บาป-บุญ-นรก-สวรรค์มี***
วันที่ 14 พฤษภาคม 2551 เวลา 7:50 น. ความยาว 59 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

บาป-บุญ-นรก-สวรรค์มี

(โยมถวายทองคำ ๑ บาท) ก็อย่างนี้แหละได้มาทุกวันทองคำ ได้มาทุกวันๆ อย่างน้อยสลึงหนึ่งวันหนึ่ง ทองคำหนักสลึงหนึ่งเป็นเงินไทยเท่าไร (๓,๐๐๐ กว่าบาทเจ้าค่ะ) นั่นเห็นไหมล่ะตั้ง ๓,๐๐๐ กว่าบาท นี่หาสมบัติเข้าคลังหลวง อย่างน้อยทองคำนี้จะได้สลึงหนึ่งขึ้นไปละ สลึงหนึ่งก็ฟาดเสีย ๓,๐๐๐ บาทเห็นไหมล่ะ ได้เพิ่มเรื่อยๆ ถ้าเรายังไม่ตายง่าย ทองคำกับสมบัติอื่นๆ ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยนั่นละ เราเคยพูดที่ว่าเรานำชาตินั้นชาติจะคิดแต่ด้านวัตถุมากกว่าธรรม แต่เราคิดเรื่องธรรมมากกว่าวัตถุ ที่ว่าจะนำพี่น้องทั้งหลาย บ้านเมืองเราล่มจม ล่มจมอะไร เขาจะคิดแต่วัตถุนั้นไม่มี วัตถุนี้ไม่มี ทั้งๆ ที่เมืองไทยเราเป็นเมืองวัตถุ ไม่ใช่น้อยๆ วัตถุ ประเทศอื่นเขาเป็นคนสร้างขึ้นมาๆ เมืองไทยไปโกยเอามาๆ แล้วก็โกยเงินให้เขา เข้าใจไหมล่ะ

เรื่องเศรษฐกิจอะไรเมืองไทยๆ คนทั้งหลายเขาจะคิดแต่เรื่องวัตถุทั้งนั้นละ เราคิดเรื่องศีลธรรม เพราะเราเป็นชาวพุทธ ศีลธรรมเสื่อมจากจิตใจแล้วเสียหมดเลยนะ ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นขี้หมูขี้หมา เห็นขี้หมูขี้หมาเป็นศาสดาองค์เอกกลับตรงกันข้ามนี้ไม่ได้นะ ผิด เอ้าเราจะช่วยบ้านเมือง บ้านเมืองของเราที่ว่าจะล่มจมนี้ใครพาให้ล่มจม แน่ะ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาประเทศใหญ่ประเทศโต เขาก็ไม่เคยบุกมาทำลายชาติไทยของเราแล้วทำไมมันถึงจะจม มันจมได้เพราะเหตุไร ถ้ามีคนอื่นมาเหยียบย่ำทำลายก็น่าคิด อันนี้เจ้าของเหยียบย่ำทำลายเจ้าของเสียเอง

นี่ละที่ว่าช่วยชาติ คือจิตใจมันต่ำมาก เราไม่อยากพูดเมืองอื่น พูดเฉพาะเมืองไทยเราซึ่งเป็นเมืองพุทธแท้ๆ ศาสดาองค์เอกหาที่ไหนในโลกนี้ เอา ไปหา ถ้าว่าใครเก่งหาศาสดามาที่ไหนที่ของเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธศาสนามาแข่งซิ ไม่มี เรื่องจิตใจเมื่อต่ำมันก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ สิ่งไหนต่ำเท่าไรยิ่งชอบ ยิ่งพอใจไหลลงสู่ที่ต่ำๆ ธรรมชาติของเลวทั้งหลายอยู่ต่ำๆๆ โลกเขาถือกันอย่างนั้น แต่ว่าคนเลวถือของต่ำเป็นของสูง ไม่ได้ถือของต่ำเป็นของต่ำ สูงเป็นสูงนะ ถือของต่ำเป็นของสูง ถือของสูงเป็นของต่ำไปเสีย

ที่ว่าช่วยชาติบ้านเมืองเราก็เล็งแต่ด้านธรรมะ เพราะพี่น้องชาวไทยเราห่างเหินธรรมะเอามากมายก่ายกอง ทั้งๆ ที่เป็นลูกชาวพุทธๆ แต่จิตใจต่ำมากทีเดียว เมื่อจิตใจต่ำอะไรมันต่ำมันก็ต้องไหลไปรวมกันไปๆ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากก็น้อยลงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างไหลลงทางต่ำๆ จม นั่นถ้าเล็งทางด้านวัตถุ วัตถุจะพาให้จมจมไปไหนวัตถุ เต็มบ้านเต็มเมือง เกิดมาเกิดกับวัตถุ ตัวเราเองก็วัตถุ มันจมไปไหน มันจมอยู่ที่จิตใจของผู้รับผิดชอบในร่างตัวเองสมบัติตัวเองนั่นเอง ไม่ใช่เสื่อมที่ไหน มันเสื่อมที่จิตใจ

โถ เรื่องพระพุทธเจ้าเป็นของง่ายเมื่อไร เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็ไม่ได้พบแหละพบพระพุทธเจ้า พบศาสนา เกิดภพใดชาติใดก็มีแต่ผิดหวังๆ เจ้าของหาทำแต่สิ่งที่ผิดหวังมันก็ผิดหวังไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ผิดหวังละเจ้าของเองที่จิตใจต่ำแล้วมันสมหวังของมัน มันไปทำเป็นความสมหวังเสียหายหมดเลยนะ นี่เล็งเข้าไปว่าช่วยชาติบ้านเมือง โลกเมืองไทยเราจะเล็งแต่วัตถุๆ สำหรับเราเองนี้เล็งธรรม เล็งจิตใจ อะไรเป็นเจ้าของในคนๆ หนึ่ง ในวัตถุสิ่งหนึ่งๆ ก็คือใจ ถ้าใจต่ำอะไรเสียไปหมด ถ้าใจดีขึ้นไปแล้วดีดขึ้นๆ เรื่อยนั่นละ

พระพุทธเจ้าก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา ทำไมถึงกลายเป็นศาสดาเอกของโลก พระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็เป็นคนเหมือนพวกเรา ทำไมท่านเป็นสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศเลอเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้า-พระสงฆ์สาวกเรานี้ลำดับกันออกมา เป็นธรรมชาติที่ทำให้เรียบร้อยดีงามเหมือนกันแล้วเสมอกันหมดนะ พระพุทธเจ้าและสาวกไม่มีอะไรยิ่งหย่อนต่างกัน พูดถึงเรื่องความวิเศษวิโสเลิศเลอเสมอกัน แต่พูดถึงเรื่องผู้ขวนขวาย-ผู้อุตส่าห์พยายามในทางที่ดีได้มาก่อนได้มามากน้อยเพียงไร มาแนะนำสั่งสอนคนอื่นก็ยกคุณคนนั้นขึ้นมา เช่นยกคุณพระพุทธเจ้าขึ้นมา ยกคุณของสาวกขึ้นมา

ท่านดี ท่านอุตส่าห์พยายามฝึกหัดดัดแปลงองค์ของท่านจนท่านดี พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาคนดีก็จะตามขึ้นมามากมาย นั่นมันจะตามกันมาอย่างนั้นนะ สาวกตามขึ้นมา ตามขึ้นมาแล้วคนดีที่เป็นกัลยาณชนก็ตามขึ้นมา ได้ดิบได้ดีก็ตามใจคนนั้นละขึ้นมา ดีและดีตามกันมาๆ เราถึงได้เล็งถึงด้านธรรมะมากกว่าด้านวัตถุ ทีนี้เวลาออกเทศน์ธรรมะละออก ไปเทศน์ที่ไหนๆ ก็ธรรมะออก

เราไม่ไปทวงเอาเงินของใครแหละ ไปเทศน์บ้านใดเมืองใดก็ตาม เฉพาะในเมืองไทยเรา ไปเทศน์ที่จังหวัดพิจารณาซิเกือบจะพูดได้ว่าทุกจังหวัด เทศน์เกี่ยวกับเรื่องจิตใจ เราไม่ได้ไปทวงเอาเงินคน พูดให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยถ้าพูดถึงว่าทวง ทวงจิตใจที่มันต่ำทราม ลากขึ้นมา แล้วของดีก็จะตามขึ้นมา สุดท้ายเงินก็ตามขึ้นมา ทองก็ตามขึ้นมาใช่ไหมล่ะ อย่างนั้นนะ เราเล็งดูทางจิตใจมากกว่าวัตถุ วัตถุที่ไหนก็มีอดอยากอะไร ไม่ว่าที่ไหน คนทุกข์คนจนขนาดไหนด้านวัตถุมีเต็มบ้านเต็มเมือง มันเสียที่บุคคลจิตใจนั้นเอง มันทำให้เลวลงไปๆ พากันพิจารณานะ

พอพูดอย่างนี้มันก็อดไม่ได้ เอาเราเป็นเกณฑ์เลยก็ได้ ไม่โอ้ไม่อวด เอาหลักความจริงมาพูดตามความเป็นจริงที่เป็นมา ตั้งแต่เป็นเด็กก็ไปขโมยอ้อยป้าฝ้าย เรายังไม่ลืมนะ นั่นละเด็ก ตากลัวหลานจะเสียก็ไปกระตุกเจ้าของอ้อยเขา เด็กสองตัวนั่นน่ะว่าอย่างนั้น บัวกับคำไพมันขโมยอ้อยสู สูรู้ไหม โฮ้ เขาไม่ได้ขโมยนะน้า นั่นเขายังหลงไปตามกลของเราอีก เห็นไหมล่ะ ความจริงไอ้บัวนี่มันตัวเก่งขโมยอ้อยเขามา เวลาลากอ้อยออกมาเขาปิดประตูไว้เรียบร้อย เด็กมันลอดได้นี่ ไปได้อ้อยออกมา

เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ ป้าฝ้ายสักเป็นป้าเป็นญาติกัน โห ผมไม่ได้ขโมยนะป้า นู่นน่ะฟังซิ ผมเดินผ่านไปผ่านมาเห็นอ้อยสวยงามเหลือเกิน มันหิวมากวันนี้เลยพาพี่ชายไปตัดอ้อย ไปตัดได้อ้อยแล้วก็จะแบกอ้อยไปบ้านป้า ไปบอกป้าแล้วถึงจะเอาอ้อยไปบ้าน ดูซิ ปัญญามันน่ะ เร็ว ปัญญาไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน มันพาคนให้เลวมาก ฉลาดทางเลวมันก็เลวมาก ฉลาดทางดีมันก็ดีมาก เอามาเทียบกันซิ

พอว่าอย่างนั้นแล้วถ้าอย่างนั้นป้าก็เอาเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแล้ว เอาไปเสีย เขาว่าอย่างนั้น เอาไปเสียกูไม่เอาแหละ โหย วิ่งแจ้นไปเลยเชียวตามประสาเด็ก ตากลัวจะเสียเด็ก โตขึ้นมามันจะเป็นนักเลงโต จึงหาอุบายไปถามเขา ถามก็ถามป้าฝ้ายนั่นแหละ ไอ้เด็กสองตัวนั่น ไอ้บัวกับไอ้คำไพไปขโมยอ้อยสูเมื่อวานสูรู้ไหม โอ๊ย เขาไม่ได้ขโมยนะน้า นั่นเห็นไหมเชื่อเราแล้ว เขาบอกเขาตัดอ้อย แล้วจะแบกอ้อยไปบ้านฉันเขาถึงจะไปบ้านเขา ตัวขโมยใหญ่มันไปเล่าให้กูฟังแล้ว ช่างหัวมันซิ แกเลยไม่ฟัง ก็เด็กมันเกินกว่าที่จะมาถือสีถือสา แต่มันไม่ลืมนะเรา นี่ละจิตมันเลว ถ้าฝึกให้มันไปทางที่ไม่ดีมันก็เลวๆ ก็เป็นเสือใหญ่ ตาก็ตบไว้เสียๆ ไม่ให้ทำชั่ว มันก็ทำดีไปเรื่อยๆ

นี่พูดถึงเรื่องเราตั้งแต่เป็นเด็กมา ก็เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา นิสัยชอบฉกลักขโมยปล้นไม่มี จิตอันนี้ไม่มี แต่ถ้ามีผู้มาอบรมให้เป็นที่ชอบใจเป็นได้มีได้ ท่านจึงว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา อย่าคบคนพาลสันดานหยาบ ให้คบบัณฑิตนักปราชญ์ผู้ฉลาดแหลมคมไปในทางที่ถูกที่ดี แล้วเราจะเป็นคนดีด้วย แล้วจะได้ห่างเหินคนพาลกิเลสทั้งหลายด้วย นั่น ก็ฝึกมา

เราพูดถึงเรื่องตัวของเราเอง เอาตัวของเราออกมันก็ไม่ลืมละซี อย่างธรรมะนี้ทำแล้วมันก็แล้วไปแล้ว แต่มันไม่ลืมเรื่องความดีนี้มีเป็นพื้นฐาน ความชั่วมีเป็นพื้นฐานต่อไปประจำโลก ใครเกิดมาก็จะมาทำดีทำชั่วนี่ละ ส่วนมากมันชอบทำชั่ว ถ้าทำดีมันต้องได้สอนกัน นี้แหละเหตุที่มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาก็เพราะมีของดีของชั่ว มีคนดีคนชั่ว จึงได้เสาะแสวงหามา มันจึงมีทั้งดีทั้งชั่ว จะว่าแข่งกันก็ได้

พี่น้องทั้งหลายอย่าลืมนะคุณ เรื่องอุปการคุณ กตัญญูบุคคล เรื่องบุญเรื่องคุณ ใครทำดีต่อเรามากน้อยเพียงไรอย่าลืมบุญลืมคุณนะ ต้นที่มันจะได้ออกบวช พ่อก็พูดอย่างที่เขาเอาไปเขียนไว้ในหนังสือ ลูกกูก็มีหลายคน ตามธรรมดาพ่อกับแม่ไม่เคยยอลูกตัวเอง มีแต่กดเอาไว้ๆ เป็นนิสัยของคนดีของธรรม ถ้านิสัยของคนพาลมักจะยอตัวเองแล้วก็เหยียบย่ำคนอื่นไปในตัว นี่นิสัยคนพาล-พระพาลเป็นอย่างนั้น พระองค์ไหนก็ตามถ้าชอบยอตัวมากๆ ผู้นั้นละเหยียบคนอื่นมากๆ เข้าไป ถ้าไม่ยกยอมากไม่แสดงออกมาก กิริยาชั่วมันก็ไม่ออกมาก

เช่นอย่างมายอมากให้คนอื่นเขาดูถูก สมัยทุกวันนี้กิเลสมันหนาปัญญามันหยาบ คนชอบจะออกประกาศยอกันนั่นละ ยอเต็มบ้านเต็มเมือง แต่มีตั้งแต่คนชั่วเต็มบ้านเต็มเมือง มันไม่สมกับคำยกยอปอปั้นกันนะ มันเลวลงไปทุกวัน ดูเอาซิ นักปราชญ์ท่านไม่เห็นได้ยกยอท่าน พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระราชวังตั้งแต่ท่านเริ่มออกก็เห็นแล้วเป็นอย่างไร ท่านยอท่านเมื่อไร ท่านขโมยออก ใครๆ ก็รู้แล้วเราไม่พูดมาก เพื่อให้ทันกับเวลา เอาเนื้อความย่อๆ มาพูดให้ฟัง

เสด็จออกทรงผนวชกลางคืน ไปทรงทรมานตนเอง นั่นละฝึกตัวเอง เหยียบความชั่วลงยกความดีขึ้น ทรงบำเพ็ญพระองค์อยู่ถึง ๖ ปี สลบสามหน นั่น ในตำรา เป็นคติไหมล่ะ ไม่ทุกข์จะไปถึงขั้นสลบหรือ ดีไม่ดีตาย ถ้าทุกข์มากกว่านั้นตาย นั่นละท่านเพื่อความดีๆ ตรัสรู้ขึ้นมาก็มาสอนโลก ได้ของดี คือท่านผู้นี้เป็นผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาของดีมาให้เพื่อนฝูงหรือสัตว์ทั้งหลายได้อาศัยเป็นคนดีจนดีเลิศไปตามได้ คือคนนี้เอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้เทิดทูนพระพุทธเจ้า พระธรรม ธรรมเป็นของเลิศ พระสงฆ์ผู้ตามพระพุทธเจ้าก็เลิศด้วยกัน จึงได้กราบไหว้บูชา ยกบุญยกคุณขึ้น คำว่าบุญคุณอย่าลืมกันนะ

จากนั้นก็มาถึงพ่อของเราที่ว่าเหล่านี้แหละ วันนี้ได้เปิดเสีย เพราะมันจวนจะตายแล้ว พ่อกับแม่ไม่เคยยอลูกเจ้าของ มีแต่กดไว้ๆ แต่ความไว้วางใจหนักเบามากน้อยต่อลูกคนใดนี้รู้หมดพ่อแม่หากไม่พูดเท่านั้นเอง บทเวลาจะพูดก็พูดขึ้นมา ยกขึ้นเพื่อตีลง ตีลงก็เพื่อจะขึ้น แน่ะก็อย่างนั้นแหละ เออ..ลูกกูก็มีหลายคน ลูกเหล่านั้นกูก็ไม่ได้สนใจกับมันแหละ ลูกผู้หญิงผู้ชายมีหลายคนกูไม่สนใจกับมัน จุดที่ตายใจได้ก็คือไอ้บัว ไอ้นี่ละ ว่าอย่างนั้นเลยนะ ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ บอกอย่างนี้เลย ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้

แต่ นี่จะทุ่มลงนะ แต่กูขอให้มันบวชไม่รู้กี่ครั้งกี่หนมันหูหนวกตาบอดเฉยเลย ถ้าไอ้นี้มันไม่บวชให้กูแล้ว กูตายนี้กูจมลงนรกไม่มีลูกคนใดจะลากกูขึ้นจากนรก ลูกหลายคนมีเต็มบ้านเต็มเรือนกูก็หวังพึ่งคนเดียวเท่านี้ละ บอกให้มันบวชเมื่อไรมันก็เฉยๆ พอว่าอย่างนั้นน้ำตาพ่อร่วงลงให้เห็น แม่เห็นพ่อน้ำตาร่วงแม่ก็ร่วง เราก็โดดออกจากที่รับประทานด้วยกันหลายๆ คน หนีเลย ไม่มาร่วมถึงสามวัน เพราะกลัวจะโดนอย่างนั้นอีก ไปคิดเจ้าของนะ ยกคุณของพ่อขึ้น เห็นไหมล่ะนี่ลงแล้ว

เลี้ยงเรามาตั้งแต่วันเกิด เขาเป็นอย่างไรทุกข์จนหนโลกไม่เคยทิ้งลูกตัวเอง เลี้ยงจนใหญ่โตทุกคน แล้วอย่างอื่นเขาทำได้ เราก็ทำได้ อย่างอื่นเขาทำได้ๆ แต่เวลาบวชนี้คนในบ้านในเมืองเรานี้บวชเต็มบ้านเต็มเมืองทำไมเราบวชไม่ได้ มาเอาตรงนี้ละนะ พ่อแม่ก็เลี้ยงมาจนใหญ่โตเหมือนกับโลกทั่วๆ ไป ทุกข์จนหนโลกก็ไม่เคยทิ้งลูกของตน พาลูกบึกบึนไปอย่างนั้นละ อุ้มลูกไปขอทานก็มี นั่น เป็นอย่างไรไม่ทิ้งแหละลูก

มาคิดอย่างนี้สามวัน นี่ละพลิกตัวเพื่อความเป็นคนดี เพราะคุณของพ่อ พอว่าพ่อกับแม่จิตมันลึกนะมันไม่อะไรละ เรื่องคาราคาซังทั้งหลายอยู่นั้นลงฮวบด้วยกันหมด ด้วยความคิดผูกมัดเจ้าของใส่ความดี อันนั้นๆ เขาทำได้เราทำได้ อันนั้นเขาทำได้ แต่บวชเขาบวชทั่วประเทศไทย เราทำไมบวชไม่ได้ เลวที่สุด เลี้ยงมาใหญ่โตเหมือนกันกับโลกทั้งหลาย เขาทำได้โลกบวชได้ บางองค์เป็นสมภารวัดจนตายกับผ้าเหลืองก็มี เราไปบวชนี้พ่อแม่ก็ไม่ได้ผูกมัดเราว่าบวชเท่าไรๆ ทำไมเราจึงบวชไม่ได้ ทำไมบวชจะไม่ได้มัดเข้าๆ ลงในจุดนี้ละ

พอลงใจ มีแต่มัดท่าเดียวไม่ให้ออก ลงใจแล้วทีนี้แน่ใจแล้วก็มาบอกแม่ เอ้อ การบวชนั้นจะบวชให้ แต่เวลาบวชแล้วอยากสึกเมื่อไรก็สึก ใครมาห้ามไม่ได้ ถ้ามาห้ามว่าให้บวชเท่านั้นปีเท่านี้เดือนจึงให้สึกไม่บวช ว่างี้เลย แม่ฉลาดกว่าลูกก็สาธุขึ้น สาธุ ลูกบวชเสร็จเรียบร้อยในวันนั้น อุปัชฌาย์ยังไม่กลับ พระทั้งหลายตลอดประชาชนมาอนุโมทนาสาธุการด้วยการบวชสร้างกุศลนี้เขาก็ยังไม่กลับ เต็มอยู่บริเวณวัดนั้น เราก็ไปสึกต่อหน้าต่อเขา พอออกมาจากนั้นแล้วแม่ก็ไม่ว่า ขอให้ได้เห็นผ้าเหลืองลูกในขณะบวชเท่านั้นแม่ก็พอใจ เอา..บวช ลงใจ เห็นไหมล่ะ

คือบวชแล้วออกมาคนที่ไปบวชเราเขายังไม่กลับ แล้วไปสึกต่อหน้าเขามันมีได้เหรอ นั่นซี แม่ฉลาดกว่าลูก ลงใจ เอา บวชให้ พอบวชแล้วพ่อรู้สึกว่าจะดีใจที่สุดในวันนั้น ที่วันเราลั่นคำว่าบวช เพราะรู้นิสัยเราว่าอะไรจริงทุกอย่าง ถ้าลงได้ลั่นคำแล้วต้องเป็น ไม่เป็นไม่ได้ ถ้าไม่ลั่นคำอย่างที่ว่าให้บวชเฉยอยู่ พอว่าบวชทีนี้พลิกเป็นอื่นไม่ได้ละ ต้องบวช พ่อดีใจที่สุดเลย เลี้ยงลูกคนนี้มาก็มาดีใจในวันนั้นว่ามันลั่นคำให้บวชแล้ว คือเชื่อคำสัตย์คำจริงของมัน เด็กคนนี้ถ้าลงได้ทำอะไรแล้วเชื่อ ว่าบวชแล้วก็เชื่อละ มันจะบวชละที่นี่

เอา สูจัดบริขารอันดีๆ นะ สั่งพี่ชาย พี่ชายมันไปบวชเป็นเณรได้พรรษาเดียว บักห่านั่นน่ะมันสึกออกมา ให้พี่ชายไปหาเครื่องบริขารมามันเคยบวช อะไรดีๆ ให้ไปหามา เครื่องบริขารการบวชอะไรอย่าให้บกพร่อง เอา บวชให้เต็มที่ กูอยากได้ยินคำว่ามันบวชให้สักที กูได้ยินแล้วที่นี่ แน่แล้วละถ้าลงมันไดลั่นคำแล้ว หาแต่บริขารดีๆ ให้บวชนะ เราจึงบวชเรื่อยๆ พอบวชไปนี้จะไม่ให้ตำหนิเจ้าของ ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ให้ตำหนิเจ้าของเลย แล้วพ่อจะได้อาศัยกองบุญกองกุศลนี้ลากพ่อลากแม่ขึ้น แล้วก็ลากเจ้าของขึ้นสวรรค์ด้วย

ครั้นอ่านหนังสือไปสวรรค์นี้ก็ยังลงมาอยู่ เกิดชั้นใดๆ สวรรค์หกชั้นก็ยังได้กลับมาเกิดอีก อ่านไปถึงพรหมโลกอยากไปพรหมโลก ทีแรกอยากไปสวรรค์ ต่อมาพรหมโลกดีกว่าก็อยากไปพรหมโลก อายุยืนนาน อ้าว..ยืนนานก็ยังจะตาย ยังจะแปรปรวนอยู่ ไม่เอา นิพพานนี้เที่ยงไม่มีแปรปรวนเลย ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก จิตเลยมุ่งใส่นิพพาน ทีนี้พอไปถึงนิพพานเกาะติดเลย สวรรค์พรหมโลกอะไรไม่เอาทั้งนั้น ทีนี้จะเอานิพพาน

แล้วก็มาเป็นปัญหาอยู่ที่ว่า มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่เหมือนครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือไม่นา ถ้ามีท่านผู้ใดผู้หนึ่งมาบอกว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่โดยสมบูรณ์แล้วเราจะกราบท่านผู้นั้น มอบกายถวายตัวต่อท่านแล้วเราจะเอาตายเข้าว่าเลย ทีนี้คิดหาผู้ที่จะมารับรองมรรคผลนิพพานที่ไหนก็ไม่เห็นมี คิดเห็นตั้งแต่หลวงปู่มั่นเราเท่านั้น ว่าผู้นี้ละผู้ที่จะนำมรรคผลนิพพานออกมาแจงให้เราเห็นได้ชัดเจน

มาก็บึ่งหาท่านเลย ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลย ท่านต้อนรับท่านกางเรดาร์ไว้เรียบร้อยแล้ว สรุปความลง ย่นเข้ามาว่า ท่านมาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ มาหาบุญหากุศลเหรอ ท่านก็ชี้ไปต้นไม้ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่บาป ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่ธรรม ทั่วโลกธาตุสิ่งนั้นเป็นนั้นๆ ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ ไม่ใช่กิเลสตัณหา ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้อยู่ที่ใจ ว่าอย่างนั้นนะ นอกนั้นปัดหมดเลย ไม่ใช่บาปใช่บุญ อยู่ที่ใจ เอา เร่งความพากความเพียรเข้าที่ใจ บุญอยู่ที่ใจ บาปอยู่ที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ ธรรมอยู่ที่ใจ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ ชี้ลงใจๆ เลย

ท่านแสดงนั้นเหมือนว่าเอามรรคผลนิพพานมาวางไว้บนฝ่ามือให้เราดู นี่เห็นไหมๆ ท่านผู้ดีทั้งหลายท่านไปได้ ท่านเอามรรคผลนิพพานมาครองหัวใจได้ เราจะเอาอะไรครองหัวใจ เอาหา หาให้ได้ หาที่ใจ อย่าไปหาที่อื่น ไม่ใช่กิเลสตัณหา ไม่ใช่อรรถใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ให้หาที่ใจ ละชั่วทำดีอย่าลดละ เท่านั้นละ ท่านเทศน์ย้ำลงไปๆ จิตมันก็ลงแน่วเลยเชียว ลงใจกับท่าน นั่นละที่นี่เราพูดย่อๆ นะ พอลงมาจากท่านแล้วเหมือนว่าตัวมันจะเหาะลอยทั้งเป็น มันจะได้ไปสวรรค์นิพพานเร็วๆ

พอท่านบอกว่านี่น่ะมรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจๆ ชี้บอกเหมือนว่าแบมือ จิตมันก็ลงซี พอออกมาจากท่านแล้วยังไม่ไปถึงที่พักเลยละ จากศาลาที่ท่านเทศน์ให้ฟังแล้ว ลงมาถามตัวเองเป็นอย่างไรที่นี่ฟังเทศน์ท่านถึงใจไหม ท่านเทศน์ถึงใจไหม เราจะปฏิบัติอย่างไร ทางนี้ก็รับกันปึ๋งเลยว่าเอาตายเข้าว่าเลย ให้ได้มรรคผลนิพพาน ไม่ได้ให้ตาย ให้ได้เป็นอรหันต์ในชาตินี้ ให้ได้นิพพานในชาตินี้ นิพพานไม่กลับมาเกิดมาตายต่อไปอีก กฎ อนิจฺจํ เข้าไม่ถึงนิพพาน จะเอานี้ให้ได้ เอาตายเข้าว่าเลย ไม่ได้ก็ตายเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี ที่จะถอยไม่มี ลงใจปึ๊งเลย

ทีนี้เวลาเอาจริงอย่างนั้นนะไม่ใช่ธรรมดา นี่ละพลิกทางชั่วมาทางดี ฟังเอาซิ จากนั้นมาก็ถึงใจ ฟังเทศน์ถึงใจ ทีนี้การกระทำถึงใจ ถ้าหากว่าทำไม่ได้ให้ตายเสียดีกว่า อย่าให้หนักศาสนา อย่าให้หนักโลกเลย ต้องได้ ทางนี้มันก็หมุนติ้วๆ เข้าภายใน จากนั้นมาก็เอาใหญ่ ออกไปปฏิบัตินี้ไปคนเดียว ไม่เอาใครไปเป็นเพื่อนนะเรา ตั้งแต่ออกปฏิบัติไปคนเดียวทั้งนั้นๆ ธรรมะท่านถึงใจๆๆ เหมือนว่าท่านนั่งดูเราอยู่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ นั่งดูหัวใจเราอยู่เราจะไปทำอะไร ทั้งกระหยิ่มด้วยเพื่อจะไปมรรคผลนิพพาน ทั้งเสียอกเสียใจฉุดลากไว้ด้วยกลัวจะลงนรก จิตมันก็หมุนติ้วๆ

นั่นละเห็นไหมล่ะ ซัดเอาเป็นเอาตายเข้าว่าตั้งแต่พรรษา ๗ ออกปฏิบัติพรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ ในระยะ ๙ ปีที่ออกปฏิบัติเหมือนกันกับตกนรกทั้งเป็นเลยเชียวนะ หาความสุขไม่ได้วันหนึ่งๆ ทุกข์มากที่สุด คือนักบวชผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพานฆ่ากิเลสตัวแหลมคมที่สุด กิเลสมันครองโลกครองสงสารมาเพราะอำนาจแห่งความฉลาดของมันนั้นแหละ มันให้โลกได้รับความทุกข์ความทรมาน เราจะได้เหยียบหัวมันคราวนี้

นั่นละซัดตั้งแต่นั้นมาเหมือนตกนรกทั้งเป็น หาความสุขไม่ได้ ไปก็ไปอยู่คนเดียวๆ สอนแต่เจ้าของไม่สอนใคร เรียนนักธรรม-ตรี-โท-เอกผู้ใหญ่ท่านจะให้เป็นครูเป็นอะไรสอนไม่เอาทั้งนั้น จะสอนตน..บอก ถึงได้เอากันเสียจนเต็มเหนี่ยวๆ จิตมันล้มลุกคลุกคลานก็เอาจริงด้วย กิเลสกับธรรมฟัดกันล้มลุกคลุกคลาน เอากิเลสล้ม ธรรมล้ม ลุกขึ้นต่อยกันอยู่อย่างนั้น ล้มลุกคลุกคลานก็ไม่ถอย หมุนติ้วๆๆ เลย จากนั้นก็ตั้งรากตั้งฐานได้โดยลำดับลำดามา

นี่เราสรุปความนะ จนกระทั่งถึงขั้นความละเอียดของจิตของธรรม มองพิจารณาอะไรนี้โลกมันว่างไปหมด เกิดความอัศจรรย์ พิจารณาเรื่องอสุภะอสุภังป่าช้าผีดิบผีตายเข้ามาเทียบเคียงกับเจ้าของ ลงใจในเจ้าของ พิจารณาจนกระทั่งผ่านอันนี้เรื่อยๆ เข้าถึงขั้นว่างของจิต ทีนี้ว่างหมด พิจารณาอะไรๆ ว่างหมด ไม่มีอะไรเหลือ เกิดความอัศจรรย์ดังที่เขาเอาไปเขียนไว้ในประวัตินั่นแหละ จากนั้นมาจิตมันหดเข้ามาย่นเข้ามา มันปล่อยเข้ามาๆ ขยับใส่ธรรมๆ จับธรรมแน่นหนามั่นคง ปล่อยวางสิ่งภายนอกเพราะอำนาจของความดึงดูดในธรรมพาให้จิตเป็นไป ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่สนใจ

เพราะฉะนั้นการไปอย่างนั้นจึงเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ไม่ว่าการอยู่การกิน การหลับการนอนหาความสะดวกไม่ได้เลย เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น จะกินอะไรก็แล้วแต่ ไปบิณฑบาตในบ้านเขา เขาอยู่ในป่าในเขา เพราะเราชอบไปอยู่ในที่เช่นนั้น บ้านใหญ่ๆ ไม่ไป มีคนมาเกี่ยวข้องมันจะเสียเวล่ำเวลาทำความเพียร ไปหาอยู่ในที่อัตคัดขัดสนจริงๆ เขาก็อยู่ในภูเขา ไปบิณฑบาตได้ข้าวเขามาสักปั้นหนึ่งสองปั้นก็แล้วแต่ พอมาก็เอาผ้าปูนั่งมาปูที่หินดานกลางภูเขานั่นละ ฉันข้าวเปล่าๆ เสร็จแล้วข้าวที่มันเหลืออยู่บ้างเอาไปวางไว้ให้กระจ้อนกระแต ฉันเสร็จแล้วล้างบาตร ประกอบความเพียรวันยังค่ำ สติกับจิตติดกันแนบเลย ซัดกันตลอด

นี่ละที่ว่าทุกข์มาก ได้อะไรช่าง เรื่องการอยู่การกินการหลับการนอนไม่ให้เป็นอารมณ์ อารมณ์ให้อยู่กับมรรคผลนิพพานอย่างเดียว เพราะฉะนั้นความทุกข์มันจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามสู้ความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานไม่ได้นะ ความมุ่งมั่นนี้หนักแน่นมาก ตัดความยุ่งยากลำบากของกิเลสที่มันดึงมันกดมันถ่วงไว้นั้นออกได้โดยลำดับๆ จนกระทั่งจิตมันหมุนเข้ามาๆ เหลือแต่ความสว่างของจิตจ้าๆ เจ้าของก็มาอัศจรรย์เจ้าของ

จากนั้นมาแล้วก็พิจารณาย่นเข้าไปๆ จนถึงเรือนรังวัฏวนที่พาสัตว์ให้เกิดตาย คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ด้วยความพากเพียรอันหนักแน่นไม่ถอย จึงว่าตกนรกทั้งเป็น ไม่มีถอยเลย จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ถอย มีแต่จะเอาให้ได้ๆ เอาเสียจนกระทั่ง...นี่ละจึงไปม้วนเสื่อกัน เราย่นเข้ามานะ ความทุกข์นี้แสนสาหัส นั่งก็จนก้นแตก คือนั่งตลอดรุ่งๆ จนก้นแตก ไม่ถอย ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย เอาให้กิเลสแตกเป็นที่มุ่งหมายของเรา เรื่องก้นแตกอะไรมันก็แตก คนตายแล้วเน่าเฟะ อย่าว่าแต่มันแตกเฉยๆ มันเน่าเฟะ ถ้าไม่ได้มรรคผลนิพพานมันก็แตกเปล่าๆ เอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ซัดกันตรงนั้น

พอถึงวาระที่มันจะเอามันตีเข้ามาๆ กิเลสถูกตีตะล่อมเข้ามาๆ เข้ามาอยู่ในจิตดวงเดียว พิจารณาอะไรมันก็หมด หมดที่พิจารณา มันปล่อยหมดๆ วางแล้วยังเหลือแต่จิต ภายนอกมันว่างก็จริงแต่จิตยังไม่ว่าง ตีเข้ามาหาจิต เข้าถึงจิตแล้วว่างหมดๆ แต่ตัวจิตยังไม่ว่าง ซัดเข้ามาหาตัวจิต ทุกสิ่งทุกอย่างว่างหมด มันไม่ว่างเฉพาะจิตเวลานี้ อะไรมาขวางมันถึงไม่ว่างจิตนี้ ก็กิเลสนั่นเองขวางมรรคผลนิพพานมันจึงไม่ว่าง ซัดเข้าไปตรงนั้นก็ขาดสะบั้นลงไป

ตอนที่สรุปนี้มันเอากันหนักอยู่นะ ตอนมันต้อนกันเข้าๆ ที่จะหาตัวรากเหง้าของความเกิดแก่เจ็บตายได้แก่อวิชชา พอไปถึงนั้นแล้วสรุปลงละที่นี่ ตอนจะเอาละที่นี่ อะไรเราก็พิจารณาหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีปัญหา แล้วทำไมมันมีปัญหาอยู่ที่จิต เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าชั่ว เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ มันทำไมมันปลิ้นปล้อน สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้ปลิ้นปล้อน ถ้าว่าว่างเขาก็ว่างหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จิตทำไมมันไม่ว่าง มันก่อเรื่องตัวเองตลอดเวลา เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าผ่องใส เป็นอยู่อย่างนี้มันเป็นเพราะเหตุไร ไล่เข้ามาหาจิตดวงนี้

สักเดี๋ยวธรรมก็เกิด นี่ละเรียกว่าธรรมเกิด ธรรมเตือน ธรรมเกิด คำว่าสุขก็ดี นั่นธรรมเกิดนะนั่น เตือนเราเวลานั้น เวลาสุดท้ายละนั่น คำว่าเศร้าหมองก็ดี คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี เหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนตฺตานะ เท่านั้นละ คืออนตฺตาต้องปล่อยวางให้หมด ความหมาย สะดุ้งในจิต แต่เวลานั้นก็นิ่ง จิตเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วนิ่ง นิ่งด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญาแต่ไม่ทำงานอะไร หากไม่เผลอไปไหน ถ้าว่าเป็นนักมวยก็เรียกว่าต่อยเวลาเผลอ ทีนี้เวลานิ่ง จิตไม่ได้ทำงาน จิตเวลาจะพ้นจริงๆ ไม่ได้ทำงานอะไรนะ ให้มันเห็นอย่างนั้นซี วางตัวเป็นกลาง มัธยัสถ์ เป็นกลาง

สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลยเชียว ทีนี้วัฏวนอยู่ในหัวใจตกคว่ำออกไป ขาดสะบั้นไปหมด โลกนี้ว่างไปหมด ประหนึ่งว่าโลกธาตุหวั่นไหว ร่างกายของเรานี้ดีดผึงเลย มันแรง ดีดผึง วัฏจิตคือกิเลสกับใจกับธรรมพรากจากกัน ขาดสะบั้นจากกันลงไปแล้วจิตก็ดีดขึ้นมา ทีนี้จ้าครอบหมดโลกธาตุเลยที่นี่ เต็มที่ หายห่วง หมด ตอนจิตกับกิเลสพรากจากกันนี้นี่ละทำความกระเทือนมากที่สุด กิเลสกับธรรมพรากจากกัน วัฏวนความเกิดแก่เจ็บตายกับพระนิพพานพรากจากกัน ปรากฏว่าโลกธาตุนี่ไหวไปหมด ความจริงก็ไหวที่กายของเรา มันดีดขึ้นเลยนะกาย

ขึ้นอุทานเลยเชียว โอ้โห พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้เหรอ อย่างนี้เหรอ ซ้ำ เหอ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้เหรอๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้เหรอๆ โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร แต่ก่อนตั้งแต่เราเริ่มแรกถือศาสนามา พุทโธ ธัมโม สังโฆ เราไม่ได้ปล่อย แต่พอถึงวาระจะปล่อยปล่อยเอง ปล่อยแล้วก็สอนเราในตัวเลย

โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นั่นมันเป็นแล้วนะนั่น โห ธรรมแท้มีอันเดียว นั่น ธรรมธาตุมีอันเดียว นิพพานมีอันเดียว ไม่มีกฎอนิจฺจํตัวสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวาย นิพพานจึงเที่ยง นิพพานเที่ยงอย่างนี้เอง ธรรมแท้อย่างนี้เอง ธรรมธาตุแท้อย่างนี้เอง หาที่ไหนหานิพพาน จากนั้นก็ก้มกราบพระพุทธเจ้า ไม่ได้นอน วันนั้นไม่นอน จะว่าอยู่ด้วยความปีติยินดีมันก็เลยโลกเลยสงสารไปเสีย อะไรก็เลยไปหมด มันจ้าครอบโลกธาตุ ไม่ใช่ธรรมดาจิตดวงนี้เป็นของเล่นเมื่อไร

ทีนี้สรุปมาแล้วมาท้อใจ พอแย็บออกจากนี้ไปถึงโลกธาตุเพื่อนฝูงสัตว์โลกด้วยกัน ท้อใจไปหมด โห ใครจะมาปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างนี้ มันไม่มี ทีแรกอยากเหมาว่าไม่มีนะ มีอันเดียวเท่านี้แล้วจะไปสอนใครให้เขารู้ ไปว่าที่ไหนเขาก็จะว่าเราเป็นบ้าๆ โลกธาตุนี้จะมารุมเราโจมตีเราว่าเป็นบ้าคนเดียว ทั้งๆ ที่เขาเป็นบ้าเต็มโลกเต็มสงสาร เป็นบ้าหมุนเวียนเกิดแก่เจ็บตายตลอดเวลา เราไม่บ้าคนเดียวไปพูดให้เขาฟัง เขาจะหาว่าเราบ้า เอ้อ..อย่างนี้อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ พอถึงกาลเวลาแล้วก็ไปเสีย เท่านั้นละ จะไปสอนใครให้เสียเวล่ำเวลาเหน็ดเหนื่อยเปล่าๆ เราอยู่ของเราไป ใครไปรอดก็รอด ใครฉลาดก็รอด นี่รอดแล้วนี่ นอกจากนั้นก็ยังเหลือสัตว์โลกแน่นโลกธาตุ

มันออกถึงกัน แน่นโลกธาตุมีแต่ผู้ที่สมัครเกิดแก่เจ็บตาย สมัครหามกองทุกข์ทั้งนั้นด้วยความเกิดแก่เจ็บตาย อันนี้ไม่สมัคร ดีดออกแล้วพ้นแล้ว พ้นโทษแล้ว ที่นี่ท้อใจจะไม่สอนใคร เริ่มแล้วจะไม่สอนใคร สอนไปหาอะไร มีอันเดียวเท่านี้ที่ดีดออกจากโลกธาตุไปได้ นอกนั้นกองกันอยู่ในโลกธาตุนี้ สมัครเพื่อความเกิดแก่เจ็บตายความทุกข์ลำบากลำบนมีจิปาถะ แต่ละคนๆ จะเป็นผู้แบกหามกันทั้งหมด เราพ้นคนเดียว แล้วจะไปสอนเขาเขาจะมาฟังอย่างไร เขาก็เพลินด้วยในความทุกข์ของเขา แล้วจะไปแกะเขาออกได้อย่างไร อยู่ไปกินไปถึงวันก็ไปเสียเท่านั้นละ

ไม่นานนะที่นี่ บทเวลาจะรู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง มันเริ่มจะปล่อยละที่นี่ โลกธาตุให้อยู่ตามสภาพของมัน เราก็ไปตามเรื่องของเรา หมดละที่นี่ สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมา นี่ละธรรมเตือนอีกนะ ฟังให้ชัดเสียพี่น้องทั้งหลาย ธรรมมาเตือนแล้วนะ ก็เมื่อโลกอันนี้ว่าไม่มีความหมาย โลกอันนี้โง่เง่าเต่าตุ่น ไปไม่ได้ ไปแต่เราคนเดียว พ้นจากทุกข์ไปแต่เราคนเดียว โลกนี้จมไปด้วยกันหมด เราเป็นเทวดามาจากไหน โลกนี้เป็นสัตว์ไร้สาระแก่นสารมาจากไหนเอานักหนา ถึงว่าไร้สาระแก่นสาร โลกทั้งโลกหาสาระแก่นสารไม่ได้ มีสาระแต่เราคนเดียวนี้เหรอ ขึ้นแล้วนะที่นี่

เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน สาวกทั้งหลายเป็นมนุษย์เหมือนกัน ท่านทำอย่างไรท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ทำอย่างเรา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเหตุใดเราจะมายกตัวของเราว่าเลิศเลอยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายที่ตายกองกัน ซึ่งเราก็เคยตายกองกันมาแล้ว ทำไมจึงเห็นแต่โทษของสัตว์โลกไม่เห็นโทษของเราบ้าง เราก็หลงเหมือนกัน แก้มาหลุดได้มานี้ก็เพราะความดีงามทั้งหลาย มีการทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเหมือนกัน พ้นไปได้พ้นมาอย่างนี้เอง

แล้วเราวิเศษวิโสมาจากไหน เป็นเทวดามาจากไหน ก็เป็นมนุษย์มาเกิดแล้วมันทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ก็เพราะการฝึกฝนอบรม อ๋อ..ทีนี้ยอมรับนะ อ๋อได้ ถึงไม่มากก็ได้ ได้รายหนึ่งสองรายก็ได้ ไม่ได้ลบล้างไปเสียอย่างเดียวว่าไม่ได้ จากนั้นก็พอใจที่จะพูดกับคนที่ควรจะพูดจะสอน ใครไม่ควรก็ปล่อยไปๆ ตามบุญตามกรรม ถึงได้เริ่มสอน

นี่ละที่ว่าท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้า ตอนที่พระองค์ทรงท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนสัตว์โลก ทั้งๆ ที่ตั้งความปรารถนามาตั้งกี่กัปกี่กัลป์จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าถึงผลอันเลิศเลอแล้วกลับท้อใจที่จะสั่งสอนสัตว์โลกให้ไปด้วยกันกับพระองค์ ไม่สมควร ท้าวมหาพรหมจึงมาอาราธนาว่าพฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ มาอาราธนาว่าขอพระองค์อย่าทอดอาลัยกับสัตว์ทั้งหลายซึ่งเขามีกองทุกข์อยู่เต็มตัวตลอดเหมือนกันหมด ขอทรงแนะนำสั่งสอน ผู้มีธุลีเบาบางยังมีอยู่มาก ไม่ใช่จะจมไปด้วยกันหมด ผู้มีธุลีเบาบางซึ่งควรจะตามเสด็จได้ยังมี ขอพระองค์ได้แนะนำสั่งสอนสัตว์โลก

นั่นละท้าวมหาพรหมมาอาราธนา พระองค์จึงได้แสดงธรรม ความจริงพระองค์ทรงทราบแล้วละ แต่นี่ยกพระญาณขึ้นมา ถึงขนาดท้าวมหาพรหมมาอาราธนาให้มาสอนสัตว์โลก จึงได้ พฺรหฺมา จ โลกา ไปที่ไหนพอจะเทศนาว่าการก็ พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ นี้เอานิมิตของท้าวมหาพรหมมานิมนต์ จึงสั่งสอนสัตว์โลกมาทุกวันนี้ อันนี้เมื่อเข้าถึงบทที่ว่ามนุษย์ทั้งหลายนี่เขาเป็นอะไร เป็นเทวดาแต่เรานี่เหรอ ทำไมเรารู้ได้เขารู้ไม่ได้ เรารู้ได้เพราะเหตุใด เราเป็นเทวดามาจากไหนเรารู้ได้เพราะเหตุใด แล้วก็อ๋อ พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด สายความดีงามของเราที่สร้างมาๆ มารวมกันอยู่ที่จิตตภาวนา นี้เป็นทำนบใหญ่

สายบุญสายกรรมที่เราสร้างมาด้วยวิธีการใด การทำบุญให้ทานมากน้อยไม่สูญหายไปไหน ทำบาปก็เหมือนกัน ทำบุญเหมือนกัน ไหลเข้ามา ทางนั้นไหลเข้ามา รวมลงจิตตภาวนา มาทำนบใหญ่ ทีนี้พอบารมีเต็มที่แล้วเข้าถึงอันนี้ อันนี้ส่งทีเดียวถึง อ๋อรู้ได้ รู้ได้เพราะอำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลายช่วยหนุน อ๋อรู้ได้ ฟังเสียท่านทั้งหลาย มันผางขึ้นในวันนั้น วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลย เรามาดูนาฬิกาพอดี ๕ ทุ่มเป๋งเลย เราจึงไม่ลืม

นี้เป็นคติเครื่องเตือนใจไหมวันนี้ เทศน์เป็นกัณฑ์ทีเดียวละวันนี้ ให้พิจารณา นี่ละบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นเป็นโลกวิทูรู้แจ้งโลกหมดแล้วจึงมาสอนโลกไม่ผิด ไม่เหมือนคนตาบอดหูหนวกรู้ลูบๆ คลำๆ ผิดตลอด ตกเหวตกบ่อไปคนตาบอด คนตาดีไปจะไม่ตก ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้านะ เราพวกตาบอดหูหนวกให้ฟังเสียงคนตาดีหูดีคือพระพุทธเจ้า

บาปมีมีแท้ บุญมีมีแท้ สวรรค์-นิพพานมี มีโดยแท้ทุกอย่างที่สอนไว้แล้วด้วยความหูแจ้งตาสว่าง ไม่ใช่มีแบบลูบๆ คลำๆ กำดำกำขาวแล้วมาหลอกกัน แล้วไปเหยียบหัวธรรมทั้งหลาย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าว่าบาป-บุญ-นรก-สวรรค์ไม่มีจะจมอีกนะ ให้พากันจำเอา บทนี้เป็นบทสุดท้าย จำให้ดีบาป-บุญมี นรก-สวรรค์มี พระพุทธเจ้านิพพานไปเท่าไรคำสัตย์คำจริงที่สอนไว้แล้วไม่เคลื่อนคลาด จำเอานะ พอ

วันนี้ได้ฟังเทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยละบรรดาพี่น้องชาวไทยเรา เพราะเราจวนจะตายแล้วรีบเปิดออกๆๆ เปิดออกด้วยความสัตย์ความจริง เทศนาว่าการวันนี้รสชาติเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะถอดออกจากใจนี้ไปหมดเลย ไม่ว่าจะแขนงใดของธรรม ขั้นใดของธรรม ดึงออกหมดวันนี้ เพราะฉะนั้นการฟังถ้าใครจิตใจยังจืดชืดอยู่ไม่สนใจอะไรเลยมันจะจมอีกนะ พวกจิตปทปรมะมันจะจม ถ้าผู้ที่มุ่งหวังดีแล้ววันนี้จะดีดมากทั่วประเทศไทยเราที่เป็นชาวพุทธ ธรรมะนี้เราหามาจนขั้นจะสลบไสล ไม่ใช่ธรรมดาที่มาสอนโลกนี้นะ ไม่ใช่ไปหยิบเอามาเคี้ยวกร้วมๆ มันแทบตาย

วันนี้เหนื่อย ให้พากันสร้างนะสร้างบุญสร้างกุศล อย่าประมาท อย่าเห็นว่าสิ่งของที่หึงหวงเอาไว้ กว้านเข้ามาๆ จะช่วยเจ้าของนะ มันจะเผาเจ้าของแหละอันนั้น เพราะความห่วงความใยนั่นละมันเผาเจ้าของเอง อะไรจะเหนือธรรมไปได้ พอธรรมเข้าสู่ใจแล้วอันนั้นมันจะจืดไปจางไป ปล่อยไปๆ เมื่อธรรมเข้าสู่ใจเต็มที่แล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง นั่นละบุญกุศล บุญจะมาจากไหน อยู่กับเราผู้ทำ เทศน์ย้ำอีกวันนี้

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก