เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ความละเอียดของจิต
ให้พากันสนใจดูหัวใจเจ้าของนะ ที่ท่านสอนให้ภาวนา ได้แก่การอบรมจิต จิตมันลุกลี้ลุกลน ให้ใช้สติบังคับหรือคำบริกรรมคำใดก็ได้มีสติกำกับรักษา จิตมันหลุกหลิกๆๆ เมื่อมีสติจับหรือให้มันทำงานเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นพุทโธ มีสติอยู่กับพุทโธ ไม่ให้ทำงานเร่ๆ ร่อนๆ ดังที่เคยทำมา นั้นเป็นงานของวัฏทุกข์ งานพุทโธกับสติติดกันนี้งานวิวัฏฏทุกข์เป็นสุขขึ้นมา
อยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นหัวใจดวงนี้ ดูโลกดูสงสารดูที่ไหนถ้าไม่ดูใจดวงนี้เสียจะไม่รอดนะ โลกมันกว้างแสนกว้างจิตใจก็หาประมาณไม่ได้ ดูกันวันยังค่ำคืนยังรุ่ง คิดปรุงตลอดเวลาหาสาระไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงให้มาทำประโยชน์ที่เป็นสาระเสียบ้าง อย่างน้อยบ้าง มากกว่านั้นฟัดกันตลอดเลย เพราะการภาวนามีหลายขั้น ขั้นแรกล้มลุกคลุกคลาน สติสู้กิเลสไม่ได้ ตั้งสติไม่ค่อยได้ หาอุบายวิธีการระงับ มีเครื่องสนับสนุนให้ระงับความฟุ้งซ่านรำคาญ เช่นอย่างผ่อนอาหาร อดอาหารบ้าง อดนอนบ้าง หลายประเภทที่ท่านทำ
อย่างที่เราเทศน์อยู่นี้เราเคยทำมาแล้ว จึงได้เตือนหมู่เพื่อน ทำอะไรมันมักจะผาดโผนสำหรับเราเอง ถ้าอดอาหารดีมันก็มีแต่จะอดอาหารตลอด จนท้องเสีย จนจะเข้าพรรษาปีพ.ศ.เท่าไรน้า มันจะไปจริงๆ ท้อง ฉันเท่าไรไหลออกเลย แต่ก็ดีได้ยาหมอเติ้งมาระงับดับ ไม่อย่างนั้นไประยะนั้นแหละ ได้ยาหมอเติ้งเป็นคนจีนมาระงับและดับ ท้องมันจึงไม่เสียต่อไปและไม่ตาย นี่ละการอดอาหารอดนานๆ เสียทางธาตุขันธ์นะ คือมันไม่มีอะไรย่อย ดูมันจะเป็นอย่างนั้น มันก็มาย่อยตัวเอง
ทีนี้การภาวนาอดอาหารมันดีมันก็หนักทางด้านภาวนาเรื่อย ไม่คำนึงถึงธาตุถึงขันธ์ บทเวลาหันมามองดูธาตุขันธ์มันจะไปแล้วนี่ จึงต้องได้ยับยั้งกันไว้ด้วยยาอะไรต่ออะไร จึงค่อยมีชีวิตต่อมา ทำความเพียรเพื่อฆ่ากิเลสนี้หนักมากไม่ใช่ธรรมดา เราได้ทำแล้วเต็มกำลังความสามารถ บางทีแทบจะไม่อยู่ จะเป็นจะตายมันก็ไม่ตายนะล่ะ มันก็ทนมาได้ คือการอดอาหารนี่ทำสติให้ดีขึ้น การง่วงเหงาหาวนอนก็ไม่ค่อยมี ถ้าอดไปถึงสองสามวันความง่วงเหงาหาวนอนไม่มี นอนน้อยมาก สติดี ดีตลอด ทีนี้เห็นว่าผลสติดีก็เลยไม่คำนึงถึงธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์เครื่องใช้ก็จะพังไปอีกแหละ จึงต้องมาเยียวยารักษา ทั้งรักษาจิตทั้งรักษาธาตุขันธ์ด้วย
เวลามันเอากันจริงๆ มันไม่ได้คำนึงคำนวณถึงธาตุถึงขันธ์นะ ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันบนหัวใจ มันเอาจริงๆ นะล่ะ บางคืนนอนไม่หลับเลยมันหมุนกัน ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังมาก ความเพียรไม่มีหยุดหย่อนเลย ตลอดเวลา เว้นแต่หลับ ดีไม่ดีบางคืนนอนไม่หลับ ความเพียรระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน เวลามันยังไม่ได้เหตุได้ผลอะไรนี้การภาวนาล้มลุกคลุกคลาน ความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอมาด้วยกัน ความอุตส่าห์พยายามก็ดันกันเข้าไป แล้วค่อยได้ผลขึ้นมา หาวิธีทำหลายด้านหลายทาง ทั้งอดอาหาร ทั้งอดนอน หลายแบบหลายฉบับ และการทดสอบทางปัญญาด้วย ต้องใช้ปัญญามาแนบอยู่เสมอ
ทีนี้จิตก็ค่อยสงบตั้งรากตั้งฐานได้ จิตสง่างามขึ้นมาละที่นี่ ความเพียรก็หนักละ เมื่อความเพียรหนัก หนักเข้าจนกระทั่งถึงยืนเดินนั่ง เว้นแต่นอนหลับ นอกนั้นมีแต่การประกอบความเพียร บางคืนนอนไม่หลับเลย คือจิตทำงานระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน นี่ละการประกอบความเพียร เมื่อได้ผ่านไปแล้วมันก็รู้เรื่องรู้ราวแง่หนักเบาของการต่อสู้กับกิเลส จึงได้มาเตือนหมู่เพื่อนเสมอ เพราะเรามันเป็นนิสัยผาดโผนอยู่ ทำอะไรรู้สึกจะผาดโผนโจนทะยาน มันเลยความพอดี
อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็เตือนเสมอ คือเอาผลของการภาวนาเล่าถวายท่าน ท่านฟังทั้งสองแง่ แง่ได้แง่เสียท่านฟัง เราพิจารณาเอาตั้งแต่แง่ได้ แง่เสียไม่คำนึงซี ธาตุขันธ์เสียลงไป ท่านคอยเตือน ท่านเตือนส่วนมากท่านจะยกม้า สารถีฝึกม้าเขาต้องหาวิธีฝึกหลายอย่าง เวลาม้ามันผาดโผนโจนทะยานไม่ยอมฟังเสียงสารถีผู้ฝึกม้า มันผาดโผนมากนายสารถีก็ต้องฝึกทรมาน ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนกระทั่งม้ามันค่อยหายพยศลงมา การฝึกก็ค่อยลดกันลงมา ท่านสอนอย่างนั้น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
พอจิตมันได้หลักได้เกณฑ์แล้วการฝึกประเภทนั้นมันก็ลดไป เป็นแต่ความหมุนกันกับธรรมเรื่อยๆ ไปอย่างนั้นละ กิเลสตัวมืดบอดมันปิดบังจิตใจให้มืดให้บอดนะ กลางวันพระอาทิตย์ร้อยดวงก็ตามแต่มันจะไม่มองความสว่างไสวของพระอาทิตย์ มันจะมีแต่ความมืดตื้ออยู่ภายในจิตใจละ นี่ก็เอากันอย่างหนักเหมือนกัน แล้วก็ผ่านได้ๆ ที่เล่าให้ฟังนี่วิธีการหรืออุบายภาวนาเจ้าของ แต่เราก็อย่างว่าละมันไม่ค่อยเหมือนใคร จะทำอะไรใครมายุ่งไม่ได้ แน่ะเป็นอย่างนั้น ออกกรรมฐานก็ออกคนเดียวเลย บอกว่าป่าช้าอยู่กับเรา เป็นตายเรารู้เราเอง เท่านั้นละ มันก็ฟัดกันเลย
สุดท้ายกิเลสกับธรรมฟัดกัน กิเลสก็อ่อนลงๆ ธรรมมีกำลังกล้าฆ่ากิเลสลงได้มุดมอดภายในจิตใจ ใจก็สว่างจ้าขึ้นมา นั่นการภาวนาทำอย่างนั้น บางทีก็เกิดความอัศจรรย์ในใจตัวเองเวลาจิตมันสว่างไสวมากๆ แต่ก่อนมันมืดตื้อ ครั้นเวลาฝึกไปๆ เป็นถึงขั้นอัตโนมัติแห่งการภาวนาคือเป็นไปเองๆ อย่างนั้นมันไม่หยุดไม่ถอย กลางคืนนอนไม่หลับก็มี ตลอดรุ่งไม่หลับ กลางวันมาจะนอนให้หลับมันก็จะไม่ยอมหลับ คือจิตกับธรรมทำงานต่อกันกับกิเลส มันหมุนกันตลอดเวลาเลย
ลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักขึ้น เอาจนกระทั่งก้าวขาไม่ออก คือมันลืมวันลืมคืน ก้าวขาไม่ออก หมดกำลังแล้วได้พักสักทีหนึ่ง ถ้าว่านั่งก็เหมือนกัน เหมือนหัวตอ ว่าเดินก็เอาถ้าได้ลงแล้วจนก้าวขาไม่ออกมันถึงจะหยุด นั่นละการประกอบความเพียรหนักมากสำหรับเราผู้มีนิสัยวาสนาไม่กล้าแข็งอ่อนแอสู้กิเลสไม่ได้ ต้องเอากันอย่างหนักทีเดียว แต่ความเอากันอย่างหนักนั้นน่ะมันเป็นพลังทำให้เกิดอุบายต่างๆ ภายในจิตใจ จิตใจค่อยสงบร่มเย็น ค่อยสว่างไสว ทีนี้ความคิดความปรุงทั้งหลาย มุ่งไปในทางธรรมล้วนๆ เลย ไม่ได้ออกไปทางกิเลสตัณหา มีแต่มุ่งต่ออรรถต่อธรรม
สุดท้ายจิตที่มันมืดตื้อมันก็สว่างขึ้นมาๆ สว่างจนตัวเองก็อัศจรรย์ ไม่ใช่ธรรมดา มันสว่างไสว มองไปทางไหนทะลุหมดเลย โลกนี้กลายเป็นโลกว่างไปหมด ไม่มีอะไรมาผ่านหัวใจ เวลามันสว่างมันสว่างอย่างนั้น สุดท้ายมันก็ว่างไปหมด โลกธาตุนี้ว่างหมด มาย้อนทีหลังหัวใจก็มาว่างอีก มาว่างที่หัวใจ วางที่หัวใจ ปล่อยวางที่หัวใจแล้ว นั่นละที่นี่เป็นจุดมุ่งหมายสว่างจ้าขึ้นมา
เวลามันหนักมันหนักจริงๆ การประกอบความพากเพียร แต่วิธีการภาวนามักจะแนบไปด้วยการอดอาหารสำหรับเราเอง เอาจนท้องเสีย คือมันได้ผลดี ไม่คำนึงถึงธาตุถึงขันธ์ คำนึงแต่ผลประโยชน์ที่จะได้ ธาตุขันธ์มันก็เสีย เอาจนกระทั่งโลกธาตุนี่ว่างไปหมด นี่ละจิตดวงมันมืดบอดเวลาได้เปิดออกด้วยความพากเพียรไม่หยุดไม่ถอยจิตก็ค่อยสว่างไสวขึ้นมา สว่างจ้าขึ้นมา สุดท้ายครอบโลกธาตุ จิตสว่างนี้ครอบโลกธาตุ ไม่ใช่ธรรมดา นี่ละจิตที่เกิดขึ้นจากการภาวนา
ทำจิตใจให้สงบเสียก่อน อย่างไรก็ตามสตินี้ปล่อยไม่ได้ สติสำคัญมาก ถ้าสติติดกันกับความพากเพียรอยู่เสมอ ก็เรียกว่ามีความเพียรไปตลอด ถ้าเผลอสติเมื่อไรความเพียรก็ขาด ความเพียรมารวมอยู่ที่สตินะ ถ้ามีสติอยู่ที่ไหนก็เป็นความเพียร ขาดสติแพล็บเดียวความเพียรขาดไปด้วยกัน สติจึงเป็นของสำคัญ ท่านแสดงไว้เป็นภาษาบาลีว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่มีเว้นที่สติจะไม่เข้าแทรกอยู่ตลอดเวลา นั่นละการทำความเพียร
การประกอบความพากเพียร เวลาจิตมันหยาบนี่มันก็อยู่ในขั้นอสุภะอสุภัง ไปเยี่ยมป่าช้าผีเป็นผีตายผีสดผีแห้งในป่าช้า แล้วก็ย้อนเข้ามาพิจารณาป่าช้าตัวเองในร่างกายของเรามีอะไรบ้าง พิจารณาป่าช้าของตัวเอง ป่าช้าภายนอกเทียบกันได้ทุกสัดทุกส่วน ป่าช้าภายนอกก็ปล่อย กลับเข้ามาพิจารณาป่าช้าภายใน สุดท้ายป่าช้าภายในก็อิ่มพอ ปล่อย จากนั้นจิตก็เป็นความว่างเปล่าไปเรื่อยๆ
ทีนี้เวลามันว่างโดยสิ้นเชิงแล้วนี้ ท่านบอกว่านิพพานเที่ยงไม่ได้ไปสงสัยถามใครละ พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ไม่ได้ไปทูลถาม ว่าท่านเหมือนกันหรือผิดกันที่ตรงไหนพระพุทธเจ้า หมายส่วนใหญ่ก็คือความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นี้เหมือนกันหมด ไม่ต้องถามองค์นั้นองค์นี้ละ แต่ถ้าถามถึงอาการของรูปของกายนี้ว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้นมีรูปลักษณะอย่างนั้นมีลักษณะอย่างนั้น พอจิตเข้าถึงขั้นบริสุทธิ์เป็นอันเดียวกันแล้วพระพุทธเจ้าทางรูปทางนามมีไม่มีมันเหมือนกันไปเลย พระพุทธเจ้ากับเรากับใครมันก็เป็นอันเดียวกันบรรดาท่านผู้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์อย่างนั้นละ
ให้พากันฝึกหัดภาวนาบ้างนะ การภาวนานี่สำคัญมาก รู้จุดหมายปลายทางของตนเอง จิตนี้มันท่องเที่ยวตลอดเวลา เกิดภพน้อยภพใหญ่สูงต่ำ นรกอเวจีมันไปหมด ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมมันไป ขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้นอยู่อย่างนั้น ก็คือใจดวงนี้ แต่เวลาชำระจิตดวงนี้ให้สง่างามขึ้นมาแล้วมันก็รู้ทิศทางของการเกิดการดับ การไปการมาของจิตที่มันท่องเที่ยวไปทางไหนบ้าง มันก็หักห้ามกันอยู่ สุดท้ายก็มาหักห้ามได้ที่จิต จิตตัวเศร้าหมองมืดตื้อนี่ถ้าเป็นคนก็คนตาบอดเดินชนต้นไม้ต้นเสา ตกเหวตกบ่อ ใจบอดก็แบบเดียวกัน คิดทางที่ดิบที่ดีไม่ค่อยคิด อันไหนที่จะเป็นภัยแก่ตนมันชอบจะคิดอันนั้น
ทีนี้พอได้ระงับดับกันลงด้วยจิตตภาวนามีสติเป็นฐานสำคัญแล้ว จิตก็ค่อยสงบเย็นลงไปๆ จนกระทั่งสามแดนโลกธาตุนี้ปล่อยวางหมดโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรเหลือ แม้ที่สุดธาตุขันธ์ของตัวเองที่ครองหรือรับผิดชอบกันอยู่ก็ปล่อยภายในจิต ไม่ยึดไม่ถือเป็นแต่เพียงดูแลรักษากันไปเท่านั้น เรียกว่าปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ยังเหลือแต่ธรรมธาตุคือจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเป็นธรรมธาตุ จิตดวงนี้แหละเมื่อบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุกับนิพพานเที่ยงอันเดียวกัน ถึงขั้นธรรมธาตุแล้วก็นิพพานเที่ยง
นั่นการฝึก ทีนี้ฝึกแล้วการที่จะไปจะอยู่จะเกิดในภพใดชาติใดมันตัดขาดสะบั้นเข้ามา อยู่ในหัวใจที่ขาดแล้วจากภพชาติทั้งหลาย เป็นใจที่บริสุทธิ์ เป็นใจที่เรียกว่าธรรมธาตุ นี่ละหมด ใจหมดเหตุหมดผล ปัจจัยที่จะมาสืบต่อให้เกิดภพนั้นภพนี้สูงๆ ต่ำๆ ก็ไม่มี หมด เหลือแต่เป็นธรรมธาตุล้วนๆ นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงที่ใจ หายสงสัยในการเกิดการตายของตนภายในจิตนั่นแหละ ทีนี้ก็หายสงสัยไปเลย นี่ที่สุดของการภาวนา ที่สุดของการสร้างความดีทั้งหลายด้วยประเภทต่างๆ แล้วก็มารวมกันที่จิตตภาวนาเป็นทำนบใหญ่ เมื่อภาวนารวมตัวกันลงสุดขีดแล้วก็มาหมดเหตุหมดปัจจัยที่ตรงนั้นละ แล้วสิ้นสุดการเกิดตาย ใจเป็นนักท่องเที่ยวก็มารู้ตัวในเวลานั้น เรียกว่าหยุดแล้วการเกิดตาย ไม่ติดไม่ข้องกับสิ่งใดพอจะให้ตั้งภพตั้งชาติในสิ่งนั้นๆ ไม่มี
ดังที่ท่านสอนไว้ว่าพระติสสะท่านได้จีวรมา พากันตัดกันเย็บย้อมเรียบร้อยแล้ว พอดีกลางคืนท่านเกิดอุบัติเหตุในธาตุขันธ์ของท่าน เลยตายปัจจุบัน ท้องเสีย ตายปัจจุบัน พอตายแล้วแทนที่จะไปสวรรค์นิพพานที่เจ้าของมุ่งมั่นมานานแสนนานกลับไม่ไป มาห่วงจีวรผืนตัดเย็บย้อมเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้ครองนี้เพียงอย่างเดียว จิตเลยมาเป็นเล็นติดอยู่ในจีวรผืนนั้นเสีย พอท่านสิ้นลงไปนี้ท่านก็มาเป็นเล็นห่วงใยในจีวรติดจีวร ไม่ยอมไปสวรรค์-นิพพานซึ่งเลิศกว่าจีวรนี้เลย มาติดจีวรของท่าน
พระพุทธเจ้าจึงรีบมารับสั่งพระ นี่ละใครจะรู้จิตของพระติสสะเป็นอย่างไร แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่าพระติสสะตายแล้วแทนที่จะไปสวรรค์ กลับมาเป็นเล็นติดอยู่ที่จีวร ไม่ยอมไปสวรรค์นิพพาน พระพุทธเจ้าก็มาสั่งห้ามพระทั้งหลายไม่ให้มาแตะต้องในจีวรผืนนั้น ซึ่งเวลานี้เย็บย้อมเรียบร้อยแล้วตากไว้ แต่เจ้าของตายไปเสียแล้วกลับมาเป็นเล็นเกาะจีวรผืนนั้นอยู่ เพราะความห่วงใยเสียดาย พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้พระองค์ใดมาแตะ เพราะเวลานั้นพระติสสะกำลังหึงหวงมากทีเดียว ถ้ามีใครมาแตะจะเกิดโทสะความเคียดความแค้นจะตกนรกไปอีก เลยห้ามไม่ให้มาแตะจีวร ตากไว้อย่างไรก็ให้ตากไว้อย่างนั้นแหละ
นี่มีผู้มาตัดสินนะนั่น ถ้าไม่มีผู้มาตัดสินแล้วธรรมดาเจ้าของตายแล้วจีวรใครอยากเอาไปใช้ที่ไหนก็แจกกันไป แต่นี้ก็มีพระพุทธเจ้ามาสั่งห้ามไม่ให้มาแตะจีวรผืนนี้ ท่านติสสะนี้ท่านบำเพ็ญเพื่อไปสวรรค์นิพพาน ครั้นสุดท้ายแล้วสวรรค์นิพพานสู้เป็นเล็นมาติดจีวรไม่ได้ ตายแล้วมาเกาะที่จีวร ท่านห้ามพระไม่ให้พระไปแตะ พอได้เวลาเล็นตาย อายุเล็นประมาณสักเจ็ดวันละมัง เล็นตายแล้วก็ไปสวรรค์ พระติสสะตายแล้วไปสวรรค์ พระองค์จึงรับสั่งให้พระเอาจีวรนี้ไปแจกใช้กัน ตอนนั้นห้ามไม่ให้มาแตะ เพราะพระติสสะกำลังหึงหวงในจีวรมาก ใครมาจับมาแตะต้องไม่ได้ จะเกิดความเคียดแค้นแล้วจะตกนรก ทีนี้พระติสสะตายไปแล้วคราวนี้ไปสวรรค์แล้ว จึงรับสั่งให้พระมาเอาจีวรผืนนี้ไปแจกจ่ายกัน
นี่ละเห็นไหมความละเอียดของจิต ตายแล้วมาเป็นเล็นตัวละเอียดๆ อยู่ในจีวร แทนที่จะไปสวรรค์-นิพพานไม่ไป แต่ใครก็ไม่เห็นพระติสสะตายแล้วไปไหน มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงรู้ทรงเห็นว่าพระติสสะไม่ไปไหน มาเกาะอยู่ที่จีวร เพราะความหึงหวงในจีวรของตน พระองค์ก็ห้ามไม่ให้ใครไปแตะต้อง พระติสสะกำลังหึงหวงในจีวรจะเกิดความเคียดแค้นแล้วจะตกนรกไปเสีย ไม่ให้ใครมาแตะต้องจีวร จนกระทั่งพระติสสะตายจากเล็นนั้นแล้ว ไปสวรรค์ พระองค์จึงรับสั่งให้นำจีวรนี้ไปแจกใช้กัน
นี่ละความละเอียดลออของตัวเล็น เล็นก็คือตัวจิตนั้นแหละมันมาเกาะเป็นเล็นอยู่นั้น เมื่อพระติสสะไปสวรรค์แล้ว ก็รับสั่งให้เอาจีวรนี้ไปแจกจ่ายสำหรับผู้ที่จีวรขาดใช้ไม่ได้ก็เอาจีวรนี้ไปครอง นั่นละท่านมีเหตุผลของท่านอย่างนั้น จิตนี้ละเอียดมากนะ ให้เราดูตัวของเราเองด้วยจิตตภาวนา จิตละเอียดสุดยอดแล้วนี้มีอะไรแย็บเข้ามาผ่านจะรู้ทันทีๆ มาผ่านก็คือเรื่องภพเรื่องชาติน่ะจะพาให้เกิดไปติดไปเกาะกับสิ่งนั้นๆ
ทีนี้เวลาชำระนี้ออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว ใจก็ถอนจากสิ่งทั้งหลายมาเป็นตัวของตัว ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันอยู่ที่ใจดวงนั้นแหละ จากนั้นก็หมดปัญหาไปเลย นี่ละจิตต้องได้ฝึกได้พิจารณากันละเอียดลออ เจ้าของเองทราบไม่ได้ ต้องพระพุทธเจ้ามาทราบให้ เราเอาให้มันรู้ในปัจจุบัน มันยังติดยังเกาะอยู่กับสิ่งใดมันก็รู้ภายในตัว พอมันปล่อยวางหมดแล้วก็ไม่มีอะไรติดข้อง ดีดนิพพานเลย ท่านว่าบรรลุอรหันต์ เป็นอย่างนั้นละ จิตดวงนี้ละเอียดลมากขนาดนั้นละ ดวงพาเกิดพาตาย เพราะฉะนั้นเราจึงได้ใช้การอบรมด้วยการสร้างความดีงาม เพื่อเป็นอุปกรณ์หนุนกันไปในทางที่ถูกที่ดี จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางจิตบริสุทธิ์แล้วก็ผ่าน นิพพานไปเลย พากันจำเอานะ มีเท่านั้นละ เทศน์เท่านั้นละวันนี้ เหนื่อย
วันนี้มีเทศน์บ้างเล็กน้อย การเทศนาว่าการเราก็ไม่เทศน์ทุกวันเพราะเหนื่อย เหนื่อยมาก การเทศน์สอนคนก็เหนื่อย เทศน์สอนเจ้าของก็เทศน์สอนมาพอแล้ว ตั้งแต่ออกปฏิบัติเรียกว่าเอาจริงเอาจัง เวลาเรียนหนังสือก็ทำภาวนา แต่ไม่ให้ใครทราบนะ เพราะพวกนี้มันมีแต่ลิงแต่ค่าง มันไม่ได้สนใจกับการภาวนา เราพูดขึ้นมานี้มันจะแหย่เอาหลงทิศไปนะ ตั้งแต่เราเดินจงกรมกลางคืนดึกๆ พอว่างงานทางหนึ่งแล้วลงไปเดินจงกรมเงียบๆ แล้วมีพระองค์หนึ่งเพื่อนกันนั่นแหละมา แล้วทำอะไร เราก็เผลอไป เดินอะไรทำอะไร ว่าอย่างนั้นนะ เพื่อนกัน มันก็เหมือนแขนซ้ายแขนขวา จะเอาโทษเอากรรมกับใครก็ไม่ได้ใช่ไหม เราก็ตอบมาด้วยความโง่ของเรา เดินจงกรม ว่าอย่างนั้นนะ เหอ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ ขึ้นเลยนะ รอเสียก่อนๆ ให้เรียนหนังสือจบก่อนแล้วค่อยไปภาวนาด้วยกัน แต่ความจริงมันไม่ไป มันพูดแหย่เฉยๆ มันทำให้รำคาญ
เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้ความโง่เจ้าของเสียใหม่ เวลาดึกๆ ลงมาเดินจงกรมเพื่อนฝูงเดินมา ทำอะไร อ๋อ เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ได้บอกว่าเดินจงกรม ถ้าว่าอย่างนั้นมันแหย่เอา ต้องบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศ อยู่กับหมู่กับเพื่อนจิตมันไม่ได้ปล่อยนะทางด้านจิตตภาวนา มันหากเป็นอันหนึ่งพูดยากนะ มันฝังลึกๆ เรื่องภาวนาอยู่ลึกๆ เรื่องลิงเรื่องค่างบ่างชะนีออกสู่หมู่สู่เพื่อน เขาว่าอะไรว่ากับเขา เขาเป็นลิงก็เป็น เขาเป็นหมูเป็นหมาก็เป็นกับเขา ในวงพระพูดหยอกเล่นกัน แต่เรื่องภาวนาไม่ให้รู้ เราเรียนหนังสืออยู่เราไม่เคยปล่อยนะภาวนา มันหากเป็นอยู่ในจิตนี่ละ
เพราะฉะนั้นเวลาว่างๆ มาแสดงกิริยาอย่างหนึ่งออกมา เช่นมันเปิดเผยในการเดิน หมู่เพื่อนมาถาม ทำอะไร เราเซ่อก็บอกว่าเดินจงกรม เหอ เอาแล้วนะ เหอ จะไปสวรรค์-นิพพานแล้วเหรอ ให้รอเสียก่อนนะ เรียนจบแล้วค่อยไปสวรรค์-นิพพานด้วยกัน ความจริงมันไม่ไป มันมาแหย่เราเฉยๆ ทีนี้ก็พลิกใหม่เวลามาเจอกันทีหลังเดินจงกรม นี่ทำอะไร เดินอะไร อ๋อ เปลี่ยนบรรยากาศ ก็รอดพ้นไปได้ ไม่อย่างนั้นถูกมันแหย่เอา
ไอ้นี้มันเป็นนิสัยของตัวเอง เรียนหนังสืออยู่ไม่เคยละการภาวนา แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง ไม่ให้ใครรู้ ใน ๗ ปีเรียนหนังสืออยู่กว่าจะได้ออกปฏิบัติ ๗ ปี จิตนี้รวมใหญ่ได้สามหน นั่นละจิตที่รวมใหญ่ปีไปบวชพรรษาแรก ไปถามภาวนากับท่านพระครู เห็นท่านเดินจงกรมตอนเช้า ตั้งแต่เช้านะๆ ท่านลงเดินจงกรม เราก็สังเกต เพราะเรานอนอยู่ในโบสถ์ ท่านอยู่หลังโบสถ์หลังพระประธานมีเตียง พวกนาคทั้งหลายนอนอยู่ทางหน้าโบสถ์ เราก็สังเกตท่านอยู่เวลาท่านไปเดินจงกรมตอนเช้าๆ ตอนตีสี่ตีห้า พอสว่างท่านก็เข้ามาแล้วก็ทำวัตร เสร็จแล้วก็ออกบิณฑบาต นี่เป็นปรกติของวัดโยธานิมิตร
พอเสร็จแล้วก็ถามท่านเรื่องภาวนา ภาวนาทำอย่างไรอยากภาวนา เออ ให้เอาพุทโธนะ ท่านว่าอย่างนั้น เราก็เอาพุทโธ ท่านบอกว่าท่านเองท่านก็เอาพุทโธ เราก็ว่าพุทโธเรื่อยไป เราเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีจิตรวมใหญ่สามหน มันอัศจรรย์ไม่ลืมนะ ถ้าลงได้รวมได้หนหนึ่ง มันเป็นเชื้อลึกมากให้ติดอยู่ภายในใจ อยากทำภาวนา เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี จิตรวมได้สามหน นั่นละออกไปทีนี้ถึงได้เอาใหญ่เลย ออกไปก็เอาใหญ่จริงๆ
แต่ไม่มีใครรู้นะ เวลาเรียนหนังสือกับหมู่กับเพื่อนไม่ให้ใครรู้ มีแต่ละครลิงพูดหยอกเล่นกันอะไรตามประสาพระ ไม่ให้นอกเหนือธรรมวินัยไป แต่เรื่องภาวนาไม่แสดงไม่ให้รู้ เวลาจำเป็นได้ตอบออกไปก็ตอบอย่างนั้น ตอบทีแรกตอบตรงไปตรงมา พระเขาก็แหย่เอาละซิ เหอ จะไปสวรรค์-นิพพานเดี๋ยวนี้ รอเสียก่อนนะ เรียนจบแล้วค่อยไปด้วยกัน ความจริงมันไม่ไป มันไม่สนใจ มันพูดแหย่ไปอย่างนั้นละ นี่เราก็หลบหลีกไป พอเดินจงกรมกลางคืนเพื่อนฝูงเดินมา ทำอะไร อ๋อเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งเรียนหนังสือนานดูหนังสือนาน เปลี่ยนบรรยากาศ เรื่องก็ผ่านไป ไม่มีเรื่องอะไร ถ้าว่าภาวนา เหอๆ ขึ้นเลย จะไปสวรรค์-นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ เพราะฉะนั้นจึงไม่บอกให้ใครทราบ เป็นอยู่ในใจ เรียนหนังสือก็ภาวนา แต่ไม่บอกให้ใครทราบ
ตอนออกแล้วทีนี้ขึ้นเวทีแล้วนี้ฟัดกันเลยละ ตั้งแต่นั้นมาขึ้นเวทีพรรษา ๗ หยุดเรียน มาอบรมกับพ่อแม่ครูจารย์ถึงพรรษา ๑๖ เป็น ๙ ปี ออกปฏิบัติภาวนาไปองค์เดียวๆ ตลอด ไม่เอาเพื่อนฝูงไปด้วย นิสัยเราเป็นอย่างนั้น เวลาออกปฏิบัติแล้วยิ่งแล้วใครจะไปติดตามไม่ได้ อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันก็ตาม มันหากเป็นของมันเองในจิต นั่นก็ ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกปฏิบัติถึงพรรษา ๑๖ จำได้จนกระทั่งวันที่ ๗ พรรษาถึง ๑๖ พรรษา นั่นละฟัดกันตลอดเหมือนตกนรกทั้งเป็น หาความสุขไม่ได้ ฆ่ากิเลสเอาอย่างหนัก ไปคนเดียวๆๆ ตลอด พรรษา ๑๖ จึงได้ตัดสินกันลงได้ พรรษา ๑๖ ตัดสินขาดสะบั้นเลยเรื่องวัฏวนวัฏจิต ขาดสะบั้นไม่มีเงื่อนต่อกันเลย นี่ฝั่งวัฏวน นี้ฝั่งแห่งวิวัฏฏจิต ฝั่งแห่งพระนิพพานอยู่คนละฝั่ง เอาให้ขาดสะบั้น หายสงสัยไม่ต้องไปถามใคร
พระพุทธเจ้าแสดงว่าสนฺทิฏฺฐิโก ประกาศขึ้นกับหัวใจดวงใดไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า รู้เอง นี่ก็ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี จึงตัดสินกันลงได้ แล้วจะไปถามใคร พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้วว่าสนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตัวเอง ทีนี้เราเวลารู้ผลงานของเราขนาดไหนก็รู้ไปตามนั้นสนฺทิฏฺฐิโก ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายก็รู้เอง ขาดสะบั้นไปหมด วัฏวนภายในจิตใจขาดมันก็รู้
ทีนี้สิ้นเสร็จแล้ว ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ก็มาลงในจุดนี้ละ รู้ตัวเองโดยลำดับ ถึงขั้นสนฺทิฏฺฐิโก วาระสุดท้ายก็ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ วัดดอยธรรมเจดีย์นี่สำคัญอยู่นะกับเรา ทีแรกมันก็แสดงฤทธิ์เดชแห่งความสำคัญของธรรมให้รู้อยู่เห็นอยู่ อัศจรรย์ตัวเองก็ไปอัศจรรย์อยู่ที่นั่นทั้งๆ ที่จิตยังไม่หลุดพ้น มันหากเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ให้เห็นอยู่กับหัวใจที่ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี้แหละ จากนั้นมาก็ไปอัศจรรย์ขั้นสุดท้ายอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี บอกได้กระทั่งเวลา นั่นละขั้นสุดท้ายไปปลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ดูว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ ขาดสะบั้นออกจากกัน เกิดความอัศจรรย์ นั่นละอัศจรรย์สุดยอด จากนั้นแล้วไม่มีคำใดที่จะพูดอัศจรรย์ได้อีก ขั้นสุดท้ายลงตรงนั้นละ พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นพรรษา ๑๖
นี่ก็มีเพื่อนองค์หนึ่งนะ เราก็ระลึกถึงคุณท่านไม่ลืม คืออันใดที่เป็นอยู่ภายในจิตของเราเราจะรู้ภายในจิต ไม่บอกใคร เช่นอย่างภาวนาอยู่พอจิตรวมลงไปสงบลงไปมีตาปะขาวมา เดินมายืนตรงหน้า ทั้งๆ ที่จิตรวมนะ มันออกมาแสดงภาพตาปะขาวมา มาก็มายืนตรงหน้าเรานับข้อมือ หก เจ็ด แปด พอข้อมือที่เก้าปั๊บแล้วมองมาหาเรา ทางนี้ก็รู้รับกันปั๊บเลยว่า ๙ ปีสำเร็จ สำเร็จมันมีอยู่สองแง่ ๙ ปีตั้งแต่บวชมาถึงวันสำเร็จเป็นเวลา ๙ ปี อีกอันหนึ่งตั้งแต่ออกปฏิบัติ ๙ ปี จึงสำเร็จ
มาถึง ๙ ปีจิตยุ่งเหมือนไฟเผาหัวอก โอ๊ย มันจะสำเร็จอะไร ๙ ปี ตอนที่เป็นนั้นก็พรรษา ๗ ออกปฏิบัติทีแรก มาถึงพรรษา ๙ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไฟเผาหัวอก โอ๊ ไม่ใช่ละพรรษา ๙ นี่นะ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ปฏิบัตินี้เอา ๙ พรรษานั้นแหละ ตัดสินกันตรงนั้นตามความรู้อันนี้ พอออกพรรษาแล้วยังไม่สำเร็จ แต่จิตละเอียดมากนะ หากไม่สำเร็จ เลยมีเพื่อน คำว่าเพื่อนนี่หมายถึงผู้ฝากความคิดจิตใจ พึ่งเป็นพึ่งตายกันจริงๆ ไม่ใช่ไปเล่าให้พระฟังสุ่มสี่สุ่มห้านะ พระสุ่มสี่สุ่มห้าไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ต้องผู้ปฏิบัติด้วยกัน เคยคุยกันมาแล้ว
ตอนนั้นออกพรรษาแล้ว จิตมันละเอียดมาก แต่มันยังไม่สำเร็จซิ ก็เลยเอาทีนี้ผมจะเล่าความโง่ให้ท่านฟัง เป็นอย่างไรเล่าซิ ก็นี้ภาวนาบอกว่า ๙ ปี สำเร็จ ผมก็ดำเนินมา ๙ ปีตั้งแต่บวชมา แล้วเป็น ๙ ปีสำเร็จ หรือว่าเป็นอย่างไร ทีนี้ ๙ ปีนั้นบวชมาจิตเป็นไฟมันไม่ได้เรื่อง ทีนี้ ๙ ปีนี้ออกพรรษาแล้วในวันนี้จิตละเอียดก็จริง แต่มันยังเราก็บอกว่ายัง ไม่สำเร็จ นี่ออกพรรษาแล้ววันนี้มันยังไม่สำเร็จ ท่านองค์นั้นท่านก็ดีท่านแก้ให้ เราไม่ลืมคุณท่านนะ
โอ๊ย ไม่ใช่อย่างนี้ คำว่า ๙ ปี พอออกพรรษาปั๊บเป็น ๙ ปี พรรษานี้ต้องไปชนพรรษาหน้าซิ ท่านว่าอย่างนั้น เป็นเวลาที่จะบำเพ็ญและบรรลุธรรมได้สบายๆ จากนี้ไปอีกถึงพรรษาหน้าถ้าเข้าพรรษาปั๊บเมื่อไรแล้วคำว่า ๙ ปีก็สิ้นสุดลง เหอ อย่างนั้นเหรอ เอาอีก ฟาดทีนี้เดือนหก แน่ะเราก็ไม่ลืมนะ ดังที่ว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละไปลงกันจุดนั้นเป็น ๙ ปี ยังไม่เข้าพรรษา เดือนหก เราก็ไม่ลืม ก็เป็นจริงๆ เออใช่ ใช้ได้ ไม่สงสัยเป็นจริงๆ ใน ๙ ปีนั้น
มันหากเป็นในจิต ถ้ามันเป็นในใจแล้วจะไม่เล่าให้ใครฟังนะ เราจะเก็บของเราจนกระทั่งมันหมดวิสัยของตัวเองแล้วควรจะระบายให้ใครฟังเพื่อความช่วยเหลือกันเราก็เล่า อย่างที่เล่าให้พระเพื่อนกันฟัง ที่ว่า ๙ ปีสำเร็จ นี่มันออกพรรษาแล้วมันยังไม่สำเร็จ ว่าอย่างไร จิตนี่ยอมรับว่าละเอียดแต่มันยังไม่สำเร็จ โอ๋ ก็มันพึ่งออกพรรษา มันต้องเอาตั้งแต่นี้ไปถึงชนพรรษาหน้าซิ ท่านพูดนะ เป็นเวลาที่ทำความเพียรได้ตลอด สำเร็จได้สบาย เวลานี้มันพึ่งออกพรรษา จนกระทั่งเข้าพรรษาหน้า ๙ ปีถึงจะหมดไป เหอ อย่างนั้นเหรอ ซัดอีก พอดีไปถึงเดือนหกไม่ถึงวันเข้าพรรษา ขาดสะบั้น เป็นอย่างนั้นละ
คือการเล่าให้เพื่อนฝูงฟังต้องเล่าให้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติด้วยกันจริงๆ จังๆ นะ ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เล่า โอ๋ยไม่ได้ จิตดวงนี้ไม่มีเลย ไม่ให้ใครรู้ง่ายๆ ละ ถ้าผู้หวังพึ่งเป็นพึ่งตายจริงๆ ก็อย่างที่ว่าละเล่าให้ท่านฟังท่านก็แก้ปุ๊บเลย มันพึ่งออกพรรษา มันต้องไปชนพรรษาหน้าฤทธิ์ของ ๙ ปีนี้ถึงจะหมด เหอ อย่างนั้นเหรอ ก็เป็นจริงๆ ซัดกันถึงเดือนพฤษภา ยังไม่เข้าพรรษาขาดสะบั้นไปเลย เล่าให้ท่านฟัง เอาละที่นี่เสร็จแล้วดังที่ว่าจริงๆ แน่ะมันก็แน่นะไม่ได้สงสัยเลย
ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นจากใจ วันนั้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้มีกิเลสตัวใดเท่าเม็ดหินเม็ดทราย ที่จะแทรกขึ้นมาให้จิตใจกำเริบ ว่ารักบ้างชังบ้างเป็นต้นนะ ไม่มีเลย หมด นั่นมันถึงแน่ ถ้าว่าหมดหมดจริงๆ ค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ กระแสของกิริยาอาการมันพูดได้ทำได้ เผ็ดๆ ร้อนๆ ก็ได้ แต่จิตมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นอย่างดุด่าว่ากล่าวใครต่อใครเผ็ดๆ ร้อนๆ มันเป็นธรรมไปเสีย ไม่ได้เป็นความโกรธความโมโห ถ้าหากว่ามีกิเลสอยู่ในนั้นพอโมโหทางนี้เป็นไฟก่อนแล้ว นี่มันไม่เป็น พากันจำเอานะ เอาละวันนี้สายแล้ว
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|