เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
กิริยาของโลกธรรม
จากนี้ไปวัดท่านอุทัย ๕ ชั่วโมงกับ ๕ นาที คือเราไปที่ไหนมีจังหวะจะโคนมีหลักมีเกณฑ์ เพราะฉะนั้นถึงชี้ถูกๆ ไม่ได้ไปแบบที่ว่าผัวมันคนขี้โบกขี้เบี้ย เมียไม่ไว้ใจ พอดีเผอิญวันนั้นเมียยุ่งอะไรกับลูก เลยให้ผัวไปจ่ายตลาด เอ้า ไปจ่ายตลาดให้หน่อย ไม่เคยให้ไปละ ครั้นไปมันเอาไปสะแตกเหล้าหมดว่างั้น ไม่เคยให้ไป เราไปเอง ยากลำบากก็ไปเอง วันนั้นจำเป็นจริงๆ ได้บอกให้ไป พอไปก็หายเงียบเลย ไปตั้งแต่เช้าหายเงียบ บ่ายสี่โมงถึงด้อมๆ มา มันไปฟาดเหล้าหมด มันเคยอย่างนั้น ไปเอาอย่างนั้นแหละ มันขบขันจะตาย
เหล้านี่เราก็เคยกินหนหนึ่ง ไม่ใช่เจตนาจะกินนะ ไปเยี่ยมเพื่อนฝูงเขา วันนั้นเขากินเลี้ยงกันเราก็ไม่รู้ เขามาชวนเราไปกินเลี้ยงพวกเพื่อนๆ อำเภอภูเวียง พอเราไปนั่งปุ๊บขวดนั้นมาขวดนี้มา อะไร เขาบอกน้ำอ้อยนา เขาว่าอย่างนั้น ทำไมมันเหมือนเหล้านัก โอ๋ย นี่น้ำอ้อยนาประเภทหนึ่งไม่ใช่เหล้าเขาว่าอย่างนั้น เขาจับกรอกใส่ๆ กินแล้วลำตรงนั้นเลยนะ ลำเลย ลำตรงนั้นแหละ ไม่รู้ตัว เรื่องละอายไม่รู้นะ สติดีอยู่แต่มันไม่อาย เพราะฉะนั้นคนขี้เหล้ามันถึงเป็นอย่างนี้ จับได้หนเดียว ก็มีหนเดียวเท่านั้นเราเมาเหล้า ถูกเพื่อนฝูงเขาเอาเหล้ามากรอกปาก
ตั้งแต่นั้นมาไปเที่ยวที่ไหนๆ คือทางภาคอีสานเขาไปเที่ยวสาว เป็นวงๆ ชายหนุ่มหญิงสาว เขาถือประเพณีกันอย่างนั้น เขาเรียกพวง พวงคือวง ไปวงนั้นไปวงนี้ไป ตั้งแต่วันสะแตกเหล้าแล้ว ไปลำให้เขาฟังแล้วเขาเลยติดใจอย่างไรไม่รู้ ไปไหนต้องจับคอมัดให้ลำให้ฟังเสียก่อน เท่านั้นแหละ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะกินเหล้า หมู่เพื่อนจับยัดใส่ต่างหาก จับยัดใส่แล้วกินเหล้า อายไม่เป็นนะ โอ๊ คนกินเหล้านี่อายไม่เป็นนะ ได้จับมาพิจารณาเจ้าของ
พอเมาเหล้าแล้วลำอยู่นั้นเลย เขาจนเลิกกันไปหมด เลิกงานนะ เรายังอ้อแอ้ๆ อยู่คนเดียว พอสว่างรู้สึกตัวแล้วเปิดเลย เปิดไปบ้านเพื่อนที่ไปพักเป็นเสี่ยวกัน หลังจากนั้นไม่เข้าไปทางนั้นได้เลย อายเขา แล้วเขาก็จับให้ลำเรื่อยนะ ลำเพราะดีไอ้นี่ ว่าอย่างนั้น เราไม่ลืม ไปทางนู้นทางอำเภอภูเวียง
พ่อตาทำนายไว้สามอย่างมันไปหมดเหมือนกันนะ คือลูกคนนี้อยู่ในท้องแม่ แม่ก็เป็นลูกของตา คนหัวปีเป็นพี่ชาย กระหยุมกระหยิมๆ เอาแน่ไม่ได้ไอ้นั่น อยู่ในท้อง บางทีเอาผ้าปกคลุมไว้ มันดิ้นข้างใน กลัวคนเห็นอายเขา มันดิ้นนิสัยมัน อยู่ในท้องมันก็บอก เวลามาเป็นตัวของเราเข้าในท้องไม่เป็นอย่างนั้นซิ เวลาจะคลอดทีไรนี่เหมือนท้องแม่จะระเบิด เหมือนจะตายในเวลานั้นแล้วหายเงียบไป ไม่ยอมคลอด คือหยุด หยุดแล้วหยุดเงียบเลย อ้าว นึกว่าลูกเจ้าของตายวิ่งไปหาพ่อ แม่น่ะ มันไม่ตายหรอกมันเป็นตามนิสัยมัน บอกว่าเป็นไปตามนิสัย คนนั้นวอกแวกๆ อยู่ในท้องได้เอาผ้าปกคลุมไว้ มันดิ้นในท้อง..พี่ชาย
สำหรับเรามันเป็นจังหวะจะโคน เป็นมาทีไรเป็นอย่างนั้น จนพ่อตาละทำนายเอง กูจะทำนายให้นะ ลูกมึงคนนี้ต้องเป็นผู้ชาย สูให้ระวังให้ดี กูดูลักษณะท่าทางทุกอย่างในท้องนี้เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางที่จะเป็นกิริยาผู้หญิง เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าไปทางฝ่ายชั่วนี้จะให้ได้จับมันมาใส่คุกใส่ตะรางว่าเป็นนักโทษไม่มี มันจะฟัดกันกับเจ้าหน้าที่เขา ดีไม่ดีเจ้าหน้าที่ตาย จะให้จับมันมาเป็นนักโทษไม่ได้ไอ้นี่ มันรุนแรงมากนะถ้าไปทางชั่ว ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าไปทางดีมันก็ลักษณะเดียวกัน ไปทางดีไม่พูดมาก มันก็เป็นลักษณะเดียวกัน แต่ไปทางชั่วนี้แหลกเลย อะไรก็แหลกเลย
พอดีมันก็หมุนไปทางดีเสีย มาบวช บวชก็ขยับเรื่อยๆๆๆ ไม่ถอยเวลามาบวช ทีแรกว่าจะบวชสักปีสองปีก็จะสึก ทีนี้บวชอ่านอรรถธรรมเข้าไปมันดูดดื่มเข้าไปเรื่อยๆ เอ๊ จิตใจดูดดื่มเข้าเรื่อยๆ ท่านพูดถึงสวรรค์ก็อยากไปสวรรค์ ในหนังสือพูดถึงเรื่องสวรรค์-พรหมโลกก็อยากไปสวรรค์ ครั้นอ่านไปๆ ไปเจอนิพพานเข้า อยากไปนิพพาน ทีนี้พอถึงขั้นอยากไปนิพพานเกาะติดเลยนะ ไม่ปล่อย ประมวลมาหมด ความรู้นี้จะทุ่มใส่เพื่อนิพพานอย่างเดียว จะให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เลยลงนั้นหมดเลย เลยไปลงนิพพานหมด
พอหยุดจากการเรียนแล้วก็บึ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็กางเรดาร์ไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านต้อนรับอย่างเต็มเหนี่ยวเลยนะ เราไปด้วยความตั้งใจ คือมีข้อสงสัยกันอยู่ว่าเวลานี้ความอยากไปนิพพานอยากไปเป็นกำลัง แต่มีข้อสงสัยว่านิพพานจะมีอยู่ตามความอยากไปหรือไม่ ถ้ามีผู้ใดมาชี้แจงบอกว่านิพพานมีอยู่แล้วเราจะกราบไหว้ครูบาอาจารย์หรือท่านผู้นั้นอย่างเต็มหัวใจ ด้วยความเคารพสุดหัวใจเหมือนกัน จากนั้นเราจะฟัดกับกิเลส เอาให้ได้นิพพานในชาตินี้ มันก็ไปอีกละ
ไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเอาใหญ่จริงๆ นะ โอ๋ย ท่านต้อนรับเอาหนักจริงๆ ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลย ท่านมาหาอรรถหาธรรมหรือมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ท่านชี้ใส่ต้นไม้ภูเขา นั้นเป็นต้นไม้ นั้นเป็นภูเขา นั้นเป็นดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ ชี้เข้ามา เอาใจให้ได้นะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา พระสาวกทั้งหลายที่มาเป็นสรณะของพวกเรา กระเทือนโลกธาตุอยู่เวลานี้ก็เป็นเพราะภาวนา เอาภาวนาให้ได้ ไปฟังเทศน์ท่านอย่างถึงใจแล้วก็เอาละที่นี่ เป็นอย่างนั้น
เอาจริงเอาจังด้วยนะ ทำอะไรไม่ได้เหลาะแหละ ไม่มีคำว่าเหลาะแหละ ถ้าลงว่าจริงแล้วขาดกับมือเลย นี่ก็ตั้งหน้าใส่มรรคผลนิพพาน ไปพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เปิดเลย นี่น่ะมรรคผลนิพพาน เหมือนว่าหยิบนี่น่ะๆๆ อู๊ย ฟังมันดูดมันดื่มเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า มันพอใจอย่างหนักทีเดียว พอฟังเทศน์ท่านมาแล้วถึงใจเหมือนจะเหาะจะบิน พอลงมาแล้วไปที่พักยังไม่ถึงที่พัก แล้วว่าอย่างไรที่นี่ มาหาอรรถหาธรรม หาครูบาอาจารย์สุดหัวใจแล้วท่านว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี
ท่านชี้เข้าไปที่ไหน ว่าอย่างนั้นนะ ท่านชี้เข้ามาหัวใจ แล้วเราจะว่าอย่างไร เอาตายสู้ นั่นตอบเจ้าของ เอาตายสู้เลย เอาจริงจริงด้วยนะ เป็นตายสู้จริงๆ ฟาดเสีย ๙ ปี ถึงขนาดเอาตายสู้เป็นเวลา ๙ ปี ตกนรกทั้งเป็น ไปเที่ยวกรรมฐานไม่ได้เอาใครไปด้วย พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็รู้ความตั้งใจของเรา เพราะอยู่กับท่านมานาน ความตั้งอกตั้งใจทุกสิ่งทุกอย่างท่านรู้แล้ว เหมือนว่าท่านไว้ใจ
ไปเที่ยวกรรมฐานเราไปองค์เดียว ท่านขึ้นเลยว่า เออ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ว่าอย่างนั้นเลย ถ้าองค์อื่นไป หือ ตั้งแต่อยู่ในวัดนี้มันยังตกนรกทั้งเป็นให้เห็นอยู่นี่ แล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนอีกออกจากวัดนี้ไปแล้ว ไปอย่างนั้นนะ พระไปทีละสององค์สามองค์ไปลาท่านท่านขนาบเอา แล้วใครจะกล้าไป ท่านว่าอย่างนั้น นิ่ง ไม่ไป แต่เราลาทีไรเอาละทุกที ท่านเสริม
พอว่าจะลาไปเที่ยวกรรมฐาน พอแย็บออกเท่านั้นก็เท่านั้นละแล้วแต่ท่านจะพิจารณานะ ไปพูดซ้ำๆ ซากๆ ไม่ได้กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น นั้นจอมปราชญ์ นี้จอมโง่ พูดแล้วก็ฝากไว้นั้นแหละ ได้โอกาสเมื่อไรท่านจะมาคลี่คลาย ท่านจะนำเรื่องของเราไปพิจารณาคลี่คลายเสียก่อน พอได้โอกาสแล้ว เออ ที่ท่านมหาว่าอยากไปเที่ยวภาวนานั้นไปได้ละ นั่นท่านเปิดแล้วนะ จากนั้นก็มีเงื่อนต่อละ
พอบอกว่าไปองค์เดียวเท่านั้นท่านชี้เลย ใครอย่าไปยุ่งนะ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว นอกนั้นไปสององค์สามองค์ท่านก็ขนาบเอา ตั้งแต่อยู่ในวัดมันก็ตกนรกทั้งเป็นให้เห็นอยู่นี่น่ะ ออกจากวัดนี้แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ ท่านว่าอย่างนั้นแล้วใครจะกล้าไป ไม่กล้า แต่สำหรับเราสาธุไม่ได้โอ้อวดนะ ไม่มีคำว่าจะห้าม พอว่าจะไปทางนู้นทางนี้ ไปกี่องค์ล่ะ ไปองค์เดียว ขึ้นเลยทันที เอา ท่านมหาให้ไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เพราะฉะนั้นไปเที่ยวกรรมฐานเราจึงไปแต่องค์เดียวๆ เที่ยวกรรมฐานไม่ให้มีหมู่เพื่อนนะ ไปองค์เดียวตลอดเลย
อันนี้ก็ฟาดเสีย ๙ ปี เอาขนาดนั้นนะ หนักหน่วงมากเรื่องความเพียร เหมือนตกนรกทั้งเป็น ขนาดนั้นถึง ๙ ปี ถึงผ่านได้ หยุดเรียนหนังสือพรรษาเจ็ด ๑๖ พรรษาผ่านได้ มันก็ ๙ ปี ตั้งแต่ ๗ พรรษาถึงพรรษา ๑๖ เราจำไม่ได้ลืมนะ เพราะมันกระเทือนสามแดนโลกธาตุมันจะลืมได้อย่างไร พอผางขึ้นมาเท่านั้น คำพูดเช่นนี้มันได้มาจากไหน มันได้จากปัจจุบันที่เห็นอรรถเห็นธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันในขณะนั้นเท่านั้น มันขึ้นได้เลย ขึ้นได้ด้วยกำลังของใจ
เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้แหละเหรอๆ ซ้ำนะ ตรัสรู้อย่างนี้แหละเหรอๆ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้แหละเหรอๆ ซ้ำ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้แหละเหรอ ทีนี้ประมวลเข้ามาหากัน เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร แต่ก่อนไม่เคยคิด ระลึกอะไรก็ต้องพุทธ ธรรม สงฆ์ ขึ้นมาพร้อมๆ บทวันนั้นเวลามันขึ้นมันไม่ได้ขึ้นอย่างนั้น มันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้แหละเหรอๆ ซ้ำ อย่างไร อย่างที่เราเป็นนี้ พูดง่ายๆ ว่าอย่างนั้นแหละ ธรรมแท้ก็เป็นอย่างนี้ มันมาประจักษ์กับใจหมดแล้ว สงฆ์แท้มีอันเดียวธรรมแท่งเดียว หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นั่นเป็นอันเดียวกันแล้ว คือธรรมทั้งแท่ง มันเป็นเอง
นั่นละวันสุดท้ายปลายแดนที่ฟัดกับกิเลสก็ ๙ ปีเหมือนกัน จากนั้นก็เรื่อยๆ มาอย่างนี้แหละ หายห่วง มาในชาตินี้จะว่ามาลบป่าช้าก็ไม่ผิด บอกว่าลบป่าช้าความเกิดแก่เจ็บตายเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์-พรหมโลกกี่ครั้งกี่คราว กี่กัปกี่กัลป์ลงนรกหมกไหม้กี่ครั้งกี่คราวกี่กัปกี่กัลป์ ประมวลเข้ามามาม้วนเสื่อกันในชาตินี้ พอกิเลสม้วนเสื่อเสียอย่างเดียวม้วนหมดเลย มีกิเลสเท่านั้นพาสัตว์ให้เกิดแก่เจ็บตายไม่หยุดไม่ถอย ไปตกนรกหลุมไหนก็ตามความดีความชั่วมันก็สับปนกันไปๆ ไปสวรรค์พรหมโลกไป ตกลงมามาเกิด แล้วก็จมลงนรกไป แล้วก็ฟื้นขึ้นมาอยู่อย่างนั้น พอถึงขั้นนี้แล้วไม่ฟื้น
อันนี้ ๙ ปี พรรษา ๑๖ จำได้กระทั่งวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดีเลย นั่นละโลกธาตุไหวคราวนั้น จากนั้นมาแล้วเงียบเลยไม่มี ไม่มีอะไรมาไหวให้เอะในใจ ไม่มีเลย การปฏิบัติปฏิบัติมาอย่างนั้น เราเอาตายเข้าว่านะการปฏิบัติ เรามาพูดเอาผลของมันย่อๆ เฉยๆ นะ เวลาปฏิบัตินี้เอาตายเข้าว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็นๆ เลย ถ้าได้ลงอะไรนิสัยมันเป็นอย่างนั้นจริงมากทีเดียว ถ้าลงทางไหนแล้วขาดติดกับมือเลย จะให้ปล่อยไม่มี นี่ก็แบบเดียวกัน
พรรษา ๗ ฟาดถึงพรรษา ๑๖ กิเลสขาดสะบั้นออกจากใจ ตั้งแต่บัดนั้นมาหายห่วงทุกอย่าง เรียกว่าลบล้างป่าช้าทั้งหมด ในภพชาติต่างๆ ที่เราเคยเกิดเคยตายมาภพน้อยภพใหญ่ไปสูงไปต่ำ มาม้วนเสื่อกันลงในภพนี้ชาตินี้ชาติเดียว พูดให้มันชัดเจน นี่ละผลแห่งการปฏิบัติธรรม ธรรมมีหรือไม่มี มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี ฟังเอาซิ เวลามันจ้าขึ้นมาในหัวใจถามบ้าหาอะไร นั่น มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน มันหูหนวกตาบอดหลับตาด้นเดาเกาหมัดไปอย่างนั้น มรรคผลอยู่ที่ไหนมันหายสงสัยแล้วมันจึงพูดออกมา
จากนั้นแล้วเป็นอันว่าหมดปัญหา ก็มีแต่กิริยาอาการไหวตัวทั้งนั้นละ อันนี้มันขึ้นเวทีโลกธรรม กิริยาอาการที่ไหวตัวมันเป็นกิริยาของโลกธรรม มีตำหนิติชมเป็นธรรมดา โลกธรรม ๘ เรียกว่าสนามโลกธรรมอยู่ในขันธ์ ๕ มันจะแสดงกิริยาอะไรมันก็แสดงออกมาๆ ทั้งๆ ที่ธรรมชาตินั้นหมดโดยสิ้นเชิงแล้วแต่กิริยาอันนี้ก็แสดงออกมา
ดังพระสารีบุตรท่านเดินทางไปไปเห็นคลองเล็กๆ แต่ก่อนท่านเคยเป็นลิง พอไปเห็นแล้วโดดกลับไปแล้วโดดกลับมา เล่นอยู่กับคลองเล็กๆ โดดกลับไปแล้วโดดกลับมา พระสงฆ์ทั้งหลายยกโทษมาฟ้องพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรบรรดาพระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลเคารพนับถือทั้งหมดว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นอัครสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าด้วยทำไมจึงมาเล่นละครลิงให้พระสงฆ์ทั้งหลายเห็น มันอรหันต์อย่างไร โอ๋ย ร้อนใจพวกพระสงฆ์ไปฟ้องพระพุทธเจ้า จะไปเอาคะแนนกับพระพุทธเจ้า ถูกพระพุทธเจ้าตีหน้าผากเอาหลงทิศไป
พระสารีบุตรเธอเคยเป็นลิงมาตั้ง ๕๐๐ ชาติ นิสัยเดิมของเธอเป็นอย่างนี้แหละ ใจของเธอบริสุทธิ์พุทโธแล้ว นี่ละกิริยาที่มันแสดงออกสู่โลกธรรม ๘ มีตำหนิติเตียนได้อย่างนี้ ส่วนธรรมชาตินั้นหมดโดยสิ้นเชิง แต่กิริยาเมื่อยังทรงขันธ์อยู่มีนิสัยอย่างไรๆเคยเป็นมามันก็เป็นของมัน ในโอกาสที่ควรจะเป็นมันเป็นได้ นี่ท่านยกไว้ที่ว่าพระสารีบุตรเคยเป็นลิงมาตั้ง ๕๐๐ ชาติ ไม่ใช่ธรรมดา ก็ต้องเป็นนิสัยลิงติดตัวมา
เอ้า ทีนี้ยกตัวอย่างขึ้นที่เป็นอันดี พระสันตกาย สันตกายแปลว่าผู้มีกายวาจาอันสงบ แปลออก ไปที่ไหนพระสงฆ์ทั้งวัดจนไปทูลถามพระพุทธเจ้า คือท่านเรียบร้อยทุกอย่าง พระสันตกาย สันตกายแปลว่าผู้มีความเคลื่อนไหวในธาตุในขันธ์อย่างสงบเรียบร้อย เหมือนหนึ่งว่ามีสติอยู่ตลอดเวลา พระสงฆ์ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ก็คงเป็นโอกาสนั้นละมังเป็นโอกาสที่จะแสดงธรรมให้พระสงฆ์ได้รับมรรคผลนิพพาน เพราะพระสันตกาย ไปก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระสันตกายนี่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเหรอ ทำไมดูกิริยาอาการของท่านทุกอย่างเป็นพระอรหันต์ เหมือนผ้าพับไว้ กิริยาที่จะพลั้งจะเผลอไปไม่มี เหมือนราชสีห์ ราชสีห์กับแมวนี่มันมีสติ มันระมัดระวัง เสือ แมว ราชสีห์ สัตว์ประเภทเหล่านี้สติดี ระมัดระวังตัวเก่ง ท่านก็เลยยกเอาราชสีห์มา
พระสันตกายนี้เธอเคยเป็นราชสีห์ติดกันมาหลายภพหลายชาติ ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์อื่นเลย เป็นราชสีห์มา ธรรมดาราชสีห์มีสติสตังระมัดระวังตัวเหมือนเสือเหมือนแมว ไม่ได้เผลอตัวง่ายๆ นี่เธอก็มาจากสำนักราชสีห์ เพราะฉะนั้นกิริยาอาการของเธอเวลามาบวชจึงเรียบตลอด ใครๆ ไม่ว่าท่านเป็นพระธรรมดาว่าเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็แสดงให้ฟังว่าเธอเคยสั่งสมนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นราชสีห์ ความระมัดระวัง กิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่าง พระสันตกายนี่ระวังดี ท่านก็ยกมาอย่างนั้น มันมีอุทาหรณ์แต่ก่อน แต่ทุกวันนี้ไม่มี เรียกว่าพระสันตกายผู้มีกิริยาอาการอันสงบเงียบเหมือนผ้าพับไว้ มาถามท่านก็บอกว่ายัง (ยังไม่เป็นพระอรหันต์)
ท่านก็เลยยกเอาธรรมบทนั้นละขึ้น พระสงฆ์มาทูลถามท่านประชุมกันใหญ่ พระสงฆ์สำเร็จมรรคผลนิพพานไม่น้อยนะ สำเร็จมรรคผลนิพพานเพราะพระสันตกาย พระสันตกายเองก็ได้สำเร็จในขณะนั้นละ แต่ก่อนไม่ได้สำเร็จ สำเร็จในการเทศน์คราวนั้นละ เอาละให้พร
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|