(ผู้ฟังเทศน์ นักเรียน ร.ร.อุดรพิทย์ ๑๐๐ คน ประชาชน ๔๐๐ คน)
พยายามเก็บหอมรอมริบ ต่างคนต่างบริจาคคนละเล็กละน้อยไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนฝนตกนั่นแหละ ตกไม่หยุดไม่ถอยมันก็เต็มเอง อันนี้ก็เหมือนกันคนไทย ๖๒ ล้านคนต่างคนตกคนละหยดละหยาดก็ค่อยเป็นไปเอง พูดถึงเรื่องการทำลายนี้เราไม่อยากพูดนะ เราพูดจริง ๆ เราสลดสังเวชจริง ๆ มาเล่นกับมูตรกับคูถนี้แหม
ว่างั้นเลย ทองคำธรรมชาติ-ธรรมธาตุมาเล่นกับกองมูตรกองคูถ แต่ก็ทนเอา
สิ่งที่มีสาระมันแทรกอยู่ในกองมูตรกองคูถ เพราะฉะนั้นจึงต้องบุกเข้าไปในกองมูตรกองคูถ ได้รับความสกปรกมอมแมมมาก็ต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่มีคุณค่ามีราคายังแทรกอยู่ในกองมูตรกองคูถนั้น ก็ต้องบุกเข้าไปหาสิ่งเหล่านี้ ถ้ามีแต่มูตรแต่คูถแล้วก็เรียกว่า ปทปรมะ พระพุทธเจ้าชักสะพานเลยไม่เล่นด้วย มันก็มีอยู่ในนั้นแหละ แทรกแฝงกันอยู่นั้น อุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ มันแฝงกันอยู่นั้น ๆ ไม่มากก็น้อย แฝงอยู่ในกองปทปรมะ มูตรคูถเต็มส่วนเต็มสัดของมัน จึงได้อุตส่าห์พยายามอย่างนั้นนะ เราพูดจริง ๆ เราสลดสังเวช แต่เราทนเอาด้วยอำนาจแห่งความเมตตาที่ช่วยโลกเวลานี้นะ อำนาจแห่งความเมตตานี้พาให้ไปฉุดไปลากไปดึงนั้นดึงนี้ กระทบกระเทือนเรื่องอะไร ๆ นี้ ก็เหมือนกับมูตรกับคูถมันกระเด็นมาถูกเราเราปัดออกเสีย ไปเรื่อย เดินเรื่อย ชำระเรื่อยไป
โห มันสกปรกจริง ๆ ผู้ตั้งหน้าตั้งตาทำลายชาติบ้านเมืองมันตั้งหน้าตั้งตาจริง ๆ พยายามทุกวิถีทาง ฟังให้ดีพวกที่เป็นเจ้าของสมบัติ มานอนใจอยู่ได้ยังไง เสือร้ายตัวหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้นคนทั้งบ้านนอนไม่หลับนะ ต้องรักษาสมบัติเงินทองและชีวิตเจ้าของ เพราะมหาภัยเพียงรายเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว ยิ่งจะมีมากกว่านั้นก็ฉิบหายล่ะซี บ้านเมืองของเราตั้ง ๖๒ ล้านคน ไอ้พวกเปรตพวกผีพวกยักษ์พวกมารนี่ไม่กี่ราย มันทำลายให้แหลกไปได้นะ เราสลดสังเวชที่มาช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้นะ เราก็ไม่เคยได้คิดได้คาดได้ฝัน ก็ได้เคยเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว นิสัยวาสนาเราเป็นนิสัยวาสนาอาภัพ ส่วนการบวชการเรียนหนังสือเราไม่พูด
ออกปฏิบัติที่นี่ เรียกว่าขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส สังหารกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ นั่นละความตั้งอกตั้งใจเสียสละชีวิตตลอดเลยเทียว หาความสุขความสบายไม่ได้เลยตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวที มีแต่ความทุกข์ลำบาก แต่ลำบากอันนี้เรียกว่าบุกข้าศึกศัตรูคือกิเลส ลำบากก็ทนเอา บุกเข้าไปเลย ทุกข์ขนาดไหน ทุกข์เพื่อชัยชนะ ๆ นี้เป็นความทุกข์เพื่อสุข เอ้า บุกเข้าไป ๆ
ใครจึงจะมาเขียนประวัติของเราไม่ได้เราก็บอกแล้ว ประวัตินี้ก็มีพวกลูกศิษย์ลูกหาเขียนออกมาเป็นประวัติหลวงตาบัว ที่ หยดน้ำบนใบบัวนี้ ก็จดก็เขียนเอาธรรมดา ที่จะให้เราบอกเราเล่านี้เราไม่ได้บอก ดีไม่ดีผู้ที่จดจารึกอะไรเรียบร้อยแล้วอยากจะมาให้เราอ่าน เราบอกให้ปาเข้าป่า มายุ่งทำไม ถ้าเราจะให้เขียนของเราเราก็บอกแล้วนี่นะ บอกอย่างนั้นเลยนะ นั่นละเรื่องประวัติของเรา ตัวจริง ๆ ของเราเราเล่าให้ฟังทุกอย่างออกเขียนไปนี้ไม่มี แต่ว่าเราพูดเราเล่าให้ฟังปรารภเรื่องนั้นเรื่องนี้เอาออกเขียนได้ใช่ไหมล่ะ นี่ที่ออกเขียนจากคำปรารภของเรา
ไปที่ไหนไปองค์เดียว ๆ นั่นเห็นไหม เด็ดไหม เราพูดท้าทายได้เลยถึงเรื่องความเด็ดเดี่ยวนี้ อยากหาตัวมาแข่งว่าไง พูดให้ใครฟังใครไม่อยากฟัง แต่เราทำอย่างนี้ เราทำอย่างนี้เราเป็นพยานของเราได้เต็มตัว ใครเชื่อไม่เชื่อเราไม่สนใจ ตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวทีมีแต่ความทุกข์ความทรมานลำบากลำบน หาความสุขไม่ได้นะ ความทุกข์นี้คือทุกข์บุกกิเลส ไม่ใช่ทุกข์เพื่อล่มเพื่อจม เราจึงพอใจทุกข์ ทุกข์ขนาดไหนบืนตลอดเวลา ฟังซิพี่น้องทั้งหลายว่านั่งตลอดรุ่ง ๆ จนกระทั่งก้นแตก ฟังซิน่ะ นี่ละบุก เข้าใจไหม มันทุกข์ขนาดไหนก้นถึงแตก เรานี้มันเห็นแต่หมอนแตก ไปที่ไหนเห็นแต่หมอนแตก ๆ ถ้ามันเป็นลูกระเบิดวัดป่าบ้านตาดแตกกระจายไปนานแล้ว พังหมดกำแพง ฟังเสียงหมอนระเบิด หัวทับมันล่ะซี ทับอย่างแรงเพราะความขี้เกียจจับไสลงใส่หมอน
อันนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันบุกเลยเทียว ก้นแตกนั่งภาวนา มันไม่ได้นั่งคืนหนึ่งคืนเดียว ๙ คืน ๑๐ คืนเราพอจำได้อยู่ นั่งตั้งแต่หัวค่ำ บางวันยังไม่มืดเลยนั่งแล้ว ฟาดทะลุนู่นตะวันขึ้นใหม่ กี่ชั่วโมงฟังซิ ไม่ได้พลิกเปลี่ยนไปทางไหนเลย ขีดเส้นตายให้กัน เส้นตายว่าจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปไหนไม่ได้ เช่น อิริยาบถเรานั่งขัดสมาธิ ตามปกติเรานั่งขัดสมาธิ ทุกสิ่งทุกอย่างปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว เอาละที่นี่ฟังซิน่ะ เหมือนหินหักทีเดียวเอามาต่อกันไม่ได้เลย เอานะที่นี่นะ นั่นขึ้นเวทีแล้ว ทีนี้ต่อยละที่นี่นะ เรื่องจิตใจที่จะไปคิดออกนอกลู่นอกทางแปลก ๆ ต่าง ๆ ในเวลาสละชีวิตนั่งตลอดรุ่งนี้จะคิดไปไม่ได้ นี่ขีดเส้นตายให้อีก
ต่อจากนั้นความทุกข์ความทรมานเกิดขึ้นมากน้อย เรียกว่านั่งนานเท่าไรก็ยิ่งความทุกข์มาก เหมือนร่างกายของเราทั้งร่างนี้เหมือนท่อนฟืน ทุกขเวทนาเป็นเหมือนไฟเผา ๆ แต่สติปัญญาไม่ถอย มันบุกกันอยู่ข้างในสติปัญญา ไฟทุกขเวทนามันบุกอยู่ข้างนอก สติปัญญาบุกอยู่ข้างใน ซัดกัน ๆ เอาจนกระทั่งลงผึง ฟังซิน่ะ อำนาจแห่งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด มันบังคับกิเลสได้สบาย ๆ จิตลงผึงลงแดนอัศจรรย์ เราไม่เคยเห็นในการภาวนาเราก็ได้เห็นแล้วในคืนวันนั้น นี่วันแรกเป็นสักขีพยานแล้ว เอ้า ทุกข์-ทุกข์ไปเถอะต่อไป ยังไงเราจะต้องให้ถึงจุดนี้เป็นอย่างน้อย ให้พ้นทุกข์เป็นที่สุด มันจะทุกข์มากขนาดไหนไม่ได้เคยสนใจ บุกตลอด
ทุกข์เหล่านี้เรียกว่าเป็นของจริง แต่กิเลสมันเห็นว่าเป็นข้าศึกไม่อยากทุกข์ ให้ถอยไม่ถอย ฟัดลงไปจนกระทั่ง พอมันพิจารณารอบ คือทุกข์มากเท่าไรสติปัญญาจะนอนใจไม่ได้นะ ยิ่งหมุนเร็วของมันติ้ว ๆ เหมือนกับนักมวยต่อยกันในวงใน ต่างคนต่างฟัดกันเต็มเหนี่ยว ๆ อันนี้กิเลสกับธรรมฟัดกันก็แบบเดียวกันไม่ได้ผิดกัน ธรรมนี่จะอ่อนตัวไม่ได้เวลาได้เข้าตะลุมบอนกันขนาดนั้นแล้ว ธรรมต้องฟิต สติปัญญาหมุนติ้ว ความอดความทนไม่ต้องพูดมันมาหลัง สติปัญญานี้พุ่ง ๆ เพื่อเอาชัยชนะ พอมันรอบนี้ผึงลง นั่นเห็นไหมกิเลสหงายแล้วนั่น ขณะนั้นเรียกว่ามันหงายขณะนั้น
พอเราฟื้นขึ้นมามันก็ซัดเราอีก พอจิตเราถอนขึ้นมาแล้วเอาอีก ทุกขเวทนาเริ่มเกิดอีก ๆ ฟัดอีก ๆ บางคืน ๓ ครั้งรวมลงเต็มที่สว่าง บางคืน ๒ ครั้ง แต่ครั้งเดียวนี่ดูเหมือนไม่ค่อยมี อย่างครั้งเดียวนี้ก็รวมนาน พอถอนขึ้นมาก็เป็นจังหวะนั้นเสีย นี่ละแดนอัศจรรย์ เมื่อถึงนั้นแล้วไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาเกี่ยวนะ เห็นแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์อันเดียวเท่านั้น พูดอย่างอื่นไปไม่ได้นะ
นี่เรียกว่าบุก ทุกข์ขนาดไหน ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อชัยชนะ เป็นสง่าราศี เป็นศักดิ์ศรีดีงาม ภาคภูมิใจตัวเองว่าไม่อ่อนแอ ผลก็ได้อย่างอัศจรรย์ที่เห็น เป็นที่ตอบรับกันอย่างจัง ๆ ทีเดียว นี่ความทุกข์ความทรมานของเรา นั่งวันนี้แล้ว เว้นสองสามคืนซัดอีก ๆ เอาจนกระทั่ง ทีแรกก้นออกร้อนเป็นไฟเผา อันดับที่สองพอนั่งไป ๆ มันออกร้อนแล้วมันก็พอง เพราะนั่งตลอดรุ่งมันเหมือนเอาน้ำร้อนลวกแหละนะ แล้วก็พอง จากพองก็แตก จากแตกก็เลอะ เอ้า เลอะ-เลอะไป กิเลสไม่แตกเราไม่ถอย ฟาดกัน เห็นไหม
เราไม่ได้ลืมพ่อแม่ครูจารย์มั่นกระตุกเรา เพราะท่านเห็นนิสัยผาดโผน ขึ้นไปพอไปเล่าความอัศจรรย์ให้ท่านฟังเท่านั้น ทีแรกท่านก็เสริม ยุหมา เรานี่เท่ากับหมาตัวหนึ่ง ท่านเองเท่ากับเจ้าของหมา พอขึ้นไปเล่าเรื่องความอัศจรรย์นี้ กิริยามารยาท นี่เราพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง การปฏิบัติธรรมต่อสู้กิเลสกับธรรมฟัดกันอย่างนี้ ในวงศาสนาปัจจุบันนี้เราเป็นตัวประกันเลยว่างั้นเถอะ แต่ก่อนที่เรายังไม่เคยรู้เคยเห็น ไปหาครูบาอาจารย์ก็หมอบราบคาบแก้วไป กิริยามารยาทเหมือนผ้าพับไว้ เป็นปกติเหมือนกันหมดลูกศิษย์ลูกหาไปหาครูบาอาจารย์ เราก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่ได้เคยคิดมันจะเป็นอย่างอื่น พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น
พอมันได้ของอัศจรรย์ขึ้นในคืนวันแรกนะ พอขึ้นไปกราบท่าน ทีนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นนะ ผึง ๆ เลย มันพูดด้วยความรู้ความเห็นจริง ๆ นั่นละมันอาจหาญไหม พลังของมันนี่พุ่ง เราไม่ได้ตั้งใจเป็นนะ มันหากเป็นด้วยพลังของจิตของธรรมที่รู้พูดออกมาดันออกมา มันก็ออกเอง กิริยานี้ผึง ๆ เลย ท่านคงจะคิดว่า บ้าตัวนี้มันรู้แล้วละที่นี่ คงว่างั้น คงจะว่าบ้าตัวนี้หรือหมาตัวนี้มันรู้แล้ว ทีนี้ก็เล่า พอเล่าจบแล้วก็หมอบฟัง เพราะเล่านี้เล่าแบบถวายผลให้ท่านทราบว่าเป็นยังไง ๆ ท่านจะได้แก้ไขดัดแปลง พอเล่าจบก็หมอบฟัง ทางนั้นก็ขึ้นผึงเลย เอาละที่นี่ ได้หลักแล้วที่นี่นะ เอ้า ๆ ฟาดมันลงไป ร่างกายร่างนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนแหละ มันตายเพียงหนเดียวเท่านั้น เขาไม่ได้ภาวนาเขาก็ตาย เราตายในสงครามนี้เอาเถอะ ว่างั้นเลย ทีนี้ได้หลักแล้ว
โอ๋ย หมาตัวนี้ทั้งจะเห่าจะหอน ทั้งจะกัดจะฉีก มันภูมิใจว่าแน่นอนแล้วที่เราปฏิบัติมานี้ วันไหนเป็นอย่างนั้น ขึ้นไปเราก็เป็นอย่างนั้นละ กิริยาอันนี้จะไม่เป็นเหมือนแต่ก่อน มันขึ้นด้วยอำนาจแห่งธรรมผึง ๆ มันพุ่ง ๆ เหมือนน้ำพุ เพียงเท่านั้นมันก็เป็นแล้ว นี่ละธรรมภายในใจเป็นอย่างนั้น ทีนี้นานเข้า ๆ ไปเล่าถวายให้ท่านฟังอย่างนี้ ๆ สุดท้ายพอขึ้นไปนั่งปั๊บ ท่านจะเอาละนะที่นี่ ม้านี้มันผาดโผนมาก ความหมายก็ว่างั้น พอขึ้นไปนั่งปั๊บ
กิเลสมันไม่ได้อยู่ในกายหนา มันอยู่ในใจหนา ท่านขึ้นผางเลยนะ พอนั่งปั๊บลงเท่านั้น กิเลสไม่ได้อยู่ในกาย มันอยู่ในใจ พอว่าอย่างนั้นแล้วม้าตัวผาดโผนโจนทะยาน สารถีฝึกม้าเขาจะต้องฝึกกันอย่างหนักทีเดียว ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน ฝึกทุกแบบที่ม้าจะหายพยศลดพยศลง เวลาม้าลดพยศลง การฝึกม้าเขาก็ค่อยหย่อนลง ๆ ให้กินน้ำกินท่า ลดลง ๆ จนกระทั่งใช้งานใช้การได้แล้วการฝึกเขาก็เป็นไปธรรมดา ท่านพูดเท่านั้นนะ ท่านไม่ได้ย้อนเข้ามาว่า หมาตัวนี้มันผาดโผนเกินไป มันจะเอาให้ตายในการนั่งภาวนา ความหมายคงว่าอย่างนั้น
ท่านเทียบเพียงเท่านั้นสารถีฝึกม้า เราก็เรียนมาแล้ว มีในบาลี พอท่านแย็บออกมันก็จับได้แล้วจะว่าไง เท่านั้นละ ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกนะ คือร่างกายของเรานี่ เรียกว่าเราหักโหมมาก ซัดกันจนกระทั่งก้นแตก เราไม่เคยเรียนให้ท่านทราบว่าก้นแตกนะ ฟาดกิเลสมันแตกแบบไหนกับธรรมฟัดกัน เรื่องก้นเรื่องทุกข์ทรมานไม่ได้พูด ก็พูดในวงสัจธรรมแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม มันทุกข์ร้อนลำบากขนาดไหน ฟัดกันด้วยสติปัญญา จนกระทั่งมันลงถึงขีด ๆ แล้ว ทีนี้พอเห็นว่ามันสมควรแล้ว ควรจะพักผ่อนในการฝึกทรมานอย่างหนักนั้น ให้หย่อนลงไปตามสัดตามส่วน ความหมายว่าอย่างนั้น
แต่ท่านจะพูดอย่างนี้กับเรา นิสัยเรามันหยาบ ท่านต้องเอาอย่างหนักกับเราทุกแบบ ไม่มีที่จะเบาเลยนะกับเรา ต้องหนักทุกอย่าง เราก็พอใจทุกอย่าง ถ้าท่านพูดเบา ๆ มันไม่ถึงใจ ถ้าท่านผางออกมาว่า หมาตัวนี้มันผาดโผนมาก เรายิ่งจะพอใจมากนะ แต่นี้ท่านไม่ออกว่าหมาตัวนี้มันเกินไป มันยิ่งกว่าม้าอีก แต่ท่านไม่ว่า แต่เราอยากให้ท่านว่าอย่างนั้น เห็นไหมธรรมไม่มีละคำว่าหยาบว่าโลน ไม่มี ข้อเปรียบเทียบกันหนักเบามากน้อยเพียงไรได้สัดได้ส่วน นั้นละคือธรรม ท่านไม่ได้มาสนใจกับไอ้พวกกิเลสตัวสกปรก แต่ไม่ให้แตะมันนะ ให้ว่ามันสะอาด กิเลสเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมนี้ฟาดเข้าไปเลย
หลังจากนั้นแล้ว ได้หลักแล้ว ท่านก็บอกว่า เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว เอาละที่นี่ฟัดเลย ร่างกายมันจะตายไม่ถึง ๕ หน ทีแรกท่านยกขึ้นอย่างนั้น พอต่อไปท่านก็อธิบายต่อไปเรื่อย ๆ ท่านไม่ได้เสริมเรื่องมันไม่ได้ตายถึง ๕ หน ๖ หนนะ ท่านไม่เสริมเพราะเห็นมันผาดโผน มีแต่คอยจะรั้งเอาไว้ พอขึ้นไปก็ผางเลย กิเลสมันไม่ได้อยู่กับกายนะ มันอยู่ในใจนะ ยกสารถีฝึกม้ามา ม้าตัวไหนมันผาดโผนโจนทะยาน ฟาดมันอย่างหนัก ไม่ให้มันกินหญ้ากินน้ำ ซัดลงไปจนกระทั่งมันอ่อนลงไป การฝึกทรมานของเขาก็อ่อนลง ๆ เท่านั้นท่านก็จบ จนกระทั่งใช้งานใช้การได้แล้วเขาก็ใช้กับม้าธรรมดาท่านว่าเท่านี้ เพียงเท่านั้นเข้าแล้วทางนี้ เพราะเราเรียนมาแล้ว เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ได้ว่า หมาตัวนี้มันเลยม้าแล้วนะ ถ้าท่านว่าอย่างนั้นเรายิ่งจะถึงใจนะ นี่ท่านไม่ได้ว่า มันถึงใจ อย่างนั้นละธรรม ถึงกันทันที ๆ
จากนั้นมาก็ได้หลัก เอาถึงขนาดนั้น นี่ทุกข์ไหมพิจารณาซิพี่น้องทั้งหลาย ก่อนที่จะได้มาสอนโลกเราทุกข์ขนาดไหน พูดให้ใครฟังใครไม่อยากเชื่อ แต่เราเป็นอย่างนั้นจะให้เราพูดว่ายังไง พอจากนั้นมาก็ตั้งหลักได้ ตั้งหลักได้แล้วก็เอาละที่นี่ ก็ไปจมอยู่ในสมาธิอีกแหละ พอจิตได้หลักแล้วเข้าสมาธินี้เข้าเท่าไรก็ได้ เรื่องความคิดความปรุงนี้มันกวนใจ นู่นเห็นไหม แต่ก่อนความคิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายถือเป็นความเพลิดเพลิน แล้วก็เอาเสี้ยนเอาหนามเอาฟืนเอาไฟเผาไปด้วยในความคิดนั้น ติดตามกันไปเลย ทีนี้เวลาจิตเป็นสมาธิแล้ว ความคิดความปรุงยิบ ๆ แย็บ ๆ มันกวนทั้งนั้น เข้าแน่วลงนั้นแล้วมีแต่ความรู้อันเดียวเด่น ไม่มีอะไรกวนแสนสบาย นั่งที่ไหนเป็นสมาธิตลอดเวลา ติด คำว่าติดว่านอนใจ ก็นอนใจที่ว่าไม่รู้เรื่องของสมาธิว่ามันเป็นแค่ไหน นอนใจตอนนี้แหละ
แต่ความเพียรมันก็ไม่ถอย มันก็หมุนอยู่กับสมาธินั้น จนกระทั่งท่านมาลากออกอีก นั่นเห็นไหม ถามทีไร เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีเหรอ เราก็บอกตรง ๆ เลย สงบดีอยู่ ว่างั้น สงบดี ๆ ท่านก็นาน ๆ ถามทีนึง เป็นยังไงจิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ว่างี้ พอจะเอาก็เปรี้ยงเลยนะ ถึงขั้นแล้ว พอว่าเป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่นั้นเหรอ ขึ้นเลยนะ นั่นเห็นไหม เราไม่ได้ลืมทุกกิทุกกีนะ เพราะอันนี้เป็นสัจธรรมไม่ใช่ความจำมันถึงใจ ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั้นเหรอ ท่านรู้ไหมสมาธินี้ คือสมาธิหมูขึ้นเขียง ขึ้นแล้วไม่ยอมลง ท่านรู้ไหมสมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ความสุขที่เกิดขึ้นจากสมาธินี้เท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมีความสุขยังไงบ้าง เอ้าว่ามา ท่านว่าอย่างนี้นะ ไอ้เนื้อติดฟันเราจะเอาความสุขจากเนื้อติดฟันมีความหมายอะไร มีความสุขยังไงบ้าง เอ้าว่ามา
ทางนี้ก็นิ่งแล้วขึ้นนะ ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน เราก็ว่าอย่างนั้นซีที่นี่นะ ท่านขึ้นอีกผางมาเลย สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิที่มีสติที่มีปัญญารอบคอบต่อตนเอง สมาธิของท่านไม่ได้เหมือนสมาธิของท่านนี่นะ เหมือนหมูขึ้นเขียงขึ้นแล้วไม่ยอมลง หมอบเลย โอ๊ย ใช่แล้ว
จากนั้นก็ฟัดใหญ่ทางปัญญา เพราะสมาธิมันเต็มเปี่ยมแล้ว เครื่องอุปกรณ์ที่จะปรับปรุงให้เป็นอาหารประเภทต่าง ๆ มันรวมมาหมดแล้วเครื่องครัว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่นำมาปรุงมันก็ไม่เป็นแกงเป็นอาหารประเภทต่าง ๆ มันก็กองอยู่นั้น ดีไม่ดีมันเน่าไปเลย ทีนี้พอท่านชี้แจงอย่างนั้นปั๊บ ทีนี้ก็ออกทางด้านปัญญา มันเร็วที่สุดนะเพราะสมาธิมันพอตัวถึง ๕ ปีแล้ว จนจะเอาสมาธิเป็นนิพพานเลยฟังซิ มันติดขนาดนั้นนะ พอท่านฟาดสมาธิ ตีสมาธิแตกออกไปแล้ว ปัญญานี้พุ่งเลย ออกทางปัญญาเอาอีกนะ
เราจึงได้เห็นคุณของท่าน แหมถึงใจเลยนะ ท่านจับจุดไหนนี้ผางเลยขาดสะบั้นกิเลสน่ะ ถ้าว่าความเพียรก็เอ้า มันไม่ตายถึง ๕ หน ที่สองก็ สมาธิเอาละได้หลักแล้ว ถึงขั้นสมาธิตีสมาธิแตก จากนั้นขึ้นถึงขั้นปัญญา พอถึงขั้นปัญญาเอาแล้วนะที่นี่ มันหมุนติ้ว ๆ ตำหนิสมาธิ โอ๊ย สมาธินี่มันนอนตายอย่างพ่อแม่ครูจารย์ว่า ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ปัญญาต่างหากแก้กิเลส นั่นเอาแล้วนะที่นี่ กิเลสประเภทไหนจะขาดสะบั้นลงไปด้วยปัญญา ๆ สมาธิครองมากี่ปีแล้วไม่เห็นมีกิเลสถลอกปอกเปิกแม้ตัวเดียวเลย มีปัญญาเท่านั้น ทีนี้มันก็พุ่งทางด้านปัญญา แล้วก็ตำหนิสมาธิ นี่มันไม่พอดีนะเรา ออกทางด้านปัญญาฟาดกลางวันกลางคืนไม่มีเวลาว่างเลย บางคืนนอนไม่หลับมันหมุนเป็นธรรมจักร สติปัญญาฆ่ากิเลส ออกทางด้านปัญญาหมุนติ้ว ๆ มันจะตายจริง ๆ นะ สติปัญญาทำงานไม่ถอยได้รั้งเอาไว้ ทีนี้คำว่าความเพียรไม่มี มันเลยเถิดแล้ว
เข้าไปหาท่าน นี่ที่ว่าพ่อแม่ครูจารย์ให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ เราก็ว่างั้น มันออกยังไงท่านว่า โหย มันพิจารณาทั้งวันทั้งคืน บางคืนไม่ได้นอนเลย เป็นคืน ๆ ไม่ได้นอนเลยมันหมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลา นั่นละมันหลงสังขาร คำว่าสังขาร สังขารเป็น ๒ อย่าง สังขารส่วนกิเลสเป็นสังขารสมุทัย สังขารฝ่ายมรรคคือความปรุงเป็นอรรถเป็นธรรมนี้เป็นฝ่ายธรรม เรียกว่าสังขารมี ๒ ประเภท สังขารฝ่ายสมุทัยฝ่ายกิเลส สังขารฝ่ายมรรค มีอยู่ ๒ อย่าง แต่ท่านไม่ได้บอกนี่นะ ท่านบอกว่า นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ๆ ขึ้นเลยที่นี่ เราก็นิ่ง ทีนี้มันคงจะถูกอย่างท่านว่า งูเห่าไม่แผ่ต่อสู้นะ มันจะถูกอย่างท่านละ
แต่มันก็ไม่ถอยนะความหมุนของมัน ไปมันก็หมุนติ้ว ๆ เวลามันจะตายจริง ๆ มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความคิดความปรุงภายในใจนี้อ่อนหมดภายในหัวใจ ร่างกายก็อ่อนเพลีย สติปัญญาไม่ถอย รั้งเข้ามาสู่สมาธิ นั่นละที่ว่ามันหลงสังขาร คือมันหลงเกินไปมันจะตายจริง ๆ ทีนี้มันก็ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ พอเข้าสมาธิได้กำลังแล้วดีดผึงอีก ๆ อันนี้พอมันผ่านไปแล้วก็รู้เองว่า ความใช้สังขารที่เป็นธรรมนั้น ใช้ไม่รู้จักประมาณสมุทัยมันแทรกเข้าไปได้ ความหลงมันแทรกเข้าไปได้ นี่ที่ท่านว่าหลงสังขาร มันใช้ไม่รู้จักประมาณ ความพอดิบพอดีก็คือว่า ให้ใช้พอดิบพอดี ๆ ท่านไม่ได้บอกประเภทนี้ คนประเภทนี้ต้องเอาให้หนักอย่างนั้น ให้มันคิดเอง มันก็คิดได้นะ พอคิดได้แล้วก็ยอมรับ พุ่ง ๆ เลย
นี่ละความเพียรเมื่อถึงขั้นมันจะไปแล้วมันไม่อยู่นะ อะไรรั้งไว้ก็ไม่อยู่ กิเลสวัฏวนนี้หมุนขนาดไหนมันปัดออก ๆ มีแต่หมุนติ้ว ๆ ลงถึงขีดถึงแดน ๆ ความพากความเพียรหนักสุดยอดละเรา เราพูดจริง ๆ เรื่องความเพียรของเรา ทุกข์ในทางนี้ก็ทุกข์อีกอันหนึ่ง คนเราลงถึงขนาดไม่ได้หลับได้นอนจะไม่ทุกข์ยังไง มันก็ไม่สนใจว่าเป็นทุกข์ มีแต่บุก ทุกข์แบบนี้ทุกข์บุกเพื่อฆ่ากิเลส มันเอามาเป็นอารมณ์อะไรวะ ฟาดเสียจนกระทั่งถึงมันขาดสะบั้นลงไป เอ้าสรุปเลย พอปัญญาขั้นนี้ก้าวแล้ว สติปัญญาอัตโนมัติก็ขึ้นตามกัน ๆ จากนั้นก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาหมุนติ้ว ๆ เห็นในหัวใจถามใคร
พระพุทธเจ้าสอนไว้สด ๆ ร้อน ๆ นิพพานไปไหนพระพุทธเจ้า ธรรมเป็นศาสดาองค์แทนพระพุทธเจ้าแล้วนิพพานไปไหน มันก็จ้าอยู่ในใจนี้ ฆ่าเสียจนถึงขีดมัน กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ เหมือนหนึ่งฟ้าดินถล่ม นี้เคยพูดให้ฟังแล้ว ตั้งแต่ต้นมานี้เป็นเวลา ๙ ปีเต็มที่ทุกข์แสนสาหัสที่สุดเลย ตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวทีหาความสะดวกสบายไม่ได้ ไม่ให้ใครไปเป็นเพื่อน ไม่ให้ใครไปด้วย เราต้องไปคนเดียว ๆ ความทุกข์แสนสาหัส ได้นำธรรมมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลาย จึงแสดงด้วยความอาจหาญชาญชัย
เราพูดจริง ๆ เราไม่เคยสะทกสะท้านกับอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา มหาพรหม เทวบุตรเทวดา ก็เป็นลูกศิษย์ เอ้าพูดให้มันเต็มยศเสียนะ สอนหมดเหล่านี้นะแต่ไม่ได้มาพูด เพราะมนุษย์เป็นมนุษย์ ไอ้ปุ๊กกี้เราก็ไม่สอนมันใช่ไหม ถ้าเป็นคนเราก็สอนคน เทวบุตรเทวดาเอามาว่างั้นเลยนะ มาแบบไหนน่ะไม่ใช่คุยนะ มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้วครอบโลกธาตุนู่นน่ะ ตั้งแต่วันฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นออกไปจากใจ จิตผางขึ้นมานี้ โถ จนกระทั่งน้ำตาร่วงฟังซิ เกิดมาตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัว กี่กัปกี่กัลป์ ไม่เคยเจอธรรมะประเภทนี้ วันนี้ได้เจอเสียแล้วเหรอ ขึ้นแล้วเห็นไหม ความอัศจรรย์ของธรรมเป็นอย่างนั้นละ
นี่ละธรรมปัจจุบันนี่หายไปไหน ให้ปฏิบัติล่ะซี ไม่ปฏิบัติก็มีตั้งแต่ไปโปะเอา ๆ ว่ามรรคผลไม่มี ศาสนาเรียวแหลม มันเรียวแหลมแต่ตัวหัวมันเองเรียวแหลม ศาสนาจะเรียวแหลมยังไง เจ้าของเรียวแหลม กิเลสหลอกเอา ศาสนาหมดมรรคหมดผล ใครทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา มรรคผลนิพพานไม่มี ๆ มีแต่กิเลสลบเอา ๆ โคตรหัวกิเลสมันเคยภาวนาเมื่อไรไม่เห็นถามมันบ้างวะ นี่ข้าภาวนานะนี่ ถึงโคตรหลวงตาบัวไม่ภาวนา หลวงตาบัวก็ภาวนานะ กิเลสตัวนี้โคตรมึงเคยภาวนาเหรอ มึงมาอวดกูเหรอ อยากว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม มันจึงถึงใจนะ เป็นอย่างนั้น เวลามันจ้าขึ้นมานี้พูดไม่ได้เลย ธรรมชาติที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่ในหัวใจพูดไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงไม่เคยสะทกสะท้าน กับสามแดนโลกธาตุนี้ไม่ว่าจะจุดใดแดนใดไม่เคยมี ตั้งแต่ธรรมชาตินี้ได้ผึงขึ้นมาแล้วครอบหมดโลกธาตุเลย ท้าวมหาพรหม เทวบุตรเทวดา อย่าพูด นี้อยู่ใต้อำนาจของธรรมทั้งนั้น ธรรมเหนือทุกอย่างแล้วสะทกสะท้านกับอะไร แล้วจะมาสั่งสอนขี้หมูราขี้หมาแห้งถังขยะนี้ไม่ได้มีเหรอ จะมาเกรงมากลัวอะไรถังขยะ แล้วจะมากล้าอะไรกับมันประสาถังขยะ ธรรมเป็นธรรม ถังขยะเป็นถังขยะ กล้ากลัวกับมันหาอะไร นั่นละฟังซิพี่น้องทั้งหลาย ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ กระเทือนทั่วโลกธาตุ โลกธาตุนี้กว้างเท่ากว้างกระเทือนไปหมดนั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ผึงนี้กระเทือนทั่วโลกธาตุ ธรรมชาติอันนี้
เราไม่ได้วัดรอย ความเป็นจริงเป็นยังไงเราก็พูดได้อย่างนั้น มันก็เป็น เป็นตามสัดตามส่วนแห่งกำลังวังชาวาสนาของเรา ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทศนาว่าการจึงไม่เคยสะทกสะท้านว่าใครจะมาตำหนิติเตียนว่าสูงว่าต่ำอะไร ไม่เคยสนใจ อย่างมากก็มีแต่มันเห่าอยู่ในถังขยะนั่นแหละ ว่าเทศน์โอ้เทศน์อวดเทศน์โม้เทศน์คุย มันก็ว่าไป มันเห่าวอก ๆ อยู่ในถังขยะเราไม่สนใจ เพราะธรรมไม่ใช่ถังขยะไปสนใจกับมันอะไรถ้าไม่ใช่เป็นบ้านะ ถ้าเป็นบ้าก็ โอ๊ย นี่เขาติเราอย่างนั้นอย่างนี้ เขาชมเราอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นบ้ากับเขาอีก ก็เป็นถังขยะด้วยกันอีกแหละ นี่ธรรมเป็นธรรมสงสัยอะไร
นี่ละที่เรามานำพี่น้องชาวไทยเรา เรานำเต็มสัดเต็มส่วน ความสะอาดสะอ้านไม่ต้องตำหนิ ไม่มีทางตำหนิเลย เราไม่มีข้อตำหนิเราที่ สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายนำมาบริจาคนี้ ไม่ไปไหนว่างั้นเลย อยู่ในความควบคุมของเราคนเดียว เราชำระสะสางความสกปรกโสมมเต็มสัดเต็มส่วนไปโดยลำดับลำดา สำหรับเราเรียกว่าเราบริสุทธิ์เต็มที่แล้วในหัวใจก็ดี และเมตตาธรรมที่ทำกับพี่น้องทั้งหลายก็ดี สมบัติเงินทองเหล่านี้จึงไม่รั่วไหลไปไหน เราจะพินิจพิจารณาที่จะออกทำประโยชน์ในแง่ใดมุมใด เราจะพิจารณาเต็มความสามารถของเรา แล้วแยกออก ๆ นี่เป็นเรื่องของเราทำประโยชน์ให้โลกเราทำอย่างนั้น
การแนะนำสั่งสอนก็เต็มภูมิแล้วในชาตินี้ แต่ก่อนเราไม่เคยคิดว่าเราจะได้ทำงานขนาดนี้นะ อย่างที่ว่าแหละเราเป็นนิสัยวาสนาอาภัพ ไปไหนไปคนเดียว ๆ ฟาดกับกิเลสขาดสะบั้นมาแล้วมีหมู่เพื่อนเข้าไปเกาะพึบ ๆ อยู่ในป่าในเขา ครั้นต่อมาหนักเข้า ๆ อย่างที่เห็นนี่แหละ จากนี้แล้วก็ออกขึ้นสนามเวทีใหญ่ทั่วกรุงสยามจะว่าไง เทศนาว่าการประเภทไหนมันก็ออก ๆ ตั้งแต่แกงหม้อใหญ่ หม้อเล็ก หม้อจิ๋ว ออกไปเรื่อย ๆ ธรรมประเภทนี้ถ้าเราไม่ได้เป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายนี้ไม่มีนะ ตายไปด้วยกันเลย จะไม่ได้ยินเสียงเลย
เพราะธรรมไม่ได้อัดได้อั้น ไม่ได้หนักได้หน่วง ไม่ได้ผลักได้ดัน พอจะให้อยากพูดอยากคุย มีเหมือนไม่มี แต่เหตุการณ์เข้ามาสัมผัสตรงไหนจะรับกันตรงนั้น ๆ เลย เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า เอ้า ถามมาว่างั้นเลย ถ้าควรจะตอบจะตอบทันทีออกทันที ถ้าไม่ควรตอบดึงก็ไม่ออกนะ ธรรมจะต้องเล็งเห็นความพอดี เล็งเห็นความเป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ยังไงก็ไม่ออก ถ้าเป็นประโยชน์มานี้ก็ทุ่มใส่กันเลยทันที ๆ ถึงว่า เอ้าถามมาเวลานี้จะตอบ ๆ นั่นละออกแล้วเตรียมพร้อมแล้ว มันเต็มถังอยู่แล้วนี่ว่าไง ผางทันทีเลย นี่ละอำนาจแห่งธรรมมีเต็มหัวใจแล้วอัดอั้นอะไร เปิดออกทางไหนก็เป็นธรรมทั้งนั้น เปิดรอบด้านเป็นธรรมรอบด้าน
ลงหัวใจเป็นธรรมแล้วไม่มีอัดมีอั้น ถ้าไม่ติดตัวเองเสียอย่างเดียว กิเลสนั่นละมาเป็นตัวของเรามาเป็นเรา มาติดกิเลสอันเดียวติดหมด โลกธาตุใครจะว่าร่ำลือว่าเป็นจอมปราชญ์จอมแปดมาจากไหนก็ตามเถอะ ถ้าลงกิเลสได้ติดอยู่ในหัวใจแล้วหาจอมปราชญ์ไม่ได้นะ ถ้ากิเลสสิ้นจากหัวใจ นั้นคือจอมปราชญ์ ไม่ต้องบอกก็ทราบแล้ว คือจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมครอบโลกธาตุ เป็นอย่างนั้นนะ
นี่ละเราก็ได้ออกมานำพี่น้องทั้งหลาย จึงให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ นี้ออกอย่างอาจหาญชาญชัย ด้วยถอดออกจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน ถือหลักความจริงประจำตัวนี้ออกแสดง อะไรที่พูดยังไงให้ฟังเสียงหัวหน้านะ หัวหน้าคือศาสนธรรม คือศาสนา คือธรรม ให้ฟังเสียง ไอ้เรื่องฟังเสียงกิเลสมันจะพากันจมทั่วโลกดินแดนเห็นไหม กิเลสมันพาคนไหนให้มีความสุขความเจริญรุ่งเรืองมีไหม ไม่มี ไปโลกไหนมีแต่โลกเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ในหัวอก ๆ อยู่ในหัวใจ สิ่งภายนอกก็มาประดับประดา อันนั้นมีอันนี้มี มีมากสิ่งภายนอก ประสาวัตถุ มันมีอยู่เต็มแผ่นดินจะว่าอะไรมาเป็นของเราเพียงเท่านี้ มันมีมากเต็มแผ่นดิน วิเศษวิโสอะไร
หัวใจต่างหาก ถ้าทำหัวใจให้ดีแล้วอะไรจะมีไม่มีไม่สนใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วพอ ถ้าใจไม่มีธรรมอยู่ไหนร้อนหมด ไม่ว่ามหาเศรษฐี กุฎุมพี ที่ไหน ยศถาบรรดาศักดิ์สูงขนาดไหน ก็เสกสรรปั้นยอเป็นลมปากไปอย่างนั้นแหละ ไม่เห็นมีความสุขความเจริญอะไร ถ้าไม่ใช่ธรรมเข้าสู่ใจ จึงขอให้ปฏิบัติธรรมให้เข้าสู่ใจ มีมากมีน้อยนั้นแหละเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายได้ ธรรมมีมากมีน้อย บุญมีมากมีน้อย นั้นแหละเราจะหวังอาศัยพึ่งเป็นพึ่งตายกับมันได้ นอกจากนั้นอย่าหวัง หวังพึ่งกิเลส เอ้าพึ่งเท่าไรก็จมเท่านั้นละ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ เหนื่อยแล้ว เวลาไป-ไปใหญ่เลย ต่อไปนี้จะให้พร
พวกเด็กก็ให้ตั้งใจปฏิบัติตัวเองนะ ให้ฝ่าฝืนความคึกความคะนอง ความคึกความคะนองไม่ใช่ของดี พาคนให้เสีย เราต้องฝ่าฝืนต้องรั้งมันไว้ความคึกความคะนอง อย่าให้มันเลยเถิด มีการฝึกการทรมานกัน ยากลำบากเพื่อความเป็นคนดีไม่เป็นไร ให้ฝึกตัวเอง อยู่เฉย ๆ ให้เป็นคนดีเป็นไปไม่ได้นะ ความชั่วมันดึงไปเรื่อย มันไม่ถอยนะความชั่ว มันดึงไปเรื่อย ถ้าความดีไม่ฉุดลากเอาไว้จะไม่เหลือมนุษย์เป็นคนดีอยู่ในโลกนะ ให้ฝึกตัวเอง ทุกข์ยากลำบาก ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนมาแล้วเป็นยังไง ท่านทุกข์ไหม พระพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หนทุกข์ไหม นั่นละฝึกเพื่อเป็นคนดีเป็นอย่างนั้น ต้องมีการฝึกการคัดค้านต้านทานกันกับสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย ไม่คัดค้านมันไหลลงไปเรื่อย เหมือนน้ำไหลลงจากภูเขานั่นแหละ ต้องมีการต้านทานกันไว้ถึงจะมีความดีเหลืออยู่บ้างนะ ให้จำเอานะ เท่านั้นละ
วันนี้เทศน์เปิดหนักอยู่นะ วันนี้เทศน์เปิดจนกระทั่งลมจะไม่มีเหลือ