ต้นตาลที่ยังเหลืออยู่ต้นเดียวนั่น กำลังพิจารณา ตะกี้นี้ฝากให้ท่านปัญญาพิจารณา ยังเหลืออยู่ต้นเดียว ต้นตาลต้นเดียวที่ทางเข้ามานี้ เราก็พิจารณาแล้ว ก็ลองหยั่งท่านปัญญาดูท่านจะว่ายังไง ส่วนมากเราสู้ท่านปัญญาไม่ได้ถ้าเป็นเรื่องคิดอย่างนี้ ๆ เราแพ้ท่านปัญญาอย่างหลุดลุ่ยเลย ไม่ใช่แพ้ธรรมดาแพ้แบบหลุดลุ่ย แพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที เมื่อเช้านี้มาฝากท่านไว้เรื่องต้นตาล ท่านพิจารณาซิ ผมพิจารณาแล้วจะคอยฟังเสียงท่าน ท่านจะออกแบบไหนคอยดู ต้นอื่น ๆ เราไม่ค่อยได้ปรึกษาอะไรมากนัก เพราะเหตุผลมันเหนือกัน ๆ ที่เราจะไม่สงสัยอะไรแล้ว แต่มันก้ำกึ่งกันนี้ทำให้สงสัย เช่นอย่างต้นตาลต้นนี้สำหรับความพิจารณาของเราว่า มันยังก้ำกึ่งกันอยู่ เอาออกหรือไม่เอาออกมีน้ำหนักยังไงชอบกล เพราะฉะนั้นจึงให้ท่านปัญญามาวินิจฉัย ท่านจะออกแบบไหน
ต้นเหล่านั้นเราไม่ค่อยถาม ต้นที่ออกเหล่านั้น คือดูแล้วก็รู้ชัดเจนว่าเอาไว้ไม่เหมาะ เอาออกนี้เหมาะกว่า บอกกันชัดเจนจึงเอาออก ๆ เลย ต้นนี้มันยังไงอยู่ ต้นตาลต้นนี้ เราพิจารณาแล้ว สำหรับความเห็นของเราว่า เอาออกมีน้ำหนักมากกว่าเอาไว้ จึงลองถามท่านปัญญาดูท่านจะว่ายังไง สำหรับเหตุผลของเราก็คือว่า มันขึ้นไปแล้วก็มีร่มเพียงแค่นั้น มันไม่แตกกิ่งออกไปกว้างขวางให้เป็นที่ร่มเย็นมากกว่านั้น สูงเท่าไรมันก็เท่านี้ ๆ ไม่แผ่ไม่กระจาย ถ้าไม้ตะเคียนต้นอยู่ข้างนั่น มันสามารถมาถึงต้นตาลต้นนี้ได้ กิ่งมันจะแตกมาถึงนี้เลย นู่นน่ะมันไกลขนาดนั้น สมมุติเราเอาออกก็เผื่อให้ไม้ตะเคียนนี้แผ่กิ่งออกไปถึงโน้นก็พอดีกัน ทีนี้มันก็ร่มออก การเข้าออกของรถก็สะดวก เราคิดอย่างนั้น ดูท่านปัญญาท่านจะว่ายังไง มันก็เหลืออยู่ต้นเดียวเท่านั้น ก็เลยจำเป็นต้องเอาออกหมดเลย
เมื่อวานนี้เอาต้นตะเคียนเล็กที่วัดหนองกองมา ดูเหมือนสี่ห้าต้น เราไปเลือกดูแล้วให้เณรเอามาให้ต้นตะเคียนเล็ก ทางวัดเราก็น่าจะมี ทางนี้ทางโน้นก็ไม่ทราบนะ ต้นตะเคียนเล็กที่เขากล้าเอาไว้ ดูน่าจะมีทางโน้น แต่เมื่อเราไปเห็นนั้นแล้วก็มันสะดวก เลือกเอาไว้จึงสั่งให้เณรเอาขึ้นรถมาเลยเมื่อวาน ประมาณสัก ๕ ต้น แล้วต้นจันทน์หอมอีกต้นหนึ่ง คือมันมีที่ว่าง ๆ ที่ควรได้ปลูกไม้ตะเคียนอย่างเหมาะสมว่างั้นเถอะ ปลูกตรงนี้แล้วเหมาะสม ๆ เราเดินไปดูก่อนแล้ว ว่าจะเอาต้นอะไรดีมาปลูกที่นี่ ๆ มันว่างอย่างนั้น ๆ เอาต้นไม้ชนิดร่ม ๆ มาปลูกนี้จะเหมาะ ๆ พอดีไปเห็นไม้ตะเคียนเมื่อวาน ต้นตะเคียนเล็กก็เลยเอามา ว่าจะปลูกช่องที่เราคิดเอาไว้
คือไม้นี้มันแผ่กิ่ง โอ้โหย ไม่ใช่เล่น ๆ นะ กว้างขวางร่มเย็น เวลาผลัดใบก็ไม่ได้ผลัดพร้อมกัน มันเปลี่ยนผลัดกันไปเรื่อย ลัดออกมาแล้วผลัด หล่นลงไปแล้วผลัดใบ ลัดออกมางอกออกมาไปเรื่อย ๆ อยู่อย่างนั้น ต้นไม้บางชนิดเช่นอย่างไม้สักนี้ เวลามันผลัดใบมันผลัดเสียจนหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ เรานึกว่าไม้สักตาย ไม่มีใบเลย ที่แท้มันผลัดใบ ผลัดหมดเลยมีแต่กิ่ง มันผลัดหมดทั้งโคตรทั้งแซ่มันเลย แต่ไม้ตะเคียนนี้ไม่นะ ไม่รู้ว่ามันผลัดใบ คือมันทั้งร่วงไปผลัดใบพร้อมกันไปเลย เราจึงชอบไม้ชนิดนี้มาเก็บไว้ในวัดเรา มันร่มเย็น เราจะพยายามปลูกข้างหน้านู่น
ต่อไปนี้ข้างหน้าจะกลายเป็นป่าไม้ให้ร่มเงาและเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนทั่ว ๆ ไปได้โดยไม่สงสัย เวลานี้มันก็ว่างมันก็โล่ง สำหรับการเกี่ยวข้องกับประชาชนมันก็ว่าง ก็ให้เป็นที่ว่างสำหรับการงานของเรานี่เสีย เวลาเราตายไปแล้วจะไม่มีนะ เพราะฉะนั้นจึงปลูกต้นไม้เอาไว้ แล้วต้นไม้จะขึ้นแทน คนจะไม่มี หลวงตาบัวตายแล้วคนจะเบาบางจางไปหมดจะว่าไง ก็คิดไว้เหมือนอย่างหลวงพ่อคูณว่าไง หลวงพ่อคูณท่านยังฉลาดท่านคิดได้ เราชมอุบายวิธีการท่านเราถึงเอามาพูดเสมอ เขาเรียกว่ากลอนสด คือไม่ต้องคิดอ่านไตร่ตรอง ขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ตอบรับกันปั๊บ ๆ เลย อุบายวิธีการนี้เป็นกลอนสด
นักปฏิบัติท่านปฏิบัติธรรมที่ว่ากลอนสด ๆ อย่างนี้ กิเลสกับธรรมแก้กัน ถึงขั้นแก้กันแล้วเป็นอย่างนั้น กิเลสออกแง่ไหน ธรรมะจะออกรับกัน ๆ ตีกันฟาดกัน เหมือนนักมวยที่ชำนาญต่อยหมัดสวนหมัดกันนั่นแหละ เวลาแชมเปี้ยนเขาต่อยกันนี้มองทันเมื่อไร ทีนี้เวลาธรรมกับกิเลส เมื่อธรรมได้รับการอบรมอยู่เสมอธรรมก็งอกขึ้น ๆ แต่ก่อนมีแต่กิเลส ไม่ทราบว่ามันเจริญเมื่อไร มันเจริญตลอดเวลา ความเสื่อมของกิเลสไม่เห็นมี มีแต่ความเจริญขึ้นเรื่อย ๆ ยืดยาวไปเรื่อย ๆ ทางเดินของวัฏทุกข์ของวัฏจักร เกิดที่ไหนตายที่นั่นทุกข์ที่นั่น มันหามไปพร้อมนี่นะ ความเกิดปั๊บขึ้นมานี้ ความทุกข์มาพร้อมแล้ว ๆ เหมือนกับต้นไม้ที่เกิดขึ้นมา กิ่งก้านมันฝังอยู่ในนั้นแล้ว จะออกกันไปเรื่อย ๆ
นี่ก็เหมือนกัน เกิดที่ไหน ตายที่นั่น ๆ นี้เราพูดถึงเรื่องกิเลสกับธรรม กิเลสมันงอกเงยของมันอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครที่จะตัดทอนลงมา ๆ เห็นโทษของมัน โห ตั้งแต่สอนให้เห็นโทษขนาดนั้น ๆ มันยังมากัดผู้ที่สอนอีกเห็นไหมล่ะ แฮ่ ๆ เอ้าว่าให้มันชัด ๆ นี่ละธรรมตอบกิเลสเข้าใจไหม กิเลสมันแฮ่ ๆ ถึงได้บอกว่า เตือนมันไม่ได้นะ มันแฮ่ ๆ คือธรรมขู่เข้าใจไหม เวลามันหนามันแน่นมันไม่รู้จริง ๆ นะไม่ว่าท่านว่าเรา เราจะตำหนิใครไม่ได้ เราเอาหลักธรรมชาติออกมาพูดนี่นะ คือมันฝังขนาดนั้นละ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะท้อพระทัยได้ยังไง
โถ มันสลดสังเวชจริง ๆ นะ โลกนี้มองไม่เห็นเลยเทียว มืดมิดปิดทวารทั้ง ๆ ที่ตาใสแจ๋วเหมือนตาแมว ตาแมวสู้ไม่ได้ แต่กิเลสมันฝังตาคนนี้ตาใสยิ่งกว่าตาแมว เรายังไม่ได้เอาไอ้ปุ๊กกี้กับไอ้หยองมาทดสอบกันดู ตาใสเหมือนตาไอ้ปุ๊กกี้เราไหม ต้องถามอย่างนั้นตากิเลสน่ะ ใสเหมือนไอ้ปุ๊กกี้ไหม ตั้งแต่ไอ้ปุ๊กกี้ไอ้หยองเรามันก็ถูกกิเลสครอบเอาไว้แล้ว ตาไอ้ปุ๊กกี้มีความหมายอะไร เห็นเจ้าของเข้าไปในครัว วันไหนเราว่างเราก็เข้าไป ไปดูนั้นดูนี้ เราเข้าไปในครัว เพราะฉะนั้นใครมายุ่งกับเราไม่ได้เราบอกตรง ๆ เราเข้าไปในครัวนี่ เราไม่ได้ไปอะไร ดูผู้ดูคนอะไรนะ เราไปดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดถึงพวกสัตว์ เพราะฉะนั้นจ้องหาตั้งแต่สัตว์ด้วยความรักความเมตตา ได้รับความสงบร่มเย็นอบอุ่นอย่างไรบ้างหรือไม่
เวลาเห็นมันไล่จิกไล่ตีกันนี้ เราก็ชักโมโห เราไปอย่างนั้นต่างหากนะ ไปดูพวกมาปฏิบัติธรรมนี้ปฏิบัติแบบไหน ๆ กัน ดูซอกแซกซิกแซ็ก แต่ไม่บอกว่าดู วันนี้เปิดเสียบ้างแล้ว เราก็เดินผ่านโน้นผ่านนี้ มองโน้นมองนี้ สอดโน้นสอดนี้ ถ้าควรจะเตือนก็เตือน ถ้าควรจะดุก็ดุ ถ้าเห็นว่าเรียบร้อยแล้วก็ผ่านไป ๆ แล้วพวกตาพวกจิตนี้มันจะใส่พวกสัตว์มันยั้วเยี้ย ๆ มันจะไปอันนี้มาก เพราะความรักความเมตตาสัตว์ มันอยู่กับคน อาศัยความอบอุ่นจากคน เวลามันไล่จิกไล่ตีกันนี้คนได้ดูกันบ้างหรือเปล่า เราไปอย่างนั้นต่างหากนี่นะ
ทีนี้พอเข้าไปถึงไอ้หยอง พอเราไปมันว้อก ๆ มา มันจะมาต่อสู้เรา มันอยู่ในครัว มันถืออำนาจใหญ่หลวงอยู่ในครัว พอเราเดินไปมันว้อก ๆ เห่า เราก็ยิ่งรักมัน อู๊ย ไอ้หยองมึงก็มาจากกูนี่น่ะ ออกมานี้มึงมาเห่าอะไร เราก็ทำท่าหยอก มันก็ยิ่งเอาใหญ่ มันไม่หยอกนะมันเอาจริง ๆ ตานี้ดำปี๋ จ้อเลย เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห่าแต่จ้อไม่ถอยนะ เราดู เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห่า มันเห่าเท่าไรเรายิ่งรักมัน ไปเรื่อย ๆ ก็อย่างนั้น ไปดูเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาทุกสิ่งทุกอย่าง
นี่พูดถึงเรื่องกิเลสมันไวมันรวดเร็ว ตานั้นตานี้ เลยเอาตาไอ้หยองมา พอถึงตาไอ้หยองเลยลืมกิเลส จริง ๆ นะนี่เรามาพูดสด ๆ ร้อน ๆ พี่น้องทั้งหลาย พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกทั้งหลายท่านนิพพานผ่านไปแล้ว ท่านรู้เห็นอย่างนั้น ๆ มีหลวงตาบัวตัวเท่าหนูคนหนึ่ง จะว่ามาโอ้มาอวดก็แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะพูด เราไม่มีคำว่าโอ้ว่าอวด คำว่ากล้าเราก็ไม่มี คำว่ากลัวเราก็ไม่มี พูดให้มันเต็มยศก็คือเหนือหมดทุกอย่างแล้ว เกินกว่าถังขยะที่จะมาเห่าว้อ ๆ แว้ ๆ อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราถึงไม่สนใจ เวลาจะพูดหนักเบามากน้อยนี้ ธรรมเป็นธรรมสอนโลกทำไมจะสอนไม่ได้ เอาตรงนั้นซิ
เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเรานี้เป็นเมืองแห่งชาวพุทธ อย่างน้อย ๘๐% เป็นลูกของตถาคต เป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น แล้วนำธรรมออกมาเพื่อแนะนำสั่งสอนทำไมจะสั่งสอนไม่ได้ เพราะธรรมนี้เหนือทุกอย่างแล้ว การสอนจึงต้องสอนทุกแง่ทุกมุม ดังที่เรานำพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ เราไม่ได้นำเพื่อเป็นกรรมเป็นเวรเป็นเภทเป็นภัยแก่พี่น้องทั้งหลาย แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มีเราบอกตรง ๆ เรามาในนามของครูบาอาจารย์ นำธรรมพระพุทธเจ้าออกมา ตรงไหนไม่ดีตำหนิตรงนั้น ตำหนิมากตำหนิน้อยตามแต่สิ่งที่ไม่ดีมันเลวมากน้อยเพียงไร ก็ว่าไปตามเรื่อง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรใหญ่เหนือธรรม
เช่นอย่างประเทศไทยของเรานี่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงบำเพ็ญคุณงามความดี ในพระทัยของท่านทั้งสองพระองค์นั้นใครสู้ท่านได้วะ นั่นเห็นไหม ท่านกราบธรรม สรุปแล้ว ท่านกราบธรรมอยู่ตลอดเวลา อะไรที่เป็นธรรมท่านเย็นพระทัย อะไรขัดข้องต่อธรรมนั้นคือข้าศึก ท่านจะทรงตำหนิ ไม่ว่าท่านว่าเรา ทรงตำหนิอยู่ภายในใจว่าอันนี้ไม่ดี คนนี้ไม่ดี มันพาดพิงกับคนผู้ทำกับสัตว์ผู้ทำ ดีชั่วมันบอกอยู่กับเจ้าของผู้ทำ ก็จะต้องทรงตำหนิชมเชยเป็นธรรมดา แต่ความรู้สึกของท่านผู้มีเมตตามหาคุณต่อโลกต่อสงสารเป็นพ่อแม่ของชาติไทย ท่านจะแสดงออกมาทุกแง่ทุกมุมไม่เหมาะกับท่าน นั่นเห็นไหม เราก็ให้รู้ว่าท่านเป็นยังไง พระทัยของท่านกับพวกเรา ควรที่จะปฏิบัติตัวของเราให้ดีทุกคน ๆ ให้ท่านเป็นที่เย็นพระทัยบ้างถึงถูก
นี้ละเพราะท่านถือธรรม ท่านเอาธรรมกางซิ ดูไพร่ฟ้าประชาชีทั้งหลายทั่วประเทศไทยของเรา ด้วยพระเมตตาสงสารทั้งนั้น ท่านไม่ได้ดูด้วยความดูถูกเหยียดหยาม จะทำโทษทำกรรมต่อผู้ใด ท่านไม่มี ถึงกิเลสมีท่านก็ตีมันตลอดเวลา ท่านเอาแต่ความดีออกมาที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกแก่ท่านเองเท่านั้น
นี่พูดถึงเรื่องว่าธรรมสูงขนาดไหน ท้าวมหาพรหมลงมานี้กราบหมด ยิ่งพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ยิ่งกราบสนิทยิ่งกว่าพวกเรา ชั้นเอกคือพระพุทธเจ้ากราบธรรม ไม่ทรงกราบอะไรได้เลยในสามแดนโลกธาตุนี้ ทรงกราบพระธรรมอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์กราบพระธรรม พระสงฆ์สาวกกราบพระธรรม นี้กราบเรียบราบเป็นชั้นเอก ชั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเราทั้งหลาย นั่นพระพุทธเจ้ายังกราบธรรม เคารพธรรม แล้วนำธรรมมาสั่งสอนสัตวโลกทำไมจะนำมาสอนไม่ได้
เช่นอย่างเมืองไทยเรานี้ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงกราบธรรมตลอดเวลา เอาธรรมเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรครอบพระเศียรท่านตลอดเวลา แล้วทรงแผ่เมตตาต่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไป ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมา จากนั้นก็ลงมาวงของรัฐบาล วงราชการต่าง ๆ นี้ก็ล้วนแล้วตั้งแต่ลูกศิษย์ของชาวพุทธ ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งนั้น ที่ควรจะได้รับฟังเสียงอรรถเสียงธรรมที่ท่านนำมาแสดง
ดังเวลานี้หลวงตาก็เป็นผู้แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟังอยู่ ทั้ง ๆ ที่ธรรมนี้แสดงมาตลอดเวลา แต่ยังไม่ออกสนามอย่างกว้างขวาง เปิดเผยอย่างที่หลวงตานำมานี้ นี่หลวงตานำแบบธรรมทั้งนั้นนะ ไม่ได้นำแบบโลกแบบพิษแบบภัยมาสู่ท่านทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา เราไม่มีภัยต่อใครทั้งนั้น ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา เป็นความเมตตาสงสารเสมอกันหมด เพราะธรรมนี้เหนือทุกอย่างแล้ว
ทีนี้เวลาสอนก็ต้องดูทั้งผิดทั้งถูก ผิดถูกมันไปด้วยกัน อยู่กับสัตว์กับบุคคลตัวเดียวกันนั่นแหละ มีทั้งดีทั้งชั่วแสดงออกมา ควรตำหนิก็ตำหนิ ออกมาส่วนรวม เพื่อจะให้ส่วนรวมทั้งหลายทราบทั่วถึงกัน ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ก็แสดงออกมาอย่างกว้างขวางไปล่ะซิ ตรงไหนไม่ดีก็ว่าไป ๆ หนักเบามากน้อยว่าไปตามเหตุแห่งความผิดความพลาดของผู้ทำถ้าตำหนิ ถ้าดีก็ชมเชยทั่วหน้ากันไปอย่างนั้น เราไม่มีอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นเราถึงพูดตรง ๆ ระบุบอกจริง ๆ เราไม่มีอะไรกับใคร
การเทศนาว่าการนี้ไม่มีอะไรที่จะมาคัดค้านต้านทานธรรมได้ ธรรมนี้ขาดสะบั้นไปหมด เหนือทุกอย่างแล้ว นำธรรมมาสอนผิดไปที่ตรงไหนว่างั้นเลย ถ้าไม่ยอมรับบอกไม่ยอมรับ ธรรมไม่ยอมรับ ใครจะเหนือธรรมไปได้ถ้าไม่อยากจม นั่น ถ้าผู้นั้นยอมรับธรรมแล้วผู้นั้นก็จะแก้ไขดัดแปลงตัวเอง ถึงร้ายขนาดไหนก็ดีได้ มันไม่ใช่พวกประเภทที่เข้า ไอซียู ท่าเดียว ไอซียู ท่าเดียวไม่มองทั้งหมอทั้งยา อะไร ๆ ไม่มองทั้งนั้น มีแต่สายระโยงระยางเขาใส่กันเต็มไปหมด..จมูก สายอะไรมาอยู่นั้นหมดคอยแต่ลมหายใจ พอขาดแล้วก็ไปเลยไม่ฟังเสียงใคร
ประเภทปทปรมะนี้ประเภท ไอซียู จะไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงพระพุทธเจ้า เสียงครูเสียงอาจารย์แนะนำสั่งสอนประการใดเลย จะเอาแบบเจ้าของ จะเอาตามเจ้าของ เจ้าของนั้นคือเทวทัตฆ่าเจ้าของ กำลังฆ่าเจ้าของอยู่แล้วก็จะฆ่าผู้เกี่ยวข้องมากน้อยกว้างขวางขนาดไหน ก็จะฆ่าไปเรื่อย ๆ ทำลายไปเรื่อย ๆ นี้คือประเภทเป็นฟืนเป็นไฟ ไปที่ไหนเผาที่นั่น ๆ ไฟเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้รอใครแหละไฟ
อันนี้เรื่องความชั่วเมื่อเต็มอยู่ในหัวใจของคนแล้ว ย่อมไม่มีคำว่ากลัวบาปกลัวกรรมอะไร ไม่กลัว มีแต่จะเอาให้ได้อย่างใจ ๆ อย่างเดียว นี่ละพวกที่ทำลาย ทั้งตัวเองก็ไม่มีความหมายอะไรเลย รอตั้งแต่วันขาดลมหายใจเท่านั้น ยมบาลนี้จดจ้ออยู่ ลมหายใจไอ้นี่มันจะขาดเมื่อไร เวลาตายแล้วมันจะลงหลุมนั้น ๆ ยมบาลจดจารึกจนจะไม่ทัน พวกทำความชั่วช้าลามกมันทำมากและทำหนักเข้าทุกวันจนกระทั่งจดจารึกไม่ได้ พอลมหายใจขาดสะบั้น ปึ๋งเลย ไม่ต้องถามว่าจากนี้ไปถึงนรกหลุมนั้น ๆ มีกี่กิโลกี่วากี่เส้นไม่มี ผึงเดียวถึงเลย
ไม่มีอะไรที่จะใกล้ชิดติดพันกับตัวเองกับโลกธาตุนี้ยิ่งกว่าใจ ใจไม่มีกิโล แพล็บเดียวถึงหมดเลย นี่ละเรื่องของบาปของบุญแพล็บเดียวถึงเลยเหมือนกัน ถ้าใครทำบาปแพล็บเดียวถึงเลย ทำบุญก็แพล็บเดียวถึงเลยเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นใครอย่าท้าทายพระพุทธเจ้านะ เวลานี้ก็เรียกว่านิสัยวาสนาของชาติไทยเราก็ยังมีอยู่พอสมควร เพราะเหตุไร พื้นเพก็เป็นลูกชาวพุทธ จากนั้นก็มีครูมีอาจารย์เป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้รู้จักดีจักชั่วตลอดมา ซึ่งเป็นความจริงล้วน ๆ ในธรรมที่ท่านสอนมานั้น สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดมา
มาระยะนี้เราก็พยายามแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายให้รู้เนื้อรู้ตัว อย่าพากันมอมแมม อย่าพากันจมลงนรกหมด เราอย่าเข้าใจว่านรกนั้นพอแล้วรับสัตว์นรกไม่ได้อีก ไม่มี เอ้า ไฟจี้เข้าไป ไฟนี้มีขอบเขตไหม เอ้า จี้เข้าไป ฟาดมันหมดทั้งกระดูกเป็นเถ้าเป็นถ่านก็แหลกไปเลยละ ให้ไฟถอยไม่ถอย อันนี้เรื่องบาปเรื่องกรรม เอาสร้างลงไปๆ เท่ากับเอาไฟจ่อตัวเอง ร้อนเท่าไรๆ เผาเลยแหลกเลย เป็นอย่างงั้นนะ ใครอย่ากล้าอย่าหาญต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม พระสงฆ์ ธรรมอันนี้เป็นธรรมคู่โลกคู่สงสาร มาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ ไม่มีใครลบล้างไปได้ เราอย่าอวดอำนาจวาสนา ป่าๆ เถื่อนๆ ที่จะสังหารตัวเราทั้งเป็นนี้ ว่าเป็นของเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมทั้งหลาย ถ้าไม่อยากจมทั้งเป็นนะ ให้รีบแก้ไขดัดแปลงเสียตั้งแต่บัดนี้ แล้วบ้านเมืองของเราก็จะมีความสงบร่มเย็น เพราะต่างคนต่างฟังเสียงอรรถเสียงธรรม
ถ้าฟังแต่เสียงกิเลสความโลภไม่มีเมืองพอ ความโกรธไม่มีเมืองพอ ราคะตัณหาไม่มีเมืองพอ การร่ำการรวย ตามความทะเยอทะยานดีดดิ้น ตื่นอำนาจวาสนา ตื่นป่าๆ เถื่อนๆ ของตน ไม่มีเมืองพอ พวกนี้พวกที่จะสั่งสมเรื่องความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งหลายเต็มตัวเลย ก่อนลมหายใจขาดมันก็เผาอยู่ในหัวอกแล้วนะ เราอย่าดูการแต่งเนื้อแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่าโอ่อ่า อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงโลก ให้ตาบอดให้เป็นบ้ากับมันต่างหาก ธรรมจ้อดูแล้วดูหมด ในข้างในของมันคืออะไร หัวใจมันมีแต่ไฟทั้งนั้น ยิ่งผู้ทำความโหดร้ายทารุณเท่าไร ทำความชั่วช้าลามกกว้างแคบขนาดไหน ผู้นั้นยิ่งเป็นตัวเหมากองไฟทั้งกองอยู่ในหัวอก เราอย่าเข้าใจว่าพวกนี้จะมีความสุขนะ คือไฟนรกเผาทั้งเป็นตลอดเวลาพวกนี้นะ ไม่มีวันว่างเลย นั่นน่ะมันเผาอยู่นั้นละ
ตาของเจ้าของไม่เห็น มีแต่จะสั่งสมไฟขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ตาของธรรมนี้จ้าไปหมด ๆ ว่าอย่าๆ ให้ฟัง ถ้าใครยังมีนิสัยบุญบาปติดหัวใจอยู่แล้วให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้านะ ถ้าไม่ฟังจมแน่ๆ เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้า สัตวโลกตายเพราะความท้าทายตนเอง แล้วก็ท้าทายกรรม อาจหาญต่อกรรมของตนเอง และท้าทายพระพุทธเจ้าบาปบุญนรกสวรรค์ จมไปมากเท่าไร เรายังไม่รู้ตัวอยู่เหรอ หรือเรายังจะเขียนใบสมัครเต็มอยู่เหรอ ในศาลาหลังนี้มีกี่คนเขียนใบสมัครหมดแล้วยัง ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่ เขียนสมัครลงนรกทั้งเป็นๆ ทั้งเป็นเผาหัวอกเสียก่อน จากนั้นก็ไปเผาในเมืองผีนะ นรกเผาอยู่ในหัวใจนะ
เราอย่าเอาเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัว เอาบริษัทบริวารสมบัติเงินทองข้าวของมาอวดมาอ้างธรรมของพระพุทธเจ้านะ สิ่งเหล่านี้จอมปลอมทั้งนั้น เครื่องหลอกลวงสัตวโลกผู้ตาบอดเท่านั้นเอง ผู้ตาดีไม่หลง ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่วตลอดไป คนตาดีเห็นชัด สีดำเป็นสีดำ สีขาวเป็นสีขาว และคัดค้านตาตัวเองไม่ได้ นี้ความรู้ความสามารถของธรรมก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่มีอะไรคัดค้านได้ ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว นรกบอกว่านรก สวรรค์บอกว่าสวรรค์ ไม่มีที่จะเป็นอื่นไปได้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นอื่น เป็นอันนั้นมาตลอดกัปกัลป์ พากันจำเอานะ
นี้เราก็พยายามเต็มกำลังความสามารถ สอนโลกนี้สอนทุกแง่ทุกมุม ไอ้โลกสงสารถังขยะมันจะมาว่าอะไร ว่าหลวงตาบัวดุด่าว่ากล่าว ดีไม่ดีว่าเป็นกรรมเป็นเวร เป็นข้าศึกศัตรูต่อผู้ใดๆ มันมีแต่ถึงขยะทั้งนั้น เราไม่สนใจนะ เพราะน้ำที่จะชะล้างสิ่งสกปรก คือธรรมยังมีอยู่ ก็ชะล้างไป ผู้ที่ต้องการความสะอาดยังมีอยู่ ผู้ที่จะต้องการมอมแมมให้จมนั้นมันก็สุดวิสัยช่วยไม่ได้ เอาน้ำมหาสมุทรมาล้างก็ไม่มีความหมายอะไรคนประเภทนั้น ถ้าคนประเภทที่ดี น้ำมีอยู่แก้วเดียวถังเดียวมาชะมาล้างมาอาบ วันหนึ่งอาบน้ำวันละหนพอตัว ๆ นะ นั่นน่ะน้ำเป็นยาแก่บุคคลผู้ต้องการความสะอาด แต่ไม่เป็นยาอะไรสำหรับคนที่ต้องการแต่ความสกปรก จมอยู่ในส้วมในถานตลอดเวลานั้น น้ำมีเท่าไรไม่มีความหมาย เช่นน้ำมหาสมุทรเอามาล้างไม่มีความหมาย ธรรมทั่วแดนโลกธาตุไม่มีความหมายสำหรับคนประเภทนี้ จำให้ดี
วันนี้เทศน์เท่านั้นละเหนื่อยแล้ว มันหากเตือนนะ นี่เห็นไหมธาตุขันธ์ ที่จะมาเป็นประโยชน์แก่พี่น้องทั้งหลาย ทางนี้มันอ่อนลงๆ ตกลงไปไม่ได้ ก็ต้องพัก ก็สอนไปๆ อย่างนี้ เราสอนด้วยความเมตตาสงสารนะ ดูไปไหนดูจริงๆ ดูสัตว์นี้ยิ่งดูมากนะ ไปไหนนี่ เช่นอย่างเข้าไปในครัว สัตว์ชุมอยู่ที่ไหนตามันจะสอดจะส่องด้วยความรักความเมตตาสงสาร ดูจ๊อกแจ๊ก ๆ โอ๊ย เขาก็ยังมีบุญอันหนึ่งเขาได้มาอาศัยคน คนไม่ทำอะไรกับเขา เขาก็เลยยั้วเยี้ย คนกับสัตว์นี้เต็มไปหมด ศาลาหลังนี้ขันอึกทึก ซอกแซกอยู่นี่ บางทีจะได้ตีหัวมัน มันมายุ่ง มันยุ่มย่ามมากไม่กลัวคน นี่เขาร่มเย็น เขาก็มีวาสนาอันหนึ่งเหมือนกัน
โห สัตว์นอกจากนี้ไปมีแต่อันตรายทั้งนั้นนะ หาอยู่หากินก็ถูกฆ่าแล้ว หาอยู่หากินถูกฆ่าแล้ว ทั้งหากินยังไม่พอท้องถูกฆ่าตายก่อนแล้ว นั่น นี่สัตว์ประเภทต่างๆ ก็ยังมีดีอยู่สัตว์มนุษย์ มีกฎหมายบ้านเมืองศีลธรรมครอบเอาไว้พออยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุขบ้าง ถึงแม้จะเกิดมีบ้างเป็นเรื่องความชั่วกับความดีมันมีแฝงกันอยู่ มันก็พออดพอทนกันได้ ไม่มีแต่ภัยอย่างเดียว พวกสัตว์นี้ส่วนมากมีแต่ภัยนะ ไปที่ไหนมีแต่ภัย ถ้าอยู่ในวัดนั้นไปที่ไหนก็เย็น เราไปหมดที่ไหน ไม่ว่าที่ไหนที่ใกล้ที่ไกล ในบริเวณวัดนี่เดินดู พวกสัตว์
พวกที่อยู่ในบริเวณศาลาอยู่ในครัวนี้ พวกนี้ โอ๊ย มันดื้อมาก มันไม่รู้จักกลัว ถ้าว่ากลัวก็กลัวเพียงอำนาจ ว่าเรามีอำนาจเหนือเขา เขากลัวเพียงเท่านั้นนะ ว่าคนเรามีอำนาจเหนือสัตว์เหล่านั้น เห็นเราไปเขาก็ทำท่าวิ่งไปนั้นไปนี้ จ๊อกๆ แจ๊กๆ บอกกันเตือนกันว่าอันตรายมาแล้ว เปรตหูสั้นมาแล้ว บอกเท่านั้นละ แต่เปรตพวกนี้ไม่ทำละ เขาก็เตือนกันเพียงแต่ว่าให้ระวัง แต่เป็นเปรตตัวใหญ่ๆ ตัวอยู่กลางวัดนี้ เดินเข้ามานี้ให้ระวังให้ดี เดี๋ยวมันสับเอาหลงทิศไป ตัวไหนตัวนั้น คือตัวหลวงตาบัว เข้าใจไหม
นี่ละสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้กลัวคน กลัวเพียงอำนาจเท่านั้นนะ เขาไม่ได้กลัวว่าเราจะทำอันตรายต่อเขา สัตว์ในวัดนี่ เขาจึงเพียงหลีกเพียงอะไร หลบๆ หลีกๆ กลัวเพียงอำนาจเท่านั้น เขาไม่ได้กลัวว่าเราจะทำอันตรายต่อเขา เขาจึงชุ่มเย็น ดูอย่างงั้นซิดูสัตว์น่ะ ดูให้มันถึงข้างในข้างนอกซิ ธรรมพระพุทธเจ้าตลอดทั่วถึงไปหมด ไม่งั้นมาสอนโลกได้เหรอ นี้มันเป็นกัณฑ์ที่สองแล้วเหรอ ขึ้นเรื่อย เอาละพอ
เมื่อคืนนี้ไฟหายเงียบเลย เมื่อคืนนี้ไฟเงียบเลยตลอดคืน เรานึกว่ามันตื่นแล้วยังนะ เห็นโผล่มานั่งตรงนี้ โอ๋ ตื่นแล้ว ไฟนี้ดารดาษไปถึงไหน ๆ อยู่มืด ๆ มันเห็นหมดนี่ แม้แต่ตะวันออกสระนี้ก็มีนะ มันตั้งเอาไว้มันทำโก้ๆ ไว้ หลวงตาท่านไปดูไฟ แล้วก็เอาไปโชว์หลวงตาสักหน่อย แล้วเจ้าของแอบไปนอนอยู่ฟากต้นไม้ก็ได้นี่ เห็นแต่ไฟเหลืองอร่ามอยู่ตามแถวนั้น อยู่มืดๆ มองไปเห็นหมด ตรงไหนๆ เห็นหมดจนกระทั่งออกมาตะวันออกสระน้ำนี้ก็มีไฟ มันมาทำอะไรที่นี่ว่ะ เราจะเอาค้อนไปปาลองดู เห็นมีอยู่ทุกแห่งตามนี้ มาเดินจงกรมกัน เพราะฉะนั้นจึงว่ามันเดินจงกรมหรือมันอะไรน่า สงสัยน่ะซี ให้พร
เมื่อวานนี้วันที่ ๓๐ ทองคำได้ ๓ บาท ๒ สตางค์นับว่าดี พักเครื่อง ติดเครื่องเร่งเครื่อง เป็นธรรมดา ดอลลาร์ ได้ ๒๗ ดอลล์ นี่ก็ยังมีอีก เราไปดูสมุดอีก คือสมุดเหล่านั้นมันมีไม่มากนะ แต่ก่อนเราไม่ได้คิดว่าจะฝากประจำนะ ทีนี้ก็มีลูกศิษย์ลูกหาผู้มีเจตนาหวังดี และช่วยอุ้มชูชาติไทยเราทั้งชาติด้วยกัน ก็มาเสนอถึงเรื่องว่า เงินที่ฝากออมทรัพย์นี้ไม่ค่อยจะมีดอก แต่ฝากประจำมีบ้าง แน่ะ พูดฟังซิมีหลักมีเหตุผลไหมล่ะ ไม่ค่อยจะมีดอก ฝากออมทรัพย์ แต่ฝากประจำนั้นมีบ้าง นั่นฟังซิ มีบ้างก็แสดงว่ามีแน่ๆ ไม่มากก็ได้ ที่ออมทรัพย์แล้วแต่เขาจะให้ไม่ให้ ไม่สนใจเข้าใจไหม มันไม่ค่อยได้ก็ถูก แต่ถ้าไปฝากประจำแล้วก็ได้
เราก็ฝากเป็นออมทรัพย์ทั้งหมดแต่ก่อน ทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาเขาก็มาชี้แจง เราควรจะฝากเป็นประจำไว้บ้าง เพราะว่าเงินเหล่านี้จะไม่ได้จ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อจมอยู่เฉยๆ ก็ไม่ดี ควรจะเกิดดอกเกิดผลก็ให้เกิดบ้าง ก็อยากจะแยกเงินจำนวนนี้ไปฝากเป็นประจำเสียบ้าง ส่วนที่เหลือก็เหลือไว้อย่างงั้นแหละ เราพิจารณาก็เลยเห็นด้วย เขาก็เลยไปฝาก เรื่องราวนะ พอเขาฝากทางโน้นแล้ว อยู่ทางนี้เขาก็เลยฝากด้วยกัน เป็นเงินประจำ เพราะจำนวนมากนะเวลานี้ ทีนี้เงินออมทรัพย์นี้เราดูตามสมุดต่างๆ สำหรับอยู่ทางอุดร ทางนู้นก็คงไม่มีมากเหมือนกันนั่นแหละ แล้วดูธนาคารไหนก็มี ออมทรัพย์นะ ประมาณล้านกว่า หรือว่าล้านกว่าไปอย่างงั้นแหละ อย่างมากน่าจะไม่เกิน ๒ ล้าน หมายถึงฝากออมทรัพย์นะ นอกนั้นไปเข้าฝากประจำทั้งหมด
ทีนี้เวลานี้ออมทรัพย์ที่อยู่อุดรนี้เราดูสมุดเมื่อสองวันนี้ มันมีถึง ๕ ล้าน ๘ แสนเวลานี้นะ ออมทรัพย์นี้มีมากกว่าเพื่อนเล่มนี้นะ มีถึง ๕ ล้าน ๘ แสน ถ้าหากว่าเราจะแยกมาซื้อทองคำอีกก็น่าจะได้ถึง ๑๕ กิโล คราวก่อนนั้นราคาจะสูงต่ำขนาดไหนก็ไล่เลี่ยกัน คราวก่อนนั้นทองคำ ๑๕ กิโล เป็นเงิน ๕,๗๐๒,๒๘๐ บาท อันนี้เราดูสมุดนี้มันก็มีถึง ๕ ล้าน ๘ แสนกว่าไปอีก มันอาจจะได้ถึง ๑๕ กิโล กำลังคิดๆ อยู่ คือเราไม่อยากไปแยกถอดออกจากบัญชีนั้นบัญชีนี้ซึ่งมีจำนวนไม่มาก มันพอๆ กัน มีแต่อันนี้มากกว่าเพื่อน ถ้าเอาก็จะเอาอันนี้ออกหมดเลย เข้าทองคำ อย่างนี้ละเราคอยที่จะตีเข้าทองคำเรื่อยๆ นะ เรื่องเงินหมุนเวียน เราก็จำเป็น แต่ว่าอันนี้มันหมุนติ้วๆ กว่าเพื่อน พอตีเข้าอันนี้เราก็จะตีเข้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เราเลยคิดว่าบางทีอาจจะเอาอันนั้นมาพิจารณาเสียก่อน
เวลานี้ที่แน่ใจแล้วดูสมุดเมื่อ ๒-๓ วันนี้ว่า เงินออมทรัพย์ในธนาคารนี้มีมากกว่าเพื่อน ถึง ๕ ล้าน ๘ แสน เราคิดว่าอาจจะได้ทองคำถึง ๑๕ กิโลก็ได้ ให้พิจารณาเสียก่อน เราเป็นคนพิจารณาเองละ พิจารณาไปเรื่อยๆ นอกนั้นมีล้านบ้าง หรือสองล้านบ้างเท่านั้น นอกนั้นก็เข้าบัญชีประจำหมดเลย ส่วนบัญชีประจำไม่ไปแตะ เอาไว้นั้นๆ เลย แล้วหมุนออกจากนั้นเป็น ๘ ร้อยล้านแล้ว เหลือเท่าไรอาจจะเข้าไปด้วยกันนะ แต่เรายังไม่แน่ใจเรายังไม่พูด แต่สำหรับ ๘ ร้อยล้านนี้แน่แล้ว จะเข้าตลอดเวลา สมมุติว่าฝากประจำมันยังเหลือกว่านี้ ก็จะแอบอยู่นั้น มันควรเข้าก็จะให้เข้าด้วยกัน แต่ออกนี้ไม่น่าจะออก มีแต่จะหมุนเข้าเรื่อยๆ ตีเข้าเรื่อยเลย เพราะเราห่วงทองคำมาก
เหยี่ยวมันไปทางโน้นไหม ระวังยากแต่เหยี่ยวนะ มันมักจะไปโฉบเอาลูกไก่พวกเหยี่ยว ให้พากันระวังหน่อยนะ ถ้าได้ยินเสียงไก่มันร้องจี๊กแจ๊กให้ระวัง ค้อนปามันไปเลย พวกเหยี่ยวมันมาแอบซ่อนอยู่ตามต้นไม้ มันคอยสังเกตดู พอแม่ไก่เผลอ ลูกไก่ออกไปกินห่างๆ ฉวยปั๊บไปเลยนะ เหยี่ยวนี่ฉลาดมาก เหยี่ยวนกเขาตัวเล็กๆ นั่นน่ะมันมาจับเหมือนตุ๊กตานะนิ่งอยู่นั้น มันสังเกตดูไก่ ถ้าลูกไก่ห่างจากแม่ มันฉวยปั๊บไปเลย แม่ก็ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา จึงได้เตือนทางนู้นให้ดูหน่อย ทางนี้ก็ดูตลอดแหละ เรื่องเหยี่ยว เอาละ ไปละ