จิตยังไม่ได้หลักเกณฑ์อย่าปล่อยคำบริกรรม
วันที่ 7 มิถุนายน 2544
สถานที่ : จิตยังไม่ได้หลักเกณฑ์อย่าปล่อยคำบริกรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

จิตยังไม่ได้หลักเกณฑ์อย่าปล่อยคำบริกรรม

ที่ว่าลูกกระต่ายนั่นควรพิจารณากันนะข้างใน ลูกกระต่ายที่ว่าอยู่มุม มันพอโตขึ้นบ้างแล้วเอาไปไว้ทางโน้นเสีย ทางลึก ๆ นะ จะเอาอะไรครอบเอาไว้ก็ได้ ให้มันอยู่ทางนั้นเลย สำหรับจะย้ายมาทางนี้เห็นจะไม่ไหวแหละ เพราะทางนี้ก็มีลูกกระต่าย เดี๋ยวรังแกกัน พวกแม่ตัวใหญ่ละรังแกกัน ลูกติดแม่มาก็ไม่สะดวกอะไร เขาอยู่ทางไหนก็ให้เขาอยู่ทางโน้นเสีย ทางมุมทางโน้น ทางนี้ก็พยายามเข้มงวดกวดขันเรื่องหมา เฉพาะไอ้หมีละสำคัญมันเคยเข้าไป

ระยะนี้เป็นยังไงไอ้หมี เข้าไปบ่อยไหม (เมื่อวานก็ไป) เข้าไปรึ ก็สั่งแล้วว่าให้เตรียมหนังสะติ๊กเอาไว้ แค็กเท่านั้นมันวิ่งเลยนะมันกลัวหนังสะติ๊กมาก (มันจะเข้าทางหน้าประตูแล้วเลาะเข้าป่าริมกำแพงค่ะ) ไอ้หมีเหรอ (ทั้งไอ้หมีทั้งไอ้ดำค่ะ) โถ ไอ้ดำต้องเอาใหญ่นะไม่ได้นะ มันเข้าไปทางไหนก็ตาม มันจะลัดเลาะไปไหนก็ตาม หนังสะติ๊กไม่ต้องลัดเลาะใส่ปึ๋งเลยเข้าใจไหม พอแค็กเท่านั้นเขาจะวิ่งเลย

หนังสะติ๊กเหล่านี้ไม่เคยยิงถูกสัตว์นะ แต่ยิงเข้าป่านี้ตลอด โอ๋ย สัตว์กลัว ตั้งแต่กุฏิหลวงตายังมี คือพวกหมากลัวหนังสะติ๊กมาก พอได้ยินแค็กเท่านั้นวิ่งเลย พวกไก่เหล่านี้เหมือนกัน ไก่ไม่ค่อยเท่าไร ต้องเป็นไก่นอกวัด คือเวลาเขาออกไปเที่ยวนอกวัด เรายิงใส่กำแพงเปี๊ยะเขาจะบินเข้าในวัดเลย ถ้าอยู่นี่เขาก็ไม่สนใจ เราก็ไม่เคยสนใจยิงเขานะ ถ้าออกนอกวัดไปแล้วเอาละยิง กลัวเหมือนหมานั่นแหละ เขาเพ่นพ่าน ๆ อยู่นอก ๆ ยิงเตือนเขาให้เขารู้ว่าข้างนอกมีภัย ข้างในไม่เป็นภัย

แต่เขารู้เหมือนกันนะ พอเราเดินออกไปข้างนอก ไปเที่ยวขู่สัตว์นั่นแหละไม่ใช่อะไร พอเห็นเขาเที่ยวหากินเพ่นพ่าน หนังสะติ๊กเราก็ฟาดแป๊ก อู๋ย บินเข้าข้างในหมด มันก็รู้เหมือนกันนะข้างในข้างนอกว่ามีภัยไม่มีภัย รู้ บินจะเข้าวัดด้วยนะ ไม่บินหนีทางอื่น ถ้าเป็นไก่นอกวัดแล้วกลัวหนังสะติ๊ก ถ้าเป็นไก่ในวัดไม่สนใจ พระก็ไม่เคยสนใจกับมัน เพราะอันนี้ไว้สำหรับขู่สัตว์ นี่เข้าไปข้างในเอานะ ไอ้ดำนั่นสำคัญมากนะดำเล็ก ๆ สามสี่ตัวนี่ โอ๋ย ตัวสำคัญมาก ร้ายกาจมาก มันไม่ได้ว่าตัวเล็กตัวใหญ่นะ ตัวของมันเองมองเห็นสัตว์นี่ไล่กัดเลยเทียว จึงต้องระมัดระวัง

เข้มงวดกวดขันแล้วต่อไปนี้หมานี้จะไม่มี คือเข้มงวดกวดขันจะเอาออกไม่ให้เข้ายุ่งแหละ ระมัดระวังหลายด้านหลายทางด้วย ทั้งไม่ใช่เรื่องที่จะพระจะมาเลี้ยงหมา ท่านมาภาวนานี่นะ แต่เมื่อมีความจำเป็นแล้วก็ดูแลรักษาไปอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องจริงเรื่องจังยิ่งกว่าเรื่องบำเพ็ญธรรม ปราศจากความกังวลทั้งหลายนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับหมาก็เลยต้องดูแลรักษาไป ต่อไปหมาชุดนี้ตายไปแล้วก็ปล่อยไปเลย พูดตรง ๆ ก็มันจะตายอยู่แล้ว ตั้งแต่เราก็ยังบอก นั่นเห็นไหมเมรุหลวงตาบัว หลวงตาบัวตายเมื่อไรก็ยังทำเมรุไว้แล้ว เวลาหลวงตาบัวตายมาเผาที่นี่ แน่ะ พูดเรื่องหมาก็แบบเดียวกันผิดกันที่ตรงไหน

เมื่อเช้านี้เห็นมันมากับแม่มัน คือกระต่ายตัวนี้ไม่เห็นหลายวันตั้งนานแล้วนะ อาทิตย์กว่า ๆ แล้ว ปกติเขาเคยไปป้วนเปี้ยนอยู่นั้นสองสามตัว ขาวสองตัว สีหมอก ๆ สีอะไรพูดไม่ถูกตัวหนึ่ง เขาไปเที่ยวป้วนเปี้ยนอยู่กับทางจงกรมเรา อันนี้ก็หายไปนานแล้ว ส่วนตัวขาวนั้นไปบ้างนิดหน่อย ไปห่าง ๆ เหมือนกัน แต่ก่อนเขาไปเป็นประจำเลย เมื่อเช้าเห็นตัวหมอก ๆ มันมา คงเป็นแม่ของกระต่ายนั่นแหละ เขามาหากิน แสดงว่าเขาไม่ได้กินอาหารหลายวันหรือไงไม่รู้นะ เขามาหากินข้าวที่เราไปไว้ให้ไก่ เป็นร้านอยู่ข้างบน ข้าวอยู่ข้างล่าง ฝนตกก็ไม่ให้เปียก เขาก็มาหากินอยู่ตามนั้นเมื่อเช้านี้ พึ่งเจอเมื่อเช้านี้นะ ตั้งอาทิตย์กว่า ๆ ว่างั้นเถอะ

จึงทำให้ระลึกได้ โอ้ ลูกมันจะโตแล้วเหรอแม่มันถึงออกมา จึงได้กำชับกำชาทางโน้น หากว่าโยกย้ายออกไปก็ให้โยกย้ายออกไปทางโน้น ทางกุฏิ ๒๓ ไปทางโน้นไปลึก ๆ พอมันโตแล้วเขาก็ไปหากินของเขาเอง เป็นแต่เพียงเราระวังหมา ถ้าเห็นหมาตัวใดเข้าไปให้ทำท่าทันทีนะ ต่อไปเขารู้ว่าเราไม่สนิทกับเขาแล้วเขาก็จะไม่ไปแหละ แล้วมีท่าทางต่อเขาเขาก็กลัว เขาจะไม่ไปละ ส่วนตัวไปเรื่อยเป็นประจำนี่ซิลำบาก มันก็ต้องห่างไปเหมือนกัน ว่าแต่สัตว์บ้านนี้เมื่อไร แม้แต่สัตว์ป่าพระไปอยู่ที่ไหนเขาก็มาหา เห็นชัด ๆ บอกได้ชัดเจนเลยว่า พระกรรมฐานกับสัตว์นี้สนิทกันมาก คือพระอยู่ในบ้านท่านก็ไม่เข้าป่า พวกสัตว์ก็ไม่รู้เรื่องของท่าน ท่านก็ไม่รู้เรื่องของสัตว์ แต่พระกรรมฐานท่านอยู่ในป่าเป็นประจำ สัตว์ทุกประเภทกับพระนี่นะคุ้นง่ายที่สุดเลย

จึงได้พูดว่าสัตว์เหล่านี้เขาเคยบวช เคยเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนานี้มานานแสนนาน ความรู้สึกที่เคยฝังใจเขานั้นแหละ เป็นเครื่องแสดงออกให้เป็นความสนิทสนมของเขา มันหากมี เป็นอยู่ในใจจำไม่ได้ก็ตาม เช่นต่อผ้าเหลืองอย่างนี้ เขาเคยมาแล้ว ไปอยู่ที่ไหนพวกสัตว์นี้เต็มนะ ปกติสัตว์ป่านี้เต็มไม่ว่าภาคไหน ป่าตรงไหนมีพวกสัตว์พวกเนื้อเต็มไปหมด ๆ เพราะไม่มีใครทำลายเขา แต่ก่อนไม่มีการไปการมาการคมนาคม เหมือนอยู่คนละโลก ๆ นะ การไปมาหาสู่ไม่มีทางก็ไปไม่ได้ แม้แต่พวกชาวป่าชาวเขา ไปมาหาสู่กันอย่างนี้ บ้านเขาก็ไม่ใหญ่โตนัก ไปพอเป็นร่องรอยนิด ๆ เท่านั้น เราก็สังเกตเอาตามนี้ไป ไม่ได้เป็นทางอะไรเลย

ไปอยู่ที่ไหนสัตว์เต็มไปหมดทุกแห่งทุกหน เราเคยไปแล้ว ไปอยู่ที่ไหนว่าไม่มีสัตว์ไม่มีเนื้อนี่ไม่มี มีทั้งนั้น มีสัตว์มีเสือมีเนื้อมีทุกแห่ง คือเสือนั้น เนื้ออยู่ที่ไหนเสือก็มี มันอาศัยกินเนื้อ เพราะฉะนั้นไปที่ไหนเสือจึงต้องมี สัตว์ที่สนิทเร็วกว่าเพื่อนคือหมู หมูนี่สนิทเร็วมากนะ เราเดินจงกรมอยู่เขามาหากินเฉยนะกับเรา หมูป่าเป็นฝูง ๆ ก็มี ต่างตัวต่างเอาจมูกขุดหากิน เราก็เดินของเราไป มีแต่มาคอยดูเขา เขาไปหากินแล้วผ่านไปผ่านมาอยู่งั้น ทำเลที่พระอยู่นั้นเป็นทำเลที่ปลอดภัย พวกคนไม่ค่อยไปทำลายไปรังแก

อยู่ธรรมดาสัตว์กับคนนี้ สัตว์ต้องกลัวคนเสมอไป ไปอยู่ในป่าที่ไหนก็มีสัตว์มีเนื้ออยู่ทั่วไปนะเท่าที่เราไปอยู่ เพราะฉะนั้นจึงว่าหาที่กลัว ๆ คือมีป่าที่ไหนมีเนื้อที่นั่นและมีเสือที่นั่น ที่ไหนป่าที่เป็นทำเลของเสือโดยแท้แล้ว นั่นละเป็นที่น่ากลัว ป่าธรรมดานี้เป็นป่าห่าง ๆ ไกล ๆ ไม่เป็นทำเลของเสือ อย่างนั้นก็ไม่น่ากลัว ถ้าไปอยู่ในทำเลของเขาจริง ๆ นั้นเสือมักเพ่นพ่านอยู่ตามแถวนั้นทั้งวันทั้งคืน มันก็น่ากลัว ไปหาอยู่อย่างนั้นพระกรรมฐาน ดัดอย่างนั้นซิ

พูดเหล่านี้เราดัดมาแล้วนะเราจึงมาพูด ถึงพูดได้เต็มปากทุกอย่าง เวลามันกล้านี้ โถ เหมือนตัวสั่นเลยนะ เหมือนมันกลัว เบื้องต้นกลัว กลัวก็ดัดเข้า ๆ ดัดเข้าจนกระทั่งกล้า กล้าจนกระทั่งถึงว่าคิดกำหนดไปดูในโลกนี้ไม่มีอะไรกลัวเลย จะเดินเข้าถึงได้ทั้งนั้น ๆ เวลาจิตมันกล้ามันแข็งมันเป็นอยู่ในตัวของมันนะ อะไรก็ตามจะเดินเข้าหาได้เลย เสือที่ว่ากลัว ๆ นี้จะเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันได้สบาย ๆ เลยไม่มีสะทกสะท้าน เห็นไหมใจ ขณะก่อนเป็นอย่างหนึ่ง ขณะก่อนกลัวมาก ขณะหลังนี้กล้ามาก ดัดได้อย่างนั้นนะใจเรา เพราะมันมีสิ่งหุ้มห้อเป็นกิเลสทำให้กล้าให้กลัวอยู่ในนั้น ถ้าเป็นธรรมเตือนขึ้นมานี้ก็ลบล้างกันให้เกิดความกล้าหาญขึ้นมา ถ้ามีแต่กิเลสมีแต่กลัวทั้งนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นเมื่อจิตหมดกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว คำว่ากล้าก็ไม่มี คำว่ากลัวก็ไม่มี ไม่มีเลย คือสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเคลือบแฝง พออันนี้หมดไปความกล้าความกลัวในจิตในหลักธรรมชาติแท้ไม่มีกล้าไม่มีกลัว คำว่าได้ว่าเสียว่าแพ้ว่าชนะแบบโลก ๆ ว่างั้นเถอะ ไม่มีเลย มีแต่ธรรมล้วน ๆ ให้มันเห็นในหัวใจนั่นซิ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของสอนโลกบอกหลอกลวงเมื่อไร แต่กิเลสมันหลอกลวงให้เป็นบ้ากัน ลูบคลำศาสนาเล่นเหมือนตุ๊กตาทุกวันนี้ ชาวพุทธเรานี้ พูดเรื่องศาสนาเห็นเป็นตุ๊กตาไม่ใช่ของจริงของแท้แหละ ถ้าเป็นเรื่องจะเผาหัวมัน โอ๋ย เร็วมากนะ เหมือนทั้งอยากกราบอยากไหว้ ทั้งวิ่งตามทั้งกราบทั้งไหว้ มันเคารพนับถือพอใจมากทีเดียว

นี่จึงพูดได้อย่างจัง ๆ เลยเราไม่มีสะทกสะท้านกับสิ่งใด เพราะมันเลยหมดแล้วในสิ่งเหล่านี้ ที่นำมาพูดนี้เอาสมมุติออกพูดเฉย ๆ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติอันนี้ มันไม่ได้เกี่ยวโยงกัน จึงเอาเรื่องที่เคยเป็นมาในหัวใจนี้ออกแจงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ว่ามันมีอยู่ในหัวใจมากน้อยมันจะแสดงอาการทุกอย่างตลอดเวลาละ เดี๋ยวแสดงอย่างหนึ่ง ๆ มีแต่กิเลสละแสดง ธรรมผู้บำเพ็ญก็ต้องแก้กันไปโดยลำดับอย่างนี้ มันแสดงอะไรก็ตามแก้กัน ๆ อันนั้นก็ค่อยยุบยอบลงไป อันนี้หนาแน่นขึ้น ๆ

อย่างที่ว่าไปอยู่ในป่านี่ เรื่องวิธีการพิจารณาดัดเจ้าของมันก็เป็นไปตามภูมิของจิตเหมือนกัน ถ้าจิตยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์แล้วอย่าปล่อยคำบริกรรม เอา ไปอยู่ที่ไหนก็ไปอยู่เถอะ ขออย่าให้จิตนี้พรากจากคำบริกรรม เช่น เรากำหนดพุทโธ ให้อยู่กับพุทโธ อยู่ในป่าเสือก็เสือเถอะ จิตไม่แย็บออกไปเสียไม่กลัว ให้อยู่กับพุทโธ ๆ เมื่อเวลาพุทโธกับจิตนี้สัมผัสสัมพันธ์กันแล้ว หนาแน่นขึ้นมา ๆ จิตก็หนาแน่นขึ้นมา ๆ คำว่ากลัว ๆ จางไป ๆ สุดท้ายอันนี้กล้าแข็งปึ๋งเลย ทีนี้กลับไม่กลัว นี่ก็ฝึกทรมานได้ด้วยคำบริกรรม สำหรับผู้ตั้งรากฐานใหม่นะ

ทีนี้ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว จิตก็แน่วอยู่กับความรู้ที่เป็นสมาธิเสีย ไม่ออกก็ไม่กลัว เป็นชั้น ๆ นะการฝึกทรมาน เราทำมาหมดแล้วไม่ได้มาพูดเล่น ๆ นี่นะ ทีนี้เวลาก้าวออกทางวิปัสสนาก็เป็นไปอีกแบบหนึ่ง แยกธาตุแยกขันธ์ วิปัสสนาคือปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ แยกเขาแยกเรา แยกสัตว์แยกบุคคล อันไหนเป็นอันนั้น อันไหนเป็นอันนี้ สมมุติว่าเสือ อันไหนเป็นเสือ ไล่เข้าหา ๆ เป็นหญิงเป็นชายไล่เข้าหาตัวจริงมันจนเจอ นี่ยกเสือเป็นต้นเหตุเฉย ๆ สมมุติว่าไปรักผู้หญิง มันรักอะไรไล่เข้าไป ผู้หญิงรักชายรักอะไรไล่เข้าไปหาตัวมัน หญิงชายจริง ๆ ที่ว่าน่ารักมันอยู่ตรงไหน ไล่เข้าไปอย่างนั้นเข้าใจไหมล่ะ นี่เรียกว่าวิปัสสนา

ถ้าเสือตรงไหนมันเป็นเสือ กลัวมันตรงไหน ก็เคยเขียนไว้แล้วในปฏิปทา ถ้าว่ากลัวตา ตาเราก็มีไม่เห็นกลัว แก้กันเข้าใจไหม ถ้าว่ากลัวลวดลายมัน ตัวของเราก็มีลวดลายอยู่เราไม่เห็นกลัว สักไว้เต็มแขนเห็นไหมนี่เราไม่เห็นกลัว จะไปกลัวอะไรลายเสือ ถ้าว่ากลัวเล็บ เล็บเราก็มี กลัวอะไรเราก็ออกอวดได้ ๆ มันก็ผ่านไป ๆ บทสุดท้ายก็อย่างว่านั่นแหละเราไม่ลืมนะ ไล่เข้าไป ๆ กลัวเขี้ยว เขี้ยวเราก็มี กลัวอะไรของเรามีหมด ๆ แล้วกลัวเขาทำไม ถ้ากลัวต้องกลัวเราซิมันมีอยู่เต็มตัวของเขา ไม่เห็นกลัวเรา ไปกลัวเขาทำไม

ไล่ไป ๆ ไปถึงหาง โอ๊ย จนตรอก พอไปถึงหางแทนที่มันจะติดไม่ติดนะ พอไล่ไป ๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวสักอย่าง ทีนี้เสือมีหางซิ หรือกลัวหางมันเหรอ ทีนี้เราไม่มีหางจะอวดไม่ได้ กลัวหางมันหรือ ตั้งตัวมันเองมันยังไม่เห็นกลัวไปกลัวมันทำไม นั่นเห็นไหมแก้ไปนู้นนะ ปั๊บออกเลย ออกได้ นั่นละเรียกว่าปัญญา สุดท้ายเสือทั้งตัวไม่มี กำหนดดูอะไร ๆ ก็เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ ตัวเสือจริง ๆ ไม่เห็นมี นั่นละปัญญา ถึงขั้นวิปัสสนาพิจารณาขั้นนี้แก้ตัวเองเกี่ยวกับสิ่งภายนอก แต่ส่วนมากมันจะยุ่งแต่ภายในมันไม่ค่อยไปคิดเรื่องกล้าเรื่องกลัวอะไรนัก เมื่อมันคิดอย่างนั้นปั๊บก็เอานี้ออกรับกันเลย ความหมายว่างั้น

จากนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นด้านวัตถุ มันก็จางไป ๆ ด้วยการพิจารณา ต่อจากนั้นจิตมันก็ว่างของมันไป ๆ พิจารณาพอปรุงว่าเสือแพล็บออกมาเป็นเสือ ตัวสังขารนี้เป็นเสือ เหล่านั้นเสือไม่มี มีตัวนี้ตัวหลอกเรา นั่นเห็นไหมล่ะ มันปรุงว่าสัตว์ว่าเสือ ปรุงแพล็บดับพับ ๆ เข้าในนั้น อันนี้ออกหลอก สติปัญญาทัน มันจะมีเสือที่ไหน มีกับสังขารต่างหากที่มันปรุงหลอกเรา มีสัตว์มีเสือมีอะไร ๆ มีแต่ตัวนี้ออกปรุงหลอก ๆ ตามทัน ๆ ทีนี้สุดท้ายที่ว่าปรุงว่าสัตว์ว่าเสือจากจิตที่ว่างนี่ พอปรุงพับมันดับไปพร้อม ว่างไปพร้อม ๆ อะไรก็ไม่มีมีแต่ว่างไปหมด พิจารณาอย่างนั้นซี

นั่นเรียกว่าว่างนอก จิตดวงนี้กำลังส่ายภายนอก ส่งแสงสว่างกระจ่างไปว่างนอก ๆ แต่ข้างในยังไม่ว่าง พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังเข้าไป ว่างข้างนอกข้างในยังไม่ว่าง เหมือนเราเหยียบอยู่บนหัวตอ ยืนอยู่บนหัวตอมองที่ไหนว่างหมด แต่หัวตอที่เราเหยียบมันไม่ว่างมันไม่ดูอันนี้ ดูทางนั้นหมดแล้วเข้ามาดูหัวตอที่เจ้าของเหยียบ โอ๋ ไม่ว่างจุดนี้ ตัดอันนี้ออกผึงมันก็ว่างหมด ทีนี้จิตใจอะไรมันก็ว่าง ๆ ตัวจิตจริง ๆ มันไม่ได้ว่างในตัวเอง หรือเทียบกับคนเข้าห้อง ห้องนี้ว่างไม่มีอะไรเลย เจ้าของเข้าไปยืนขวางไม่ว่า มองโน้นมองนี้ว่าห้องนี้ว่าง ๆ สติปัญญาปั๊บเข้าไป มันว่างยังไงเจ้าของไปยืนขวางอยู่นั้น นั่นเห็นไหม ถ้าอยากให้ว่างก็เจ้าของออกมาจากห้องซิมันถึงจะว่าง นี่ปั๊บเข้ามาหาจิตเข้าใจไหม จิตมันไม่ว่าง พอมันว่างเข้ามาถึงจิต มันว่างไปหมด เสมอกันหมดแล้วนั่น หมดเรื่องจะพิจารณาอะไรแล้ว มันก็บอกของมันเองไม่ต้องมีใครมาถาม

เป็นขั้น ๆ การฝึกทรมาน ตั้งแต่ขั้นคำบริกรรม จับติดไม่ให้ส่งเลย แล้วจะเกิดกำลังใจขึ้น ๆ สมาธิก็เหมือนกัน ติดอยู่กับสมาธิไม่ส่งออก สมาธิก็ยิ่งแน่นขึ้น ๆ ความกลัวไม่มี ถึงขั้นปัญญาพิจารณาแตกกระจายไปหมดความกลัวที่ไหนไม่มี ออกจากนั้นก็ความว่าง ปรุงขึ้นปั๊บก็เป็นสังขารเสีย หลอกตัวเอง พอนี้ดับไปมันก็ว่างธรรมดาของมัน ก็ตัวนี้เองเป็นตัวหลอกมันจึงไม่ว่าง ไล่เข้าไป ๆ จนกระทั่งว่างอะไรก็ว่างหมด ตัวไหนที่ยังไม่ว่าง ย้อนเข้ามาอีก ตัวนี้ยังไม่ว่าง ฟาดตัวนี้อีกแหลก หมด เข้าใจหรือเปล่าล่ะ นั่นการพิจารณา เวลาได้รู้ในใจมันจะไปถอยใคร

นี่ที่ว่าหาที่กลัว ๆ คือหาที่ดัดสันดานเจ้าของ ถ้าอยู่เฉย ๆ มันไม่ได้สติสตังไม่ได้กำลังวังชา ไม่ได้สติปัญญา จึงต้องฝึกอย่างนั้น เราเป็นคนนิสัยหยาบไปอยู่ธรรมดาไม่กลัวอะไรภาวนาไม่ดี ต้องหาเรื่องดัดเจ้าของดัดตลอด คือดัดตรงไหนมันได้ตรงนั้น คือเพื่อจะสู้ ไม่ใช่เข้าไปแล้วจะเผ่นนะ เพื่อจะสู้ เอ้า กลัวอะไรก็กลัว มา เอาตายเข้าว่ากันเท่านั้นแหละ เสือจะกินก็กิน เมื่อขึ้นเวทีแล้วไม่มีคำว่าถอย ฟัดกันมันก็ได้กำลังขึ้นมา

ทีนี้เมื่อไปที่ไหนภาวนาไม่ค่อยได้อย่างใจ ๆ หาพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ถึงขั้นความเพียรเราธรรมดา ๆ เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อถึงความเพียรอัตโนมัติแล้ว อยู่ไหนเหมือนกันหมด แน่ะมันก็เป็นขั้น ๆ เข้าใจไหมล่ะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเหมือนกันหมด ไม่ว่าในป่าในเขาในที่ไหนเป็นเหมือนกันหมด สติปัญญาทำงานอยู่ในตัว มันติดตัวเองมันไม่ได้ติดสิ่งเหล่านั้น ตัวเองไปหลอกตัวนั้นให้ไปเกี่ยวข้อง เมื่อตัวเองหดเข้ามาก็มีแต่เรื่องตัวเอง หมุนกันอยู่ภายใน ฟาดอันนี้แหลกหมดแล้วไม่มีเรื่อง เป็นชั้น ๆ การพิจารณา

นี่พูดมาตั้งแต่เรื่องสัตว์มันสนิทกับพระ พระป่ารู้นิสัยของสัตว์ได้ดี สัตว์สนิทมากกับพระกรรมฐาน บรรดาพระกรรมฐานท่านจะสนิทสนมกับสัตว์มากยิ่งกว่าพระอื่นใด เพราะท่านเที่ยวสมบุกสมบันอยู่ในป่า สัตว์ชนิดใดมาก็มาหาท่านนั่นแหละ ท่านก็เลยสนิท ไปที่ไหนสนิทไปหมด จะมีเรื่องมีราวอะไรมันก็ออกจากจิต ถ้าตัวเหตุมันยังไม่ขาดสะบั้นออกไป เรื่องราวอะไรไม่ว่าวงกว้างวงแคบ เฉพาะอย่างยิ่งคือวงแคบ เฉพาะจิตกับอาการของจิต ได้แก่ความคิดความปรุงยิบ ๆ แย็บ ๆ มันจะหมุนออกจากจิต จับนี้ปั๊บเข้าจิต ๆ เข้าหารากฐานของมัน เพื่อจะโค่นรากฐานของมัน อย่าปล่อยอันนี้ มันไม่ไปไหนแหละ ตัวนี้ตัวก่อเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลา ทั้งส่วนกว้างส่วนแคบ แคบเข้ามาเท่าไรก็มีเฉพาะอันนี้เป็นตัวยุ่ง ไล่เข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงตัวยุ่งนั้นแล้ว ขาดสะบั้นออกไปด้วย ทีนี้ตัวยุ่งมาจากไหน

สติปัญญาจะหมุนเป็นธรรมจักรอยู่ก็ตามหยุดเอง เมื่อสติปัญญายังทำงานยังมีการต่อเนื่องกันอยู่ เรียกว่าเชื้อของมันยังมี ทำให้เกิดเรื่องนั้นเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่อย ๆ พอเชื้อของมันซึ่งเป็นตัวเหตุดับพึบลงไปแล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิด เรื่องสติปัญญาเป็นธรรมจักรจะระงับตัวลงไปโดยไม่ต้องบอก หยุดเอง เหมือนเราทำงานสมมุติว่าเลื่อยไม้ พอเลื่อยนี่เสร็จแล้วปล่อยเลื่อยเอง ไม่ต้องจับมามัดคอไว้นะเลื่อย พอเสร็จแล้วก็ปล่อยเอง สิ่วอะไรปั๊บ ๆ ลงไปพอเสร็จแล้วสิ่วก็ปล่อยกันเอง ๆ งานนี้เสร็จแล้วปล่อยกันเอง เมื่อเสร็จงานแล้วปล่อยหมด

อันนี้ก็เหมือนกัน จิตก็เป็นขั้น ๆ งานนั้นงานนี้ ปล่อยเข้ามา ๆ พอถึงขั้นงานรากฐานสำคัญนี้เสร็จลงไป อันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว มหาสติมหาปัญญาเป็นมรรคทั้งนั้น เครื่องแก้เครื่องชำระ เหล่านี้จะดับไปเองทั้งหมด เพราะอันนี้เหมือนกับสิ่วกับเลื่อยกับขวานเท่านั้น พวกสติปัญญาปล่อยเอง มันเป็นเองของมัน ถ้าไม่มีอะไรให้ตามเข้าไปหามันเรื่อย ๆ ไม่หนีจากหลักของจิตอยู่นั้นแหละ ตามเข้าไปตรงนั้น

ศาสนาที่กล่าวเหล่านี้มีไหมเวลานี้ มีแต่ในคัมภีร์ใบลาน มีอยู่กับบุคคลชาวพุทธเราไหม เราอยากจะพูดว่ามันไม่มีเดี๋ยวนี้น่ะ เพราะไม่สนใจนำมาปฏิบัติจะเห็นผลอะไร สนใจตั้งแต่กิเลส กิเลสมันมีคัมภีร์อะไร ก็ตั้งคัมภีร์ขึ้นในหัวใจของตัวเองเผาตัวเองตลอดเวลา คัมภีร์ของกิเลสคือหัวใจนี่เข้าใจไหมล่ะ ใครมีคัมภีร์ทุกคนเต็มหัวใจ คัมภีร์ของกิเลส เพราะฉะนั้นความทุกข์ร้อนจึงมีหมดในโลกอันนี้ ไม่มีอะไรที่กิเลสจะเข้าไปแทรกเผาหัวใจของสัตวโลกไม่ได้ เพราะคัมภีร์ของมันอยู่ที่หัวใจ

พระพุทธเจ้าท่านสอนคัมภีร์นอกเพื่อจะเข้ามาแก้ตัวนี้เอง แต่มันไม่สนใจเข้ามาแก้ เรียนมาเท่าไรก็เท่านั้น จำได้เหมือนนกขุนทองแต่กิเลสไม่เคยถลอกปอกเปิก ก็มีแต่สัญญาความจำเอาอะไรมาถลอกปอกเปิก ถ้ามีภาคปฏิบัติฟัดกันเข้าไปมันก็เห็น อย่างที่เราเคยพูดอยู่เสมอนั่นแหละ มีแต่แปลน ๆ ไม่สนใจนำออกมาปลูกบ้านปลูกเรือนตึกรามบ้านช่อง มันก็เป็นแปลนอยู่นั้น เต็มห้องก็เป็นแปลนไม่เป็นบ้านเป็นเรือนให้ ถ้าอยากให้เป็นบ้านเป็นเรือนงัดออกมาซิแปลน ขนาดไหน ๆ นำออกมาสร้างก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จนกระทั่งเป็นตึกรามบ้านช่องโดยสมบูรณ์จากแปลนที่ทำสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

นี่ธรรมคือแปลนของศาสนาก็ประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว ๓ พระไตรปิฎก นี้แปลนอันสมบูรณ์แบบ แต่เราไม่นำมาปฏิบัติล่ะซี ว่าศีลก็อยู่ในคัมภีร์เสีย ตัวเองมีแต่หัวโล้นถ้าเป็นพระก็ดี ถ้าเป็นคนก็อย่างว่าเห็นแต่อย่างนั้น สมาธิ ปัญญา ก็ไม่เคยสนใจปฏิบัติ มีแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญยุ่งเหยิงวุ่นวาย ให้กิเลสเป็นคัมภีร์ในหัวใจนี้ตีเอา ๆ คัมภีร์ธรรมในหัวใจไม่ได้ออกมาคัดค้านต้านทานชำระกันก็ไม่ได้เรื่องอะไร งัดคัมภีร์ในนี้ออกซิ คัมภีร์นอกท่านสอนไว้แล้วดึงเข้ามาหาภายใน แก้ตรงนี้มันก็เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาล่ะซี ศาสนาพระพุทธเจ้าเลยเป็นโมฆะไปหมด มีแต่เจ้าคัมภีร์ ๆ เต็มบ้านเต็มเมือง คัมภีร์แบกหลังโก่งมันก็หักทิ้งเปล่า ๆ ก็เหมือนเขาแบกไม้แบกฟืนนั่นแหละ หนักเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์

ถ้างัดพระไตรปิฎกออกมาแจง พิจารณาปฏิบัติอย่างนั้นแล้วจะเห็นมรรคเห็นผลขึ้นมา เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือน สมาธิก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ศีลก็เป็นศีลเต็มตัวแล้วถ้าเรารักษาด้วยดี นี่คือภาคปฏิบัติต้องรักษา สมาทานเฉย ๆ ศีลกี่หมื่นกี่แสนศีลก็ไม่เกิดประโยชน์ถ้าไม่รักษานะ ถ้ารักษา ๆ เราคนเดียวศีลรอบไปหมดเลย เป็นศีลเต็มตัว สมาธิคือความสงบเย็นใจ พยายามสำรวมระวังจิตใจไม่ให้ส่ายแส่ไปตามกิเลสฉุดลากไปก็สงบได้ จากสงบแล้วก็แน่วแน่ขึ้นมา กระจายออกไปทางปัญญาก็ตีแตกกระจายไปหมด นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ

ศีลก็เป็นรูปร่างขึ้นมาเต็มตัว สมาธิก็ขึ้นมาเต็มใจ สมาธิขั้นใดขึ้นมาเต็มใจ เพราะเราก่อเราสร้างด้วยการปฏิบัติของเรา ปัญญาจะเป็นขั้นใด ๆ ก็เกิดขึ้นจากนี้ เอามาปฏิบัติ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปเป็นตึกรามบ้านช่องเต็มตัว เป็นมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจเข้าใจไหมล่ะ นี่มันไม่มีใครปฏิบัติ อ่านกันอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวนี้ศาสนากำลังเป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็กในพุทธศาสนาชาวพุทธเราน่ะ ไปบ้านใดเมืองใดเต็มคัมภีร์ใบลาน แต่เจ้าของไม่สนใจปฏิบัติ มาพูดก็มาโอ้อวด เอาคัมภีร์ใบลานมาอวดกันให้กิเลสหัวเราะอยู่ภายในใจ

เรียนทางโลกมามากเท่าไรทิฐิมานะยิ่งสูง เป็นอำนาจบาตรหลวงใหญ่โตเหยียบศาสนาเหยียบธรรมลง เหมือนว่าเป็นมูตรเป็นคูถไปหมดศาสนา เป็นบ๋อยกลางเรือนเลยนะ กิเลสเหยียบเอา ๆ กิเลสใหญ่ ดูซิวงราชการเราไม่ต้องไปดูที่ไหน วงราชการนี่ตัวสำคัญมากซึ่งเป็นผู้นำเสียด้วยนะ นำแบบไหนเราก็ไม่รู้ นี่ละฐานะของศาสนาของธรรมของครูของอาจารย์ ต้องสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์เราเป็นชาวพุทธ ครูบาอาจารย์คือธรรมเป็นศาสดาจารย์ นำมาสอน ผิดที่ตรงไหนกำลังสอนอยู่เวลานี้น่ะ ตรงไหนผิดก็ต้องบอกตรงนั้นซิ

นี่ละวงราชการเป็นสำคัญ เราไม่ตำหนิทุกคนนะวงราชการ ส่วนมากเป็นอย่างนั้น ใครมีชื่อมีเสียงมีกิตติศัพท์กิตติคุณได้ศึกษาเล่าเรียนเรื่องกิเลสเต็มหัวใจมาแล้ว คนนั้นเป็นผู้มีคุณค่ามีราคาเป็นผู้มีศักดิ์ศรีมากทีเดียว ยิ่งเขายกย่องว่าให้เป็นดอกเตอร์ขึ้นมาแล้ว โอ๋ย เป็นบ้าเลย ฟังซิน่ะ นั่นละกิเลสทรงอำนาจเต็มที่แล้ว ทีนี้เดินก้าวเข้าไปหาวัดหาวาหาพระหาเณรเหมือนเขาไปดูลูกหมาตัวหนึ่ง ไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าเขาซึ่งเป็นปู่หมาว่างั้นเถอะเข้าใจไหม พวกนั้นเข้าใจว่าตัวใหญ่กว่าหมา แต่มันเป็นปู่หมา มันเลวยิ่งกว่าหมาน้อยนั้นอีกเข้าใจไหม

เรียนมามากเท่าไรแทนที่จะมีความรู้วิชานำมาทำประโยชน์แก่โลก กลับมาทำบ้านเมืองให้ฉิบหายป่นปี้ โดยถือดิบถือดีถือเจ้าอำนาจวาสนาใหญ่หลวง หลวงขี้หมามันอะไรมันจะกินบ้านกินเมืองจนล่มจม มันไม่รู้ว่ามันเป็นหมาเหรอ หมาธรรมดาเขาไม่ได้กัดบ้านกัดเมืองนะ หมามนุษย์ที่เรียนมาสูงๆ อวดตัวว่าเก่ง ๆ อวดอำนาจหลงอำนาจนี้แหละตัวที่จะทำชาติศาสนาให้ล่มจม ตัวนี้เองไม่ใช่ตัวใดนะ พิจารณาเอา ถ้าว่าผิดเอาหามาค้านเรา เราจะขึ้นเวทีฟัดกันกับหมาใหญ่ปู่หมาเสียก่อน เราก็เป็นปู่ตุ๊กตาเข้าใจไหม ตุ๊กตาแล้วเรายังเรียกว่าเลวกว่าตุ๊กตาของธรรมพระพุทธเจ้าอีกถึงขั้นปู่เลย เลวก็เป็นขั้นปู่เข้าใจไหม เอา ฟัดเลยถ้าว่าพูดนี้ผิด ในฐานะเป็นธรรมพระพุทธเจ้าและเป็นครูอาจารย์สอนคนสอนผิดไปไหน เอา ว่ามาเราจะเป็นคนตอบโต้ว่ะ

การปฏิบัติตัวของเรามาจนกระทั่งหาที่ต้องติไม่ได้แล้ว เวลานี้จึงได้เอาธรรมนี้มาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้ดิบได้ดีจนกระทั่งถึงขั้นหาที่ต้องติไม่ได้แล้วจากกิเลสเลยนะ เราได้จากธรรมเท่านั้น เราเอาธรรมมาปฏิบัติ ธรรมเสริมหัวใจเข้าไปเท่าไรๆ เจ้าของยิ่งมีความสง่าผ่าเผยขึ้นภายในจิตใจ ไม่จำเป็นต้องสง่าผ่าเผยด้วยตึกรามบ้านช่องถนนหนทางรถรามีกี่คัน ๆ ในบ้านในเรือน ไม่ต้องเอามาประดับละ เอาธรรมประดับใจเท่านี้พอ อยู่ในป่าในเขานี้เหมือนผ้าขี้ริ้ว ผ้าขี้ริ้วมันห่อทองละซิ สง่าผ่าเผยอยู่ภายในหัวใจ เวลาปฏิบัติเต็มที่แล้วมันสง่าอยู่ภายในนะ อันนี้แลเราปฏิบัติตัวของเรามา ไม่ต้องเอาที่อื่น เอาที่อื่นจะหาพยานได้ยากนะ จะวิ่งเข้าไปหาพยานกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย

เอาตัวหลวงตาบัวนี้เป็นพยานเลย หลวงตาบัวปฏิบัติมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว เอาธรรมเข้าดับไฟ คือกิเลสตัณหามันเผาหัวใจๆ ถึงน้ำตาร่วงๆ นั่นละขั้นฟัดกันทีแรกนะ ซัดกันไปซัดกันมาไม่ถอยๆ สู้น้ำดับไฟไม่ได้ ใจก็ค่อยสง่าขึ้น เรื่องศีลไม่ต้องพูด เราเคยปฏิบัติแล้วไม่มีที่ตำหนิแล้วสำหรับศีล สมาธิก็เริ่มขึ้นๆ ปัญญาเริ่มขึ้น ถึงขั้นปัญญาเริ่มขึ้นเหมือนฟ้าดินถล่มเป็นลำดับลำดาไป เอาจนกระทั่งถึงฟ้าดินถล่มอย่างใหญ่หลวง ตัดสินกันระหว่างธรรมกับกิเลสจอมลามกจกเปรตทั้งหลาย ให้ขาดสะบั้นลงไปจากจอมธรรมของนักปราชญ์คือพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้า ขาดสะบั้นลงไปแล้ว เราหาที่ต้องติไม่ได้เลยในตัวของเราจนกระทั่งบัดนี้ ในจิตดวงนี้ต้องติว่าตรงไหนบกพร่อง นี่ละการปฏิบัติธรรมดีหรือไม่ดีฟังเอาซิพี่น้องทั้งหลายน่ะ

การปฏิบัติธรรมถ้าใครตั้งใจประพฤติปฏิบัติตั้งแต่ส่วนเล็กถึงส่วนใหญ่ ทำไมจะไม่ดีทำไมจะไม่สงบร่มเย็นบ้านเมืองของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ นี้มันมีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาไหม้ เรียนกันมามากน้อยเพียงไร เรียนขึ้นมาเพื่อเผาบ้านเผาเมือง เอาแต่กิเลสซึ่งเป็นฟืนมาเผากัน แล้วอวดดิบอวดดีด้วยฟืนด้วยไฟมันเป็นประโยชน์อะไร เขาก็เป็นเถ้าเราก็เป็นถ่านเกิดประโยชน์อะไร นี่ละวงราชการนี้เป็นวงที่หนักหนาแน่น หรือถ้าพูดถึงเรื่องกิเลสหนายิ่งกว่าใครๆ ยกเว้นผู้ดีเราก็บอกว่าเรายกเว้นไปแล้ว ส่วนมากเอากิเลสเข้ามาเสริมตัวนั่นซิ เอาดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอนเสีย เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นหัวหน้าอย่างนั้นเป็นหัวหน้าอย่างนี้เรื่อยไป ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นๆ เลยกลายเป็นคนยิ่งใหญ่

แล้วไปไหนทีนี้มองเห็นวัดเห็นวาเห็นพระเห็นเณร เหมือนกับเห็นหมาตัวหนึ่งไปแล้วนะ ทีนี้หมาตัวนั้นไม่ใช่หมาธรรมดาในบ้านน่ะซิ หมาตัวเก่งๆ จอมปราชญ์ยังมีอยู่ในวัดในวานั่นน่ะ หมาจอมปราชญ์นั้นน่ะ มองดูพวกเปรตจอมทะนงตัวนี้ดูกันได้อย่างง่ายดาย หัวเราะภายในจิตถ้าท่านอยากหัวเราะนะ ท่านไม่อยากเล่นด้วยเลยท่านขยะแขยงต่อเปรตที่สั่งสมตัวว่าเป็นปราชญ์นี่น่ะเข้าใจไหม นั่นละธรรมดูกิเลสดูง่ายนิดเดียวไม่ต้องดูยาก แต่กิเลสดูธรรมดูวันยังค่ำไม่เห็นจะว่าไง ถ้าธรรมดูกิเลสดูง่ายนิดเดียวๆ เพราะฉะนั้นผู้มีศีลมีธรรม ท่านผู้มีความดิบความดีท่านจึงไม่อยากเล่นกับความสกปรกโสมม แม้จะเสกสรรปั้นยอมาเลยเจ้าฟ้าไปก็ตามเถอะน่ะ ท่านไม่สนใจ อันนั้นเป็นชื่อตั้งเลยฟ้าไปก็ได้ แต่คนมันเลวยิ่งกว่าหมานั่นซิ ท่านไม่อยากดูตัวมันเลวยิ่งกว่าหมานั่นน่ะ

นี่ละเห็นไหมศาสนาเวลานี้กำลังเป็นอย่างนี้นะ ไอ้เรื่องกิเลสมันพองตัวมันขึ้นๆ ดินเหนียวติดหัวๆ พองตัวขึ้นเหยียบย่ำทำลายคุณสมบัติแห่งอรรถแห่งธรรมทั้งหลายให้ล่มจมไปหมด พี่น้องทั้งหลายฟื้นขึ้นมาหรือยังเดี๋ยวนี้ ตื่นหรือยัง หรือหลวงตาบัวมาโกหกเหรอมาสอนเวลานี้ สอนโลกด้วยความทุ่มเท ตั้งแต่ปฏิบัติมาจนน้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ เอาจนกระทั่งกิเลสไม่มีตัวใดที่จะมาผ่านหัวใจเลยเป็นเวลา ๕๑ ปีมาแล้วนี้ แล้วมาโกหกพี่น้องทั้งหลายเหรอพิจารณาซิ

ท่านทั้งหลายจะเชื่อใคร ไม่เชื่อธรรมพระพุทธเจ้าจะเชื่อใคร เชื่อกิเลสก็ต่างคนต่างจมอยู่อย่างนี้เห็นไหมล่ะ ใครว่าเป็นของดิบของดีใหญ่โตมาขนาดไหน มีแต่ไฟเผาหัวใจมันตลอดเวลาเอาอะไรมาดีเอาอะไรมาเด่น ส่วนธรรมท่านไม่ต้องโอ้ต้องอวดก็ได้ ไม่ทะนง สง่างามอยู่ตลอดเวลา นั่นละคือธรรมพระพุทธเจ้าเอามาประดับซิ จะให้ตั้งแต่มูตรแต่คูถมันประดับ ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลานั่นละ ไปที่ไหนมีแต่บ่นอื้อกันหมด หาความสุขที่จะได้มาจากยศถาบรรดาศักดิ์หน้าที่การงานหรือความยิ่งใหญ่ของตนไม่เห็นมี มีแต่ใหญ่ด้วยความทะนงตัว แล้วเป็นผลขึ้นมาให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแล้วมาพูดต่อกันเท่านั้น ส่วนได้ความดิบความดีจากการปฏิบัติตามกิเลสไม่เห็นมี

แต่ท่านผู้ปฏิบัติตามธรรมนี้มี ไปที่ไหนไปซิ ยิ่งเข้าไปในป่าในเขาหาพระท่านที่ตั้งใจปฏิบัติ พูดออกมาคำไหนหยดย้อยๆ ไปด้วยความซาบซึ้งลืมเนื้อลืมตัวเพราะเพลินในอรรถในธรรม แล้วเบาหวิวๆ ในหัวใจ นั่นท่านปฏิบัติธรรมท่านปฏิบัติอย่างนั้น ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่นี่ จะไปเหยียบย่ำทำลายว่าธรรมหมดสมัยยังไง ก็หมดสมัยซิเราเป็นคนหมดราค่ำราคา พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้ามันก็หมดสมัยคนประเภทนั้น ไม่มีคุณค่ามีราคาอะไร ถ้าปฏิบัติตามธรรมแล้วก็อย่างที่ท่านรับสั่งพระอานนท์ อานนท์ เมื่อยังมีผู้ปฏิบัติตามศาสนาซึ่งเป็นตัวแทนของเราตถาคต หมายถึงว่าศาสนา ธรรมวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าก็รับสั่งว่า อานนท์ ถ้ามีผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยเราอยู่แล้วพระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะ อานนท์ นี่มีไหมในตำราไปหาดูซิ หรือหลวงตาบัวมาหาโกหกเหรอ

ธรรมเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบ ปรินิพพานไปแล้วก็ชอบ เหมือนแบบแปลนเขาทำไว้เรียบร้อยแล้วอยู่ในห้องในหับชอบทั้งหมด เอามากางจะปลูกบ้านเรือนหลังใดขนาดใด เอาแปลนออกมาก็ปฏิบัติตามแปลนก็สำเร็จขึ้นมาตามแปลน นี้ศาสนธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วซึ่งเป็นเหมือนแปลนของศาสนาก็เอามาปฏิบัติซิ ก็สำเร็จเป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาจะสงสัยที่ตรงไหน อันนี้มันไม่ทำ มีแต่เอามือเขียนตีนลบ มือเขียนครั้นไปเห็นพระเห็นวัดเห็นวายกมือปลกขึ้นมาไหว้ ทำท่าไหว้แล้วจากนั้นความประมาทเหยียบหัวมันไปตลอดเวลาไม่มองดูธรรมเลย นี่ละตีนลบเข้าใจไหม เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ พูดมากเหนื่อยเรา เป็นยังไง เอาทุกแบบวันนี้นะ เวลามันคันฟันเอาบ้างละ

 

วันนี้ธรรมะชั้นสูงชัดเจนมากเลยเจ้าค่ะ

เออ แต่ก่อนมันไปนอนตายอยู่ไหนมันถึงไม่ชัดเจน จะว่าทางนี้ไม่ชัดเจนทางนั้นมันนอนตายอยู่ต่างหาก ทางนี้ชัดเจนตลอดเวลา เข้าใจไหม มันต้องซัดกันบ้างซิ ลูกศิษย์กับครู ไม่ทดลองไม่ฝึกซ้อมกันได้หรือ ก่อนจะขึ้นเวทีต้องฝึกซ้อมกันใหญ่ใช่ไหมล่ะ (เจ้าค่ะ) นั่นทองคำเหรอ ดีพอไว้ลวดลายวันนี้ ไม่งั้นไม่ได้ทองคำไม่มีลวดลายเลยเรียกว่าเสือไม่มีลาย วันนี้มีลายแล้ว แต้มแล้วๆ เรื่อยๆ

แจกของหมดแล้วยัง เอาละที่นี่พอ ไม่พอก็ไม่มีอะไรแจก เอาละเท่านี้พอ คำว่าเท่านี้พอ ก็มีนิทานอันหนึ่งขบขันจะตายเหมือนกัน คือนิทานสดไม่ใช่นิทานแห้งนะ มีผู้ชาย ๒ คนเขาเป็นคู่กัน รูปลักษณะเหมือนกันความสูงต่ำเหมือนกัน เหมือนลูกแฝด แต่เขาก็อยู่คนละบ้านละเมือง แล้วเขามาอยู่ด้วยกัน ทำไมมันตัดเรียกว่าแบบเดียวกันเลย ครั้นไปตัดเสื้อก็แบบเดียวกัน รูปร่างลักษณะท่าทางทุกสิ่งทุกอย่างแบบเดียวกัน เขามาอยู่วัดสระปทุม ๒ คนนี้เขามาอยู่นั่น นี่อาจารย์มหาทองสุก วัดสุทธาวาส ท่านเล่าให้ฟัง คือท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านอยู่วัดสระปทุม ทีนี้ก็ ๒ คนนี้เขาก็มาอาศัยอยู่กับพระ ครั้นเวลามีการมีงานอะไรนี้เขาจะแต่งตัวโก้หรูทีเดียว ถือไม้ตะพดไปด้วย ไปที่ไหนแม้แต่ตำรวจเจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าตรวจเขา เพราะเขารู้สึกว่าใหญ่กว่าพวกนั้นอีก

ทีนี้พอไปแล้วเขากลับมา เอาย่อๆ เลยนะ เขากลับมาจากเที่ยว ชื่อมันก็เพราะดีด้วยนะ ชื่อคนหนึ่งไอ้ปึ๊ด คนหนึ่งชื่อไอ้ปุ๊ดเข้าใจไหม ไอ้ปึ๊ดกับไอ้ปุ๊ดก็เป็นคู่กันอีก ท่านมหาทองสุกปกติท่านไม่ค่อยหัวเราะท่านยังอดหัวเราะไม่ได้ ชื่อมันก็เพราะเหลือเกินท่านว่างั้นนะชื่อไอ้ปึ๊ดไอ้ปุ๊ด ทีนี้พอมาแล้วก็จ้างสามล้อเข้ามาจะมาวัด พอมาถึงกลางทางปวดขี้แล้วทำไง ขี่สามล้อคนละคัน เพราะคนมันใหญ่สามล้อมันก็ได้คนเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นคนเล็กก็ได้ ๒ คนใช่ไหมล่ะ นี้ได้คนเดียว

ขี่สามล้อมา ไอ้หนึ่งมันก็ปวดขี้น่ะซิ ปวดขี้จะทำยังไงจะไปขี้ที่ไหนก็มีแต่คนทำไง สามล้อมันก็มีแต่ถีบยันไปเรื่อยไป แล้วมันก็งัดถังข้างหลังออกมาขี้ใส่ถัง พอขี้สุดเรียบร้อยแล้วเปิดถังปุ๊บเท่านั้น เอาละๆ เท่านี้พอว่างั้นนะ มันก็ลงรถไปเลย ไอ้นั้นมันจะล้างขี้จนกระทั่งป่านนี้หายหรือยังก็ไม่รู้นะ ล้างขี้ในถังรถเข้าใจไหมมันขี้ใส่นั่น จบแล้วนิทานจบไอ้ปึ๊ดไอ้ปุ๊ด นิทานสด พูดถึงเรื่องขี้แล้วไปหาไอ้นี่นะ

เมื่อวานนี้วันที่ ๖ มิถุนายน ๔๔ ทองคำได้ ๑ กิโล ๘ บาท ๒๖ สตางค์ดอลลาร์ได้ ๑๘ ดอลล์ ได้ทุกวัน วันนี้ก็ได้ ไม่เสียลวดลาย (ลูกลากลับวันนี้เจ้าค่ะ) กลับเหรอภาวนามันดียังไงก็พิจารณาตามนั้นละนะ มันจะว่างไม่ว่างไม่มีใครเป็นนักรู้ยิ่งกว่าจิต ให้พิจารณาตามที่เราเคยพิจารณา อย่าไปยึดอดีตที่ผ่านมาแล้วว่าเป็นยังไง อย่าไปเอามาเป็นอารมณ์ ให้พิจารณาปัจจุบัน เราเคยพิจารณายังไงให้พิจารณาอย่างนั้นเข้าใจไหมล่ะ อย่าไปเอาสิ่งที่เป็นมาแล้ว จะสง่างามขนาดไหนก็ตามหรือเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม อย่าเอามาเป็นอารมณ์ เอาปัจจุบันเป็นอารมณ์เข้าใจไหม ให้พิจารณานี้ สิ่งที่มันจะควรรู้ควรเห็นมันจะเป็นขึ้นเองแปลกต่างยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ ไปโดยลำดับลำดาเข้าใจไหม เอาเท่านั้นละ ไปเสีย นึกว่าจบแล้วมันก็ไม่จบ ลงจากเวทีมาแล้วกำลังเดินกลับบ้านเขามาตีหลังอีก ก็หันหลังสู้กันอีก ยังไงกัน โหย พิลึกแท้ๆ นะ เท่านั้นหละ

พระท่านกำชับไม่ทัน มันไปทางไหนไม่รู้ ให้ทางโน้นเป็นผู้คอยดัดมันนะ เอาหนังสะติ๊กไล่ยิงเลยแค็กเท่านั้นมันจะวิ่งมันกลัว กลัวหนังสะติ๊ก พวกหมานี้ไม่กลัวอะไรมากยิ่งกว่าหนังสะติ๊ก ยิงแค็กเท่านั้นเผ่นเลย ต่อไปเขาก็ไม่ไปเขากลัว ต้องเอาอย่างนั้น ไม่งั้นกระต่ายตายอีก โฮ้ สงสารกระต่ายแหละเรา ตัวนี้ตัวสำคัญ ไอ้หมีมันเคยไป ห้ามมันยากนะมันเคยไปแล้ว สำหรับทางโน้นห้ามเด็ดขาดเลย ฟากนี้ไปแล้วห้ามเด็ดขาดหมาไม่ให้เข้าเลย เพราะสัตว์เต็ม หมาจะเที่ยวอยู่บริเวณนี้แล้วจากนั้นเขาก็เข้าในครัว ตัวที่เคยเข้ามันก็เข้า เพราะที่อื่นไปไม่ได้พระไม่ให้ไป

พอพูดอย่างนี้เราระลึกถึงไอ้หมี เราเดินไปกับฝรั่งคุยกันไปเรื่องอะไรต่ออะไร ไปกุฏิหลังนี้ ไปเห็นไอ้หมีมันวิ่งมา โถ มันวิ่งมาแบบกลัวจริงๆ นะมันวิ่งมาจากข้างในนู้น มันลักลอบเข้าไปยังไงไม่รู้นะมันเข้าไปข้างใน พอดีไปเจอพระอยู่ข้างในละซิ พอมองไปเห็นไอ้หมีมันวิ่ง โถ เอาเป็นเอาตายจริงๆ นะวิ่งมาปึ๋งๆ มานี้เราเอามือตบหลังไม่ทันเลยปึ๋งๆ ออกเลยเทียวมันกลัว ทีนี้พอมองไปเห็นพระท่านยืนอยู่ข้างหลัง คือมันกลัวพระองค์นั้นเข้าใจไหม พระขนาบมันมา เพราะฉะนั้นมันจึงไม่กลัวพระองค์นี้ มันกลัวพระองค์นั้นวิ่งปึ๋งเลย

อ๋อ มันไปเพราะเหตุนี้เอง อาจารย์ใหญ่มันอยู่นู้น เสือใหญ่มันอยู่นู้น พระท่านไล่ออกมา คือท่านห้ามไม่ให้มันไป ถ้าไปแล้วกัดสัตว์ มันไปทำความผิดละซิ ถูกพระขนาบมันจึงวิ่งออกมา เขาก็รู้ผิดเหมือนกัน ขบขันดี โห มันวิ่งกลัวจริง ๆ นะกลัวพระองค์ตามหลังมาน่ะ มันไม่มองเราเลยวิ่งปึ๊กเลยผ่านเราไป มึงไปอะไรไอ้หมี พูดไม่ทัน ตบหลังก็ไม่ทันมันกลัวมากเทียว

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก