเรื่องนิสัยผาดโผนอยู่มาก ว่าอย่างไรถ้าลงได้ตั้งจิตแล้วต้องหมุนจี๋เข้าเลย ไม่มีถอย นี่ก็หมุนใส่พระนิพพาน หมุนคราวนี้หมุนหนักมากทีเดียว หมุนคราวที่จะไปพระนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเป็นความเพียรที่ดุเดือดมากทีเดียว จึงเรียกว่าไม่ให้ใครไปด้วยเลย เราไปคนเดียว คืออยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันช่างมัน เอาเจ้าของเป็นป่าช้าเลย ป่าช้าอยู่กับตัวเอง รู้กับตัวเอง มันจะตายจริงๆ มันก็รู้ หมุนเลย
อันนี้ก็ ๙ ปี ไม่ใช่เล่นๆ นะ ออกปฏิบัติ ๑๖ พรรษา นั่นละฟ้าดินถล่ม ๑๖ พรรษา วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เราไม่ลืม นั่นละปีฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ ใจนี้สว่างจ้าเลย นั่นเป็นเวลา ๙ ปีปฏิบัติ คือจริงจังมาก ถ้าลงได้หมุนใส่อะไรแล้วต้องเอาให้จริง เอาให้ได้อย่างใจ นี่ก็จะเอานิพพานให้ได้อย่างใจ ฟาดเสีย ๙ ปี ฟ้าดินถล่มในวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มพอดี นั่นละฟ้าดินถล่ม คว่ำวัฏจักรได้ในคืนวันนั้น จิตนี้สว่างจ้าเลยเทียว
นี่ละการทำความเพียรเอาจริงเอาจังมากทีเดียว หันใส่อะไรเอาให้ได้ ไม่ได้เอาตายเข้าว่าเลย ความเพียรที่หมุนใส่อรหัตภูมินี้ก็แบบเดียวกัน เอาให้ได้ว่าอย่างนั้น หมุนจี๋เลยความเพียร กรรมฐานนี้ไปองค์เดียว ไม่ให้ใครไปด้วย คือให้เป็นอัธยาศัยของตัวเอง อยากกินกี่วัน อดไปกี่วันถึงกินอันนี้ก็แล้วแต่เจ้าของ ถ้าไปสองเป็นน้ำไหลบ่า ไปสองไปสามเป็นน้ำไหลบ่า เดี๋ยวห่วงคนนั้น เดี๋ยวห่วงคนนี้ ไปคนเดียวเราป่าช้าอยู่กับเรา เป็นตายก็รู้กันเอง นั่นละเอากันหนัก อันนี้ก็ไม่ใช่ของเล่นเหมือนกัน นี่ก็ฟาดอยู่ ๙ ปี พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจนี้สว่างจ้าเลยตั้งแต่บัดนั้นมา นี่ละธรรมเห็นผลทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นเรามาเกิดในโลก ชาตินี้เป็นชาติที่เราล้างป่าช้าของเรา จะเคยเกิดมากี่กัปกี่กัลป์ ตายทับถมกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม สำหรับเราชาตินี้เป็นชาติล้างป่าช้า ไม่ให้มีต่อไปอีก หมด ป่าช้าล้างหมด การเกิดการตายที่ไหนไม่กังวล หมด พอทุกอย่าง ปล่อยทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ความสว่างจ้าของจิตตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีกลับมาเปลี่ยนแปลงแม้นิดหนึ่ง จิตเมื่อถึงขั้นนี้แล้วความเปลี่ยนแปลงกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีในจิตดวงที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นี้ได้เลย
ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้เป็น ๕๗-๕๘ ปีแล้วมัง นี่ละทำความเพียรเอาจริงเอาจัง เรียกว่าล้างป่าช้า ที่จะเกิดจะตายต่อไปไม่มี หมด ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนสูงต่ำประการใดไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง จึงว่ามาล้างป่าช้า เกิดมาในชาตินี้เป็นชาติที่ล้างป่าช้าของตัวเอง สัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างไรเราไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แต่มากำหนดตัวเองว่ามาล้างป่าช้าในชาตินี้ หายสงสัยว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ สูงต่ำประการใดบ้างหมดโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ความพอแล้วด้วยความอัศจรรย์ภายในจิตดวงนี้
ทีนี้พอ เมื่อจิตพอแล้วปล่อยหมด ขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย ปล่อยหมดโดยประการทั้งปวง ตั้งแต่บัดนั้นมาวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เป็นวันปล่อยสมมุติ วางสมมุติ ทิ้งป่าช้า จะไม่กลับมาเกิดอีก ตายก็เหมือนกัน ตายก็ไม่กลับมาตายอีก จะตายเฉพาะชาติที่กำลังแบกหามขันธ์อยู่นี้ พอขันธ์นี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วก็สลัดทีเดียวเลย นิพพานไม่ถาม ไม่ได้ประมาทนะ ไม่ถามนิพพาน พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ พระสงฆ์สาวกกี่พระองค์ที่เป็นพระอรหันต์ ถึงนิพพานแล้วด้วยกันท่านไม่ถามกัน เป็นอันเดียวกันหมดทีเดียว
ลงมหาวิมุตติ เหมือนกับน้ำมหาสมุทร ฝนตกมาจากเมฆก้อนใดๆ ลงในน้ำมหาสมุทรหมด ไม่ได้คัดได้เลือกว่าฝนเม็ดนี้มาจากเมฆก้อนนั้นๆ ฝนก้อนนั้นไม่มี ลงเป็นน้ำมหาสมุทร อันนี้ความเพียรของเราตั้งแต่เริ่มปฏิบัติมามากน้อยเพียงไรก็ไม่ได้คำนึง ลงในน้ำมหาวิมุตติมหานิพพานหมดโดยสิ้นเชิง หายสงสัยตั้งแต่บัดนั้นมาเป็นเวลาดูเหมือน ๕๗-๕๘ ปีแล้วมัง นั่นละวันคว่ำวัฏวนภายในจิตใจได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอะไรเหลือเลย สว่างจ้าตลอดเวลา
ท่านว่านิพพานเที่ยง คือจิตที่หมดสมมุติแล้ว เป็นจิตธรรมธาตุ จิตธรรมธาตุนี้ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยงก็ได้ จิตเป็นธรรมธาตุก็ได้ เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็หมด ไม่มีอะไรที่จะคิดเปลี่ยนแปลงว่ามากกว่านี้น้อยกว่านี้ไม่มี พอ พอด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงว่าเปิดโลกธาตุ หายห่วง เรียกว่ามาล้างป่าช้าในชาตินี้ก็ไม่ผิด เพราะจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว แน่อยู่ในหัวใจเจ้าของเอง ไม่ได้ไปถามผู้ใด เป็นขึ้นในเจ้าของ
จิตเวลาล้มลุกคลุกคลานมันก็ล้มของมัน แต่เวลาพลิกตัวได้แก้ไข อบรม หรือฝึกหัดอยู่ตลอดเวลามันก็ดีดขึ้นได้ ดีดขึ้นจนกระทั่งถึงขั้นฟ้าดินถล่ม จากนั้นก็หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่เรียกว่าเกิดมาในชาตินี้มาล้างป่าช้า การเกิดของเจ้าของมากี่กัปกี่กัลป์มาล้างในชาตินี้ แล้วจะตายอีกเท่าไรก็ล้างหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เวลานี้ก็ยังเหลือแต่ธรรมในใจ ธาตุขันธ์ก็เป็นธาตุขันธ์ธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ แต่ที่จิตนั้นไม่เหมือน จิตนี้หมดอะไรโดยประการทั้งปวง สว่างจ้าทั้งกลางวันกลางคืนอยู่อย่างนี้ นี่เรียกว่าจิตเป็นธรรมธาตุแล้ว
เวลานี้อยู่ด้วยจิตเป็นธรรมธาตุ หายห่วงทุกอย่าง ไม่สนใจว่าจะเกิดจะตายที่ไหนต่อไปอีก เรียกว่ามาล้างป่าช้า หมดโดยสิ้นเชิง สมเจตนาที่อุตส่าห์พยายามประกอบความพากเพียรมาตั้งแต่วันบวช เอาจนกระทั่งถึงวันนิพพานเที่ยง พอใจ มาถึงขั้นพอใจ ชาตินี้เป็นชาติที่พอใจทุกอย่าง ไม่คำนึงถึงเรื่องความเกิดความตาย เกิดแล้วจะไปตายที่ไหน ตายแล้วจะไปเกิดไหนเหมือนแต่ก่อนไม่มี หมดโดยประการทั้งปวง เหลือแต่ธรรมชาติที่ว่านิพพานเที่ยง ก็คือจิตเป็นธรรมธาตุ
จิตนี้เมื่อเข้าถึงตัวเต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุนะ มีชีวิตอยู่ก็ว่าจิตบริสุทธิ์ พระอรหันต์อย่างนี้ท่านมีขันธ์อยู่ จิตบริสุทธิ์มีธาตุมีขันธ์อยู่ พอธาตุขันธ์พังลงไปแล้วจิตนี้ก็เป็นธรรมธาตุ เพราะเป็นธรรมธาตุแล้วตั้งแต่ยังไม่ตาย นั่นละจิตเมื่อฝึกให้เต็มที่แล้วก็เป็นธรรมธาตุให้เจ้าของได้เห็นชัดๆ อยู่ในท่ามกลางแห่งขันธ์ห้า ซึ่งเป็นของเน่าเฟะอยู่ทั้งเขาทั้งเรา แต่จิตดวงนั้นเป็นจิตธรรมธาตุไม่มีคำว่าเน่าเฟะเหมือนร่างกายทั้งหลาย ถึงขั้นนี้แล้วไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา การเกิดการตายสูงต่ำไม่มี หมดโดยประการทั้งปวง เกิดมาชาตินี้จึงว่าเป็นชาติสุดท้ายของเรา หมดทุกอย่างไม่มีอะไรสงสัย
เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือโลกเราจึงช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีเท่าไรทุ่มลงหมด เราไม่มีอะไรเหลือติดตัวติดวัดนะ ในวัดนี้ไม่สั่งสม มีอะไรๆ สละออกหมดเลย เหลือแต่หัวใจที่เต็มไปด้วยเมตตาเท่านั้นที่สั่งสอนโลกอยู่เวลานี้ ที่นี่ถ้าหากการเป็นกับการตายนั้นเป็นธรรมดาแล้วการเป็นการตายมีน้ำหนักเท่ากัน อีกประการหนึ่งก็คือว่า การเป็นอยู่นี้แบกธาตุแบกขันธ์พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย เมื่อสลัดอันนี้ลงไปแล้วธาตุขันธ์อันนี้ก็หมดภาระไป เพราะฉะนั้นจึงว่าถ้าไม่มีโลกเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วไปเลย อยู่หาอะไรอยู่แบกธาตุแบกขันธ์
ที่อยู่นี้ก็เพื่อพี่น้องสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกธาตุ เป็นผู้หวังยังไม่พอ ยังต้องหวังผู้อื่นช่วยอยู่ ไม่เป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ยังต้องหวังพึ่งผู้อื่น เพราะฉะนั้นการหวังพึ่งผู้อื่นก็เข้ากับการเมตตาสงเคราะห์โลก เราก็สงเคราะห์ไปอย่างนั้นๆ ละ สำหรับเจ้าของเองหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือแล้ว หมดจริงๆ ไม่คำนึงถึงเรื่องความเกิดความตาย หมดไปตามๆ กันแล้ว นี่ละการประพฤติปฏิบัติธรรม ขอให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติ
ธรรมนี้เป็นธรรมสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาองค์เอกมาสอนโลกจะผิดไปที่ไหน ขึ้นชื่อว่าศาสดาองค์เอกนำธรรมมาสอนโลกต้องถูกต้อง เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ขอให้พากันตั้งใจปฏิบัติให้ชอบธรรมเถอะ ทางที่ถูกต้องจะใกล้เข้ามาชิดเข้ามา ก้าวออกไปหนึ่งก้าวสองก้าวใกล้ความสิ้นทุกข์ไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ หมด ความทุกข์ทั้งหลายไม่มีเหลือ เหลือแต่ธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ดับไปแล้วจิตก็เป็นธรรมธาตุ
นี่ละจิตเป็นธรรมธาตุ จิตสุดขีดสุดแดน สุดสมมุติทั้งหลายแล้วจิตนี้เป็นธรรมธาตุ จะเรียกว่าจิตไม่ได้นะ เป็นธรรมธาตุ นี่ละการปฏิบัติธรรม ให้ตั้งใจปฏิบัติให้เห็นอย่างนี้ อย่าพากันโลเลโลกเลก ตื่นลมตื่นแล้งตื่นมืดตื่นแจ้งตื่นสว่าง มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แต่กาลไหนๆ ส่วนการเกิดการตายของเราก็แบกหามกันไปตามมืดตามแจ้ง ทีนี้สลัดอันนี้ออกด้วยความยึดถือมืดแจ้งเดือนดาวตะวันอะไรนี้ออกจากใจหมด ขาดสะบั้นจากใจ ใจก็เป็นใจที่บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น นั่นละพ้นจากทุกข์พ้นที่ใจ ไม่ได้พ้นที่ไหน
ขอให้ท่านทั้งหลายจำให้ดี เกิดมาชาตินี้ก็หมดละ ในชาตินี้หมดภูมิละ จะก้าวไปที่ไหนความรู้สึกคือจิตไม่คิด จะก้าวถอยกลับก็ไม่มี จะก้าวหน้าต่อไปอีกก็ไม่มี พอแล้วด้วยความรื่นเริงบันเทิง พอแล้วด้วยความอัศจรรย์ภายในจิตนี้ถูกต้อง อย่างอื่นไม่มี การประกอบความพากเพียรก็เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วพิจารณาธรรมทั้งหลายลึกตื้นหยาบละเอียดไปเท่านั้น เช่นเดินจงกรม อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เดินจงกรม พระสาวกทั้งหลายท่านสิ้นกิเลสแล้วท่านก็เดินจงกรม
การเดินจงกรมของท่านนั้นเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถหนึ่ง เป็นการพิจารณาธรรมลึกตื้นหยาบละเอียดกว้างแคบทั้งหลายหนึ่ง พระสาวกก็เหมือนกันท่านไม่ได้เดินจงกรมเพื่อละกิเลสถอนกิเลส เหมือนพวกเราทั้งหลายที่หาบแต่กิเลสอยู่นี้ ท่านหมดกิเลสแล้วท่านเดินด้วยความหมดกิเลส ยืนเดินนั่งนอนด้วยความสิ้นกิเลสไม่มีอะไรเหลือภายในพระทัยภายในใจของพระพุทธเจ้าเลย
นั่นละที่เราเรียกว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ ก็คือธรรมอันเลิศ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็คือพระสงฆ์ประเภทนี้เอง ประเภทที่ว่าสิ้นกิเลสแล้ว เป็นสงฺฆํของพวกเรา สรณํ คจฺฉามิ ขอให้พากันปฏิบัติให้เป็นสรณะของตัวเองก่อนนะ ปฏิบัติตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้วก็เป็นสรณํ คจฺฉามิ ต่อจากนั้นก็เป็นสรณํ ของโลกต่อไป ให้พากันจำเอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ เหนื่อย ต่อไปนี้จะให้พร
วันนี้เทศน์เต็มเหนี่ยวทุกอย่างใช่ไหมล่ะ เทศน์วันนี้พูดวันนี้เต็มเหนี่ยวทุกอย่าง ควรจะนำไปเป็นคติเครื่องเตือนใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|