เครื่องยืนยันให้ความเพียรรุนแรง***
วันที่ 21 มิถุนายน 2551 เวลา 7:50 น. ความยาว 35 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

เครื่องยืนยันให้ความเพียรรุนแรง

นั่นท่านปัญญา พวกเมืองนอกเขาพูดผิดนี่เขาธรรมดานะเฉย ไอ้พวกเมืองไทยเราเหมือนลิง ใครพูดผิดหัวเราะกันลั่นเหมือนลิง ทางฝรั่งเขามาฝึกหัดพูดภาษาไทยทีแรก เขามาฝึกหัดพูด ผิดที่ตรงไหนแล้วบอก เขาก็เฉยนะ ถ้าคนไทยเราพูดผิดหัวเราะกันจะตาย มันเหมือนลิงพวกนี้น่ะ เขาเฉยนะ น่าดูอยู่ เขาบอกว่าฝนหยุดแล้วฝนกำลังตกอยู่ มันไม่ได้ศัพท์ได้แสงใช่ไหมล่ะ ฝนหยุดแล้วฝนกำลังตกอยู่ ท่านปัญญาท่านฝึกหัดพูดภาษาไทยเรา สุดท้ายท่านก็เรียบวุธเลย ดูมาอยู่นี้ตั้ง ๔๑ ปี นู่นไม่ใช่เล่นนะ

โห ฉลาดมาก เหนียวมาก มาขอเรานี้ถึงห้าครั้งนะ เราก็ยังไม่รับ ไม่รับถึงห้าครั้ง ครั้งที่ห้ามาขอ ถ้าไม่ได้อยู่ ได้มาพักชั่วคราวก็เอา แล้วท่านจะให้ไปเมื่อไรก็ไปได้ ไปทั้งนั้นละ แล้วมาอยู่ชั่วคราวจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป เป็น ๔๑ ปี นั่นละเห็นไหมล่ะ เมื่อดีแล้วจะไล่กันไปไหน ก็หาคนดี มาอยู่ชั่วคราว ครั้งที่ห้ามาขอกับเรา เราลืมเมื่อไร พอครั้งที่ห้าก็ขอแบบนี้ละ บอกว่าไม่ได้อยู่ก็มาพักชั่วคราวก็เอา แล้วมาอยู่นั้นตั้งแต่ ๒๕๐๖ เรื่อยจน ๔๑ ปี จะไล่หนีไปไหน เราหาคนดีหาพระดี ก็พระดีมาสู่วัดตรงกับเจตนาความหวังของเราซึ่งเป็นหัวหน้าอยู่แล้ว สุดท้ายจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป

มาทีแรกเราเปิดโอกาสให้ตลอด ท่านจะอยู่ท่านจะไป ไม่ว่าพระที่ไหนๆ เหมือนกันหมด อย่างพระฝรั่งมาทีแรกก็มีท่านปัญญา-ท่านเชอรี่ มาอยู่ทีแรกลาไปเที่ยวทางนู้นทางนี้เราอนุญาตหมด เพื่อให้ท่านไปเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปเพื่อการศึกษา ให้ท่านได้ศึกษาทุกอย่าง ไปหลายครั้งหลายหนสุดท้ายเลยไม่ไป เลยอยู่นี้ พอไปพูดสัมผัสเรื่องเที่ยวหรืออะไรเราก็เลยถาม อ้าว ท่านปัญญาแต่ก่อนเห็นลาไปเที่ยวทางนู้นทางนี้ทีนี้ทำไมไม่เห็นไปหลายปีแล้วนี่น่ะ โอ๊ย ไปวัดไหนมันก็ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาด นี่เวลาท่านพูดนะ ไปที่ไหนไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาด ท่านบอกว่ามันแสลงหูแสลงตาจนได้ แน่ะฟังซิอย่างนั้นละ ก็อยู่นั้นตั้งแต่นู้นจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป

เป็นพระสุขุมมากทีเดียวท่านปัญญา ทำประโยชน์ให้วัดนี้มากมาย ท่านเรียนจบทางวิศวะ ถ้าไม่ถามเหมือนไม่รู้นะ ถามอะไรๆ ไม่มีติดข้อง ว่าทำได้ๆ เรื่อย จนกระทั่งจรวดดาวเทียมท่านก็ทำได้ แต่ว่างานอย่างนี้มันต้องเป็นจำนวนคนงานเท่านั้นๆ ท่านบอกไว้ สำหรับวิธีทำรู้แต่ทำคนเดียวไม่สำเร็จ แน่ะท่านก็มีเหตุผลของท่าน คนหนึ่งชำนาญทางหนึ่งๆ มาทำเครื่องมือชนิดนี้ เช่นพวกจรวดหรือดาวเทียมนี้ คนนั้นชำนาญทางนั้นทางนี้มารวมบวกความรู้ทั้งหลายที่จะทำจรวดนี้ รวมตัวกันแล้วเป็นจรวดขึ้นมา ทำคนเดียวไม่สำเร็จ มันมีหลายแง่หลายทาง

ท่านก็ดีนะ ทางด้านจิตตภาวนาท่านดีอยู่ ไม่จำเป็นต้องศึกษาเรื่องจิตใจอะไรมากนักนะ ท่านฟังเทศน์เรา คือแต่ก่อนเราเทศน์สอนพระนี้อาทิตย์หนึ่งหรือว่าสิบวันเทศน์ทีหนึ่งอยู่บนศาลา แต่ก่อนเราก็ยังหนุ่มน้อย ภาระยังไม่มาก คนก็ยังไม่มาเกี่ยวข้องมาก การประชุมเทศน์สอนพระนี้เป็นประจำ อาทิตย์หนึ่งหรือสิบวันทีหนึ่งๆ เทศน์สอนพระ ทีนี้เวลาท่านฟังไปนานๆ แสดงว่าท่านเข้าใจทางภาคปฏิบัติ แหม ท่านอาจารย์เทศน์ดีมาก ท่านทำไมถึงรู้ว่าดีมาก เนื้ออรรถเนื้อธรรมสูงต่ำประการใดนี้เราแสดงไปท่านฟัง ดีมาก คือท่านเข้าใจเนื้ออรรถเนื้อธรรมที่เราแสดงไป

ท่านเชอรี่ไปอีกแบบหนึ่งไม่ค่อยเห็นมาฉันจังหันสักที ท่านฉันอะไรก็ไม่รู้ละ เราก็ไม่ทราบจะปกครองอย่างไรต่ออย่างไร องค์หนึ่งไปแบบหนึ่ง เห็นว่าไม่ขัดต่อธรรมวินัยเราก็ปล่อย ถ้าอะไรที่ขัดต่อธรรมวินัยเราก็ห้าม เราก็เตือน นี่ไม่เห็นขัดอะไรเราก็ปล่อยตามเรื่อง ตามนิสัยที่ชอบทรมานตน อย่างท่านเชอรี่นี่ไม่ค่อยชอบฉันจังหัน เราเป็นแต่เพียงว่าเตือนให้รู้ เพราะเรื่องอดอาหารนี่เราทำมาแล้วจนท้องเสีย คืออดอาหารมันดีจริงๆ สติดี ถ้าสติดีงานก็ก้าวเดินถูกต้อง ถ้าสติพลั้งๆ เผลอๆ เขียนหนังสือก็ผิดๆ ถูกๆ ลบแล้วเขียน ถ้าสติไม่อยู่กับตัว ถ้าสติอยู่กับตัวเขียนหนังสือก็เป็นตนเป็นตัวเป็นเนื้อเป็นหนังได้ความ มันขึ้นอยู่กับสติ สติจึงเป็นของสำคัญ

ท่านแสดงไว้ว่าสติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีการยกเว้นที่จะไม่มีสติเข้าไปเกี่ยวข้อง สติถือเป็นภาคพื้นสำคัญ สตินี่เราฝึกตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ฝึกไม่หยุดไม่ถอย สติกับจิตตภาวนาไปด้วยกันๆ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน เอาจนกระทั่ง.... หลายวิธีที่ฝึก เช่นอย่างอดอาหารหรืออดนอน ผ่อนอาหาร เหล่านี้มีแต่อุปกรณ์เครื่องหนุนการภาวนาให้สะดวกทั้งนั้น ไม่ใช่เครื่องตรัสรู้นะ ตรัสรู้เป็นเรื่องธรรมล้วนๆ ต่างหาก แต่เป็นเครื่องหนุนกัน อดอาหารเป็นอย่างไร ผ่อนอาหารเป็นอย่างไร อดนอนเป็นอย่างไร นอนมากนอนน้อยเป็นอย่างไรท่านสังเกต ถ้าอะไรมันดีก็มักจะหนักในทางนั้น แต่เรานี่มันหนักทางเรื่องอดอาหาร ถ้าอดอาหารนี่ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย นั่นเห็นไหม มันก็ดีอย่างนั้น

เรามาหาธรรมเราไม่ได้มาหากิน แน่ะสอนเจ้าของ กินนี้กินเมื่อไรก็ได้ เรื่องธรรมนี้เกิดได้ยาก มีได้ยาก ถึงลำบากก็ทนเอา เช่นอดอาหารทนเอาๆ คือมันดีทางสติ ถ้าสติดีแล้วความเพียรก็ก้าว ถ้าสติไม่ดีไม่เป็นท่านะ เอาจนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ การฝึกภาวนานี่ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ค่อยตะเกียกตะกายไปๆ ทีนี้หนักแน่นหนักเข้าไปเรื่อยๆ อุปกรณ์เครื่องหนุนการภาวนาเช่นอดนอน ผ่อนอาหาร อดอาหารอะไรประกอบกันไป อะไรที่ได้ผลในการหนุนภาวนามากก็เอาอันนั้นละ หนักอันนั้น

เพราะฉะนั้นเราจึงหนักทางด้านอดอาหาร จนท้องเสีย จึงได้เตือนหมู่เพื่อน คือเราดำเนินมาแล้วถูกผิดประการใดมันก็เข้าใจแล้ว ก็นำนั้นละมาสอนหมู่เพื่อน พอสองสามคืนไปแล้วความง่วงไม่มี อดอาหารนะ ถ้าถึงสองวันสามวันล่วงไปแล้วความง่วงเหงาหาวนอนไม่มี การนั่งภาวนาเหมือนหัวตอ สติดี ดีมากเรื่อย ทีนี้เราหาอะไรที่ช่วยหนุนการภาวนาดีเราก็เอาอันนั้นละ ทีนี้การอดอาหารช่วยทางด้านภาวนาดี สติดี มันก็ต้องอดเรื่อยๆ จนท้องเสียเรา แต่นิสัยเรามันมักจะผาดโผนอยู่ตลอด ถ้าได้ทำอะไรฟัดกันเลยจริงๆ ถ้าไม่เห็นผลเท่าที่ควรก็เอามาพิจารณาแล้วผ่อนผันสั้นยาวการฝึกทรมานไปอย่างนั้น

การภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ ต้องฝึก ต้องได้ใช้สติปัญญา ไม่ใช่สักแต่ว่าทำๆ สติปัญญาต้องมีติดแนบกันไป ทดสอบผลงานของตัวเอง สนฺทิฏฺฐิโก สิ่งใดที่จะรู้ขึ้นมาก็รู้จากการปฏิบัติของตัวเอง เป็นเครื่องทดสอบผลงานของตัวเอง เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเอง ทดสอบตัวเอง เป็นอย่างนั้น นี่ก็ ๙ ปีนะ คือ ๙ ปีเอาจริงนะ ไม่ใช่เล่นๆ ทำอะไรนิสัยเรามันมักจะเป็นอย่างนั้นผาดโผน ถ้าลงได้ปลงใจลงตรงไหนแล้วเอากันขาดสะบั้นไปเลย เห็นผลประการใดนั่นละมาบวกลบคูณหารกัน ถ้าจะลดอะไรก็ลด จะหนักอะไรก็หนัก สติปัญญาแนบเสมอ

อดอาหารนี้ดี หากมันไปเสียทางท้อง อดนอนก็ไม่ดีเรา อดนอนลองดู ทื่อ มันทื่อๆ อดไปหลายวันเท่าไรยิ่งทื่อ อ้าว อย่างนี้แทนที่จะฉลาดแหลมคมขึ้นมาทำไมเป็นอย่างนี้ งดเสีย ไม่เอา เช่นอย่างอดอาหารนี้อดไปเท่าไรมันยิ่งคล่องตัวๆ สติปัญญาคล่องตัว เพราะฉะนั้นจึงมักอดอาหารมากกว่าอย่างอื่น วิธีการหนุนความเพียร นี่ก็จนท้องเสียละ ก็ได้หมอเติ้งมาฉุดเอาไว้ ที่จะได้ช่วยชาติในวาระต่อมานี้ คือมันจะตายในพรรษานั้น จะตายชนพรรษาด้วยโรคท้อง หมอเติ้งเอายาอะไรมาให้ฉันเลยระงับดับเลย

หมอทั้งหลายเขาพิจารณาว่าเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ จะตายในไม่ช้า เขาว่าอย่างนั้น ไปโรงพยาบาลไหนเขาก็ตอบเงียบๆ เขากลัวเราเสียใจบ้างอะไรบ้าง เวลาได้ยาหมอเติ้งมาฉันนี้หายไปเลยนะ อย่างทุกวันนี้ท้องเป็นธรรมดา ไม่ได้เป็นเหมือนแต่ก่อน โอ๊ย การฝึกทรมานภาวนานี้หนักมากอยู่ สตินี่สำคัญมาก เอาสติเป็นพื้นฐาน ถ้าสติไม่ดีจะเดินจงกรมสักกี่วันกี่คืนก็ไม่ค่อยเกิดประโยชน์ ถ้าสติดีแล้วถึงไหนถึงกัน

สติจึงเป็นสำคัญ ใครให้บำรุงสติให้ดี สติจ่ออยู่ในจุดใดจุดหนึ่งสัมปชัญญะรู้ตัวตลอดเวลา ทีนี้เวลาสติเกรียงไกรเข้ามาแล้วเป็นได้ทั้งสติ เป็นได้ทั้งสัมปชัญญะ ขยายข้างนอกก็เป็นความรู้ตัวตลอด เข้ามาสู่ภายในก็เป็นสติโดยเฉพาะๆ เรียกว่าสติสัมปชัญญะ ขยายออกไปก็เป็นสัมปชัญญะในหน้าที่การงานความเคลื่อนไหวของตัวเอง เคลื่อนไปอย่างไรสติตามทันหมด นี่เรียกว่าสัมปชัญญะ ออกจากสติที่จ่อ ภาวนาบทใดก็จ่ออยู่บทนั้น สติตั้งอยู่นั้นก็ดี อันนี้ก็ยากการภาวนา

นี่ได้ทำมาแล้ว ที่ได้มาพูดเหล่านี้จึงไม่สงสัย ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ผิดถูกเจ้าของรับมาหมด อะไรที่จะควรแก้ไขดัดแปลงอย่างไรๆ ก็นำอันนี้มาสอนหมู่เพื่อน อันนี้ก็๙ ปีตั้งแต่ออกปฏิบัติล้วนๆ ๙ ปีเต็มเลย ๗ พรรษาเข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านสอนทุ่มลงให้อย่างเต็มที่ เพราะเห็นแล้วว่ามีความมุ่งหมายอย่างแรงกล้า คือตั้งใจจะไปพระนิพพาน ทั้งๆ ที่ไม่มีเงินสักสตางค์แต่ตั้งใจจะเป็นเศรษฐี ว่างั้นเลยนะ เงินไม่มีสักสตางค์ก็ยังตั้งใจจะเป็นเศรษฐี นี้ธรรมไม่มีในใจสักนิดหนึ่งแล้วมุ่งหน้าจะให้ถึงพระนิพพาน มันมุ่งจริงๆ ในใจนี้มุ่งหนักมากทีเดียว จนกระทั่งถึงว่าหาผู้ที่มารับรองยืนยันว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ ทั้งๆ ที่ท่านเขียนไว้ในตำรับตำราก็ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ทั้งนั้น แต่มันยังไม่ลงใจนะ ต้องมีสดๆ ร้อนๆ คือครูอาจารย์ผู้รู้ผู้เห็นแล้วมาแสดงให้ฟัง อันนี้สดๆ ร้อนๆ เป็นกำลังใจได้มาก

เช่นอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่เรากำลังสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน เพราะจะเอาจุดนี้ให้ได้ ถ้ามีผู้ใดผู้หนึ่งมาแสดงบอกอย่างตายใจแน่ใจว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ เหมือนว่าเอาท่านมาเป็นเครื่องยืนยัน แล้วทีนี้ลงๆ ทีนี้ก็เอาใหญ่เลยละ นี่ก็เข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ เลย เราไม่ลืมไปทีแรก เหอ ท่านมาหาอะไร นั่นละเวลาไปทีแรกด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้านะ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ แล้วก็ชี้ไปตามต้นไม้ภูเขา อันนั้นไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไล่ไปๆ จนกระทั่งหมดโลกธาตุไม่มีอะไรเป็นกิเลส ไม่มีอะไรเป็นธรรม เป็นมรรคผลนิพพาน ย่นเข้ามาๆ เข้ามาสู่หัวใจดวงเดียว

นี่ละกิเลสอยู่ตรงนี้ มรรคผลนิพพานอยู่ตรงนี้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ทุกข์มากทุกข์น้อยทุกข์อยู่ตรงนี้ๆ ท่านไล่เข้ามา เอา ภาวนาจะเป็นแนวทางที่สอดส่องมองรู้เรื่องความทุกข์ทั้งหลายที่เป็นอยู่ มันเป็นอยู่ที่หัวใจ ภาวนาเท่านั้นจะรู้หัวใจตนเอง อย่างอื่นไม่รู้ ท่านก็เอาอย่างหนัก โอ๊ย พอใจ เหมือนว่าตัวพองขึ้น มันพอใจมาก กลับไปที่พักฟังเทศน์ท่านอย่างเต็มหัวใจแล้ว ไปที่พักยังไม่ถึงที่พักว่าอย่างไรถามเจ้าของ ฟังเทศน์วันนี้ถึงใจทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องติ เทศน์ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน หายสงสัยแล้ววันนี้ เราจะว่าอย่างไรที่นี่ ตั้งปัญหาขึ้นถามตัวเอง ท่านเทศน์นี้หายสงสัยแล้วตัวเราเองจะปฏิบัติอย่างไรต่อธรรมเหล่านี้ ตามความมุ่งหมายของตัวเองว่ามุ่งมรรคผลนิพพานแล้ว เอาตายเข้าว่า ว่างี้ มันตอบกันนะ บอกว่าเอาตายเข้าว่าเลย ตั้งแต่นั้นมาก็เอาจริงๆ ด้วย บอกเอาตายเข้าว่าเลย ซัดกัน ๙ ปีนะ ไม่ใช่เล่นๆ

ไปกรรมฐานไปองค์เดียวตามนิสัย พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็รู้นิสัย ตามธรรมดาพระที่จะไปเที่ยวกรรมฐานมาลาท่านบางทีองค์เดียวบ้าง สององค์บ้าง สามองค์บ้าง จะลาไปเที่ยวกรรมฐาน ท่านขึ้นทันทีเลย เหอ ตั้งแต่อยู่ที่นี่มันก็ตกนรกให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกหลุมไหน ที่ออกจากนี้ที่เราไม่เห็นแล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ เท่านั้นก็หยุด แสดงว่าห้าม ยังไม่ควรไป ท่านจะดูตามความสามารถ ตามความตั้งอกตั้งใจ แต่สำหรับเราไม่ได้พูดยกตนนะไม่เคยห้ามพ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ ว่าไปองค์เดียวขึ้นทันทีเลย เอ้อท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ บางทีท่านก็พูดหยอกเล่นบ้าง เอาดีๆ นะ

มาทีไรมันมีแต่หนังห่อกระดูกมาหาท่าน ท่านดูตลอดเวลา อายุ ๓๐ กว่า ๒๐ กว่า ๓๐ กว่า กำลังวังชาก็ดี แต่เวลามาหาท่านจากที่ภาวนามานี้มันเป็นหนังห่อกระดูกมา มันไม่มีกำลังวังชา เพราะฟิตความเพียรอย่างหนัก นั่นละเวลาไปไหนว่าไปองค์เดียว ท่านจึงว่า เออ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านบอกอย่างนั้นเลย เราก็เอาจริงเอาจังด้วย อันนี้ก็หนัก การภาวนาทุ่มลงใส่เพื่อให้ได้มรรคผลนิพพานในชาตินี้ เราต้องการเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เท่านั้น อย่างอื่นเราไม่เอา พระอรหันต์นี้จะเป็นอย่างไร หนึ่ง เข็มทิศทางเดินถูกต้องดีงาม ได้รับคำสั่งสอนจากครูอาจารย์แม่นยำแล้ว สอง การประกอบความพากเพียรให้ตรงไปตามคำแนะนำสั่งสอนของท่าน รับหมด เอาที่นี่เป็นที่ตายใจแล้วเรื่องมรรคผลนิพพานยังอยู่สดๆ ร้อนๆ เราก็เอาละทีนี้ก็ซัดกัน นั่นละที่ว่าหนักมาก

ถ้าลงใจตรงไหนมันลงจริงๆ ถ้าไม่ลงมันคาราคาซัง อะไรมันก็ไม่ค่อยได้ผล มันเป็นไปด้วยความสงสัยสนเท่ห์ ถ้าลงแน่ใจแล้วมันผึงเลย ความเพียรก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาตายเข้าว่า ไม่เสียผลประโยชน์จากความตายเพราะความเพียรกล้า เอาอันนี้ละ ซัดเลย อันนี้ก็ ๙ ปี ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอาจริงเอาจังเสียด้วยนะ เพราะท่านรู้นิสัยของเราว่าจริงจังมากทุกอย่าง อยู่กับท่านก็อยู่มา ในระยะ ๘ ปีนี้ออกไปเข้ามาๆ ถือท่านเป็นสถานที่เป็นที่ตายของเรา บ้านเรือนของเรา แต่การออกไปเที่ยวเสาะแสวงหาความดีงามทั้งหลายเป็นเรื่องของเราจะเป็นเอง ก็ไป ไปแล้วกลับมา ไปที่นู่นกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอด

นี่ละที่เป็นเครื่องยืนยันให้ความเพียรของเรารุนแรงมาก ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น พูดตรงไหนเหมือนว่านี่น่าๆ มรรคผลนิพพานก็เหมือนอยู่ฝ่ามือ นี่น่าๆ จะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน จากนั้นเปิดเข้ามานี้เอานะเอาจิตตภาวนานะ ที่จะเปิดมรรคผลนิพพานออกได้มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เป็นแนวหน้า ท่านว่างั้น มันก็หนัก การประกอบความพากเพียรยอมรับว่าหนักมาก เพราะเป็นนิสัยผาดโผนโจนทะยาน ถ้าว่าอะไรมันเอาจริงเอาจังมาก อย่างประกอบความเพียรไปองค์เดียว ไม่เคยเอาใครไปด้วยนะเราตั้งแต่ออกจากท่านไปประกอบความเพียร ท่านก็ไม่ห้าม เวลาท่านถามจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เออ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เพราะท่านรู้นิสัยของเราว่าจริงจังมาก เพราะอยู่กับท่านมาประจำท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นความเพียรของเรามันจึงไปแต่องค์เดียวเท่านั้น อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันช่าง ป่าช้าอยู่กับเรา มอบเลย ซัดกันเลย ทีนี้ความเพียรมันก็หนักแน่นซิ สติไม่ให้พรากจากตัว จะเดินจากป่านี้ไปถึงบ้านนั้นป่านั้นก็เป็นการเดินจงกรมตลอด ไม่ให้ขาดความเพียร คือสติครองความเพียรไปตลอด นี่ก็ ๙ ปีอันนี้ก็ดี หนักมาก ๙ ปี พรรษา ๗ ศึกษาแล้วจากนั้นออก ถึงพรรษา ๑๖ ตัดสินกันลงได้ ตัดสินกันลงได้ก็ลงจริงๆ มุดมอดไปจริงๆ ไม่มีอะไรจะมาโผล่ขึ้นชื่อว่ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาอะไรไม่มีเลย มันเป็นอะไรถึงไม่มี มันหมด

เช่นอย่างการพูดการจานี้มันเป็นพลังของธรรมเสียทั้งหมดนะ ไม่ได้เป็นกิเลส คือกิเลสมันหมดไปแล้วจะเอาอะไรมาแสดงลวดลายของกิเลสล่ะ ก็มีแต่ลวดลายของธรรม ถ้าสมมุติว่าดุด่าว่ากล่าวใคร ผิดมากผิดน้อยธรรมออกรับกันนี้จะเป็นภาษาของธรรม หรือกำลังของธรรมออก ดุด่าว่ากล่าวเหมือนจะกัดจะฉีกเป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของกิเลส พลังของธรรมออกมันก็รุนแรงพุ่งๆ เลย นั่นละการประกอบความเพียร เวลากิเลสมันสิ้นไปแล้วจะทำอย่างไรให้โกรธมันก็ไม่มี แต่กิริยาอาการที่เข้มแข็งหรือว่าดุด่าว่ากล่าวนั้นเป็นพลังของธรรมต่างหาก ไม่ได้เป็นพลังของกิเลส

นี่ก็ ๙ ปี ออกปฏิบัติก็ดี เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงพรรษา ๑๖ ตัดสินกันลงได้ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้หายสงสัยตลอด ไม่เคยปรากฏกิเลสตัวใดว่ามันมุดมอดไปหมดแล้วมันยังมาโผล่ขึ้นมาให้เห็น ไม่เคยมี จึงรู้ว่ามันสิ้นจริงๆ มันก็รู้ตั้งแต่ปัจจุบันนั่นแหละ กระจายไปที่ไหนมันก็เป็นปัจจุบันอย่างนั้น หมดๆ แน่ะ ถ้ามันหมดแล้วไปค้นหาที่ไหนมันก็ไม่มีจึงเรียกว่าหมด เหมือนเงินหมดในกระเป๋า ค้นหาเท่าไรก็ไม่มี หมดๆ นี่กิเลสหมดจากใจมันก็แบบเดียวกัน

เอาจริงเอาจัง มรรคผลนิพพานรอรับผู้ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา มรรคผลนิพพานท่านว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วในธรรมทุกขั้นทุกภูมิ ไม่มีใครตรัสชอบยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า สอนได้โดยชอบธรรมไม่ผิดพลาดไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ให้เอาอันนั้นมาเป็นแบบฉบับ อย่าเอาความขี้เกียจขี้คร้านซึ่งเป็นแบบของเทวทัตตายกองกันอยู่นี้มาใช้ มันจะตายกองกันตลอดเวลา ถ้าเอาธรรมมาใช้แล้ว เอา หนักก็หนัก ความหนักนี้เป็นอย่างไรฝืนกันอย่างไร เป็นเรื่องของกิเลสหรือเป็นเรื่องอะไร มันก็ต่อสู้กัน

เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น ว่าจะไม่พูดมากมันก็มาก นี่ก็ได้ยินทั่วประเทศไทย พูดมีหนักมีเบา เพราะธรรมเราพูดจริงๆ บรรดาธรรมทั้งหลายตั้งแต่ปฏิบัติมานี้มารวมอยู่นี้หมดแล้ว หายสงสัย ไม่มีแง่ใดเรื่องธรรมที่จะมีความสงสัยในหัวใจ สอนหมู่สอนเพื่อนก็สอนด้วยความแม่นยำภายในจิตใจ (ถวายทองคำครับ) พอใจๆ นี่ละทองคำเราก็หาเข้าคลังหลวง เราไม่เอาอะไร บวชมานี้ขวนขวายเพื่อตัวเอง จากนั้นแล้วก็เพื่อโลกเท่านั้น เราไม่เอาอะไรทั้งนั้น มีแต่หาเข้าส่วนรวมๆ ตลอดเวลา

เจ้าของพอแล้วก็บอกว่าพอ มันหากเป็นอยู่ในจิต ไม่มีใครบอกมันก็รู้ สนฺทิฏฺฐิโก ผลงานจะรู้จากตัวเองๆ ทั้งนั้น จะรู้เองเห็นเองในผลงานของตัวเอง ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งมันก้าวได้ๆ สง่าผ่าเผยเกรียงไกร ซัดจนอัศจรรย์เจ้าของเป็นขั้นๆ มันก็รู้เป็นสนฺทิฏฺฐิโก รู้เป็นลำดับ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด ราบเรียบหมดโลกธาตุ ไม่มีอะไรมาต่อกรได้เลยขึ้นชื่อว่าสมมุติ มีแต่วิมุตติหลุดพ้นเต็มหัวใจ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันเท่านั้นพอ นั่นละพออยู่ตรงนั้น

เราพูดจริงๆ ไม่ได้โอ้ได้อวด เอาตามความจริง การปฏิบัติตะเกียกตะกายเพื่อแก้กิเลสเราก็ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา ที่เราได้ผลมามากน้อยมันก็รู้โดยลำดับจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปจากจิตใจ ไม่มีกิเลสตัวใดตกค้างในหัวใจเลยมันก็รู้ จะให้พูดว่าอย่างไร มันหมดก็บอกว่าหมด ยังเหลืออยู่มากน้อยเท่าไรตะเกียกตะกายมาเท่าไรมันก็รู้มันก็พูดกันอยู่อย่างนั้น เวลามันหมดจริงๆ มันหมด กิเลสไม่มีตัวใดที่จะมาขัดในหัวใจเลยไม่มี แต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มีเป็นธรรมดา เพราะธาตุขันธ์อยู่บนสนามหรือบนเวทีโลกธรรม

เขาก็มีธาตุมีขันธ์ เราก็มีธาตุมีขันธ์ การเคลื่อนไหวไปมาแสดงออกย่อมมีผิดมีพลาดตามสายตาของผู้ดูผู้เห็นผู้ฟัง ส่วนจิตที่บริสุทธิ์แล้วก็บริสุทธิ์เต็มที่ แต่กิริยาอาการนี้อยู่ในสนามโลกธรรมย่อมมีการติเตียนเป็นธรรมดา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังถูกเขาติเตียน เช่นอย่างเขาจ้างคนไปด่าพระพุทธเจ้า นางมาคัณฑีย์จ้างคนไปด่าพระพุทธเจ้า ทรงเดินบิณฑบาตที่ไหนจ้างคนด่า ด่าเป็นแถวเลย พระองค์เฉย บิณฑบาตเฉย พระอานนท์จะตายแล้วอกจะแตก มันขวยเขิน มันอายเขาเสียจนจะไม่มีโลกอยู่ แล้วก็มาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ว่าขอทูลอาราธนาพระองค์ไปเมืองอื่นเถอะ เมืองนี้ทนคำโจมตีเขาไม่ไหว

เวลาท่านตอบ ไปเมืองไหนล่ะ เวลาท่านตอบไปเมืองไหนคนจะไม่มีปาก คนจะไม่มีหูมีตา จะไม่มีความนินทาสรรเสริญ ไปเมืองนั้น เมืองนั้นเป็นอย่างไรมันก็แบบเดียวกัน เมืองไหนไปก็แบบเดียวกัน ไปเมืองไหนมันก็เหมือนเมืองนี้ละ บอกว่าเราไม่หวั่น ไปที่ไหนก็มีความนินทาสรรเสริญจากหัวใจคน ทั้งที่เป็นธรรมทั้งที่ไม่เป็นธรรมมันมีอยู่ทั่วไป ไปหาอะไร เรารู้เท่าทันในสิ่งนี้แล้วอะไรก็ไม่มาแปดเปื้อนเราได้ เช่นอย่างเราบริสุทธิ์แล้วใครจะจ้างคนมาว่ายกโคตรมันมาว่ามันก็หมดเงินไปเปล่าๆ เราไม่มีอะไรกระทบกระเทือน นั่นท่านว่า จะไปหาที่ไหนอานนท์ ไปที่ไหนเขาก็มีปาก เขาอยากนินทาก็นินทา อยากสรรเสริญเขาก็สรรเสริญ ไปเมืองไหนมันก็แบบกัน เขามีปากเขาก็พูดได้ เราก็ฟังได้ เราไม่ติดเสียอย่างเดียว มันก็เข้าไม่ถึงท่านว่า

สุดท้ายพระอานนท์จนตรอก เราเหมือนช้างใหญ่เข้าสู่สงคราม ไม่พรั่นพรึงในลูกศร เอา มาทิศไหนมา จะตั้งหน้าสู้เพื่อชัยชนะ พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ เขานินทาที่นี่อยากให้ไปที่นั่น เขานินทาที่นั่นไปที่นั่น เมืองไหนมันก็มีนินทาสรรเสริญเหมือนกันไปหาที่ไหน ตั้งแต่ตัวของเราเองยังมีนินทาสรรเสริญในตัวของเรา แล้วทางไหนที่อื่นจะไม่มีมันเต็มโลกนี้น่ะ ท่านว่าอย่างนั้นไปเสีย เข้าใจหรือล่ะ มีนินทาสรรเสริญเจ้าของบ้างไหมอยู่ในนี้น่ะ เอาละพูดเท่านั้น

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com or www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก