อริยภูมิที่จะเข้าสู่พระนิพพาน
วันที่ 29 กรกฎาคม. 2551 เวลา 7:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

อริยภูมิที่จะเข้าสู่พระนิพพาน

สิ่งของในโกดังเต็มนะนั่น เอามาไว้สำหรับแจกทาน โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง คือเราไปนี้เราก็ไปส่งโรงพยาบาล โรงพยาบาลต่างๆ ก็มาที่นี่ ไม่ว่าโรงไหนๆ ใกล้ไกลมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นของที่เราเตรียมไว้เต็มอัตราที่โกดัง ตอนนี้มีผ้าบ้างพอประมาณก็ได้แยกให้ตามโรงพยาบาลโรงละสองไม้ๆ สองพับๆ ทุกโรงไป จากนั้นก็แจกพระวัดอยู่ในป่าในเขา เอานี้ไปแจก ในโกดังมีแต่เครื่องไทยทานเต็มไปหมด ใครมาจากทางไหนได้ทั้งนั้น  แต่การให้มีสองพัก พักธรรมดากับพักพิเศษ อย่างยโสธรไปโคราช อุตรดิตถ์ เป็นต้นให้พิเศษ ถ้าธรรมดาจากนั้นเข้ามานี้ให้ธรรมดา ธรรมดาก็ให้เสมอกันหมดอาหารทุกอย่างที่มีอยู่ในโกดัง

พระท่านที่รักษาศาลานี้มีอยู่ดูว่าสององค์ประจำ ทุกอาทิตย์เป็นประจำพระรักษาอยู่ที่นี่ มีสององค์ นอกจากกรณีพิเศษก็ให้พระทางอื่นพระนอกจากนั้นมาช่วยบ้าง ถ้าธรรมดาแล้วก็มีพระสององค์ดูแลรอบศาลาไปนี้ เพราะฉะนั้นใครจะมาภาวนาที่ศาลานี้กลางค่ำกลางคืนเราจึงห้ามไม่ให้มา เพราะเป็นที่รับผิดชอบของพระท่านผ่านไปผ่านมาอยู่นี่ ไม่ให้มาภาวนา ศาลาหลังนี้กลางคืนห้ามไม่ให้มาเลย เพราะเป็นที่รับผิดชอบของพระเป็นประจำด้วยนะ ท่านจะนอนอยู่ที่นี่ วาระหนึ่งก็ ๗ วัน อาทิตย์หนึ่งๆ ดูอาทิตย์ละสององค์ๆ ท่านรับผิดชอบอยู่นี้จึงไม่ให้ใครเข้ามาแถวนี้ กลางคืนห้าม มันไม่สะดวกสำหรับท่านเองที่รับผิดชอบ

วัดนี้มันกลายเป็นวัดใหญ่ขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวนะวัดป่าบ้านตาด กลายเป็นวัดใหญ่ขึ้นมา ผู้คนยั้วเยี้ยๆ กลางวี่กลางวันไม่มีว่างเลย นู่นเรานั่งอยู่บนกุฏิมองออกมาเห็นหมด แต่มันดีอย่างหนึ่งเขามาแค่ศาลา ไม่ให้จุ้นจ้านเข้าไปข้างใน มานี้ยั้วเยี้ยๆ บริเวณนี้ เข้ามานี้ออกๆ ทั้งวัน คือข้างในกุฏิเราเราก็เขียนปิดไว้ห้ามเข้าๆ ประตูเขียนห้ามเข้าๆ ไว้หมดเลยแถวนี้ ทะลุถึงนู้นก็ห้ามเข้า ไม่ให้เข้าไป หากเป็นกรณีพิเศษที่มีผู้ต้องการจะดูวัดดูวาพระท่านจะจัดกัน พาไปดูทุกแห่งเป็นกรณีพิเศษ พาไปดูทุกแห่ง ถ้าธรรมดาไม่ให้เข้า เป็นทำเลภาวนาของพระ

พระวัดนี้ท่านลดหย่อนเมื่อไรการภาวนา ท่านไม่ได้เอาอะไรกับใครนะ มีจำนวนมากขนาดไหนให้เป็นอย่างเดียวกันหมด เราเป็นคนดูแลตลอด มาอ่อนข้อในเรื่องภาวนาไม่ได้ เพราะเราที่ได้นำธรรมมาสอนโลกนี้เรามาด้วยการภาวนา รอดล้มรอดตายมากว่าจะได้มาสอนโลก ทีนี้พระท่านมาอยู่ที่นี่ท่านก็ต้องทำอย่างนั้น บริเวณนี้เข้าไปข้างในมีแต่ทำเลของพระภาวนาทั้งนั้น ไม่ให้ใครเข้าไป

เรื่องใจนี่เลวมากก็คือใจ อัศจรรย์สุดยอดก็คือใจ เลวมากคือใจ เพราะไม่ได้รับการอบรม ปล่อยไปตามบุญตามกรรมมันก็มีแต่กรรมละ ขี้หมูก็กำ ขี้หมาก็กำเรื่อยไป เป็นอย่างนั้นนะ ภาวนาท่านมีหลักมีเกณฑ์ วัดนี้มีขอบเขตตลอด ความเพียรหย่อนไม่ได้นะ พระจะมากขนาดไหนก็ตามมาจุ้นจ้านไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นพระ หลังจากฉันเสร็จแล้วจะไม่มีพระ เข้าอยู่ในป่าหมด ท่านภาวนาของท่าน คือให้ภาวนาจริงๆ พระจะมากขนาดไหนไม่ให้ยุ่งกับการกับงานต่างๆ อะไร ถ้ามีความจำเป็นก็ให้มาช่วยกันชั่วระยะปั๊บแล้วเลิกๆ ไม่ถืองานเหล่านั้นจำเป็นยิ่งกว่างานชำระกิเลสด้วยความพากเพียรในท่าต่างๆ ท่านทำความเพียรของท่านอย่างนั้น

กิเลสนั่นละตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุด คือกิเลส เป็นหอกเป็นหลาวเป็นแหลมเป็นเสี้ยนเป็นหนามอยู่นี้หมดเลยกิเลส ทิ่มแทงในหัวใจ ธรรมะชำระออกถอนออกๆ ด้วยความพากเพียรตลอดเวลาเลย อยู่นี้ก็ดูเหมือน ๖๐ ละมัง พระดูว่า ๕๘ ทุกปี ปีนี้ดูปาเข้า ๖๐ เป็นอย่างนั้นละใครก็อยากมาอยู่ๆ ที่รับรองสำหรับให้อยู่และภาวนามันไม่พอ อย่าง ๕๘ อย่างนี้เรากำหนดไว้แล้ว ที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ในบริเวณกำแพงข้างในนี้เป็นบริเวณของพระท่านทำความพากเพียรทั้งนั้นละ นอกจากนั้นสะเปะสะปะไป ไม่แน่ ข้างในนี้แน่

เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนท่าน ท่านภาวนาเอาจริงเอาจังนะ การภาวนาเป็นของเล่นเมื่อไร จิตเวลามันได้ลงให้เห็น จนเจ้าของก็อัศจรรย์เจ้าของ เราเคยพูดเสมอนี่ ได้อัศจรรย์เจ้าของ แหม จิตเราทำไมถึงอัศจรรย์เอานักหนา เป็นในเจ้าของเอง มันจ้าไปหมดเลย ครอบโลกธาตุ นี่ละจิตที่ชำระได้เป็นอย่างนั้น ทีแรกก็หยาบๆ ส่วนรูปส่วนกาย พิจารณาเรื่องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นสมถธรรมก็ได้ วิปัสสนาธรรมก็ได้ เวลาบวชทีแรกท่านสอนเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ละมันปิดตาโลกให้ตาบอดหูหนวก ใจดำน้ำขุ่นก็เหล่านี้ละ ภูเขาภูเราคือนี้เอง ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ได้มาปิดหัวใจเหมือนกิเลสตัวนี้นะ กิเลสตัวนี้ปิดบังมาก

เพราะฉะนั้นเวลาบวชท่านจึงสอนให้ดูเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จะกระเทือนไปหมด ท่านสอนอย่างนั้นละ เอาอันนี้มาภาวนา พออันนี้กระจ่างแจ้งไปเรื่องสกลกาย เกสา โลมานี้เป็นขั้นนะ เป็นขั้นเป็นตอน เมื่ออยู่ในขั้นแรกจะไม่ปล่อยจากนี้ ถือร่างกายเป็นสำคัญ พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เพราะตโจหนังหุ้มห่อ เอาออกหมดแล้วคนดูกันไม่ได้ ไปถึงนั้นท่านหยุด นี่เรียกว่าภาวนา พิจารณานี้พอแล้วกายก็ปล่อย อิ่ม การพิจารณาอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรืออสุภะอสุภังหมดในร่างกาย เป็นส่วนละเอียดเข้าไป ทีนี้จิตมันหมด ส่วนร่างกายพิจารณาหมดแล้ว ปล่อยวางหมด ยังเหลือแต่นามธรรมคือความคิดความปรุงของใจ ออกไปไหนตามต้อนกันๆ เรื่อย

พูดถึงเรื่องภาวนา พระพุทธเจ้าที่เลิศเลอนำธรรมมาสอนโลกอยู่ทุกวันนี้มาด้วยภาวนานะ พวกเราชาวพุทธเฉพาะอย่างยิ่งชาวพระนอนหลับทับสิทธิ์เจ้าของอยู่ พระเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวา องค์ไหนที่ตั้งใจภาวนาไม่เห็นมี มีแต่เตร็ดเตร่เร่ร่อนไปหมด เสียหมดเลยพระเรา พระไม่มีภาวนาเรียกว่าพระหมดคุณค่า พระหมดราคา พระขาดบาทขาดตาเต็ง พระไม่เต็มบาทเต็มเต็ง คือพระไม่ได้ภาวนา ออกให้มันชัดๆ พระพุทธเจ้านักภาวนา แน่ะเวลามารับกัน สาวกทั้งหลายที่ว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราเป็นนักภาวนา บรรลุธรรมอยู่ในมหาวิทยาลัยป่า แต่ก่อนท่านอยู่ในป่า ทุกวันนี้เขาตั้งมหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยนี้ นี่ก็เป็นมหาวิทยาลัยป่าออกมา องค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นอนาคา องค์นี้อรหันต์ นำธรรมออกมาสอนโลก

อย่างพวกสาวกของพระพุทธเจ้า ออกมาจากกษัตริย์และสกุลกษัตริย์มีน้อยเมื่อไร ไม่น้อยนะ พอออกมาปั๊บนี้เข้าป่าเลย ไม่สนใจ ออกมาทีหลังนี่ก็เป็นสรณะของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ด้วยโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ติดตัวท่านมาสอนโลก อย่างนั้นแหละ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นของเลิศเลอแต่สัตว์โลกไม่สนใจ ท่านภาวนาอยู่ในป่า จิตอัศจรรย์อยู่ในป่า นักภาวนาท่าน ท่านจะไม่ดูอะไร ป่าคนกับป่าไม้ต่างกัน ป่าไม้มีความสงบงบเงียบเป็นธรรมเทศนาสอนได้เป็นอย่างดี ใบไม้ร่วงลงมาก็พิจารณาเป็นกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่ในป่าในเขา มีแต่ธรรมสอนใจทั้งนั้นแหละ ถ้าออกมาข้างนอกนี้ก็เป็นกิเลสสอนใจ กิเลสสอนใจทำให้ว้าวุ่นขุ่นมัวมาก หาความสงบสงัดไม่ได้

จิตใจของโลกไม่มีที่เกาะที่ยึด เพ่นพ่านๆ กับมันเราสลดสังเวชนะ เราจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้ เราพิจารณารอบเรียบร้อยแล้ว มายั้วเยี้ยๆ คือร่ำลือจากเขาละ คนอื่นเขาเห็นวัดนั้นเป็นอย่างนั้น วัดนี้เป็นอย่างนี้ เช่นวัดป่าบ้านตาดมากที่สุด เป็นตลาดคน บ่ายสามสี่โมงมาก ยั้วเยี้ยๆ มาดูนั้นดูนี้ไม่ได้เรื่องได้ราว ไขว่คว้าหาหลักยึดไม่ได้ ดู บางทีก็เอาเสียบ้างให้เป็นข้อคิด เขาจะคิดแบบเราสอนเขา  หรือไม่คิดก็แล้วแต่เขา มาอะไรนี่ เอาละนะ ถ้าไปเจอเราเข้าเอาละ เอาจริงๆ นะนี่ไม่ได้เหมือนใคร ใส่ปั๊วะเลยเชียว บางทีรถบัสตั้งสามคันสี่คันจอดหน้าวัด กำลังดาหน้าเข้ามา จะเข้ามาในวัดนี้ มาเจอคนเดียวเท่านี้พอ หงายหมดเลยเชียว นั่นเห็นไหมล่ะ

นี่ละธรรมสอนโลก โลกเขากราบธรรมทั้งนั้น ธรรมสอนโลก ยั้วเยี้ยๆ เข้ามา นี่จะไปอะไร ถาม จะมาชมวัด ที่ไหนก็มีวัด ไปออกเดี๋ยวนี้ ไล่เดี๋ยวนั้นเลย ไม่ให้เข้านะถ้าไปเจอกับเราเข้าแล้ว ออกหมดเลยเดี๋ยวนั้นละไม่ให้เข้า เป็นอย่างไรเกรงใจใคร ธรรมเหนือโลกเกรงใจอะไร ขี้หมูขี้หมาเกรงใจอะไร ธรรมเหนือโลก โลกทั้งหลายได้กราบไหว้ธรรมต่างหากนี่นะ ไม่ได้กราบไหว้ขี้หมูขี้หมา ที่มานี้มาแบบขี้หมูขี้หมาขับออก ไล่ออกให้เหลือแต่ธรรม เป็นอย่างนั้นละ

ส่วนมากเราจะออกมาตอนสี่โมงครึ่ง ระยะนั้นละถูก โดนแน่ๆ ระยะนั้น สี่โมงครึ่ง ห้าโมง ยิ่งโดนใหญ่เลย ถ้าระยะสามถึงสี่โมงยังไม่ว่าอะไร ยังปล่อยอยู่ ยั้วเยี้ยๆ พอสี่โมงครึ่งลงไปถึงห้าโมงละเอาหนัก ใครมาไม่ได้แหละไล่ทีเดียว แตกกระเจิงกระจายไปหมดเลย รถบัสเข้ามาสี่คันห้าคันหลั่งไหลจะเข้ามาดูวัด มันมาเหยียบย่ำทำลายวัด วัดท่านรักษาอยู่ ทุกองค์รักษาตัวของท่านด้วยศีลด้วยธรรม รักษาวัดรักษาวาของท่าน มีข้อวัตรปฏิบัติ มีขอบมีเขต มีหลักมีเกณฑ์ทุกองค์ท่านอยู่ในวัด เรามารถบัสสี่คันห้าคันมีอะไรเป็นกฎเกณฑ์ ไม่เห็นมีอะไร มีแต่ความโลเล นั่นละขับ ของนี้สกปรก ไม่ให้เข้ามาแปดเปื้อนของดีที่ท่านรักษาอยู่ เข้าใจไหมล่ะ ที่ไล่ไล่อย่างนั้น มันสกปรก

ถ้าเรามาไม่มีละคำว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม มาเถอะว่างั้นเลย บอกให้มาเถอะ ถ้าเป็นเราแล้ว เอาจริงนะนี่ พูดง่ายๆ มันจ้าครอบโลกธาตุอยู่นี่ จวนจะตายแล้วพูดให้มันชัดเจนเสีย ไม่ได้มาพูดเฉยๆ ดุเฉยๆ สิ่งที่อวดอ้างกันมีอยู่ ดังที่พระอัญญาโกณฑัญญะท่านออกอุทานเวลาท่านสำเร็จอริยบุคคลขั้นแรก พอพระพุทธเจ้าแสดงว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบนั้นไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคตแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าฟัง อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะเกิดมาเพียงชาติเดียว นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว แต่นี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดเป็นรูปเป็นนามเหมือนสัตว์โลกทั่วๆ ไปอีก

พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม สะดุ้งขึ้นมาภายในใจ สำเร็จพระโสดาเรียกว่าอริยธรรมขั้นต้น ท่านก็ออกอุทานขึ้นมาว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ คือท่านเขียนไว้เป็นกลางๆ ในตำรา ท่านไม่เหน็บเหมือนผู้ไปเจอธรรม ผู้เจอธรรมกับผู้อ่านธรรมธรรมดาต่างกัน ผู้เจอธรรมทางภาคปฏิบัติจะสะดุดกึ๊กเลยทันที นี่ก็ภาษิตอันเดียวกัน พระอัญญาโกณฑัญญะออกอุทานเวลานั้น ไม่ได้ออกเหมือนตำราบอกนะ คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา นี้ท่านว่ากลางๆ แต่พระอัญญาโกณฑัญญะที่เปล่งอุทานขึ้นมานี้สะดุดใจ กระแสธรรมคือพระนิพพานถึงกันปั๊วะเท่านั้นละขึ้นอุทานเลย ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ เหมือนกัน แต่เวลาแปลท่านว่า อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น

นี่ละอุทานของท่านผู้รู้ธรรมเห็นธรรมจะต่างกัน ผู้ไม่รู้ธรรมเห็นธรรมอ่านตามตำรับตำราก็จะว่าอย่างนี้ละ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา ว่ากลางๆ แต่ผู้เห็นธรรมกระเทือนใจแล้วนี้จะว่า สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อะไรไม่ดับ นี่เป็นพยานกัน อันจ้าอยู่นี้ไม่ดับ ท่านมีเครื่องรับกัน พระอัญญาโกณฑัญญะท่านบอกสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ อริยภูมิที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว เป็นอย่างนั้นละ ต่างกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงอุทานรับทันทีเลย อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอๆ รับกันกับอุทานของพระอัญญาโกณฑัญญะว่าสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ อันจ้าขึ้นมาเป็นอริยภูมินี้ไม่ดับ ท่านเอาอันนี้ออกเป็นพยาน สิ่งเหล่านั้นดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ ความหมายว่าอย่างนั้น

นี่ละธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า หลังจากนั้นมาก็แสดงอนัตตลักขณสูตร เป็นประเภทอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งนั้นๆ แล้วบรรลุอรหัตธรรมขึ้นในวาระที่สอง วาระแรกขัดเกลาด้วยธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วาระที่สองก็ลงอนัตตา หรืออาทิตตปริยายสูตร ดับหมดเลย กิเลสมอดไม่มีเหลือ มุดมอดหมดเลย นั่นละท่านมาสอนพวกเรา ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ธรรมครึธรรมล้าสมัยนะ ให้พากันไปปฏิบัติ ปฏิบัติที่ไหนธรรมอันนี้จะเข้าใกล้ชิดติดพัน ผู้ที่อยู่ในป่าในเขาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้วธรรมอันนี้จะเข้าใกล้ชิดติดพัน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อะไรๆ เกิดแล้วดับทั้งนั้นๆ จะใกล้ชิดติดพันกับใจท่าน ผู้เป็นนักภาวนาอยู่ในป่าในเขาเพื่อมรรคผลนิพพานท่านเป็นอย่างนั้น

สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ว่าสาวกๆ คือได้ยินได้ฟังมาแล้วจึงได้มาเป็นสรณะของตัวเอง แล้วก็เป็นสรณะของโลกต่อไป ธรรมเหล่านี้จะไม่มีใครกล่าวถึงนะ จะมีตั้งแต่เอาคัมภีร์มาอวดกัน คัมภีร์ก็ไปเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้มาอวด ฟาดตั้งแต่นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ขึ้นมหาเปรียญ จากนั้นฟาดเจ้าฟ้าเจ้าคุณ มีแต่ชื่อ ไม่มีตัวจริง สมบัติตัวจริงที่เจ้าของจะยึดครองไม่มี มีแต่ความจำเป็นสมบัติได้อย่างไร ถ้าเป็นความจริงแล้วนำเอาที่ศึกษาเล่าเรียนมาไปปฏิบัติ ปรากฏผางขึ้นมาเท่านั้นเป็นสนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองในผลงานของตนโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น รู้โดยสมบูรณ์ นี่ สนฺทิฏฺฐิโก จากภาคปฏิบัติ รู้ด้วยเห็นด้วย เป็นสมบัติของตนด้วย ไม่ได้เหมือนปริยัติที่เรียนจำมาแล้วจำเฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติ พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้  ไม่พูดมาก จะให้พร

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25MHz

พร้อมสถานีวิทยุเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก