คาถาหลวงพ่อคูณ
วันที่ 2 ธันวาคม 2543 เวลา 8:00 น. ความยาว 20.42 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

คาถาหลวงพ่อคูณ

ก่อนจังหัน

นู่นน่ะเห็นไหมพระท่านไปจัดของ ไม่มีเหลือนั่งอยู่นี่เลยพระ ไปจัดอยู่นู่น ท่านทำหน้าที่ของท่านเพื่อให้สม่ำเสมอ เฉลี่ยเผื่อแผ่ นั่นละธรรม พากันดูเอานะ ธรรมดูความสม่ำเสมอ ดูข้างในดูข้างนอก ดูกระจายไปหมด เรียกว่าธรรม ถ้ากิเลสแล้วดูเฉพาะหัวใจเจ้าของ พุงเจ้าของ กวาดต้อนเข้ามา ฟาดเอาหมดทั้งประเทศให้มาเป็นอาหารของพุงเดียวคนเดียว นั้นคือเรื่องของกิเลสตัวมหาโลภ โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ ความโลภเป็นภัยต่อธรรมอย่างยิ่ง ความโลภเป็นภัยต่อโลกทั่ว ๆ ไป แต่ธรรมเป็นคุณต่อโลกตลอดมา

นี่พระก็มามาก วันนี้นับดูแล้วเฉพาะที่นี่ดูเหมือน ๔๐ องค์นะ เรานับดูนี้ได้ ๔๐ องค์ ที่ไม่ฉันมากอยู่นะ อยู่ข้างในไม่ฉัน ท่านไม่ฉันท่านภาวนา ยิ่งองค์ไหนไม่ฉันองค์นั้นยิ่งเร่งภาวนาใหญ่ละ การอดอาหารคือการตัดทอนกำลังของกิเลสลง กิเลสมันอาศัยอาหารการกินหนุนธาตุหนุนขันธ์ ธาตุขันธ์ก็หนุนกิเลสราคะตัณหาให้ดีดให้ดิ้น การจะภาวนานี้ไม่ยอมลง ดีไม่ดีพาเจ้าของแหวกแนว เพราะฉะนั้นจึงต้องหาวิธีการดัด ดังที่ท่านแสดงไว้พอประมาณว่าธุดงค์ ๑๓ นั่นละคืออุบายวิธีการฝึกทรมานจิตใจทั้งนั้น

ส่วนอดอาหารนี้ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่ก็มีในธรรมที่อื่น เช่น มีในบุพพสิกขา เราดูแล้ว ท่านไม่บอกว่าเป็นธุดงค์ ๑๓ แต่ก็คือธรรมะคู่เคียงกันด้วยอุบายวิธีการแก้กิเลสเหมือนกันหมด กรุณาทราบตามนี้พระเราก็ดี หรือใครสนใจอรรถธรรมที่เรียกว่าอดอาหาร ไม่มีในธุดงควัตร แต่มีในธรรมข้ออื่น ซึ่งทรงอนุญาตให้นำเครื่องมือเหล่านี้มาหนุนเพื่อแก้กิเลสได้ ทีนี้ต่อไปนี้จะให้พร

หลังจังหัน

เรายังไม่ได้ถามท่านปัญญาดูเรื่องต้นตาล เมื่อเช้าเราก็ออกไปดูก็ยังตัดสินใจไม่ได้ พิจารณาดูผลมันก็พอ ๆ กัน ทางรถเข้าออกก็ไม่เห็นกีดขวางอะไร

เมื่อเช้านี้เลยแซงคาถาหลวงพ่อคูณ(หลวงตาถ่ายท้องแล้วเบื่ออาหาร) หลวงพ่อคูณพูดเป็นคติดีนะ เพราะฉะนั้นเราถึงเอาออกมาพูดเรื่อย ๆ เมื่อเช้ามันแซงหลวงพ่อคูณ พอติดเครื่องเข็มยังไม่ขึ้นถึงไหนมันโดดลงรถแล้วเมื่อเช้านี้ หลวงพ่อคูณยังวิ่งไปขนาด ๙๐ ถึงโดดลงมา เราพอมองเห็นอาหารนี่เท่ากับเริ่มติดเครื่องแล้ว มันจะโดดลงแล้ว อู๊ย เดี๋ยวขึ้นเสียก่อน เลยเอาธรรมะของหลวงพ่อคูณมาพูด เป็นคติดีนะ มาต่อว่าผู้เฒ่าซิ ตัวประมาทเอง ความคึกคะนองเป็นความประมาท ไม่รู้เหตุรู้ผล มีแต่ความคึกคะนองลากไป ๆ ไม่คำนึงความผิดถูกชั่วดี นี่ละความคึกคะนองดันไปเลย

