ไม่เคยลืมบุญลืมคุณของวัดดอยธรรมเจดีย์
วันที่ 15 ตุลาคม 2551 เวลา 13:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส

เนื่องในโอกาสท่านพระอาจารย์แบน ธนากโร

และคณะศิษย์มากราบนมัสการหลวงตา

เมื่อบ่ายวันที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ไม่เคยลืมบุญลืมคุณของวัดดอยธรรมเจดีย์

        วันนี้เป็นวันมหามงคล บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์มีพระอาจารย์แบนเป็นหัวหน้า ประชาชนทั้งหลายก็มา ทราบว่าหลายจังหวัดได้มาที่นี่ นับว่าเป็นมงคลของเราเป็นอย่างมาก จิตใจที่จะเป็นมงคลแก่ตัวเองมีน้อยมาก ที่จะเป็นอัปมงคลทำลายตัวเองมีมาก ที่จะเป็นมงคลแก่ตนมีน้อย วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาทุกทิศทุกทางจิตเป็นมงคลมาตั้งแต่เริ่มแรกที่คิดเรื่องเกี่ยวกับการกฐิน การกฐินนี้มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เป็นวันที่รวมของประชาชนทั้งหลาย ผู้มีความรักใคร่ใกล้ชิดต่ออรรถต่อธรรมต่อพุทธศาสนา นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งแล้ววันนี้

         พระท่านก็นำหน้ามาโดยลำดับ ทางวัดก็มีหลวงตาเป็นหัวหน้ามา ท่านทั้งหลายได้มาสละสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มแรกจากเจตนาทีแรกที่ได้รับทราบข่าวบุญข่าวกุศล จิตใจก็ประหวัดกับบุญกับกุศลกับอรรถกับธรรมเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ นับว่าจิตใจของเราเป็นมงคลทั่วหน้ากัน การคิดทางด้านจิตใจเป็นมงคลได้แก่อรรถแก่ธรรมนี้คิดได้ยาก แม้แต่ไล่เข้าทางจงกรมบางทีก็เถลไถลออกนอกทางจงกรม ไล่เข้าทางจงกรมมันเตลิดออกนอกนู่น มันไม่ได้ไปทางจงกรม ถ้าเกี่ยวกับเรื่องหมอนไม่ต้องไล่ มันวิ่งใส่กันปุ๊บเลย มองไปที่ไหนก้มหน้าก้มตาดูนั้นดูนี้ ดูอะไรล่ะ โอ้..หมอนขาด ดูหมอน เย็บหมอนใหม่ ครั้นเข้ามาข้างหลังก็ดูเสื่อ เสื่อขาด มีแต่กินกับนอนใช้ไม่ได้นะ

         ให้ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ อันนี้เป็นธรรมที่เลิศเลอที่สุดแล้วในโลกนี้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอด ผู้เป็นเจ้าของศาสนานั้นคือศาสดาองค์เอกของเรา ได้พยายามสั่งสมบำเพ็ญมากว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์ พอสำเร็จเป็นศาสดาองค์เอกขึ้นมาแล้วกลับท้อพระทัย ไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลกเลย เพราะความลำบากลำบนที่ทรงบำเพ็ญมานี้พรรณนานับไม่ได้เลย น้ำหนักแห่งความลำบากลำบนนี้มันเลยหนักมากยิ่งกว่าการที่จะแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกเสียอีก เพราะหนักมาก เลยท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนสัตว์โลกต่อไป นี่คือความลำบากของพระพุทธเจ้า

         ตรัสรู้มาแล้วก็ลำบากในการที่จะสอนสัตว์ เพราะการสอนสัตว์นี้มันสอนยากมาก แม้แต่พระองค์เองที่จะได้มาเป็นศาสดาสอนโลกก็ยากแสนยาก จึงได้ปรากฏมาเป็นศาสดา เป็นพุทธศาสนา เรียกว่าธรรมสอนโลก พวกเราทั้งหลายเกิดมาในท่ามกลางแห่งพุทธศาสนาซึ่งเป็นสถานที่เลิศเลอแห่งธรรมสถิตอยู่แล้ว วันนี้จึงไม่เสียท่าเสียทางเสียเวล่ำเวลา อุตส่าห์พยายามมาตั้งแต่ได้ทราบข่าวว่าวันนี้จะมีทอดกฐินทางนั้นทางนี้แล้วมีครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้จะนำไปบำเพ็ญกองการกุศล ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พากันมาด้วยความเต็มอกเต็มใจ จิตประหวัดอยู่กับอรรถกับธรรม ประหวัดอยู่กับกองการกุศลอยู่ตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้

มาถึงแล้วขึ้นเวทีฟังอรรถฟังธรรม อย่าให้กิเลสมันลากไปนะ มาถึงวัดแล้วก็คิดถึงบ้านถึงเรือน คิดถึงพ่อบ้านแม่บ้าน ครั้นกลับไปแล้วไปทะเลาะกันนี่ใช้ไม่ได้นะ เรามาถึงนี้เราเป็นที่ปีติยินดี ครูบาอาจารย์เราก็ได้เห็นหลายท่านหลายองค์เต็มไปหมด  หัวหน้าก็คือหลวงตาบัวอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะได้นำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้เรียกว่าเรารอดตายนะ พูดให้ฟังชัดๆ เสียในชาตินี้ภพนี้จะเป็นภพสุดท้าย เป็นภพล้างสมมุติในการเวียนว่ายตายเกิดของเราไปโดยสิ้นเชิงในชาติเดียวกันนี้ เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง

ทั้งนี้เพราะการตะเกียกตะกายบำเพ็ญมายากแสนยากทีเดียว ลำบากลำบนแสนทนที่จะได้มา เดินจงกรมก็ไม่ได้ โซซัดโซเซ กิเลสมันลากออกจากทางจงกรมละซิ มันไม่ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติคุณงามความดีอะไร อันนี้เราพร้อมแล้วทุกคน ได้มาฟังอรรถฟังธรรม มีจตุปัจจัยไทยทานมากน้อยก็ได้มาเสียสละ การที่ได้สมบัติเงินทองมานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หามาแทบล้มแทบตายทุกคนๆ กว่าจะได้มาเสียสละสมบัติอันมีค่าที่หวงแหนที่สุด ต่างคนต่างได้อุตส่าห์พยายามบึกบึนแย่งความตระหนี่ถี่เหนียวออกมาสร้างเป็นบุญเป็นกุศลเป็นคุณมหาคุณ เพื่อจะนำเราออกจากกองมูตรกองคูถ กองกิเลสตัณหา กองฟืนกองไฟ ให้หลุดพ้นไปโดยลำดับก็เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลนี้ นี่เราได้ทำสมใจเราแล้ววันนี้ พอใจ หลวงตาก็ขออนุโมทนากับพี่น้องทั้งหลาย

ก่อนที่จะได้มาสอนโลกนี้หลวงตาก็รอดตายเหมือนกันไม่ใช่ธรรมดา เอาจนจะเป็นจะตายจริงๆ ไม่ได้นึกว่าจะได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนโลกอย่างขณะนี้เลย เพราะความยากความลำบากในการบำเพ็ญเพียรฆ่ากิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอไม่เอาไหนนั่นละลงได้ ก็ขยับความเพียรเข้าไปเรื่อยๆๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ นี่เราออกบวชตั้งแต่อายุได้ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ บวชวันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ มาถึงบัดนี้เป็น ๗๐ กว่าปี

ตะเกียกตะกายมาอย่างนี้ละ ล้มลุกคลุกคลานก็ทนเอาๆ เรียนหนังสือก็ท่านเหมือนเราเราเหมือนท่าน ไม่ได้ว่ายากว่าลำบากอะไรนัก แต่ออกทางด้านภาวนานี้สำคัญมากทีเดียว ขนาดล้มลุกคลุกคลาน หนักมากจริงๆ คือกิเลสไม่ยอมตัว การศึกษาเล่าเรียนธรรมดาไม่เห็นยุ่งเห็นยากอะไร ยังไม่ได้ออกจากตาข่ายของมัน ทีนี้พอหยุดจากการเรียนแล้วทีนี้จะขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ตอนนี้ละตอนหนักมากที่สุดเลย หนักมากที่ตรงนี้ละ อุตส่าห์พยายามบึกบึนมา

ตั้งแต่ออกปฏิบัติเป็นเวลา ๙ ปี เรียหนังสืออยู่ ๗ ปี พอหยุดจากการเรียนแล้วก็โดดเข้าหาหลวงปู่มั่นเรา พอเข้าไปถึงท่านก็แผดอย่างเต็มหัวใจของท่านนั่นแหละ เราก็ไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มหัวใจของเราที่มุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมของท่าน เวลาไปท่านก็แผดเอาอย่างเต็มเหนี่ยว สมใจของเราที่มีความมุ่งมั่นต่อท่านเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกัน

ตั้งแต่บัดนั้นมาพอได้ฟังอรรถฟังธรรมของครูบาอาจารย์ คือท่านอาจารย์มั่นเป็นต้นแล้วกลับมาที่พักจึงถามตัวเองเลย เป็นอย่างไรวันนี้สมใจไหม มาหาท่านก็มาด้วยความมุ่งมั่นเต็มหัวใจ ฟังแล้วกับอรรถธรรมของท่านก็สมใจหาที่ต้องติไม่ได้ ที่มีข้อขัดข้องอยู่คือว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรตั้งแต่นี้ต่อไป ธรรมก็ถึงใจ ธรรมะของท่านที่แสดงออกมาก็สมใจๆ ถึงใจทุกอย่าง ทีนี้เราจะเป็นอย่างไร ฟังธรรมของท่านนี้ถึงใจตลอดเลยจนกระทั่งจบธรรม

ออกมาจากกุฏิศาลาเล็กของท่านแล้วไปที่พักของเจ้าของ ไปก็ตั้งปัญหาถามเจ้าของ ฟังธรรมะของท่านอย่างสมใจกับเจตนาที่มุ่งมั่นต่อท่าน เป็นองค์ฝากเป็นฝากตาย เมื่อมาถึงท่านเทศน์แล้วเป็นอย่างไร ทางนี้บอกว่าถึงใจ แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรต่อนี้ไป เราชี้นิ้วได้เลยในหัวใจมันเด็ดมากนะ เพราะฟังธรรมท่านแล้วเวลาตอบออกมานี้เอาตายเท่านั้นละ

ทางธรรมท่านไม่มีที่ต้องติแล้ว หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านทุ่มมาให้เราหมด แล้วเราฟังถึงใจเราถึงใจท่านหรือเปล่า ท่านเมตตาเต็มที่แล้วไม่สงสัย แต่สำหรับเราเป็นอย่างไร ทางนี้ก็ตอบกันขึ้นมาทันทีเลยว่าต้องตายเท่านั้น ไม่ตายจะให้กิเลสพังลงจากหัวใจไม่มีอะไรเหลือเลยภายในใจนี้ อย่างอื่นไม่มีทางออก มีทางออกอย่างเดียวตั้งแต่กิเลสต้องหงายม้วนเสื่อเราถึงจะลงจากเวที ถ้ากิเลสมันเก่งกว่าเราก็ให้มันอยู่บนเวที เราสู้กิเลสไม่ได้ให้ตกเวทีเลย เอากันตั้งแต่บัดนั้นมา

นั่นละการปฏิบัติ จึงเอาจริงเอาจังมากทีเดียว เพราะนิสัยนี้เป็นนิสัยจริงจังมาก ไม่ใช่เหลาะๆ แหละๆ ถ้าเวลาเล่นเล่นกับหมาก็ได้ แต่เวลามาเอาจริงเอาจังกับผู้กับคนนี้ต้องหนักแน่นทีเดียว การแนะนำสั่งสอนก็หนักแน่น จากนั้นมาแล้วก็ออกละที่นี่ ออกปฏิบัติ ฟังธรรมะท่านอย่างถึงใจแล้วก็ออกปฏิบัติคนเดียวเท่านั้น ไม่เอาใครไปเป็นหมู่เป็นเพื่อนเลย ไปที่ไหนเดินจากบ้านนี้ไปบ้านนั้นๆ มีแต่เดินจงกรมภาวนาไปตลอดทาง ไม่เอาใครไปด้วยมันเป็นน้ำไหลบ่า มีองค์หนึ่งสององค์ก็ไหลบ่าไป ถ้าสามองค์สี่องค์ไม่เป็นท่า ต้องไปคนเดียว

เอา เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ซัดกันเลยละเรา บอกว่าใครดีให้อยู่ ใครไม่ดีให้พังลงเวที ตั้งแต่ขณะฟังธรรมหลวงปู่มั่นแล้วออกปฏิบัติคนเดียวเท่านั้นไม่เอาใครไปด้วย ท่านก็เสริมด้วยนะ ท่านถามว่าจะไปทางไหน อนุญาตให้ไปแล้ว ทางนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ เอ้อ ดี ทางนี้ผมไปแล้วดี ให้ไปนะ แล้วก็ย้อนมาถามแล้วจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว บอกไปองค์เดียว ขึ้นทันทีเลย เอา ท่านมหาให้ไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ให้ไปองค์เดียว

ตั้งแต่นั้นมาละออกปฏิบัติจึงออกคนเดียวๆ เดินจงกรมไป ไปหมู่บ้านใดป่าไหนเขาลูกใดก็มีแต่เดินจงกรมจนกระทั่งถึงที่พัก ไม่ให้เผลอ ตั้งความพากความเพียรเอาอย่างเต็มเหนี่ยวๆ ตลอดมาเลย ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดไม่ให้อ่อนได้ละ เอากันเต็มเหนี่ยว อันนี้ก็ฟาดอยู่ถึง ๙ ปี ตั้งแต่ออกจากหลวงปู่มั่นไปแล้วฟาดอยู่ถึง ๙ ปี ฟัดกับกิเลส เอา..กิเลสดีให้กิเลสอยู่บนเวที ถ้าเราไม่ดีให้ตกเวทีไปเลย ให้กิเลส กุสลา หาตัวเราตัวมันโง่ๆ นั้น ซัดกันตลอดเป็นเวลา ๙ ปี เอาอย่างถึงพริกถึงขิงไม่มีถอย ฟาดถึง ๙ ปี

ขอสรุปความลงเลย ที่ก้าวผ่านไปเรียบร้อยแล้ว กิเลสพังทลายลงจากหัวใจ สว่างจ้าขึ้นมา หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่ได้ลืมนะ วัดดอยธรรมเจดีย์เป็นวัดที่ฝังลึกในหัวใจเรามากทีเดียว ไปได้ของแปลกประหลาดอัศจรรย์ทีไรมักจะได้อยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์จนสะดุดใจตลอด พอไปถึงปั๊บสถานที่เรากับธรรมเจอกันเจอที่ตรงไหนๆ มันจะวิ่งถึงกันทันทีๆ พอไปถึงจะขึ้นบนเขาเลย.แต่ก่อนมันยังหนุ่มน้อยครั้นต่อมามันไปไม่ไหวก็เลยอยู่ที่ศาลาข้างล่าง ขึ้นข้างบนไม่ได้

นี่ละเอาขนาดนั้นละ เอาจริงเอาจัง เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วบทสุดท้ายที่จะคว่ำวัฏจิตวัฏจักร ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงการเกิดการตายทับถมกันนี้ มายุติในวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่ได้ลืมสักกิสักกีนะ ไปฟ้าดินถล่มที่นั่นละ ฟ้าดินถล่มนี้เราไม่เคยเห็นนะ เพราะเกิดมาก็ไม่เคยคาดเคยหมายว่าสวรรค์เป็นอย่างไร พรหมโลกเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็น มีแต่คาดแต่หมายไปอย่างนั้น

แต่ในคืนวันนั้นพูดให้มันชัดเจนเสีย เป็นอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลย วันที่ ๑๕ เดือนพฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละตอนที่ฟ้าดินถล่มถล่มในตอนนั้น พอฟ้าดินถล่มตัวนี้พุ่งขึ้นบนอากาศมันขึ้นไปได้อย่างไร ฟังซิน่ะ มาอวดท่านทั้งหลายเหรอ นั่งอยู่ธรรมดานี่ละร่างกายของเรานี้มันพุ่งขึ้น มันขึ้นไปได้อย่างไร เราเองก็อัศจรรย์เองนะ พอพุ่งขึ้นไปลงมาแล้วมันสั่นไปหมดในร่างกาย ตัวสั่น เหมือนโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย สว่างจ้าขึ้นมาครอบหลังวัดดอยธรรมเจดีย์

มองไปที่ไหนว่างหมดไม่มีอะไรเหลือเลย โอ้โห เป็นอย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระธรรมแท้ก็คือธรรมชาติ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วนั่นละธรรมแท้ เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นแล้วนะนั่น นั่นละเป็นวาระสุดท้าย ฟ้าดินถล่มวันนั้น

จากนั้นมาเรื่องภพเรื่องชาติขาดสะบั้นไปพร้อมๆ กันหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจเลย เป็นในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี นั่นละกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ สว่างจ้าขึ้นมา อัศจรรย์ตัวเอง ถึงขนาดพูดว่า เหอ..พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ เอ๊..พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นแล้วนะนั่น

แต่ก่อนพอระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะมาพร้อมกันๆๆ แต่ในขณะใหญ่นี้ผ่านไปแล้วกลายเป็นว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร เป็นอันเดียวกันแล้วธรรมทั้งแท่ง จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน สว่างจ้าเลย นี่ก็อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่ได้ลืมนะ วัดนี้จึงเป็นวัดที่สลักปักลึกในหัวใจเรามากทีเดียว ไปทีไรต้องจ้องอยู่นั่นละ แต่ทุกวันนี้มันขึ้นข้างบนไม่ได้ ก็ไปอยู่ที่ศาลาข้างล่าง แต่ก่อนไปปั๊บขึ้นเลย ไปชมอะไรพูดไม่ถูกละ ชมธรรมอัศจรรย์ของเราที่เป็นในที่เช่นไร มันจะวิ่งเข้าถึงนั้นเลย แต่เวลานี้ขึ้นไม่ได้ มีแต่มองไปด้วยจิตเท่านั้นละ เห็นบุญเห็นคุณวัดดอยธรรมเจดีย์ของเรา

เราได้ปฏิบัติมาก็อย่างนี้ละกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เวลาออกปฏิบัติทีแรกจิตมันดีดมันดิ้น มันฟัดมันเหวี่ยงกับเรานี้ โอ๊ย หัวคว่ำหัวหงายไปเลย ครั้นเอาไปเอามาก็มีกำลังฟัดกันๆ ต่อไปกิเลสก็หงายเลย พอกิเลสหงายฟ้ากระจ่างขึ้นมาเลย เรียกว่าฟ้าดินถล่มในสถานที่นั่นวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่นละวันเปิดโลกธาตุ ภพชาติต่างๆ ที่เกิดที่ตายมากี่ภพกี่ชาติตายกองกันทั้งเขาทั้งเรา เฉพาะเรื่องธรรม เรื่องความเกิดความตาย ความทุกข์ความทรมานในวัฏสงสารของเราเองได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วในขณะนั้น อัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย

คืนวันนั้นไม่นอนเลย พอนั่งแล้วก็คำนึงถึงความอัศจรรย์ของธรรม พระพุทธเจ้าก็มาอยู่อันเดียวกันเสีย พระธรรมก็เป็นอันเดียวกันเสีย พระสงฆ์ก็เป็นอันเดียวกันเสีย เลยไม่ปรากฏว่าเป็นสองเป็นสามเหมือนที่เราเคยคิดมาแต่ดั้งเดิม พอมาถึงจุดนั้นแล้วผางทีเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ จากนั้นมาแล้วพระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นี่เป็นแล้วนะนั่น มันเป็นแล้ว อัศจรรย์ตั้งแต่บัดนั้นมา

ขาดสะบั้นเรื่องภพเรื่องชาติ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ไม่ได้คิดได้คาดว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน เกิดแล้วจะไปตายที่ไหน จะขึ้นจะลงที่ไหน หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง พอแล้วอยู่กับคำว่าธรรมธาตุ พอแล้วอยู่กับคำว่านิพพานเที่ยง รวมอยู่นั้นหมด ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหน องค์ไหนก็แบบเดียวกันๆ ถามหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนองค์นั้นชื่อว่าอย่างไร องค์นี้ชื่อว่าอย่างไร พระนามของท่านชื่อว่าอย่างไรไม่ถาม

ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เป็นอันเดียวกัน เหมือนกันกับน้ำที่ตกลงมาจากฟ้านั่นละ เมฆก้อนไหนก็ตาม ลงมาสู่น้ำมหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย ไม่ได้แยกแยะว่าเมฆก้อนหนึ่งเป็นฝนมาจากเกาะไหนดอนใดไม่มี ลงนั้นแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด อันนี้พอผางขึ้นมหาวิมุตติมหานิพพานแล้วเป็นอันเดียวกันหมด ถามที่ไหน เมฆก้อนไหนตกลงมาก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เมฆหมายถึงธรรม ก้อนไหนตกเข้ามาในหัวใจเราจากความเพียรของเรา ก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานไปตามๆ กันหมด หายสงสัย ตั้งแต่บัดนั้นมาหายสงสัยแล้ว

การเกิดการตายเราจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการเกิดการตายของเรา เราพูดจริงๆ เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสีย หมดเรื่องภพเรื่องชาติ ล้างป่าช้าในชาตินี้ล้างหมดเรียบร้อยไม่มีเหลือ ก็จะมีตั้งแต่เวลาเราตายนี้เขาจะเอาศพของเราไปให้ไฟเผาเท่านั้นเอง ข้อแม้อันหนึ่งนั้นคือว่าพินัยกรรมของเราได้ประกาศไว้แล้วตั้งแต่เรายังไม่ตาย นี่เวลาเราตายบรรดาญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาทางใกล้ทางไกลที่นับถือพุทธศาสนา เวลาเราตายนี้ ต่างคนก็ต่างจะเอาสมบัติเงินทองเข้ามาอนุโมทนา มันทนไม่ไหวแล้วจะต้องตายก็ต้องยอมรับ ปัจจัยทั้งหลายก็มาทุ่มให้เราๆ ศพเมรุเน่าๆ นั้นแหละ

พอเขาถวายหมดแล้วเราก็มีพินัยกรรมของเราอีก นี่เวลาเราตายนี้แล้วท่านผู้ใดที่มีศรัทธาความเคารพเลื่อมใสต่อเรา เห็นว่าสุดวิสัยแล้วต่างก็เอาจตุปัจจัยไทยทานมาบริจาค ทีนี้จตุปัจจัยไทยทานที่มาบริจาคเรามีพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว เวลาเราตายพินัยกรรมของเราบอกว่า สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทานเพื่อเผาศพของเรานี้ สมบัติเหล่านี้เราตั้งกรรมการรับผิดชอบไว้หมดเลย  พอเสร็จเรียบร้อยแล้วจะยกเงินทองทั้งหมดนี้เอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง

ตัวเราเองจะเผาด้วยไฟเท่านั้น หายห่วงไปเลย ลบป่าช้าความเกิดแก่เจ็บตายไปหมด นรกสวรรค์ชั้นไหน พรหมโลกอยู่ชั้นไหนลบหมดไม่มีอะไรเหลือ หากประจักษ์ในหัวใจนี้เอง เหลือตั้งแต่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เหลือเท่านั้นละ คำว่านิพฺพานํ คือธรรมธาตุ จิตเป็นธรรมธาตุ จิตเป็นธาตุ ธาตุเป็นจิต เรียกว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว หาอะไรอีก หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละการปฏิบัติมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายก็มาเป็นในคืนวันนั้นละ เป็นที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นี่ละกิเลสได้ขาดสะบั้นลงจากใจ

ตั้งแต่บัดนั้นมา เราจึงไม่เคยลืมบุญลืมคุณของวัดดอยธรรมเจดีย์นะ คุณอันนี้ฝังลึกมากทีเดียว เราระลึกย้อนหลังไปหาพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ในต้นโพธิ์ใหญ่ ได้ถือต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเห็นบุญเห็นคุณของต้นโพธิ์ใหญ่นั้น นี่ก็เห็นบุญเห็นคุณของธรรมกองใหญ่ ธรรมธาตุขึ้นในที่นั่น จึงไม่มีวันลืมเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ ทุกคนให้จำเอาไว้

         นี่ละการปฏิบัติศีลธรรม ปฏิบัติไม่หยุดไม่ถอยได้ไม่สงสัย คำว่าตรัสรู้บรรลุธรรมอย่างนี้ก็ไม่เคยได้คิดได้อ่าน แต่ก่อนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร องค์นั้นเป็นอย่างไร องค์นี้เป็นอย่างไร มันไขว่มันคว้าไปหมด พอธรรมธาตุได้ผางขึ้นมาในหัวใจแล้วพระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไรไม่ถาม ธรรมะแท้เป็นอย่างไรไม่ถาม พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นธรรมอันเดียวกัน ทีนี้ก็ไม่ต้องถามใคร เป็นอันเดียวกันหมด ให้พากันจำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก