เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ท่านผู้สิ้นกิเลสละทั้งบาปทั้งบุญ
ไปที่ไหนอ่านที่ไหนเห็นตั้งแต่เรื่องเราบริจาคที่นั่นที่นี่ ไปที่ไหนอ่านมีแต่บริจาคที่นั่นที่นี่ที่หนึ่งๆ นี้ โอ๋ย ไม่ทราบกี่ล้าน เขาเขียนไว้นี้ เราเดินผ่านมาเราอ่าน บริจาคอันนั้นบริจาคอันนี้ ส่วนมากเป็นพวกฝ่ายแพทย์ ฝ่ายโรงพยาบาลมาก ที่ว่าช่วยโลกนี้โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง ได้ช่วยมาก ได้มากที่สุดคือโรงพยาบาล ที่ว่าช่วยโลกโรงพยาบาลดูว่าเป็นอันดับหนึ่งละ หมดเลยทุกภาคนะโรงพยาบาล ในประเทศไทยเรานี้เราช่วยทุกภาคเลย นราธิวาสสุดนั่นก็ไม่ใช่น้อยๆ นั่นก็ดี เป็นแสนๆ เป็นล้านนู่น เห็นไหมล่ะช่วยทุกแห่ง
ถ้าว่าเที่ยวก็เที่ยวทั่วประเทศไทย มันเกี่ยวกับการช่วยชาติ เทศน์ช่วยชาตินี่เทศน์ทั่วประเทศไทย ไม่ได้เทศน์มากนักแต่ทางภาคใต้ ภาคนอกนั้นๆ เต็มเอี๊ยดเลยไป ภาคใต้ไปได้บ้างครึ่งทางค่อนทาง ไม่ได้มากนัก เพราะมันอ่อนมากแล้วไปไม่ไหว ก็พอดีหยุดการช่วยชาติ เทศนาว่าการก็เหมือนกันเรียกว่าทั่วประเทศไทย นับแต่สนามหลวงลงไป เทศน์สนามหลวงวันนั้นก็นายกฯ คณะรัฐมนตรี นี่เรียกว่าชาติ ศาสนาพระเป็นพันๆ มานั่งฟังเราเทศน์วันนั้น มหากษัตริย์ก็ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ครบเลย
เทศน์อยู่ตั้งชั่วโมง ๒๓ นาที ตอนนั้นธาตุขันธ์ยังดีอยู่ เทศน์ได้ถึงชั่วโมง ๒๓ นาที เราไม่ลืม คือการเทศน์ของเรานี่ไม่ค่อยได้หยุดที่ไหน ถ้าเริ่มขึ้นแล้วก็เรื่อยเลย ที่จะหยุดพักนั้นพักนี้ธรรมดาไม่มีตามนิสัย พอเริ่มออกแล้วทีนี้ต่อกันเรื่อยๆ จนจบเลย ที่สนามหลวงก็เทศน์ชั่วโมง ๒๓ นาที คนมากเต็มสนามหลวงเลยวันนั้น ในประเทศไทยก็สนามหลวงเป็นที่ตั้งนี่เราก็ได้ไปเทศน์ เขาไม่นิมนต์พระองค์ไหนไปเทศน์นะ ก็มาโดนเอาหลวงตามหาบัวไปเทศน์ที่สนามหลวง ชั่วโมง ๒๓ นาที ตอนนั้นธาตุขันธ์ยังดีอยู่ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ละ อ่อนลงๆ ในกรุงเทพก็สนามหลวงเป็นที่ตั้ง ในบริเวณกรุงเทพมากที่สุดละเรื่องเทศน์ในกรุงเทพนะ เทศน์มาก สถานที่ใหญ่ๆ โรงพยาบาลแต่ละแห่งๆ เทศน์หลายหนนะ เช่น ศิริราชนี่ดูเหมือนสี่หนห้าหน จุฬา รามา เหล่านี้ โรงพยาบาลใหญ่ๆ เทศน์ทั้งนั้นละ
เทศน์สอนคนอื่นละ สอนเจ้าของอยู่ ๙ ปีเต็ม คือพรรษา ๗ หยุดเรียน ๘ เข้าปฏิบัติตลอดถึงพรรษา ๑๖ มีแต่ฟัดกับกิเลสตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ ฟัดกับกิเลสไม่มีหยุดเลยละ พรรษา ๑๖ ผ่าน นั่น ผ่านสนามกิเลส ฟัดกันขาดสะบั้นลงไป บอกให้ชัดเจนเสีย วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นั้นเป็นวาระสุดท้ายที่ฟัดกับกิเลสได้ขาดสะบั้นลงไป ไม่มีกิเลสตัวใดมาต่อกรจิตใจตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้
พูดให้ชัดเจน ผลงานเป็นอย่างไรเราปฏิบัติ เราไปหาอะไรวันนี้ได้เท่าไรๆ เขาก็พูดกันฟังได้ใช่ไหมล่ะ เราหาธรรมนี้เป็นของวิเศษวิโสน่าที่ผู้ฟังจะได้ปลื้มอกปลื้มใจ นี่ก็เหมือนกันฟาดอยู่ ๙ ปีกับกิเลส ไม่มีหยุดหย่อนกันเลยละ เพราะนิสัยเรามันนิสัยอย่างนี้นิสัยผาดโผน ถ้าว่าลงทำอะไรแล้วเอาจริง เอาจริงทุกอย่างๆ นี่ก็ออกปฏิบัติ ๙ ปีเต็ม เต็มเม็ดเต็มหน่วย ออกกรรมฐานคนเดียวๆ อยู่ในป่าๆ ในเขา นี่ก็ ๙ ปีออกปฏิบัติ
ถึงพรรษา ๑๖ นั่นละเรียกว่าลงเวทีพรรษา ๑๖ อายุดูเหมือน ๓๖ ละมั้ง อายุดูว่า ๓๖ ลงเวทีจากสนามกิเลสอันใหญ่หลวง พาสัตว์ให้เกิดแก่เจ็บตาย ม้วนเสื่อกิเลสลงในปีนั้นแหละ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่ลืม เพราะลงจุดไหนมีแต่จุดสะเทือนใจอย่างมากๆ ลืมไม่ได้จนกระทั่งวันตาย เพราะมันรุนแรงมาก การปฏิบัติ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ออกปฏิบัติ ๙ ปี เป็น ๑๖ ปี นี่ละที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฟัดกันไม่มีวันมีคืน ตั้งแต่บวชทีแรกไปถึงที่ว่าพรรษา ๑๖ จากนั้นมาจิตใจก็โล่งละที่นี่โล่งไปหมดเลย
ทีนี้ก็สั่งสอนหมู่เพื่อนในวงกรรมฐาน ส่วนมากมีแต่วงกรรมฐานละสอนก่อนเพื่อนเลย เพราะเราอยู่ในป่าในเขาไม่มีใครตามทันนะ พระนี่ตามทัน ไปอยู่ที่ไหนซอกแซกที่ไหนก็ตามไม่นาน อยู่ได้เพียง ๗ วันรีบหนี ไม่หนีไม่ได้ติดตาม จมูกดีที่สุด เก่งที่สุดคือจมูกพระ ตามครูบาอาจารย์ละซิ ไปอยู่ที่ไหนไปอยู่องค์เดียว ไปที่ไหนไปองค์เดียว แล้วก็อยู่แห่งละไม่นาน เพราะพระสืบเสาะตลอด ครูบาอาจารย์ล่วงไปแล้วไม่มีที่เกาะที่ยึด พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เสียไปใหม่ๆ ตอนนั้นเรากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเสียด้วย เป็นเวลาที่จะอยู่กับใครไม่ได้ หมุนติ้วกับธรรมะที่จะฆ่ากิเลสให้ม้วนเสื่อ ทั้งวันทั้งคืน บางคืนไม่ได้นอนตลอดรุ่ง มันเป็นของมันเองนะ
เรื่องธรรมะอัตโนมัติเมื่อเวลามีกำลังแก่กล้าแล้ว เทียบกันได้กับกิเลสมันอยู่บนหัวใจสัตว์นี้เป็นอัตโนมัติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสจะออกหน้าๆ ทำงานๆ ตลอด เจ้าของไม่รู้ คือกิเลสทำงาน นี่เป็นธรรมดาของจิตที่ไม่ได้รับการอบรม ทีนี้เวลาได้รับการอบรมมาแล้วถึงขั้นนี้ละที่นี่ ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่บังคับจริงๆ นอนไม่ได้นะ ต้องนอนด้วยพุทโธ เราไม่ลืมนะ ที่จะให้มันนอนธรรมดาไม่ได้ เพราะจิตมันพุ่งๆๆ แก้กิเลส กลางคืนก็นอนไม่หลับ กลางวันนอนไม่หลับ มันจะตาย ก็ต้องมาทอดสมอกันด้วยพุทโธ เอาพุทโธติดไว้เป็นจุดแล้วบริกรรมพุทโธๆ ไม่ให้ออก
คือถ้าออกไปมันเป็นทางปัญญา มันหมุนติ้วเลย พักจิตสงบลงไป เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ เวลามันออกทางด้านปัญญาเรียกว่าทำงานอย่างหนัก เมื่อหนักแล้วมันก็เพลินในงานของมันแก้กิเลส เพลินตลอดจนนอนไม่หลับ ต้องหักเข้ามาสู่สมาธิทอดสมอด้วยคำบริกรรม เอาพุทโธๆ จิตก็ลงสมาธิสงบแล้วถอยออกไป ทีนี้พุ่งเลยนะพอถอยออกไป ให้รู้วิธีสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมมีอย่างนี้ จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่พิจารณาไม่ได้ ต้องใช้ความพิจารณามากๆ เวลาพิจารณาจิตถึงขั้นให้พัก พักๆ ทางสมาธิ ต้องทอดสมอด้วยพุทโธ บังคับให้อยู่กับพุทโธๆ จิตสงบแน่ว หยุดการคิดการพิจารณาทางด้านปัญญาทั้งหมดหยุด พอจิตสงบแน่วจากนั้นมาแล้วถ้าหากว่าเราจะหลับนอนก็นอนได้ตอนนั้น จิตยังไม่ออกทำงาน จากสมาธิสงบแล้วพักนอนก็ได้ ออกจากนอนพอปล่อยปั๊บนี่พุ่งๆ นี่ละปัญญาฆ่ากิเลส
ในสมัยครั้งพุทธกาลมีแต่พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํได้เกิดขึ้นจากพระทัยและใจของพระสาวกทั้งหลาย สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํก็พระสงฆ์ทั้งหลายมีกิเลสหนาปัญญาหยาบเหมือนเรานี้แหละ แต่การฝึกฝนอบรมไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายก็กลายเป็นสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิของพวกเราได้ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่ละองค์เลิศเลอของพุทธศาสนาเรา
พูดถึงเรื่องการพักจิต มันไม่พักนะ ถึงเวลามันทำงานนี่มันไม่พัก เพลินกับการแก้กิเลส ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ตลอดรุ่งไม่ยอมนอน กลางวันยังจะไม่นอนอีก เจ้าของเหน็ดเหนื่อยในหัวอก มันไม่ได้ใช้สมองนะ ทางด้านจิตตภาวนาไม่ใช้สมอง ใช้สมองแต่ความจำ ถ้าเรียนนี้สมองทื่อนะ เรียนมากๆ จนจำไม่ได้สมองทื่อ ทีนี้เวลาปฏิบัติจิตสว่างไสวมากน้อยสงบร่มเย็นเพียงไรจะมาอยู่ในย่านกลาง ตรงกลาง จ้าขึ้นๆ อยู่ที่นี่ทั้งนั้นเลย จนกระทั่งมันสว่างไปหมดออกจากหัวอก มันเห็นชัดๆ อย่างนั้น
ภาวนาอันนี้รวมแล้ว ๙ กับ ๗ เป็น ๑๖ ปี นี่ละเข้าสนามรบกับกิเลส พอจาก ๑๖ ปีมาแล้วจิตนี้เวิ้งว้างไปหมด เป็นพรรษาที่ ๑๖ หมู่เพื่อนติดตาม เราไม่ไปกับใคร ไปมันไม่สนิทใจ มันเป็นน้ำไหลบ่า ไปองค์หนึ่งรับผิดชอบแล้วโดยหลักธรรมชาตินะ สัญชาตญาณมันเป็นเอง นี่องค์หนึ่ง นี่องค์หนึ่ง น้ำไหลบ่าสองช่องแล้วไม่รุนแรง ถ้าไปองค์เดียวป่าช้าอยู่กับเราพุ่งๆ เลย มันต่างกันนะ
พอดีเราเที่ยวกรรมฐานที่ไหนไปแต่องค์เดียวทั้งนั้น ตั้งแต่รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วไม่ไปกับใครเลย ไปองค์เดียวๆ ท่านก็พอใจให้เราไปองค์เดียว เพราะท่านเห็นความตั้งใจของเรา กลับมาหาท่านทีไรมีแต่หนังห่อกระดูก อายุ ๓๐ สามสิบกว่านั้นแหละที่เร่งความเพียรอย่างหนัก แต่เวลามาหาท่านมันเป็นหนังห่อกระดูกไปหมดเลย คือมันทรมานมาก นี่ก็เต็มเหนี่ยว พรรษา ๑๖ ผ่านได้ พรรษา ๗ หยุดเรียนออกปฏิบัติถึงพรรษา ๑๖ เก้าปีออกปฏิบัติ พรรษา ๑๖ ผ่านได้ละที่นี่ สบาย สะดวก ว่างไปหมดเลย
จิตนี้เวลามันว่างมันได้เห็นชัดเจนเรื่องกิเลส ที่ว่าจิตไม่ว่างมันขัดข้องอยู่ตรงไหนมีแต่กิเลสเข้ากีดเข้าขวางนะ กิเลสเป็นหอกเป็นแหลมเป็นหลาวเป็นเสี้ยนเป็นหนามละเอียดลงไปๆ เป็นกิเลสเข้าแทงจิตใจ พอกิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้วโล่งหมดเลย ไม่มี กิเลสเท่านั้นเป็นตัวภัยต่อธรรมต่อจิตใจ นี่ก็ตั้งใจปฏิบัติ พรรษา ๑๖ ฟังให้ชัดเสียบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายทำความพากความเพียรเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ก็เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สมมักสมหมายทุกอย่าง
เวลานี้ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว เราไม่หาธรรม พูดให้ชัดๆ แต่ก่อนหาธรรมแทบเป็นแทบตาย แทบสลบไสลไปละ เพราะความพากเพียรแก้กิเลส ทีนี้เวลาถึงจุดของมันแล้วหยุดไม่หา ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วหาอะไร เท่านั้นพอ อยู่ไปกินไปวันหนึ่ง อย่างทุกวันนี้เหมือนกันนะ อยู่กับโลกเราไม่มีจุดหมายปลายทางอะไรทั้งนั้น จะว่าเลื่อนลอยมันก็ไม่เลื่อนลอย คือมันพอทุกอย่างแล้ว มาอยู่กับใจหมด ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไปหาอะไร แต่ก่อนหาธรรมๆ ไม่ทราบว่าธรรมอยู่ที่ไหน เหมือนว่าธรรมอยู่ฟากทวีปนู้นทวีปยุโรปเอเชียที่ไหน แต่เวลามันรวมตัวแล้วธรรมก็ดีกิเลสก็ดีมาอยู่ที่ใจ สังหารกิเลสขาดสะบั้นแล้วธรรมจ้าขึ้นมาที่ใจ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นี่ละ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ มาสิ้นสุดยุติกันที่ตรงนี้ ทีนี้ไม่ต้องหาฆ่าอีกกิเลส กิเลสตายตายโดยแท้ หมด
นี่ละการประกอบความเพียร ธรรมเป็นของจริงทุกอย่าง ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้นี้ไม่มีหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก เป็นความจริงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น แต่โลกมันโลกเหลาะแหละ แฉลบออกนู้นแฉลบออกนี้ แทนที่จะไปตามทางที่ท่านสอนมันไม่ยอมไป แล้วก็ตกเหวตกบ่อ มีตั้งแต่กองทุกข์เต็มหัวใจ เพราะออกนอกทางของพระพุทธเจ้า ถ้าไปตามทางแล้วมันจะตรงแน่วๆ พุ่งเลย ทะลุ
นั่นละสวากขาตธรรมท่านตรัสไว้ชอบทุกอย่าง แต่เราผู้ดำเนินตามมันไม่ชอบละซี แฉลบออกเรื่อยออกทางนั้นออกทางนี้ จึงลำบากในการปฏิบัติ ถ้าไม่มีครูอาจารย์แนะนำสั่งสอนที่ถูกต้องแม่นยำไปยากนะ มันออกนอกลู่นอกทางไปเลย ถ้ามีครูบาอาจารย์ผู้แนะนำสั่งสอนถูกต้องแม่นยำ มันก็ค่อยพยายามตะเกียกตะกายไปตามแนวทาง แล้วจิตใจก็ค่อยสงบร่มเย็นสว่างไสว เดี๋ยวใจก็พุ่งๆ เลย หลุดพ้นได้ เพราะมีครูอาจารย์ที่แน่นอนสั่งสอน
เรียกว่าในชาตินี้เป็นชาติที่สุดของเราแล้ว พูดให้ฟังพี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ เรามายุติในชาตินี้ละ ยุติหมดเลย การเกิดแก่เจ็บตายภพน้อยภพใหญ่จะไปขึ้นสูงลงต่ำที่ไหนยุติหมด สถานที่เกิดเกิดที่ใด เป็นสัตว์ตัวใด เสวยผลกรรมอะไรยุติหมด เพราะกิเลสเป็นตัวผลิตสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้หาความแน่นอนไม่ได้ สูงๆ ต่ำๆ เกิดนั้นเกิดนี้มีแต่กิเลสพาให้สร้างทำกรรม กรรมดีกรรมชั่วอยู่กับจิต ไปไหนกรรมดีกรรมชั่วจะต้องผูกมัดจิตไป
ทีนี้เวลาถึงขั้นปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้ว เอกเทศเป็นใหญ่โต มีธรรมเป็นใหญ่ เป็นใหญ่อยู่กับธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน หมด ทีนี้ไม่ต้องหาอะไร นี่ละการปฏิบัติธรรมเอาจนกระทั่งหมดที่หา ไม่หา หาอะไร มันพอแล้ว พอมันก็รู้ เวลาหิวโหยมันก็รู้ เหมือนเรารับประทานอาหารเวลาหิวโหยมากน้อยก็รับประทานตามความหิวโหย พออิ่มแล้วมันปล่อยหมด ไม่ว่าหวานว่าคาวไม่เอาทั้งนั้น จิตใจนี่ไม่ว่าบาปว่าบุญปล่อยโดยสิ้นเชิง ท่านว่าปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้วโดยสิ้นเชิง
นั่นละท่านผู้สิ้นกิเลสละทั้งบาปทั้งบุญ บาปก็เป็นสมมุติ บุญก็เป็นสมมุติ ทั้งสองฝ่ายนี้เป็นบันได ทั้งกดลง ทั้งฉุดขึ้น พอผ่านไปได้แล้วเป็นอันว่าหมดแล้วสมมุติ จิตเป็นจิตตวิมุตติ เรียกว่านิพพานเที่ยงได้แล้ว หรือจะเรียกว่าเป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุก็คือความเที่ยงตรงแน่นอน เหมือนกันกับว่านิพพานเที่ยง ได้แก่ธรรมธาตุนั้นแหละ พอถึงนี้แล้วหมดเลย กิริยาอาการนี้มีแต่เพียงดีดเพียงดิ้นเฉยๆ นะ เวลามีชีวิตอยู่นี้ก็ประคับประคองไป
โลกสมมุตินี้คือเวที เขาเรียกว่าเวทีโลกธรรม ๘ อยู่ในสนามนี้ทั้งนั้นแหละ โลกสมมุติคือเวทีโลกธรรม ๘ มีตำหนิติชม ติฉินนินทา สรรเสริญเยินยอ อยู่นี้หมด อันนั้นผ่านหมดแล้ว อันนี้ก็มีแต่กิริยาที่แสดงกันอยู่เท่านั้น พออันนี้หมดสภาพแล้วนั้นก็ดีดผึง นั่นละธรรมธาตุ หมดความหมายแล้วทุกอย่าง พูดได้แต่ว่านิพพานเที่ยง ธรรมแท้มีอยู่ พูดได้ว่ามีอยู่ คือธรรมชาตินั้นละที่ว่ามีอยู่ จะว่ามีอยู่เด่นๆ ชัดๆ ไม่ถูกนะ จะว่าไม่มีก็ไม่มี นั่นละละเอียดถึงขั้นนั้นละ ธรรมแท้เป็นอย่างนั้นละ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ ทำอะไรให้มีจริงมีจัง อย่าเหลาะๆ แหละๆ ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่เหลาะแหละ เพลิดเพลินรื่นเริง ลืมเนื้อลืมตัว ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมากคือเมืองไทยของเรา การอยู่การกินใช้สอยนี้ไม่มีเมืองไหนฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมยิ่งกว่าเมืองไทยของเรา ทำไม่เป็น แต่เขาทำที่ไหนเมืองไหนประเทศไหนไปกว้านมาหมดนั่นแหละ ไปเอามาใช้เป็นของเราหมด เขาเป็นคนทำแทบเป็นแทบตาย เราเป็นคนเอามาใช้ แต่มองดูเงินในกระเป๋าไม่มีเหลือ เงินเขาเอาไปกินหมด เราได้แต่รถแต่ราเครื่องใช้สอยมาใช้ นี่ละเมืองไทยเรา ที่จะฟิตตัวให้แซงหน้าแซงหลังเขาไปนี้ไม่มีนะ ตามเขา ยิ่งอะไรมาจากเมืองนอกเมืองนาแล้วยิ่งเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ นี่ๆ มาจากเมืองนั้น นี่มาจากเมืองนี้ไปอีกนะ ที่จะมาพิจารณาตัวเองเพื่อฟิตตัวเองให้มันดีอย่างนี้หรือสูงกว่านี้ไปไม่คิด เพราะฉะนั้นมันต้องเดินตามหลังต้อยๆ เขาไป ถ้ามีการที่จะฟิตตัวเองนี้ขึ้นได้แซงได้ จำเอานะ เท่านั้นพอ ให้พร
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|