ได้คาถาจากท่านแล้วไปก็ขับรถวิ่งใหญ่เลยเทียว เหยียบคันเร่ง ๑๔๐ มันก็พาลงคลองล่ะซี แล้วก็กลับมาต่อว่าท่าน ว่าคาถาหลวงพ่อทำไมไม่คุ้มครองลูกหลานล่ะ รถคันนี้ออกจากหลวงพ่อไป วิ่งเลยพาลงคลอง ผู้เฒ่าก็ว่า สูเหยียบคันเร่งเท่าไร บอกว่า ๑๔๐ โอ๊ย ถึงขนาด ๑๔๐ กูโดดลงรถตั้งแต่วิ่งถึง ๙๐ กูเอาตัวรอด กูจะไปคุ้มครองสูได้ยังไง นั่นน่ะน่าฟังนะ พิจารณาซิ แต่กูเอาตัวรอดก็จะไม่พ้น แล้วกูจะไปคุ้มครองสูได้ยังไงขนาด ๑๔๐ แล้ว ตั้งแต่ ๙๐ กูก็เกือบเอาตัวไม่รอด กูโดดลงแล้ว กูจะไปคุ้มครองสูได้ยังไง เข้าท่าดีนะ เพราะฉะนั้นเราจึงเอามาเป็นคติ มันรับกันได้ดี

ทีนี้มาพิจารณาถึงวงภายใน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันแบบนี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอานะผู้ไม่เคย กิเลสมันออกเพ่นพ่าน ไม่มีใครต่อกรมันได้เลย เพราะฉะนั้นมันจึงสนุกสร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดน มีตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน แต่กิเลสมันก็หลอกไปเรื่อย ๆ ความหวังจูงไปเรื่อยนะ หวังอยากร่ำอยากรวย อยากดีอยากเด่น อยากมีชื่อมีเสียง อะไรหวัง ๆ ๆ ไอ้ตัวนี้ดึงไป ไม่คำนึง ทีนี้เวลาจะหาก็ขอให้ได้เท่านั้น ไม่คำนึงเหตุผลน่ะซิ ไปใหญ่ ๆ เลย

กิเลสมันพาโลภ เหยียบ ๑๔๐-๑๖๐ ไปเรื่อย ผู้ตกคลองก็ตกไปเรื่อย ผู้เหยียบคันเร่งก็เหยียบไปเรื่อย พวกเราพวกตกคลองก็ตกเกลื่อนไป พวกเหยียบคันเร่งก็เหยียบไป พวกที่จะมาคำนึงมาต่อว่าหลวงพ่อคูณมีน้อยมาก นี้เขายังดีเขาไปแล้วเขาเหยียบ ๑๔๐ เขากลับมาต่อว่าหลวงพ่อคูณ ท่านก็ตอบรับกันเลยว่า สูเหยียบคันเร่งเท่าไร เหยียบ ๑๔๐ ท่านก็ตอบทันทีเลย โอ๊ย ขนาด ๑๔๐ กูโดดลงตั้งแต่คันเร่งถึง ๙๐ เท่านั้น กูเอาตัวรอดกูก็จะไปไม่รอด กูจะตายกูจะไปคุ้มครองสูได้ยังไง ฟังซิน่ะ น่าฟังนะ

นี่ละนักปฏิบัติเท่านั้นจะพูดออกมาได้ ไม่ปฏิบัติพูดไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ไม่ทันกัน นักปฏิบัติ กิเลสก็เกิด ธรรมก็เกิด กิเลสหาทางต่อสู้กับธรรม ธรรมก็ต่อสู้กับกิเลส ต่างฝ่ายต่างฟัดกัน ทีนี้เวลาถึงขั้นกำลังวังชามีพอ ๆ กันแล้วมันรวดเร็ว มวยแชมเปี้ยนนี้มองไม่ทัน อย่าเข้าไปเทียบนะ ระหว่างกิเลสกับธรรมซัดกันนี้เร็วยิ่งกว่านั้นอีก มันเป็นในหัวใจเองนะ เราไม่ได้ไปตกไปแต่ง หากเป็นเอง เหมือนว่าเรายืนดูอยู่ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ หัวใจคือเวที

เราพูดจริง ๆ พูดสด ๆ ร้อน ๆ มันจ้าอยู่ในหัวใจจะว่ายังไงผลของมัน เวลามันฟัดกัน ก็บอกแล้วตั้งแต่ต้น จิตดวงนี้จำให้ดีนะ จิตดวงเดียวนี้ละพาสัตวโลกทั้งหลายให้เกิดตายอยู่ไม่จบไม่สิ้นเลยตลอดอนันตกาล ไม่มีใครดู มีแต่วิ่งเต้นเผ่นกระโดด จิตนี้วิ่งไปตามนู้น ๆ ไปแล้ว ที่จะวิ่งหาที่เกาะที่ยึดเพื่อเป็นสรณะของตัวเองไม่มี เราอยากจะว่าไม่มีนะ ถ้าไม่มีพุทธศาสนาเข้าไปแทรกแล้วไม่มี เผ่นตลอด ๑๔๐-๑๖๐ ฟาดดีไม่ดีมันเหยียบ ๕๐๐ ก็ไม่รู้ มันเหยียบเตลิด ไม่มีใครจะมามองข้างหลังละ มันก็แหลกไปเรื่อย ๆ ซิโลก มันจะเอาเจริญมาจากไหน ลงได้ให้กิเลสนำหน้าแล้วเหยียบแหลก เหยียบคันเร่ง จำทุกคนนะ

ธรรมเหยียบเบรก ควรเร่งเร่งด้วยธรรม เหยียบเบรกด้วยธรรม หมุนพวงมาลัยซ้ายขวาด้วยธรรม ปลอดภัย ๆ ถึงจุดที่หมายนี้คือธรรม ถ้ากิเลสแหลกทั้งนั้น เหยียบคันเร่งก็แหลก หมุนไปทางไหนก็หมุนไปทางแหลก ๆ เพราะไม่มีเหตุมีผล มีแต่ความทะเยอทะยาน ความคึกความคะนอง ดึงเรื่อยไป มันก็ไปใหญ่ล่ะซิ ทีนี้เมื่อมีธรรมแล้ว มองพับนี้มันจะทะลุไปเลย สติปัญญาจะออกใช้ในเวลา เช่นอย่างเราวิ่งรถเร็วอย่างนี้ เรียบ ๆ ประสาทมันจะออกรับ ที่ไหน ๆ จะปลอดภัยไม่ปลอดภัยมันจะมองไปเรื่อย ๆ เวลาขับรถเร็วเท่าไรยิ่งใช้ประสาทมาก ดูสองฟากทาง ๆ ทั้งดูถนน ทั้งดูสองฟากทางไปเรื่อย สติอยู่กับตัวจ้อเรื่อยเรียบไปเรื่อย

นี่คำว่าเร็วก็เร็วด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่เร็วด้วยกิเลสลากไป มันต่างกัน ถ้าเร็วด้วยกิเลสลากไปลงคลองทั้งนั้น ๆ ถ้าเร็วด้วยสติปัญญาคือธรรมลากไปนี้ถึงที่แคล้วคลาดปลอดภัยตลอดไป เป็นอย่างนั้น ต่างกันอย่างนี้ ความเร็วเร็วเหมือนกัน อันหนึ่งเร็วมีเครื่องป้องกันตัว อันหนึ่งเร็วเพื่อความฉิบหายถ่ายเดียว กิเลสพาเร็วนี้เร็วเพื่อความฉิบหายถ่ายเดียว ถ้าธรรมพาเร็วแล้วเร็วเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัย ถึงจุดที่หมายถ่ายเดียวเท่านั้น

นี่เราพูดถึงเรื่องกิเลสกับธรรม คือมันอยู่ในหัวใจนี่นะ หัวใจดวงนี้คือผู้รู้ ท่านเรียกว่าใจ ๆ น่ะ คือธรรมชาติที่รู้ แม้มดตัวเล็ก ๆ ตัวไหนก็ตาม นั้นละจิตดวงหนึ่งอยู่ในนั้น จิตดวงนี้มันขยายตัวออกเป็นอะไรได้ทั้งนั้น อำนาจของกรรมที่อยู่ในจิตนั้น ไปทางดีก็ผิดคาดผิดหมาย ไปทางชั่วก็ผิดคาดผิดหมาย อำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วอยู่ในจิต พลังของมันพาจิตดวงนี้ดีด จิตดวงนี้ก็เป็นตุ๊กตา ดีดไปไหนก็ไป เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาเอาไว้ ถ้าปล่อยให้กิเลสพาดีดแล้วจมไป นี้จมมากี่กัปกี่กัลป์ เราเปิดหัวใจพูดเลยเราไม่สะทกสะท้าน ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม

เรื่องความเกิดความตายนี้ สัตวโลกทั้งหลายไม่มีใครแข่งกันได้เลย ล้วนแล้วตั้งแต่จิตดวงนี้ที่กิเลสพาดึงไปให้เกิดให้ตายตลอดเวลา สูงต่ำนั้นไปด้วยอำนาจแห่งกรรม เพราะทำดีทำชั่วทั้งสัตว์ทั้งบุคคลทำได้ด้วยกัน มันพาหมุนไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีธรรมเข้าขัดเข้าแย้งกันแล้ว ยังไงก็อย่างนี้ตลอดไป เป็นมาฉันใดเป็นไปฉันนั้น ไม่มีต้นไม่มีปลายนะ อนมตคฺโค เงื่อนต้นเงื่อนปลายแห่งวัฏจักรวัฏจิตนี้ไม่มี นั่นฟังซิน่ะ ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปคัดค้าน เข้าไปเป็นเบรกห้ามล้อแล้วไม่มี ที่มีได้ก็เพราะธรรม ฟังให้ดีนะ

เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นคู่โลกคู่สงสารมาคือพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เลิศ เป็นศาสนารับรองโลกสงสาร ยืนยันมาตลอด เป็นเครื่องต้านทานกับกิเลสได้เป็นอย่างดีและชนะไปเรื่อย ๆ อย่างอื่นไม่มี จึงขอให้พากันยึดธรรม จิตนี้มันเป็นอย่างนี้แหละ ใครก็ตามมันจะวิ่งอยู่ข้างนอกนะ มันไม่ได้เข้ามาข้างใน เพราะไม่มีใครเตือนไม่มีใครบอกล่ะซิ พอรู้ตัวขึ้นมาเกิดขึ้นมานี้ กิเลสมันอยู่ในนั้นมันก็ผลักดันไปตามภูมิตามนิสัยตามวัยของผู้นั้น ๆ อวัยวะพอใช้ได้แล้วมันก็ใช้ออกไปเรื่อย ๆ ออกไปเรื่อยไม่มีหยุดมีถอย มีแต่ความพาเพลิดพาเพลินไม่รู้จักเป็นจักตาย นี่เรื่องกิเลส พาเกิดพาตายที่ไหน เกิดแล้วตายเล่า ๆ ตายแล้วหายเงียบ ๆ เหมือนไม่เคยเกิดเคยตาย ทีนี้เราก็ว่าเกิดชาติเดียว ๆ มันชาติเดียวอะไร กี่กัปกี่กัลป์มา มันไม่ให้รู้

ใจดวงนี้ละพากันจำให้ดีนะ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงห้ามไม่ให้ทำลายสัตว์ แม้แต่อยู่ในครรภ์ก็ห้าม ห้ามมาตลอดเลยไม่ให้ทำลาย อยู่ในครรภ์นั้นน่ะคือจิตดวงหนึ่งอยู่ในนั้นแล้ว ๆ ท่านห้ามไม่ให้ทำลาย จิตดวงนี้ละพาเกิดพาตายตลอด ไม่มีใครมองเลยจิตดวงนี้ คือรู้ ๆ อยู่ในตัวของเรานี่แหละ แต่มันรู้ทั่วไปหมดล่ะซี เราก็เลยไม่มีที่ยึดที่เกาะ ก็บอกว่าร่างกายของเราทุกสัดทุกส่วนนี้เป็นผู้รู้ หรือเป็นเราเป็นใจของเราหมดเลย ความจริงไม่ใช่

อันนี้เป็นเรือนร่างเครื่องมือเครื่องอาศัยเท่านั้น ตัวผู้รู้เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ในนั้น ที่ว่ารู้ ๆ นั่น เครื่องมือของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เครื่องมือของใจ ถ้าตาบอดดูก็ไม่เห็นเสีย เครื่องมือเสีย หูหนวกก็ไม่ได้ยินเสีย เครื่องมือเสีย เข้าใจไหม ส่วนความรู้นั้นไม่เสีย เป็นแต่เครื่องมือเสีย ใบ้บ้าเสียจริตไปอย่างนี้ เรียกว่าเครื่องมือเสียไปเรื่อย ๆ ทีนี้เวลาเราฝึกฝนอบรมทางศีลทางธรรมเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วธรรมนี้จะเข้าแทรก ๆ เข้าไป เมื่อธรรมเข้าแทรกแล้วก็ค่อยกำจัดสิ่งที่สกปรกรกรุงรังทั้งหลายค่อยออกไป ๆ นี้ ธรรมซักฟอกด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา เรียกว่าด้วยศีลด้วยธรรมว่างั้นเถอะ ด้วยความดีทั้งหลาย นี้เครื่องซักฟอกนะ

นี่ละที่นี่ซักฟอกแล้ว ทีนี้จะค่อยแสดงตัวขึ้นมา เพราะมีที่เกาะที่ยึด มองดูโน้นดูนี้ได้แล้วที่นี่ แต่ก่อนมีแต่ป๋อมแป๋ม ๆ มองไปทางไหนก็ไม่มีฝั่งมีฝา เหมือนคนตกน้ำในมหาสมุทร มองดูนี้มันเกลื่อนอยู่ในมหาสมุทร แต่มองดูฝั่งดูฝาที่สัตว์เหล่านี้จะไปเกาะไปยึดไม่มี นี่ละสัตวโลกเวลานี้เหมือนกับตกอยู่ในห้วงแห่งมหาสมุทร ป๋อมแป๋ม ๆ ทั่วโลกดินแดน แล้วเจริญที่ไหนคนตกน้ำ คนจะตายอยู่แล้ว ต่างคนต่างดิ้นป๋อมแป๋ม ๆ เอาความเจริญมาจากไหน เอามาวัดกันซิ

เรามีหูมีตาดู ตั้งภาพพจน์ขึ้นซิ คนตกน้ำในมหาสมุทร เอ้า มองลงไป แล้วใครจะมีจุดที่หมายปลายทางพอจะหลุดพ้นไปได้ มันป๋อมแป๋ม ๆ ด้วยกันหมด นี่คือไม่มีที่เกาะที่ยึด เหมือนคนตกน้ำในมหาสมุทร กิเลสเป็นมหาสมมุติมหานิยม เรียกว่ามหาสมุทร ให้ตกอยู่ในนี้ ๆ ธรรมมาดึงออกลากออก ๆ นั่นละธรรม ผู้ที่มีเรืออาศัยเกาะเรือก็ไปตามเรือได้ ผู้ไม่มีเรือเกาะก็จมลงนั้น ๆ ผู้มีเรือเกาะคือมีบุญบารมีที่ได้สร้างมา หากเล็ดหากลอดไปได้ด้วยอำนาจแห่งบุญนั้นแหละเป็นเรือลำใหญ่ ๆ ติดไปเรื่อย ๆ ทีนี้เวลาหนักเข้า ๆ อันนี้ก็มีกำลังมากเข้า ทีนี้ก้าวเข้าสู่อย่างที่ว่าที่นี่นะ

อำนาจแห่งบุญกุศลของเราทั้งมวล ที่เราสร้างมาด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา บริจาคมากน้อย จำได้ไม่ได้ก็ตาม มันเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงมารวมทำนบใหญ่ ทำนบใหญ่ได้แก่จิตตภาวนา ทีนี้เวลาบุญกุศลทั้งหลายมีมากแล้วก็ค่อยรวมเข้ามา ๆ ลงในจิตตภาวนา ทีนี้ละที่พุ่งนะเข้าใจไหม ที่ว่าพุ่ง นี่ละนักภาวนาท่านเวลาเข้าจุดที่จะไปแล้วเป็นอย่างนั้นละ

อำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลายที่เราสร้างมามากน้อย เราอย่าไปถาม จำได้ไม่ได้ไม่ต้องไปถาม บุญบาปไม่เคยลำเอียง ทำดีเป็นดี ทำชั่วเป็นชั่ว ติดอยู่กับใจตลอดเวลา จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ นี่ละตัวบุญที่ดีนี้แหละแทรกอยู่ในนั้น เวลาทำไป ๆ แก่กล้าสามารถขึ้นไป บุญกุศลนั้นแหละดลบันดาลให้รักศีลรักธรรมรักภาวนาเข้าไปเรื่อย ๆ มีแต่บุญนะหนุนให้รักให้ชอบให้สนใจอยากทำ ไม่ใช่อะไรอื่นมาให้สนใจนะ บุญเจ้าของนั่นแหละที่รวมตัวเข้ามาแล้วก็รวมกำลังเข้ามา ทำให้จิตมีความจดจ่อต่อเนื่องไปด้วยทางด้านจิตใจที่ควรจะหลุดพ้นแล้วมันก็จ่อเข้าไปหาจิตล่ะที่นี่ นั่นจะเข้าเอาตัวนี้ละที่นี่

พอเข้าถึงจิตแล้ว จิตเคยว้าวุ่นขุ่นมัวที่ไหน บังคับบัญชากันด้วยจิตตภาวนา เช่น เราภาวนา พุทโธ ๆ นี้กำลังตีรวม พยายามตีเข้าไปเรื่อย ๆ มันวุ่น ๆ วุ่นเท่าไร ตั้งแต่วันตื่นนอนมาจนกระทั่งป่านนี้มันอิ่มมันพอที่ไหน เราจะเอาพุทโธเข้าไป ให้มันวุ่นกับพุทโธ วุ่นกับพุทโธวุ่นเพื่อสงบ วุ่นกับกิเลสวุ่นเพื่อยุ่งเหยิงวุ่นวาย เพื่อเพิ่มความเดือดร้อนเข้าไป ปัดอันนั้นออกเอาอันนี้ มันขี้เกียจก็บังคับใส่กับพุทโธ นี่เรียกว่าต้านทาน ครั้นต่อไป ๆ มันก็มีจังหวะของมัน เพราะหนุนไม่หยุดนี่ สักเดี๋ยวก็เกิดความสงบเย็นใจขึ้นมา

พอเกิดความสงบเย็นใจขึ้นมามันจะเห็นโทษแห่งความวุ่นวายทั้งหลายทันทีทันใดนะ อ๋อ ความสงบเป็นอย่างนี้ ความวุ่นวายเป็นอย่างนั้น แล้วอันนั้นเป็นภัย อันนี้เป็นความสงบ ก็หนักทางความสงบเข้าไปเรื่อย ๆ ซิ นี่ละท่านภาวนา ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านทำอย่างนั้น ทีนี้เวลาเริ่มเข้าไป ๆ ทีแรกก็ซัดกันนี้ โห เอาจนน้ำตาร่วง ดังเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นั่นเวลากระแสมันรุนแรง ทั้ง ๆ ที่เราก็จะเอาเต็มเหนี่ยว มันก็ฟาดเราหงายหมา ๆ เห็นชัด ๆ ในจิตดวงนี้จนน้ำตาร่วง เราไม่ได้ลืมนะ สด ๆ ร้อน ๆ ทีเดียว จึงได้เคียดแค้นอย่างถึงใจ ฟัดกันอย่างถึงใจเหมือนกัน

เวลาได้ที่แล้ว เอ๋า ทีนี้กิเลสมันร้องโก้ก ๆ เหมือนคนขึ้นอยู่บนตะพองช้าง ขอกระหน่ำลงไป ช้างมันร้องโก้ก ๆ เหมือนว่ามันยอมแล้ว ทางนี้ไม่ยอม เวลามันฟาดเรามันเอาอย่างนั้น ทีนี้เราจะเอามันก็ขนาบ ทีนี้ก็เบิกกว้างออก ๆ จากนั้นก็เป็นความสงบเย็นใจภายในใจ มีแต่ความสงบ มีแต่ความเย็น อยู่ที่ไหนอยู่ได้สบาย ๆ มืดแจ้งไม่สำคัญยิ่งกว่าความสงบเทิดทูนหัวใจตลอดเวลา อบอุ่นตลอดเวลา

ทีนี้เมื่อเราเห็นความอบอุ่น คิดไปข้างหน้าตัวไหนจะไป ข้างหน้าที่จะไปก็ตัวอบอุ่นจะพาไป มันบอกชัด ๆ อยู่นี้ ถ้าเดือดร้อนก็อันนี้ละจะพาลง มันบอกอยู่ในตัว ๆ ปัจจุบัน ทีนี้พอแน่นหนามั่นคงขึ้นด้วยความสงบเย็นใจ จากนั้นก็เปิดทางจะออกละทางด้านปัญญา นี่ละที่เข้าขั้นด้านปัญญานี่ ที่ว่าแชมเปี้ยนสู้ไม่ได้ ความรวดเร็วระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ ความรวดเร็วของกิเลสมันคล่องตัวพอแล้ว เพราะมันสร้างภพสร้างชาติ สร้างวิชาหมุนมาเป็นวัฏจักรนี้มากี่กัปกี่กัลป์ ทีนี้เวลาธรรมะขึ้นและต่อกรกันแล้ว ทางนี้ก็มีกำลัง ทีนี้ต่างฝ่ายต่างฟัดกัน ๆ สติปัญญาก็มีกำลังมากขึ้น ๆ ต่อไปกิเลสก็อ่อนลง อ่อนลงทางนี้ก็หมุนติ้ว ๆ ที่นี่พ้น

ถึงขั้นนี่แล้วยังไงก็รอไม่ได้เลย หากเป็นอัตโนมัติของผู้บำเพ็ญความดี สติปัญญาขั้นนี้จะหมุนตัวตลอดเวลา ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอนเว้นแต่หลับเท่านั้น อิริยาบถไม่มีความหมาย สติปัญญานี้ทำงานฆ่ากิเลสตลอดเวลา นั่งอยู่ก็ฆ่า ยืนก็ฆ่า เดินก็ฆ่า เว้นแต่หลับ พอตื่นนอนพับจับกันแล้ว จับงาน ขึ้นเวทีตั้งแต่เมื่อไร ฟัดกันแล้ว ๆ ทีนี้ก็เปิดกว้างออก ๆ ก็ยิ่งเห็นภัยมากเข้า ๆ ยิ่งเห็นภัยมากเท่าไร เห็นคุณก็เสมอกัน ๆ แล้วอยู่ได้ยังไงมนุษย์เราเมื่อถึงขั้นขนาดนั้นแล้ว มันก็มีแต่ดีดตายถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ตายให้พ้น มันก็ผึงล่ะซี

นี่ละอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลแห่งธรรม ธรรมเป็นธรรมารมณ์ เหมือนกิเลสมันไม่เป็นตนเป็นตัว อารมณ์ที่เกิดกับใจ ความโลภก็ไม่เป็นตนเป็นตัว หากแสดงเป็นความอยาก ความอยากได้ออกมา ความโกรธแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมา ความรักความชังเป็นอารมณ์ อารมณ์ออกมาจากใจ ๆ และเป็นเครื่องหนุนใจ ๆ ให้พาหมุนไปตาม ทีนี้ธรรมเป็นเครื่องระงับ ก็เป็นอารมณ์อย่างเดียวกัน อารมณ์ของธรรมนี้เป็นเครื่องหักห้ามกัน ๆ เวลาธรรมมีมากอบอุ่นภายในใจ เป็นอารมณ์อันหนึ่งไม่มองเห็นด้วยตานะ เป็นอยู่กับใจ เพราะใจเป็นนามธรรม มีแต่รู้ รู้กับอารมณ์นั้นเข้ากันได้ ทีนี้ก็หมุนตัวอยู่ในนั้น สุดท้ายก็พ้นไปได้เลย

นี่เราพูดย่อ ๆ ถึงเรื่องว่าสติปัญญาในขั้นที่ว่า อย่างหลวงพ่อคูณท่านพูดน่าฟัง สูเหยียบเท่าไร เหยียบ ๑๔๐ โอ๊ย กูโดดลงตั้งแต่ ๙๐ นั้นน่ะ กูเอาตัวรอดเลย กูเอาจนกระทั่งรอดตายมานี่ กูจะไปมีแก่ใจไปคุ้มครองสูได้ยังไง นั่นเรียกว่าตอบสดๆ เรียกว่าปัญหาขึ้นสด ตอบกันอย่างสดๆ ทีนี้ปัญหาของกิเลสเกิดขึ้นภายในใจของผู้ปฏิบัติ นักจิตตภาวนาก็แบบเดียวกัน ขึ้นสดๆ ตอบกันสดๆ รับๆกันสดๆ ผึงๆๆ เลย อย่างนั้นแหละ นี่เราเอามาพูดเพียงอย่างหยาบๆ นะ ที่หลวงพ่อคูณท่านพูดนี้ เป็นคติตัวอย่างอันดีสำหรับแก้กิเลสสดๆ ร้อนๆ จะไปจากภาคพื้นคือความหยาบอันนี้ละ มันเกิดสดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน กิเลสเกิดสดๆ ร้อนๆ เกิดในใจสดๆ ร้อนๆ ธรรมะเกิดสดๆ ร้อนๆ ขึ้นแก้กันๆๆ ไปตลอดไปเลย จนกระทั่งไม่มีกิเลสตัวใด มาผ่านแล้วธรรมะก็หมดปัญหาไปเลย นั่น พากันเข้าใจนะ

ให้พากันสั่งสมคุณงามความดีนะ โลกนี้ว้าเหว่มากให้เราดู ตั้งภาพพจน์ขึ้นไปดู โลกทั้งโลกนี้ เหมือนกับคนตกน้ำอยู่ในมหาสมุทรไม่มีฝั่งมีแดน ไม่มีใครได้หลักได้เกณฑ์ ได้ที่ยึดที่เกาะนะ ป๋อมแป๋มๆ ด้วยกันหมด แล้วหาฝั่งหาฝาไม่มี โลกไม่มีความดี โลกไม่มีธรรมเป็นที่เกาะที่ยึด เหมือนโลกที่ตกน้ำในมหาสมุทร ไม่มีความหมายด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่มีคุณงามความดี ผู้นี้มีความหมายที่จะเล็ดลอดออกไปได้ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เช่น มีเรือมารับ เขาตกป๋อมแป๋ม เราขึ้นเรือไปได้ ๆ คือเรือหมายถึงความดี มันหากมีฉุดมีลากกันอยู่ในตัวของมัน ตั้งแต่กิเลสฉุดลากลงฉุดลากได้ ทำไมความดีฉุดลากคนขึ้นมาไม่ได้ เป็นเครื่องแก้กันนี่นะ มันก็ได้ ๆ

สำคัญที่ใจอย่าลืมนะ ไม่มีใครจะที่มาสอนได้อย่างแม่นยำที่สุดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ท่านเรียนติดตามเรื่องวิถีจิตนี้ ตั้งแต่เวลามันยุ่งเหยิงวุ่นวาย เหยียบ ๑๔๐-๑๕๐ มันก็เหยียบแล้ว ทีนี้ย่นเข้ามา ๆ จนกระทั่งแคล้วคลาดปลอดภัย หมด นั่นท่านก็เรียนจบหมด พากันจำเอาจิตดวงนี้ไม่เคยตาย เราอย่าไปใฝ่ฝันนะว่าโลกอันนี้จะมีความสุขความเจริญ นี่มันหวังเฉยๆ มันไม่ได้เจริญนะ มันเผาอยู่หัวใจของเราผู้ดีดผู้ดิ้นนั้นแหละ ไม่ได้เผาอยู่ที่ดินฟ้าอากาศนะ มันเผาอยู่ที่หัวใจที่ดีดดิ้น ให้มีใจระงับ ระงับด้วยธรรมไป

เอ้า ถึงเวลาทำการทำงานเพื่อการทำมาหาเลี้ยงชีพ ให้ทำ ท่านไม่ให้ปล่อย..พระพุทธเจ้า อุฏฐานสัมปทา ให้มีความขยันหมั่นเพียร ในกิจการงานที่ชอบเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ เพื่อความเป็นอยู่ในชีวิตของเราแต่ละวันๆ ไป ไม่ให้ประมาท ให้ขวนขวาย เอาทีนี้ทางด้านธรรมะก็ให้เร่งขวนขวาย นี่เรียกว่าสร้างที่พึ่งของใจ เวลาบำเพ็ญทางคุณงามความดีการทำบุญให้ทาน ภาวนารักษาศีลอะไร เอ้า ให้ทำ นี้เป็นที่พึ่งของใจ นั้นเป็นที่พึ่งของกาย เวลาเรามีชีวิตอยู่ เราก็อาศัยสิ่งเหล่านั้น สมบัติเงินทองข้าวของ อาศัยเขาไป แต่เวลาชีวิตเราหาไม่แล้ว อันนี้ขาดสะบั้นลงไป จิตกับธรรมที่มีด้วยกันแล้วไม่ขาด ไปเลย นี่มันคนละฝักละฝ่ายนะ พอปล่อยทางวัตถุ ร่างกายพาปล่อยแล้ว ทางจิตมีด้านนามธรรมคือความดี ไปเลย นั่น ถ้าไม่มีทางด้านนามธรรมจมเลย มีสองอย่าง จำไว้นะ เอาละ วันนี้พูดเท่านั้นละ

พอพูดนมวัวนี้เราสะเทือนมาตลอด พูดจริง ๆ คำนี้เราไม่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ ที่ท่านว่า มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ คือให้บำรุงอุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อแม่ของเราให้ดีๆ นี้มหาคุณอยู่ตรงนี้ ท่านแสดงไว้ แล้วถ้าว่าผิดกับท่านทั้งสองนี้ว่าผิดมาก เท่ากับทำความผิดแก่พระอรหันต์องค์หนึ่ง ถ้าทำความถูกต้องดีงามบำรุงรักษาท่าน ก็เท่ากับได้บำรุงรักษาพระอรหันต์องค์หนึ่ง นี่ท่านแสดงไว้ในธรรมนะ เพราะมหาคุณอยู่กับพ่อกับแม่ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เราไม่มีงานอะไรทำ พูดจริงๆ นะ งานทั้งหมดอะไรที่เป็นสาระสำคัญที่เราทำแล้วให้เรามาเป็นอย่างนี้ ได้มาจากไหน มาจากพ่อกับแม่ พ่อแม่เอาชีวิตจิตใจแลกเลย ลูกแต่ละคนๆ ตั้งแต่อยู่ในท้อง พ่อกับแม่นี้ประคองตลอดเวลา จะเป็นจะตายอะไรไม่สนใจ ขอให้ลูกในท้องได้มีความเป็นอยู่อย่างสะดวกสบาย จากนั้นก็มีครรภรักษา ยาสำหรับรักษาครรภ์

พอตกคลอดออกมาแล้วทีนี้เอาละนะ พ่อวิ่งทางหนึ่งแม่วิ่งทางหนึ่งที่จะมาบำรุงรักษาลูก ตั้งแต่วันเกิดมา เด็กคนนี้จนกระทั่งโตขึ้นมา พอรู้เดียงสาภาวะเลี้ยงตัวได้แล้ว พ่อแม่ทุ่มชีวิตจิตใจไปมากขนาดไหน ตั้งแต่ขณะอยู่ในท้องมา พิจารณาซิ เราประมวลหมดมันเป็นเองของมันนะ นี้เราก็ไม่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่มีคุณใดอื่นใดจะยิ่งกว่าคุณของบิดามารดา พิจารณาหมดแล้ว เด่นอยู่จุดนี้จุดเดียว เด่นเอามากทีเดียวจนกระทั่งฝังลึก แต่ไม่เคยได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คุณของบิดามารดานี้มากที่สุดนะ เลี้ยงเรามาไม่ว่าใครก็ตามพ่อแม่เลี้ยงมาทั้งนั้นๆ สละชีวิตไว้หมดกับเรา เกิดเป็นผู้เป็นคนมาขนาดนี้ จากพ่อแม่ทั้งนั้น ให้จำเอาไว้นะ

อย่าลืมบุญลืมคุณ อย่าฝ่าอย่าฝืน อย่าถกอย่าเถียง อย่าทำก่อกรรมก่อเวรกับท่าน ให้สร้างความดีต่อท่าน ฟังโอวาทคำสั่งสอน อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านให้ดี ถึงจะดีขนาดไหนก็สู้ท่านอุปถัมภ์อุปัฏฐากเราไม่ได้เข้าใจไหม ท่านอุปถัมภ์อุปัฏฐากเรานี้ โอ๋ยเอาตายเข้าว่าเลย เราอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านบางที แม่ทำไมบ่นนักล่ะ ก็ให้กินเมื่อสักครู่นี้แล้วจะกินอะไรอีก มันเถียงแม่ พวกน่าตีปาก เข้าใจไหม เอาละพอ พูดไปพูดมามันจะได้ตีปากคน

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก