มรรคผลนิพพานอยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้า
วันที่ 26 กันยายน 2551 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

มรรคผลนิพพานอยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้า

       (กราบขอขมาหลวงตา นำปัจจัยมาถวาย ๕,๐๐๐) ขอขมาอะไร ไปทับบาตรหลวงตาเหรอ (ลูกเคยวิจารณ์หลวงพ่อ) วิจารณ์ว่าอย่างไร (สงสัยในมรรคผลเจ้าค่ะ ตอนนี้ได้เข้าใจแล้วว่าเป็นบาป เลยมากราบขอขมา ลูกเคยมากราบหลวงพ่อแล้วเห็นท่านกำลังโกรธเจ้าค่ะ ลูกก็เลยสงสัยในมรรคผลของท่าน) พูดเรื่องมรรคเรื่องผลใช่ไหม

         เรื่องมรรคผลนิพพานสำคัญนะ ใครทั่วโลกดินแดน..เฉพาะอย่างยิ่งจะวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองกับผู้เกี่ยวข้องกระจายออกไปทั่วโลกดินแดนไม่วิพากษ์วิจารณ์ แต่ไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านผู้ดี ท่านผู้เลิศเลอ เช่นวิพากษ์วิจารณ์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้เป็นศาสดาองค์เอกของโลกมีเพียงองค์เดียว ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาครองใจ ธรรมที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมานั้นถูกต้องแม่นยำแล้ว เวลามาสอนโลกก็เรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง พอเหมาะพอดี ไม่เค็มไม่จืดไม่เผ็ดเกินไป อยู่ในความพอดี เรียกว่ามัชฌิมา

ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นมัชฌิมา กิเลสนั่นเป็นขวากเป็นหนามเป็นฟืนเป็นไฟขวางมัชฌิมาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราถือศาสนาพุทธจึงควรจะตัดกิเลสที่มันขวางมัชฌิมา เช่นความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ ความสงสัยมรรคผลนิพพาน นี้ตัดออก เหล่านี้เป็นข้าศึกต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้โดยชอบ นำสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยชอบธรรมมานมนาน พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้นี้ ๒๕๕๑ ปี นี่ละที่ตรัสรู้ธรรมด้วยความชอบธรรม ตรัสรู้ขึ้นมา คำว่าตรัสรู้กิเลสขาดสะบั้นไปหมด

กิเลสนี้เป็นตัวภัย เป็นข้าศึกศัตรู เรียกว่าเป็นขวากเป็นหนามกั้นทางเดิน ไม่ให้ไปด้วยความสะดวกสบาย มันทิ่มแทงอยู่ตลอด ตัดอันนี้ออกๆ เอาธรรมเบิกกว้างออกไป กวาดออกๆ สำเร็จมรรคผลนิพพานขึ้นมา อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ตรัสรู้ขึ้นมา คือกิเลสตัวเสี้ยนตัวหนามตัวฟืนตัวไฟมีได้ทุกตัวสัตว์ แม้แต่พระพุทธเจ้าตอนที่พระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ก็ไม่พ้นที่จะมีเหมือนกับโลกทั่วๆ ไป กิเลสประเภทนี้มีอยู่ทุกหัวใจสัตว์ไม่เว้น เว้นเฉพาะพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์เท่านั้น

ทีแรกพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ พระอรหันต์ที่ท่านยังไม่ได้บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ท่านก็มีกิเลสอย่างนี้เหมือนเรา พอกิเลสที่เป็นเสี้ยนเป็นหนามเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ภายในหัวใจขาดสะบั้นไปจากการชำระซักฟอก ด้วยความดีงามทั้งหลายแล้วโล่งขึ้นมาเลย ไม่มีอะไรละ โล่งขึ้นมาในหัวใจ ไม่มีหัวใจใดที่จะโล่งที่สุดยิ่งกว่าหัวใจพระอรหันต์ อย่างที่ท่านยก ท่านก็เขียนไว้นั่น ท่านสอนพระโมฆราช พระโมฆราชถ้าเราจำไม่ผิดดูว่าเป็นมานพ ๑๖ คน คนนี้มีอุปนิสัยสามารถที่จะตรัสรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว พระองค์ก็จ้อเข้าไปตรงนั้นเลย

