นวดเส้นมันถูกผิว ก็รู้อยู่ว่ามันเจ็บผิวหนังไม่ได้เจ็บเส้น กดลงไปนี้ถูกผิวหนังเจ็บแสบในขณะที่นวด คือธรรมดาการนวดเส้นนี้มันจะไปเจ็บในเส้นที่ถูกนวด สำหรับผิวหนังไม่เจ็บแหละ แต่วันนั้นปล่อยเลย ผิวหนังนี้ โอ๋ย เหมือนเอาไฟจี้ ช่างหัวมันเถอะ อย่างมากก็ถลอกเท่านั้นแหละ วันนี้ถลอกจริง ๆ มันออกสะเก็ด เราไม่บอก ถ้าบอกแล้วท่านก็จะเบามือเสียตรงจุดสำคัญเส้นที่อยู่ใต้ผิวหนังเจ็บนี่นะ ก็ไม่กระเทือนถึงมัน เจ็บเราก็เลยเฉยเลย ท่านก็ใส่ใหญ่เลย วันนี้ขึ้นตกสะเก็ดแล้ว เจ็บมากไม่ใช่เล่นนะ ถ้าเจ็บเส้นเจ็บเป็นผลเป็นประโยชน์เราไม่ว่านะ คือเจ็บผิวหนังไม่เกิดประโยชน์ มีแต่ความเสียถ่ายเดียว
ผิวหนังกับเส้นมันก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะบอกว่ามันเจ็บผิวหนังท่านก็จะไม่กดแรงตรงเส้นมันก็ไม่ได้ผล เราเลยปล่อยเลยเฉย เมื่อวานนี้รู้สึกว่าเจ็บเหมือนกันผิวหนัง ช่างหัวมันเถอะมันจะเป็นอะไร นี่ก็บอกท่านไป ก็เคยบอกหลายหนแล้ว เว้นสักสามสี่วันก็ได้ค่อยมาจะเป็นไรไป หรือเป็นห่วงท่านเพ็งเหรอ ท่านเพ็งก็ค่อยเบาไปนี่นา ถึงวันมาแล้วก็ค่อยนวดพร้อมกัน พอเป็นไป เช่น เว้นสามวันมาทีนึง สี่วันมาทีนึง อันนี้เว้นสองวันมา
จากภูเขียวนี้ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะ เว้นสองวันมา จากนี้ไปถึงวัดท่านสมบูรณ์เราเคยไปแล้วนี่ ตั้งสองชั่วโมงครึ่งถึง จากนี้ไปผ่านหนองบัวลำภู ชุมแพ ตัดเข้าภูเขียว พุ่งออกทางตะวันออกถึงวัดท่าน อยู่ไหล่เขา วัดท่านอยู่ไหล่เขา จึงไม่อยากให้มาถี่ ๆ กันนักท่านลำบาก พอมานี้ก็เข้าถ้ำกลองเพล ท่านมานวดที่ถ้ำกลองเพลก่อน พอออกจากโน่นแล้วก็มาที่นี่ ออกจากนี้กลับเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ควรจะให้เสียเวลาเราก็ไม่ให้เสีย พอท่านมาถึงให้ท่านนวดเลย กลับพอดี หากว่ามีความจำเป็นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
หายมากแล้ว ค่อยเบาลง ๆ มันเป็นอยู่จุดข้างใน โถ นวดเส้นอย่างเรานี้เราพูดจริง ๆ นะ เราก็เชื่อเราว่าจะไม่มีใครนวดได้อย่างนี้ เรียกว่าทนได้อย่างนี้ว่างั้นเถอะน่ะ เวลาถามท่านสมบูรณ์นวดแบบนี้แล้วผู้ถูกนวดทนได้แบบนี้เคยมีไหม ไม่มี ขึ้นเลยทันที พูดอย่างแบบเด็ดนะ ไม่มี มีหลวงปู่องค์เดียวว่างั้นเลย เราก็เชื่อว่าไม่มี เพราะธรรมดาแล้วมันจะทนไม่ได้ เราก็รู้อยู่ในหัวใจ
นั่นละใจฟังซิน่ะ ใจ เรารู้อยู่นี่หัวใจของเรากับสิ่งเหล่านี้มันเป็นยังไง เราก็รู้อยู่ เราก็เคยเป็นแบบหัวใจทั้งหลายมาแล้ว เราจะสงสัยได้ยังไง ไม่สงสัย มันควรทนได้ขนาดไหนก็ทน ทนไม่ได้มันก็รู้ ๆ คือมันเป็นอย่างที่เราเป็นนี้ก็เป็นเฉพาะเรา คนอื่นก็เป็นอย่างเราไม่ได้ รู้อย่างเรานี้ไม่ได้ หรือว่าจะทนอย่างเรานี้ก็ทนไม่ได้ เราก็รู้เฉพาะเราอีกแหละ จะไปพูดให้คนอื่นฟังไม่มีใครเชื่อได้ ทีนี้เราก็เช่นเดียวกัน เราก็เชื่อเขาที่ทนไม่ได้นั้นเหมือนกัน ก็อย่างนั้นแหละ แต่เราเชื่อเรา
นั่นละท่านพูดว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม หรือสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่มันกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ก็แยกชื่อว่าสติปัฏฐาน ๔ ก็ได้ อริยสัจ ๔ ก็ได้ เวลาเป็นขึ้นในผู้ปฏิบัติแล้วมันก็รู้เอง ๆ นั่นแหละ ท่านจึงเรียก ปจฺจตฺตํ ปจฺจตฺตํ ถึงขนาดที่ว่า เวลาจะตายมันจะเอาทุกขเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ มันจะเอาทุกข์หน้าไหนมาหลอกมันถึงจะหลงไปตาม อันนี้ก็เป็นของจริง ต่างอันต่างจริงรู้กันแล้วจะหลงกันได้ยังไง อย่างนี้แล้วก็ไม่มีอะไรกระทบกัน
แต่เมื่อมันไม่จริงแล้วกระทบวันยังค่ำ มีได้มีเสียวันยังค่ำ เช่น เจ็บปั๊บเข้าไปนี้ร้องจ้ากเลย จ้ากเพราะอะไร สาเหตุมันบอกนี่ ร้องจ้ากเพราะอะไร ถ้ามันจริงแล้วก็เป็นไปตามความจริงของมัน นั่นละพระพุทธเจ้าสอน ถ้าไม่รู้ในเจ้าของแล้วไม่มีใครเชื่อ ว่างี้เลยนะ ให้เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อไม่ได้ นั่นซิจึงได้ท้อพระทัย เพราะไม่มีใครรู้อันนี้ มันรู้แบบเดียวกันหมด มันก็ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแบบเดียวกันหมด ถ้ารู้อย่างพระพุทธเจ้าแล้วก็เชื่อพระพุทธเจ้าแบบเดียวกันหมดอีกแหละ
ธรรมนี้จึงว่า โอ๊ย ยากมาสอนโลกนะ ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ตามความจริงของมัน ๆ แต่เมื่อจิตปลอมเสียอย่างเดียวนี้อะไร ๆ ก็ปลอมไปตาม ๆ กันหมดเลย ถ้าเมื่อมันจริงเสียอย่างเดียวนี้มันก็จริงไปตาม ๆ กันหมด จึงว่าลำบากหนาที่จะรู้ได้เห็นได้ อันนี้มันเริ่มรู้จับต้นมันได้มาจากนู้นแหละ จับได้อย่างจัง ๆ ไม่มีถอนเลย ที่นั่งหามรุ่งหามค่ำ เวลาทุกขเวทนามันเกิดนี้ ร่างกายของเรานี้มันเหมือนท่อนฟืน ทุกข์นี่เหมือนไฟ มันเผาหมดเลยในร่างกายนี่ นี่ละที่ว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ตอนที่จิตใจยังไม่ยอมรับว่าเป็นของจริง มันก็ต่อสู้กัน ได้รับความทุกข์ความร้อนตลอดเวลา ทนไม่ได้ เวลาพิจารณากันมันรอบคอบด้วยปัญญา สตินี้ต้องเป็นพื้นฐาน ปัญญาจะออกสอดแทรก ๆ สตินี้เป็นพื้นฐานไม่ว่าความเพียรประเภทใด ละไม่ได้ว่างั้นเลย
เวลามันเข้ากันเต็มเหนี่ยว มันไปจับได้ตรงนั้นซิ ร่างกายนี้คือมันเหมือนท่อนฟืน ไฟลุกเผารอบตัวเลยร่างกายนี้ ถึงขนาดนั้นนะ มันรู้กันอย่างชัด ๆ นี่ที่มันทนไม่ได้เพราะเหตุนั้น ทีนี้มันทนได้เพราะมันไม่ถอย พิจารณาหาเหตุหาผลมัน จนกระทั่งรู้เรื่องรู้ราว นี่ที่มันจับกันได้นะ ทุกข์มันจะมากขนาดไหน ซัดกันลงไปจนกระทั่งถึงความจริงด้วยกันเลย คือทุกข์มันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ นั่นเวลาถึงความจริงมันนะ ทุกข์ที่แสดงอยู่เป็นฟืนเป็นไฟนั้นเขาก็ไม่รู้ เหมือนอย่างไฟนี้แดงโร่ด้วยความร้อนขนาดไหน เขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นไฟ เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นความร้อนและให้ความร้อนแก่ผู้ใด เขาไม่รู้ ผู้ไปสัมผัสต่างหากรู้
ทีนี้ทุกข์แสดงขึ้นมามากน้อยมันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ มันเป็นของจริงอันหนึ่งเท่านั้น ๆ กายก็เหมือนกัน กายก็ไม่รู้สึกตัวของมัน ทุกข์ก็ไม่มีกับกาย กายก็ไม่มีกับทุกข์ ต่างอันต่างจริง ทุกข์เกิดขึ้นมาจากกาย กายเป็นกายด้วยกันกับทุกข์ แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย นั่นเวลาเข้าถึงความจริง ทีนี้จิตมันไปวุ่นกับเขาน่ะซี อันนั้นเป็นทุกข์ อันนี้เป็นทุกข์ นั้นเป็นของเรา นี้เป็นของเรา เราก็ต้องเป็นทุกข์ นั่น อันนี้เราไปกว้านเอาทุกข์เหล่านั้นมาหมดมันก็ทนไม่ได้ เผ่น เข้าใจไหม
เมื่อพิจารณาลงให้ถึงความจริงแล้ว กายก็เป็นกาย ทุกข์ก็เป็นทุกข์ จิตก็เป็นจิต เป็นผู้ทราบเรื่องทุกข์ทั้งหลาย เมื่อทราบตามความจริงแล้ว มันจะตายในเวลานั้นมันก็ต่างอันต่างจริงไปเลย ต้องอย่างนั้นซิ ถ้าอย่างนั้นตายมันก็ไม่ถอย เวลาจะตายจริง ๆ มันจะเอาทุกข์หน้าไหนมาหลอก ทุกข์หน้านี้ก็รู้กันแล้วมันจริงอย่างนี้ แล้วทุกข์หน้าไหนจะปลอมมาแบบไหนอีก จิตไม่ได้ปลอม นั่น มันก็รู้ตามกันอยู่ตลอดเวลานี้
นี่เรื่องการพิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อถึงขั้นรู้แล้วไม่ได้สะทกสะท้านนะ สามแดนโลกธาตุนี่ไม่มีใครเอามาเป็นพยานเลย เพราะมีแต่พวกหูหนวกตาบอดเอามาเป็นพยานได้ยังไง ธรรมชาติที่รู้ไม่ใช่หูหนวกตาบอด ไม่ฉลาดแหลมคมรู้ได้ยังไง แล้วผู้นี้จะไปหาพวกตาบอดหูหนวกมาเป็นพยานได้ยังไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาหาใครมาเป็นพยาน ท่านจะเอาใครไปเป็นพยาน เพราะมีแต่พวกตาบอดทั้งหมดนี่ ตาดีสว่างจ้าก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ก็พอนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง สนฺทิฏฺฐิโก สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศเรื่อย นี่ละการพิจารณา ตั้งแต่ต้นไปนี้ ทางเดินก็ต้องราบรื่นไปด้วยกันถึงจะถึงสถานที่ราบรื่น ถ้าทางเดินขรุขระแล้วมันก็ไม่ถึงที่นั่น
นี่เราพูดถึงเรื่องทุกขเวทนา เราพูดตรง ๆ ว่าไม่มีใครทนได้ว่างั้นเลย ถ้าความจริงไม่เสมอกันแล้วทนไม่ได้ ถ้าความจริงเสมอกันแล้ว ต่างอันต่างจริงอยู่นั้นไม่ทราบว่าจะทนอะไร ก็ต่างอันต่างจริงแล้วไปทนกันหาอะไร สู้กันหาอะไร ต่างอันต่างจริงก็อยู่ไป เวลาพิจารณารอบเป็นอย่างนั้นนะ นี่ละถึงได้ย้อนไปถึงคราวที่ไปอยู่ทางกะโหม-โพนทอง ที่โรคขัดหัวอกนั่นน่ะ เราไม่ลืมนะ พอบ่ายมาละนะ คือส่วนมากเขาจะนิยมเอาศพมาเผาตั้งแต่เที่ยงไป เรียกว่าบ่ายไปเรื่อย ศพนะ ตอนเช้านี้เขาไม่ค่อยเอาศพเผา เป็นความนิยมอะไรเราก็ไม่รู้ เราก็ไม่เคยถามนะ ไปที่ไหนก็เป็นแบบเดียวกัน เขาจะมาเผาศพตอนบ่าย ๆ กันทั้งนั้น เพราะเรานี้เป็นนักเที่ยว ไปหมดเลย ตอนเช้าเขาเอาศพมาเผาไม่มี แต่เราก็ไม่สืบไม่ถามเขาก็ไม่มีใครถาม ส่วนมากเผาศพมักจะเผาตอนบ่าย ๆ
นี่ละพอเริ่มบ่ายแล้วมาละนะ มานิมนต์ไปกุสลา มาติกา ไปอยู่นั้นจนค่ำ เผาศพนี้เสร็จ อ้าว ศพนั้นมาอีกแล้ว หามกันมาอีกแล้ว ไม่มีรถมีรา หามกันมา อย่าไปถามหาเรื่องรถ ถามมันหาอะไร บางวันจนกระทั่งค่ำจริง ๆ ถึงกลับถึงวัด มันกุสลา ไม่เสร็จ สามศพ สี่ศพ ห้าศพ มาติด ๆ กันมาอย่างนั้น กุสลานี้แล้ว เสร็จจากนี้เผานี้ ทางนั้นก็เตรียมกองฟืนไว้เรียบร้อย ๆ เพราะเขามีเจ้าของทุกศพนี่ ศพของใครเขาก็เตรียมของเขาไว้ กองฟืนไว้ ๆ แล้วกุสลานี้เขาก็ยกนี้ไปเผา แล้วกุสลานี้ก็ยกนี้ไปเผา ๆ จนค่ำ บางวันจนค่ำ
เราก็วิตกกังวล เอ๊ เราก็ว่ามาภาวนา มายังไงอย่างนี้มีแต่มากุสลา จนเป็นความกังวลในใจคิดจะปลีกหนีแล้วแหละ มันกวนมากเพราะมันอยู่ในย่านโรคอันนี้เกิดนั่นซี ถ้าธรรมดาเขาเรียกว่าโรคระบาดนะ เพราะมันตายวันละสามศพสี่ศพ วันละห้าศพ มากวันละแปดศพ ฟังซิน่ะ นี่มากสุดละเราอยู่ที่นั่นนะ มาอย่างนั้นเรื่อย สี่ศพห้าศพนี้ประจำ ๆ เลยไม่มีเวลาภาวนา แล้วจิตใจเราก็พูดจริง ๆ มันเป็นธรรมจักรจะไปยุ่งกับอันนี้ได้ยังไง ฉุดลากไปมันก็ขัดล่ะซี ขัดกับงานของเราที่ทำ
งานพิจารณาเหล่านั้นเรื่องการเกิดการตายภายนอกมันเป็นงานหยาบไปแล้วนะ มันเข้าสู่งานละเอียดหมดแล้ว มันไม่ไปยุ่งกับป่าช้านอกว่างั้นเถอะน่ะ มันเอากันป่าช้าใน ทุกข์ สมุทัย อยู่ที่นี่ ป่าช้าอยู่ที่นี่มันหมุนอยู่ที่นี่ อันนั้นเป็นป่าช้านอก ความเกิดความตายน้อมเข้ามาเพื่อจะเข้าสู่ป่าช้าใน มันกังวล ไม่นานมันก็ขึ้น มันเป็นโรคระบาดโรคอะไร ๆ พอมาโดนเจ้าของเข้าเท่านั้นซี เขาปล่อยทันทีนะ เขาไม่ขัด บอกว่า โอ๋ย โรคอย่างโยมเป็นทั้งหลายที่หามมาเผาอยู่นี่ เวลานี้อาตมาเริ่มเป็นแล้วนะบอกอย่างนั้นนะ เป็นแล้วนะ ขัดข้างใน โห มันเป็นอย่างนี้เหรอ ก็บอกเขา ทีนี้อาตมาจะกุสลา มาติกาให้ไม่ได้แล้ว จะกลับไปแล้วนะ เริ่มแล้วเวลานี้ โรคอย่างเดียวกันนี้เริ่มแล้วนี่ เราบอกตรง ๆ อย่างนี้เลย
เขาก็ปล่อยเลย บอกว่า อย่างนั้นนิมนต์ท่านกลับ พระไม่ค่อยมี มีพระอยู่ในวัดกี่องค์ สององค์สามองค์ก็มาเอาเราไป ก็เป็นพื้นฐานรับกันอยู่ตลอดเวลา พอลาเขามาแล้วไปเลยไปกุฏิ กุฏิเราก็กระต๊อบนั่นเอง ร้านไม่ใช่กุฏิ เป็นร้านอยู่ร่มไผ่ ไปก็เริ่ม โอ๊ย รวดเร็วนะ มันเหมือนหอกเหมือนหลาว เวลามันเป็นขึ้นมามันทิ่มเข้ามาสวนเข้ามาในหัวอก อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้นคนถึงตายง่าย รวดเร็วมากนะ คือเขาเป็นกันสองวันตาย สามวันตาย ถ้าเลยสามวันไปแล้วรอด ก็มีรอดน้อยมาก รอดตายนะ มักจะตายเสียมากต่อมาก เป็นสองวันตาย สามวันตาย อยู่ในย่านนี้ เร็ว เพราะฉะนั้นของเรามันถึงเร็วซิ
พอบอกเท่านั้นก็รีบกลับเลย เขาก็ปล่อยทันทีเลย พอเรากลับไปถึงกุฏิมืดแล้ว โอ๋ย หลั่งไหลกันมา กลัวเราจะตายแบบเดียวกัน มาก็ไล่หนีหมดเลยนะ นั่นฟังซิ คนยกขบวนกันมา ทราบกันอย่างรวดเร็ว ทางไหน ๆ ก็มาเต็มป่าไผ่นั้นไปหมด ไล่หนีหมดไม่ให้มายุ่งเลย พูดสองสามประโยค ไป ๆ อาตมาจะรักษาเอง ยานั้นยานี้ไม่ต้อง อาตมามียาแล้ว พูดกลาง ๆ อย่างนี้ เรามียาแล้วว่างั้น ไล่แตกฮือเลย ไล่หนีหมดไม่ให้มีใครอยู่เลย เขาไปแล้วยังเดินอ้อมนั้นอ้อมนี้ดูไม่มีคน ทีนี้เข้าละนะ ขึ้นสนามรบ มันขัดอยู่ในนี้มันชัดขนาดนั้น โหย โรคนี้รวดเร็วมาก จนใครก็ว่าเป็นโรคระบาด โรคมีเชื้อ เช่น อหิวาต์อย่างนี้ หรือฝีดาษ มันมีเชื้อนะ
โรคของเรานี้มันเป็นลักษณะอย่างนั้น บทเวลาเข้าพิจารณากันจริง ๆ แล้วมันไม่มีเชื้อโรค มันเป็นลมพิษอันหนึ่ง มันรุนแรง อาจจะมีลมพิษอะไรเข้ามาในย่านนั้นนะ ทีนี้ตรงที่ว่ามันห่วงความตาย เราก็ไม่ลืมนะ มันห่วงมันยังไม่อยากตาย ก็คือถ้าตายเดี๋ยวนี้มันจะค้าง เอา พูดให้มันชัดอย่างนี้นะ มันรู้อยู่ที่มันจะออกจากนี้มันจะค้างจุดไหน ๆ ภูมิใด ภูมิที่มันจะอยู่ในจิตขั้นนี้น่ะมันบอกของมันอยู่ตลอดเวลา เช่นอย่างเราเดินไปนี้ เราค่ำตรงนี้ เราจะพักที่ไหน พักที่ไหนก็ที่นี่ แน่ะ ไปที่นั่น ไปถึงที่นั่นแล้วพัก พักที่ไหนก็พักที่นี่แน่ะ ชั้นของอันนั้นกับจิตอันนี้มันเข้ากันได้ตลอดเวลา นี่ใครเห็น หัวใจถามใครวะ
นั่นเห็นไหมล่ะ พระพุทธเจ้าสอนผิดที่ตรงไหน ชั้นนั้น ๆ น่ะ พอจิตเข้าระดับแล้วไม่ต้องถามใครเลยมันรู้ของมัน ชั้นไหนก็ไม่อยู่ ไม่อยากอยู่ จะค้างวันคืนนึง ๆ ก็ไม่อยากค้าง เสียเวลา ให้พุ่งทะลุถึงจุดหมายแล้วไปเมื่อไรก็ไป ไม่เสียดายความตาย เวลานี้เสียดายยังไม่อยากตายเพราะยังไงจะต้องค้าง นี่มันรู้อยู่ขนาดนั้นว่าไง นี่ละการปฏิบัติชัดไหม เราไม่ได้ถามใครเลยมันรู้อยู่นี้ เวลาตายนี้มันจะอยู่ขั้นไหนภูมิใดของสวรรค์ เราไม่ต้องพูดละธรรมดานี้ บอกว่าสวรรค์ ๆ ก็ไม่ใช่สวรรค์ธรรมดามันชัดขนาดนั้นนะ พรหมโลก ๕ ชั้นว่างั้นเลย ชั้นใดชั้นหนึ่ง แต่ไม่บอก หากรู้ชัด ๆ อยู่งั้น เพราะฉะนั้นจึงว่ายังไม่อยากค้าง อันนี้ก็ยังค้างอยู่นี่ ถึงจะผ่านไปก็ต้องพัก ไม่อยากพัก พุ่งเลย เมื่อพุ่งถึงแล้วไปเลย ไม่ว่าไม่เสียดาย
เวลานี้เสียดายยังไม่อยากตายเพราะยังไม่ถึงที่ มันกังวล กังวลถึงเรื่องความตาย โรคมันก็หนุนเข้า ๆ ทีนี้หนักเข้า ๆ ทางนี้ก็กังวลในความตาย สักเดี๋ยวอริยสัจก็พุ่งขึ้นมาล่ะซิ อ้าว ก็เรื่องเหล่านี้ท่านก็เคยพิจารณามาแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่นั่งหามรุ่งหามค่ำนั่นละ นั่นละที่ว่าเคยพิจารณามาแล้วถึงภูมินี้ ถึงภูมิต่างอันต่างจริงนี้ โรคอันนี้ท่านก็เคยพิจารณามาแล้ว ท่านไปกังวลวุ่นวายหาอะไร สิ่งเหล่านี้อยู่กับใคร มันก็อยู่กับท่านเดี๋ยวนี้น่ะ ก็อยู่กับเราเดี๋ยวนี้น่ะ พิจารณาลงล่ะซิ ไปยุ่งอะไรกับเรื่องความเป็นความตาย มันอยู่กับเราทั้งนั้นนี่นะ พอว่างั้นก็ปึ๊บทันทีเลย เห็นไหมมันรวดเร็วขนาดนั้น ถอนหมดเลยเรื่องความห่วงใยความเป็นความตาย ถอนหมดทันที ปุ๊บเข้าสนามรบเลย
อันนี้ก็ยอมรับแล้วนี่ เราเคยพิจารณามาแล้วมันก็ยอมรับ มันก็เข้าเลยผึง เอ้าทีนี้ ทางนั้นก็พุ่งกันเลย ไม่ได้กังวลเรื่องความเป็นความตาย ทุกขเวทนาเกิดที่ตรงไหน ๆ มันก็หมุนสติปัญญาเข้า จี๋ ๆๆ เลยที่นี่ มันไม่ได้ถอยนะ นี่มันถึงรู้ว่า โรคนี้ไม่ใช่โรคมีเชื้อ โรคระบาด เช่น โรคฝีดาษ โรคอหิวาต์ มันไม่ใช่ มันโรคลมพิษต่างหาก พอพิจารณาเข้าไปสติปัญญาจ่อเข้าไป เผาเข้าไปเรื่อยเข้าไป ๆ มันก็เบิกออก ๆ พิจารณาเข้าไปหมุนเข้าไป ตามต้อนมันจนกระทั่งหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย นั่น มันเห็นชัดขนาดนั้นเวลามันเบิกกว้าง นี่ละธรรมโอสถเห็นไหมล่ะ ไปหายาที่ไหนวะ ไม่ไปหา เราไม่ประมาทหมอ ธรรมโอสถก็เป็นหมอหนึ่งอยู่แล้วนั่น พอมันเบิกกว้าง ฟาดนี้ขาดทะลุลงไปจิตก็ลงผึงเลย ขึ้นทันทีเลยไม่ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ ทีนี้ไม่ตาย
อะไรเวิ้งว้างไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ทุกขเวทนาที่มันเสียบแทงอยู่นี้หมดไม่มีอะไรเหลือเลย จึงรู้ชัดว่ามันไม่ได้มีเชื้อโรค มันเป็นลมพิษอันหนึ่ง เมื่อสติปัญญาซึ่งเป็นธรรมโอสถนี้กำจัดอันนี้ กระจายออก ๆ จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วมันก็โล่งไปหมดเลย ร่างกายก็ธรรมดาไม่เห็นมีอะไร ตั้งแต่หัวค่ำฟาดถึงหกทุ่มกว่านะ ถึงลงกันได้ ตั้งแต่หัวค่ำ พอเริ่มมืดโยมเขาก็มา ไล่เขาหนีตอนนั้นเลย พอเขาหนีแล้วเราก็ขึ้นเวทีเลย ถึงหกทุ่มกว่าถึงเอากันลงได้
นี่เราพูดถึงเรื่องความห่วงใยในความตายกับโรคอันนี้ เราไปห่วงใยนั้นเราก็ไม่ลืมนะ แล้วธรรมท่านกระตุกเอาทีเดียวมันกลับปุ๊บทันทีเลย ทีนี้ก็หมุนติ้วเลย เรื่องเป็นเรื่องตายไม่สนใจ ฟัดกันเลย แล้วก็เบิกกว้างออก พุ่งเลย เอาละที่นี่ไม่ตาย นั่น รู้แล้ว พออะไร ๆ ทุกอย่างออกหมดจิตก็ลงเต็มที่ พอถอยออกมาแล้วมันก็เวิ้งว้าง ๆ ไปหมดไม่มีอะไร ไม่ตาย ลงเดินจนกรม คืนนั้นไม่ได้นอนนะ ลงเดินจงกรม
นี่เราพูดถึงเรื่องโรคอันนี้ที่เขาตายเพราะเหตุนี้เองมันรู้ เรานี้ถ้าหากว่าไม่ได้มีธรรมโอสถแก้นี้ต้องเป็นเหมือนเขาละ ตายเหมือนกัน เพราะมันรวดเร็วมาก จามไม่ได้นะ จามนี้สลบไปเลย ไอจามไม่ได้เลย ตั้งแต่หายใจแรง ๆ นี้มันก็อย่างนี้ ๆ มันอยู่ที่หัวอกนี่นะ มันเหมือนแหลมเหมือนหลาวทิ่มเข้าไปสวนกันไปงั้น เวลาพิจารณาออกแล้วมันเบิกออกหมดไม่มีเหลือเลย นี่พูดถึงเรื่องอริยสัจ อย่างนี้แล้วมันเป็นอย่างนั้น ต่างอันต่างจริงไม่มีอะไรเป็นข้าศึกกัน เพราะต่างอันต่างจริง เราไปเหมาเขาต่างหาก ทีนี้ก็มาเป็นข้าศึกต่อตัวเองล่ะซิ ไปเหมาในสิ่งไม่ควรเหมา
นั่นละธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าลงได้เข้าในหัวใจใดแล้วไม่ต้องไปหาพยานที่ไหน ไม่ต้องๆ ไม่สนใจเลย สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองประจักษ์ ๆ ตามขั้นภูมิของอรรถของธรรมของจิตใจเราไปเรื่อยๆ แม้ที่สุดตายแล้วจะไปอยู่ชั้นใดภูมิใดมันก็รู้ของมัน ก็เหมือนอย่างที่เดินไปนี้ เวลานี้ค่ำแล้วหมดกำลังที่จะไปแล้ว แวะนี่ นี่ที่พักของจิตของเวลานั้น ของผู้เดินทางขั้นนั้นจะพักที่นี่มันก็รู้ มันรับกันอยู่ตลอด ๆ อย่างนี้ แล้วจะไปถามใครก็เห็นอยู่อย่างนี้ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงไว้สวรรค์เท่านั้นชั้นเท่านี้ชั้น พรหมโลกเท่านั้นเท่านี้ชั้นผิดไปที่ตรงไหน เมื่อเข้าถึงจิตแล้วมันก็ยอมรับหมดเลย พวกไม่ยอมรับก็ให้มันคืบคลานกันไปเป็นบ้ากันไป ลูบหน้าปะจมูกพระพุทธเจ้าเล่นไปเท่านั้นเอง ครั้นสุดท้ายก็มาเอาเจ้าของลงนั่นแหละ มันไม่ได้ขึ้นพวกบ้านี่ บ้าลงไม่ใช่บ้าขึ้น
วันนี้ไม่พูดอะไรมากนัก ก็เป็นคติอันหนึ่งแล้วเรื่องอริยสัจนะ ก็เป็นคติเครื่องสอนใจนักภาวนา เอาให้ดีนะ จิตนี้เป็นอย่างนั้นแน่ ๆ ไม่เป็นอย่างอื่น สอนนี้สอนถอดออกมาจากหัวใจมาสอนนะ เราไม่ได้ไปลูบโน้นคลำนี้มาสอน สอนจริง ๆ แม่นยำทุกอย่าง แน่ทุกอย่างสอน ไม่ได้สงสัย
มาจากเม็กซิโก ได้อ่านเกี่ยวกับหลวงตาทางอินเตอร์เน็ต ภาษาอังกฤษจากอเมริกา ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับหลวงตาทางอินเตอร์เน็ต อ่านแล้วก็เลยสนใจ เป็นยิว อยู่ในนิวยอร์ค อเมริกา พออ่านข่าวแล้วเลยอยากมากราบหลวงตา เขาอยากติดต่อกับพระเจ้าของเขาโดยตรง ก็เลยให้เขาลองมาติดต่อกับหลวงตา ติดต่อได้อยู่
ฟัง เราจะให้คำติดต่อ ฟังดี ๆ ฟังแต่เจ้าพวกนั้นอย่าฟัง ไปติดต่อหาโคตรพ่อโคตรแม่อีหยัง ก็นั่นแหละ จึงว่าเราบอกอุบายให้อย่างว่า เมื่อวานนี้เขาก็มาพวกสหรัฐเขามา ๔-๕ คน คนไทยเรา มา โอ๊ย ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดน้ำตาคลอเลย ก่อนที่เขาจะมาที่นี่เขาตั้งสัจอธิษฐาน ยังไงขอให้พบหลวงพ่อว่างั้น ถ้ามีวาสนาขอให้พบในวันนี้อย่าให้เคลื่อนคลาดเขาว่างั้นนะ ตั้งสัจอธิษฐานด้วยกันแล้วเขาก็มา มาก็พบจริง ๆ เขาว่า เราก็เฉย
เขาไม่เคยทำบุญ ใส่บาตร ไม่รู้จักทาน พอได้ทำเขาก็รู้สึกมีความสุขมากที่อยู่กับเรา เขาถวาย ๕๐ ดอลล์
เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตกำลังกระจายออกทั่วโลก เมืองนอกนี้ เมื่อวานนี้เขาตั้งหน้ามาจริง ๆ เขาติดต่อเรื่องของเรามาตลอดเขาบอกงั้นนะ ไม่ว่าทางหนังสือ ทางวิทยุทางโทรทัศน์ ทางไหน ๆ เขาติดต่อ แต่ทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้ยินเขาพูด เราก็เลยพูดทางอินเตอร์เน็ตขึ้น ให้เขาได้ติดต่อกระจายออกไปอีกทีนึง เพื่อความสะดวก เพราะเขาอยู่เมืองนอกเขาตั้งหน้ามาเขาบอกตรง ๆ เลย หนังสือนี้ก็ออกไปมากละเวลานี้ ออกไปมากจริงๆ อย่างพูดอย่างนี้ก็ออก นี่ผู้ปฏิบัติทางด้านธรรมะจะได้ธรรมะข้อนี้ไปเป็นเครื่องเตือนใจได้เป็นอย่างดีมากทีเดียวนะ ไม่ใช่ดีธรรมดา
ที่พูดตะกี้นี้ เอาของจริงออกมาเลย ๆ ตั้งแต่สวรรค์ชั้นพรหมลงไปกับภูมิจิตภูมิธรรม มันจะเข้ากันได้ตรงไหนๆ ก็จึงเทียบให้ฟังว่า นี่เราเดินทางไปถึงนี้ที่พักของเราอยู่ที่ไหน แย็บปั๊บนี่ชั้นนี้ ๆ มันจะบอกอยู่ในตัวนี้เสร็จ ไม่ต้องไปถามหามองนู้นมองนี้ มันถึงกันตลอดเวลา นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าจริงขนาดนั้นมาสอนโลก โลกมันก็ปลอมขนาดนี้ จึงยอมรับไม่ได้นี่ซิ นี่ที่ท้อพระทัยเพราะอันนี้เองไม่ใช่อะไรนะ ท้อพระทัย ของจริงเต็มสัดเต็มส่วน แต่ของปลอมก็เต็มสัดเต็มส่วนเหมือนกัน มันลบล้างกันได้ง่าย ๆ นะ
โฮ๊ย เราพูดแล้วสลดสังเวชจริง ๆ นะ ยิ่งเฒ่าแก่มาเท่าไร ๆ จวนจะตายเท่าไร เพราะฉะนั้นถึงเปิดออกเรื่อย ๆ ซิ เปิดออกให้ฟังทุกคน ๆ เราตายไปไม่มีใครสอนอย่างนี้นะ นู่นน่ะถึงขนาดนั้นนะ เราเอาตัวออกยันเลย ทีนี้กิเลสมันก็รุมเข้ามา ว่าท่านพูดโอ้พูดอวด นั่นมันไปอย่างนั้นนะกิเลส คนหนึ่งลากขึ้นจากบ่อนรก มันยังปัดมือออก โอ๋ย สู้นรกไม่ได้มันไปอย่างนั้นนะ สวรรค์พรหมโลกนิพพานสู้นรกไม่ได้ มันไปอย่างนั้นนะ มันปัดมือออก มันไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ที่น่าทุเรศมากนะเวลานี้ มันหนาขนาดนั้นนะมนุษย์ มันบืนลงนรก ๆ ไม่ใช่ธรรมดา ให้พร