อันนี้เราต้องขออภัยนะผิดพลาดประการใด แต่หลักใหญ่พระโมฆราช กิ่งก้านสาขาออกไปนั้นเป็นใครต่อใครบ้างมานพ ๑๖ คนนั้นเราจำไม่ได้ แล้วธรรมทั้งหลายก็มาสรุปเอาตอนที่พระองค์ทรงเห็นอุปนิสัยของโมฆราชนั้นเด่นชัด พร้อมที่จะตรัสรู้ธรรมอยู่แล้วในขณะนั้น บึ่งเข้าไปนั้นเลยธรรมพระพุทธเจ้า เรียกพระโมฆราชมาแนะนำสั่งสอน เป็นมานพที่ ๑๖

เดี๋ยวนี้มันจำไม่ค่อยได้แล้วนะ แต่ก่อนจำได้ เพราะอยู่ในหลักสูตรการศึกษาเล่าเรียน เดี๋ยวนี้เรียนมานานจำไม่ค่อยได้ เอาออกมาเลยว่าพระองค์ทรงสอนพระโมฆราชว่า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ      โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ            มจฺจุราชา ปสฺสติ.

ดูก่อนโมฆราช พูดง่ายๆ ก็คือว่าเธอจะเป็นที่หนึ่งตรัสรู้ในระยะนี้ ความหมายว่าอย่างนั้น ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ สทา สโต สทาทุกเมื่อ สโตคือสติ เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกที่มันแน่นหนาไปด้วยฟืนด้วยไฟด้วยกิเลสตัณหานี้ เอาไฟคือธรรมะตปธรรมเผาให้มันแหลกไปหมด ให้กลายเป็นสุญฺญโต โลกํเป็นโลกว่างไปหมด โลกนี้ว่างโลกนี้สูญไปหมด ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาซึ่งเป็นเหมือนกับก้างขวางคอออกเสีย จะพึงหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้

พอพระโมฆราชได้ฟังธรรมนั้นก็ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในขณะนั้น ธรรมบทนี้จึงเป็นธรรมสำคัญ แต่เราจะไปมอบให้โมฆราชหมดทุกคนไม่ถูก ต้องมอบให้กับผู้ปฏิบัติเรา ผู้ปฏิบัตินั้นละผู้รอที่จะรับธรรมจากพระโมฆราช ลำดับลำดาจากพระโมฆราชมาจนกระทั่งถึงเรา ใครก็ตามได้ตรัสรู้ธรรมโลกนี้ว่างเปล่าจากความเกิดแก่เจ็บตาย กิเลสตัณหาซึ่งเป็นเชื้อให้เกิดแก่เจ็บตายมุดมอดไปหมดจากจิตใจ นั้นละโลกว่าง ว่างตรงนั้น สุญฺญโต โลกํ โลกว่าง ว่างจากกิเลสซึ่งเป็นขวากเป็นหนามนั้นละ

นี่ละพระพุทธเจ้าท่านสอนพระโมฆราช มันว่างอย่างนี้โลกว่าง ต้นไม้ภูเขาก็มี แต่สิ่งที่เสียดแทงจิตใจคืออารมณ์ของกิเลส มันเผาอยู่ทั้งวันทั้งคืน นี้เป็นขวากเป็นหนามเป็นฟืนเป็นไฟ เผามันให้แหลก แล้วก็กลายเป็นโลกว่างขึ้นมาในหัวใจ พญามัจจุราชตามไม่ทัน นี่แปลออกจากคาถาบทนี้ ให้พากันจำเอาไว้ ใครก็ตามถ้าทำจิตให้ว่างไปหมด ไม่มีกิเลสเหลือแล้วเป็นพระโมฆราชด้วยกันหมด บรรดาพระอรหันต์ล้วนแล้วแต่เป็นโมฆราช ว่างจากกิเลสทั้งปวง หมด นับแต่พระพุทธเจ้าลงมา

นี่ละมรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีที่มาถามอยู่เวลานี้น่ะ ว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี หือ นั่งหลับหูหลับตาอยู่เหรอ เขานั่งภาวนา เราไปนั่งหลับหูหลับตาแบบไหน ถ้าหลับตาภายนอกตาภายในสว่างด้วยสติปัญญาก็เรียกว่าถูกต้อง ถ้าหลับทั้งภายนอกภายในเรียกว่ามืดบอดที่สุด ตโมตมปรายโน ทั้งอยู่ในโลกนี้ก็มืด เกิดมาทีแรกก็มืด เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาจนเฒ่าจนแก่เข้าโลงก็มืด มืดตลอดตั้งแต่เกิดมา ตโมตมปรายโน ตโมโชติปรายโน เบื้องต้นนั้นมืดบอด แต่ได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วก็สว่างไสวขึ้นมา โชติปรายโน เป็นความสว่างไสวขึ้นมาในหัวใจ

นี่ละมรรคผลนิพพานมีอยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นคนโง่ ที่มาเป็นศาสดาสอนโลก เป็นศาสดาองค์เอก เอกไม่มีสองมาเป็นคู่แข่ง จึงเรียกว่าศาสดาองค์เอก องค์นี้เององค์มาตรัสรู้ธรรม สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วก็คือองค์นี้เอง สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม นี่คือศาสดาองค์นี้เองสอนไว้ ไม่ผิดไม่เพี้ยนไปไหนเลย พวกผิดพวกพลาดอยู่ตลอดเวลาก็คือพวกเรา เฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์หลวงตาบัวผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา มันไม่ค่อยไปตามถนนหนทาง มันแหวกแนวออกไปนอกลู่นอกทาง เหยียบขวากเหยียบหนามตกหลุมตกบ่อไปเรื่อยๆ พวกนี้แข้งหักขาหัก มันไม่ไปตามทาง ให้ไปตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม ให้จำเอานะ

มรรคผลนิพพานอยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งเห็นจริงยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก นี่คือศาสดาองค์เอก สอนโลกให้รู้แจ้งแทงทะลุไปได้คือศาสดาองค์นี้ ส่วนองค์อื่นก็มีแต่ตั้งชื่อตั้งนามเฉยๆ ไม่ได้เป็นความจริงขึ้นภายในพระทัยเหมือนพระพุทธเจ้าของเรา

ถามเรื่องอะไรบ้าง (เรื่องเดียวค่ะเรื่องมรรคผลนิพพาน) มรรคผลนิพพานจำให้ดี นึกพุทโธกับสติติดกันตลอดนะ นี่ละทางเบิกกว้างมรรคผลนิพพาน ฝึกสติ สติเป็นสำคัญมาก ไม่ว่าหน้าที่การงานภายนอกภายในเราทำการงานภายนอกมีสติมีสัมปชัญญะไม่ค่อยผิดพลาด เขียนหนังสือก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าสติได้พรากจากตัวไปแล้วอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น ผิดๆ พลาดๆ เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนอยู่อย่างนั้น ถ้าสติจดจ่ออยู่แล้วจะไม่ค่อยผิดพลาด ทำอะไรให้มีสติสตังนะเข้าใจไหมล่ะ

ส่วนมากสติไม่ค่อยมี ฝึกกันความเป็นบ้าของมนุษย์เท่านั้นเอง สติที่มีอยู่กับโลกทั่วๆ ไปเพื่อกันความเป็นบ้าของมนุษย์ ถ้าสติอันนี้ขาดไปแล้วเป็นบ้ากันหมด อยู่ในไฟเขียวไฟแดงจับนั้นจับนี้คว้านั้นคว้านี้ใส่ถุงขาดๆ ย่ามขาดๆ รถวิ่งขวักไขว่กันไปมา สี่แยกพระธรรมขันธ์นี่ เราไปเห็นต่อหน้าต่อตา คือคนนั้นเขาเป็นบ้า เขาเก็บนั้นใส่ย่าม เก็บนี้ใส่ถุง เก็บนั้นออกเก็บนี้เข้า ยุ่งอยู่คนเดียวเขา รถวิ่งขวักไขว่ไปมามันจะชนคนบ้านี้ รถก็เลยจะชนกัน นั่นละคนเป็นบ้าแท้ มีแต่ความรู้ ไม่มีสติเป็นเจ้าของมันก็เป็นบ้าเต็มตัว นั่นละคนเป็นบ้าเต็มตัว พวกเรานี้ยังพอกันบ้าได้ คือพอมีสติอยู่บ้าง พอกันบ้าประเภทสี่แยกธรรมขันธ์นั้นได้บ้าง อย่าให้เป็นแบบนั้นนะ เข้าใจหรือยังพูดนี้น่ะ

โรคกันบ้าก็คือโรคสติ โรคธรรม มีสติไม่เป็นบ้าคนเรา ถ้าขาดสติลงไปแล้วเป็นบ้า มีแต่ความรู้ไม่มีเจ้าของเป็นบ้าได้ เช่นอย่างสี่แยกธรรมขันธ์อย่างที่ว่า รถวิ่งไปมาขวักไขว่มันจะชนคนบ้าคนนั้น เขาไม่สนใจกับใคร แต่รถวิ่งสวนไปสวนมามันจะชน นั้นละคือคนเป็นบ้าเต็มที่ ไม่มีสติเป็นเจ้าของความรู้ ถ้ามีลำพังความรู้มันเป็นได้อย่างนั้นละ ถ้ามีสติเป็นเจ้าของก็รู้ผิดถูกดีชั่ว หลีกเว้นได้คนเรา จำเอานะ สติไม่ใช่ของเล็กน้อย

(กำหนดสติตามแนวของหลวงตาจะกำหนดพุทโธใช่ไหมเจ้าคะ) ตามแนวของพระพุทธเจ้า ตามแนวของธรรม อย่าเอาแนวของหลวงตา ตัวขี้เกียจใหญ่อยู่กับหลวงตา เดี๋ยวมันจะกระจายไปมีแต่ คนขี้เกียจเต็มศาลา เข้าใจไหม อย่าเอาคนอย่างนี้มาเป็นตัวอย่าง เอาพระพุทธเจ้าเอาศาสดาเอกของโลกเป็นตัวอย่างนะ ให้มีสติอยู่กับจิต ทำหน้าที่การงาน สติจับๆ สติวงกว้าง สติวงแคบ สติวงกว้างเป็นสัมปชัญญะ สติวงแคบจ่อหน้าที่การงานโดยเฉพาะ เช่นเรากำหนดพุทโธก็อยู่กับพุทโธๆ เรียกว่าสติโดยตรง แต่สติที่ซ่านออกไปตามหน้าที่การงานไม่ผิดไม่พลาดนั้นเป็นสัมปชัญญะ รู้ตัวๆ ตลอด เข้าใจหรือยัง นี่ละสติ ออกจากนั้นก็เป็นสัมปชัญญะ ไปปฏิบัติเอา

แล้วมีอะไรอีกล่ะ (วันนี้ทองคำได้ ๙ บาท ๓๒ สตางค์ครับ) ได้เยอะนะวันนี้ เราขนทองคำเข้าคลังหลวงได้เป็นหมื่นกิโลแล้วนะ ไม่ใช่น้อยๆ ทองคำที่เราขนจากพี่น้องทั้งหลายเข้าคลังหลวงดูเหมือนจะเป็นหมื่นกิโล สรุปทองคำที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๑ ได้ทองคำ ๑๑,๘๒๙ กิโล ๒๙ บาท ๖๗ สตางค์ จำเอานะ

ทองคำเราก็ได้เยอะเราขนเข้าคลังหลวงๆ ทั้งหมดเลย ส่วนดอลลาร์ดูเหมือนได้ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลลาร์ ดอลลาร์เราได้เข้าเพียงเท่านี้ ทีนี้เงินไทยมันจำเป็นที่ช่วยชาติบ้านเมือง มันต้องมาดึงเอาดอลลาร์นี่ออกไป เพราะฉะนั้นดอลลาร์จึงไม่เข้าอีก เข้าแต่ทองคำ เข้าร้อยทั้งร้อยทองคำ สำหรับดอลลาร์เงินไทยมาดึงไปช่วยกระจายออกช่วยชาติบ้านเมือง จึงไม่ได้เข้าอีก ที่เข้าแล้ว ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลลาร์ จากนั้นมาไม่ได้เข้า เงินไทยมาดึงเอาไปช่วยคนทั้งชาติทั่วประเทศเขตแดน ไม่ว่าที่ไหนๆ โรงร่ำโรงเรียน ถนนหนทาง จนกระทั่งถึงโรงพยาบาลต่างๆ ช่วยตลอด เงินวัดนี้ไม่ได้เก็บ มีเท่าไรออกหมดเลย ออกหมดๆ ให้พร

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก