เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
เทศน์ได้ทุกอย่างขึ้นชื่อว่าธรรม
ตั้งแต่มาสร้างวัดป่าใหม่ๆ มีเทปมีอะไรตอนนั้นนะ แต่ก่อนไม่มีเทปไม่มีอะไร เทศน์ปากเปล่า ดูปี ๒๕๐๔ ละมังมีเทป ๒๕๐๔ เทปเทศน์ ๒๕๐๔ เทปเทศน์ เทศน์เสียงเป็นไฟเลยนะ ปี ๒๕๐๔ ๒๕๐๕ นี้เสียงนี้เป็นไฟไปเลย คือธาตุขันธ์มันพร้อมทุกอย่างแล้ว อันนั้นหมายถึงเทศน์สอนพระล้วนๆ ตอนนั้นไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง มีแต่เทศน์สอนพระล้วนๆ เทศน์สอนพระมีแต่แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วละพุ่งๆ ๆ เพราะธาตุขันธ์ดี เครื่องมือดี เทศน์เสียงชัดเจนมาก เป็นชั่วโมงกว่าเทศน์สอนพระ แล้วไม่ใช่เทศน์เอื่อยๆ ธรรมดานะ เทศน์นี่มันหมุนของมันเลย ยิ่งเทศน์ธรรมะขั้นสูงเท่าไรแก่ผู้ตั้งใจฟังปฏิบัติจริงๆ แล้วมันยิ่งหมุนนะ คือเทศน์ธรรมะละเอียดเท่าไรๆ มันยิ่งพุ่งๆ ๆ คือมันออกมาจากนี้ทั้งหมด มันไม่ได้ไปออกทางตำรับตำรา ตำรานี่ท่านดูว่าสังคายนาเท่าไรท่านได้จดจารึกพระไตรปิฎกออกมา ที่ได้มาฟังมาเทศน์กัน แต่ก่อนก็ไม่มีพระไตรปิฎก มานี้เห็นว่ามันจะเสื่อมสูญไปหมดเพราะผู้ที่จะทรงอรรถทรงธรรมโดยหลักธรรมชาติจากการปฏิบัตินี้มีน้อยลงทุกวันๆ ท่านจึงจดจารึกไว้ในพระไตรปิฎก เมื่อจดจารึกไว้แล้วการเทศนาว่าการก็เลยเอาพระไตรปิฎกเป็นพื้นฐานเลย เทศน์ตามพระไตรปิฎก เทศน์ตามหนังสือไป
ในครั้งพุทธกาลจริงๆ ไม่มี ท่านเทศน์ออกจากปากสดๆ ร้อนๆ เลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระสาวก ท่านเทศน์ออกเป็นธรรมล้วนๆ ออกจากใจๆเทศน์ (ฝนกำลังตกหนัก) เทศน์ไม่ได้ยิน ฝนตก เวลาเทศน์มันจะไม่ได้ยิน ฝนถ้าจะช่วยบ้างก็ควรช่วยหนักๆ กว่านี้ ฝนถ้าจะช่วยหลวงตาก็ควรตกหนักๆ กว่านี้ หลวงตาจะได้มีทางออก ไม่เช่นนั้นไม่มีทางออก ฝนตกหนักๆ เทศน์ไปไม่ได้ ไปสบายเลย ทางออกเรียบเลย พอพูดอย่างนี้มันก็ออกทั่วประเทศไทย โลกทั้งหลายเขาถือกัน ถือกันมาดั้งเดิม แต่จะว่าผิดก็คือว่าธรรมไม่มี จะว่าอะไรว่าไปตามธรรมล้วนๆ แล้วจบหายไป ไม่เอามาคิดมาอ่าน เพราะมันถูกต้องพร้อมแล้วตั้งแต่แสดงออกไป จึงไม่ต้องได้พินิจพิจารณาว่าเทศน์อย่างนั้นหนักไปเบาไปอย่างนี้ไม่มี คือออกมาพร้อมๆ สมบูรณ์พร้อมเลย เทศน์จบแล้วหายพร้อม
สำหรับผู้ฟังนี้ถ้าผู้เทศน์เทศน์ด้วยความจดความจำไปอย่างนั้นก็มีได้ด้วยกัน เทศน์ต้องมาพิจารณาคำเทศน์ของตนว่าเทศน์ตรงไหนผิดพลาดไป หรือเบาไป หรือหนักไป แล้วพร้อมกับความดีใจเสียใจไปพร้อมนั้นแหละ เจ้าของเองดีใจเสียไปพร้อมกับการที่เทศน์ผ่านไปแล้วนำมาใคร่ครวญสำนวนเทศน์ของตน คือจิตยังเป็นโลกล้วนๆ เป็นอย่างนั้น ถ้าจิตเป็นธรรมล้วนๆ แล้วไม่มี จะหนักจะเบาแค่ไหนๆ ไม่มีคำว่าลูบหน้าปะจมูกไม่มีในธรรม ควรจะหนักหนักไปเลย ควรจะเบาเบาไปเอง หนักไปเองตามแต่เหตุการณ์และผู้ฟังจะได้ยินได้ฟังได้รับผลตามกำลังของตน ท่านจะเทศน์ไปตามนั้น
ถ้ายิ่งเทศน์ภาคปฏิบัติด้วยแล้วธรรมะจะเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลย ออกอย่างพุ่งๆ นั่นละท่านว่าเทศน์ธรรมะออกจากใจ กระแสของธรรมไปกับใจ ไปกับเสียงก็เป็นธรรมไปพร้อมๆ เทศน์เสียงออกไปถึงไหนธรรมจะแทรกๆ ๆ ไปในนั้น นี่จิตที่มีธรรมในใจ ถ้าจิตไม่มีก็มีแต่ความจดความจำว่าไป ผิวๆ เผินๆ ไป ถ้าจิตเป็นธรรมล้วนๆ อยู่ภายในใจจะออกขนาดไหนก็เป็นธรรมไปหมด
วันนี้ก็เทศน์ไม่สะดวก ฝนตก ผู้ฟังน่าจะไม่ได้ยินทั่วถึงกันนะ ผู้ฟังจะไม่ได้ยินทั่วถึงกันเพราะเสียงมันกวน
พอพูดถึงเรื่องเทศน์ภาคปฏิบัติล้วนๆ แล้วนี้ ในสมัยปัจจุบันเรายังไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์หรือพระองค์ใดเทศน์แซงครูบาอาจารย์มั่นนี้ไปได้ไม่มี เรียกว่าเอกในสมัยปัจจุบัน ท่านเทศน์เป็นธรรมล้วนๆ ออกเต็มเหนี่ยวๆ คิดดูเทศน์ซิตั้ง ๔ ชั่วโมง ไหลออกเลยเชียว คือธรรมออกจากใจ ออกจากใจไหลออกเลย ต่อจากนั้นมาก็ ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง พอถึง ๒ ชั่วโมงแล้วหยุด ไม่เทศน์ต่ออีกเลย เทศน์ทีละ ๒ ชั่วโมงจบ หยุดๆ พอมาถึงนั้นแล้วไม่เทศน์ต่อไปอีก เช่นอย่าง ๑ ชั่วโมง พอถึง ๒ ชั่วโมงแล้วก็หยุด เบื้องต้น ๔ ชั่วโมง เทศน์นี้ไหลไปเลย คือในใจของท่านมีแต่ธรรมล้วนๆ ธรรมของท่านเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ หลวงปู่มั่นไม่ใช่พระธรรมดา ถ้าครั้งพุทธกาลก็ต้องให้นามว่าท่านเป็นพระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
เพราะฉะนั้นธรรมของท่านที่ออกในครั้งพุทธกาลกับครั้งปัจจุบันจึงมีน้ำหนักเท่ากัน เพราะธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ธรรมเป็นปัจจุบันธรรมตลอด ท่านได้ความรู้หนักเบามากน้อยเพียงไรภายในใจจากภาคปฏิบัติ ธรรมจะออกไปตามกำลังของตน ถ้าผู้ที่จบวิมุตติหลุดพ้นไปแล้วนี้จะเทศน์ประเภทใดออกมาเองเป็นเองๆ ไปเลย ในครั้งพุทธกาลจริงๆ พระพุทธเจ้าก็ปรากฏว่าท่านเทศน์ปากเปล่าทั้งนั้น ท่านเทศน์ด้วยปาก พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายไม่ค่อยปรากฏในตำราว่าท่านยกแบบแผนตำรับตำรามาเทศน์ไม่ค่อยมี มีแต่ธรรมะออกจากปากล้วนๆ ไปเลย ต่อมานี้ก็จดจารึก เมื่อไม่มีอะไรเทศน์ก็ต้องเอาตำรามาอ่านมาเทศน์
การเทศน์กับตำราเหมือนกับการอ่านหนังสือ มันไม่มีน้ำหนักพอ ผู้ฟังก็จืดชืด แต่ที่เทศน์ธรรมะออกจากใจล้วนๆ แล้วเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นธรรมทั้งนั้นไม่ว่าธรรมขั้นใด จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเป็นธรรมล้วนๆ ผู้ฟังนี้ซึ้งถึงใจ นั่นเป็นอย่างนั้น มันขึ้นอยู่กับผู้ทรงธรรมภายในใจ การเทศนาว่าการขึ้นอยู่กับผู้ทรงธรรมภายในใจ เทศน์ออกไปจากธรรมที่มีอยู่ภายในใจจึงมีรสมีชาติมากทีเดียว เทศน์ธรรมดาๆ ก็จะเรียกว่าด้นเดาเกาหมัดก็ไม่ผิด ทีนี้ผู้ฟังก็ไม่ได้ผลประโยชน์เท่าที่ควร เทศน์ภาคปฏิบัติท่านผู้เทศน์เป็นผู้ทรงธรรมสุดส่วน
ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเทศน์ หลวงปู่มั่นเทศน์นี้มีน้ำหนักมากทีเดียว คือผู้ฟังนี้เพลินตลอด ไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดแต่อย่างใดเลยว่าท่านเทศน์นานไปอย่างนี้ไม่มี ทั้งๆที่ท่านเทศน์ในสมัยที่เราไปอยู่กับท่านนี้ท่านเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมง แล้วก็ลดลงมา ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง แล้วหยุดเทศน์ แต่ผู้ฟังไม่เคยที่จะลุกว่าเทศน์นานไป เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการฟังเทศน์อย่างนี้ไม่มี เพราะเทศน์นั้นเป็นธรรมล้วนๆ ออกมาจากใจ เข้าถึงใจใดก็มีรสมีชาติ เพราะธรรมแท้ออกจากใจ ออกจากใจก็แสดงออกมาทางวาจา เข้าสู่จิตใจใดก็มีรสมีชาติ ดื่มด่ำตลอด เช่นอย่างท่านเทศน์ตั้ง ๔ ชั่วโมงนี้ไม่เห็นปรากฏว่ามีพระองค์ใดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงการนั่งของตน พลิกท่านั้นท่านี้ไม่มี เหมือนว่าเทศน์ไม่มีคนฟัง แต่เสียงธรรมนั้นกังวานๆ อยู่เพียงผู้เทศน์แต่เพียงผู้เดียว ประหนึ่งว่าผู้ฟังไม่มี เพราะเงียบไปหมด ผู้ฟังนั่งเหมือนหัวตอ จิตดื่มด่ำในธรรมที่ท่านเทศน์ มันกล่อมใจลงโดยลำดับๆ นะ
การเทศนาว่าการทางภาคปฏิบัตินี้ตีเข้าๆ ภายในซึ่งเป็นสถานที่อยู่ของกิเลสตัวรบกวนใจให้ส่ายแส่เร่ร่อน คิดนั้นปรุงนี้ พอคำเทศน์ของท่านตีเข้าไป ตีเข้าไป จิตที่เคยคิดฟุ้งซ่านรำคาญก็หมอบลงๆ แล้วก็หยุดนิ่งเลย ทีนี้มีแต่ธรรมไหลเข้าสู่ใจ ธรรมไหลเข้าสู่ใจไม่หยุด ไหลติดไหลต่อกันเป็นลำดับตามที่ท่านเทศน์ไป จิตใจมันก็ติดก็พันอยู่กับเสียงธรรม ไม่ออกไปที่ไหนเลย แล้วสุดท้ายก็สงบแน่วเลยนะ เวลาฟังเทศน์ท่านท่านเทศน์นี้ใจสงบแน่วเลย สงบจนเต็มที่ก็มี นี่ละผลแห่งการเทศนาว่าการจากอรรถจากธรรมที่รู้เห็นจริงๆ
ในสมัยปัจจุบันนี้ก็คือหลวงปู่มั่น ท่านเทศน์เรียกว่าไหลไปเลยนะ ไม่มีอึ๊ๆ อ๊ะๆ อะไรไม่มี เพราะธรรมะเต็มหัวใจ พอไขก๊อกเท่านั้นมันก็ไหลออกมาเลยเรื่อยๆ ผู้ฟังก็เพลินๆ เพลินเป็นลำดับลำดานะ ที่จะว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการฟังเทศน์นี้ดูอาการของพระทั้งหลายรู้สึกจะไม่มี องค์ไหนก็จดจ่อต่อการฟังเทศน์ของท่าน เช่นวันนี้จะประชุมเทศน์อย่างนี้ ดูพระดูเณรยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันหมด เช่นอย่างในพรรษา ๗ วันท่านประชุมเทศน์ทีหนึ่ง พอถึงวันเทศน์นั้นอากัปกิริยาหน้าตาของพระทั้งหลายนี้รู้สึกยิ้มแย้มแจ่มใสว่าจะได้ฟังเทศน์วันนี้
นั่นละท่านพอใจขนาดนั้นฟังเทศน์ มันหิวมันโหยอยากฟัง พอท่านเทศน์ให้ฟังเหมือนท่านช่วย งานตัวเองที่ทำโดยลำพังมันเป็นลูบๆ คลำๆ ไม่ค่อยแน่นอนจับผิดจับถูกไป ทีนี้งานที่เกิดจากการฟังเทศน์ของท่านที่เทศน์ถูกต้องแม่นยำนี้มันฟังด้วยจิตแน่วแน่ๆ ไปโดยลำดับ ไม่สงสัยในการฟัง มันก็เพลินไปเรื่อยๆ แล้วจิตสงบรวมอย่างแน่วเลยก็มี ตามแต่ขั้นภูมิของผู้จะสงบได้มากน้อยเป็นอย่างนั้น เบื้องต้นไม่สงบแต่พอฟังหลายครั้งหลายหน สุดท้ายก็ไปสงบในเวลาฟังเทศน์ท่าน
ทีนี้เวลามาปฏิบัติโดยลำพังตนเองจิตไม่ค่อยสงบ ไม่ค่อยรวม มันดีดมันดิ้น นั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่สงบ แต่ไปฟังเทศน์ท่านเท่านั้น ไม่ต้องบังคับ พอท่านเริ่มเทศน์จิตก็เริ่มจ่อ สติเริ่มมาด้วยกัน สติติดอยู่กับจิต จิตก็เป็นความรู้ที่เด่นดวง นั่นละทีนี้ธรรมไหลเข้าตรงนั้นในเวลานั้นแหละ ไหลติดไหลต่อ ไหลไม่หยุดไม่ถอยจากคำพูดไม่หยุดไม่ถอยของท่าน ที่เป็นธรรมล้วนๆ แล้วจิตสงบแน่ว ในขั้นสงบของจิต ผู้ไม่เคยสงบก็สงบ ผู้เคยสงบแล้วง่ายที่สุด พอท่านจ่อเริ่มเทศน์ลงไปสติกับจิตจะติดกันปั๊บ ธรรมะจะไหลเข้าไป ไหลเข้าไป ไหลติดไหลต่อไหลไม่หยุดไม่ถอยจิตก็แน่วลง สงบเลย นั่น
นี่เป็นขั้นของความสงบ ถ้าจิตก้าวออกทางด้านปัญญาแล้วนั้นเวลาท่านเทศน์นี้มันจะขยับตามนะ มันไม่หยุดไม่นิ่ง ไม่หมอบไม่สงบ แต่มันจะขยับตาม ขยับตามขณะท่านเทศน์ไป คือเปิดสติปัญญาของเราตามท่านไป ตามท่านไป นี่ขั้นปัญญาเป็นอย่างนั้น ได้ผลเหมือนกัน ผู้อยู่ในขั้นสงบก็ได้ความสงบเป็นที่พอใจจากการฟังธรรม แล้วผู้ที่ก้าวเข้าสู่สติปัญญาละเอียดลออเข้าไปเท่าไรการเทศนาว่าการของท่านจิตขั้นนั้นมันจะขยับตามๆ ไม่อยู่นะ ไม่อยู่นิ่งๆ เหมือนสมาธิ จะขยับตามๆ เพลินไปตาม แก้กิเลสไปตามนั้นละสติปัญญาโดยลำพังตนเอง ทางด้านปัญญานี้มันแก้กิเลสๆไปโดยลำดับ แต่เชื่องช้า พอท่านเปิดธรรมะออกมาซึ่งเป็นธรรมะสำเร็จรูปมาแล้วจากท่านผู้รู้จริงเห็นจริงมาแล้วมันก็เบิกกว้างได้อย่างรวดเร็ว เบิกกว้างออกไป เบิกกว้างออกไป มันก็คล่องทางด้านปัญญา
นี่ละการเทศน์ ครั้งพุทธกาลเวลาเทศน์จบลงผู้สำเร็จมรรคผลนิพพานมีจำนวนมากทีเดียว ท่านแสดงไว้อย่างนั้น แต่ก่อนเราก็เป็นเหมือนขอนซุง จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อมันเอาแน่ไม่ได้ ถ้าว่าขอนซุงนั้นเหมาะ คือมันมืดหนา มันไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่พอฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติเฉพาะฟังจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้เปิดเลย ยอมรับหมด ผู้ฟังเทศน์จบลงแล้วได้สำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนมากๆ เพราะอุปนิสัยของคนมีความเลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน แล้วในครั้งนั้นครั้งพระพุทธเจ้ามาอุบัติเป็นศาสดาเอกของโลกก็พร้อมด้วยสัตว์โลกทั้งหลายมีอุปนิสัยที่จะรับทราบคำทั้งหลายมีจำนวนมาก
เพราะฉะนั้นธรรมะที่ท่านเทศน์ในเวลาตรัสรู้แล้วจึงได้ผลแก่ผู้ฟังเป็นจำนวนมากนะ มันต่างกัน เหมือนผลไม้รุ่นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ รุ่นที่ ๑ นั้นเยี่ยม รุ่นที่ ๒ ลดลงมา รุ่นที่ ๓ ก็ลด รุ่นที่ ๓ รุ่นถูไถกันไป อย่างเราๆ ท่านๆ รุ่นที่ ๑ ที่ ๒ นั้นจับติดๆ จากธรรมของท่านที่แสดงไม่ผิดพลาด ฟังจริงเอาจริงเอาจัง ต่างกันอย่างนั้นนะ ทีนี้ครั้งนี้เทศน์จิตขยับมาถึงขั้นนี้ พอท่านเทศน์คราวหลังวันหลังต่อไปอีกก็ขยับไปอีก ขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีนี้หลายครั้งหลายหนมันก็สำเร็จได้เพราะขยับขึ้นไม่ถอย นี่ที่ว่าท่านสำเร็จมรรคผลนิพพาน คือท่านขยับขึ้นมาทุกวันๆ ในการฟังจากคนเป็นจำนวนมาก หรือพระเป็นจำนวนมาก ฟังแล้วได้คติเป็นลำดับลำดา จิตก็ขยับขึ้นไปเรื่อยๆจนสำเร็จมรรคผล
แต่ก่อนเราก็เป็นขอนซุงไม่ค่อยคิดอะไร จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อก็เอาขอนซุงมาเทียบเลย แต่พอฟังเทศน์ด้วยการปฏิบัติของเรา เอาอย่างเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวกับเทศน์ของท่านผู้ที่รู้จริงเห็นจริงอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้ไม่สงสัยแล้วนั่น คือเป็นคลังแห่งธรรม จอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบันท่านเทศน์ออกมาไม่มีแง่สงสัย ผู้ฟังก็ฟังได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยและได้ผลเป็นที่พอใจๆ มันก็ขยับของมันขึ้นเรื่อยๆ จิตละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ถึงจะว่าไม่สำเร็จมรรคผลนิพพาน ผลที่ได้มันก็ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ หลายครั้งหลายหนมรรคผลนิพพานจะหนีไปไหนจากการปฏิบัติด้วยการได้ยินได้ฟังที่ถูกต้องแม่นยำ จิตต้องได้ผลได้ประโยชน์แล้วขยับตัวไปเรื่อยๆ
ช่วยได้เป็นอย่างมากนะครูบาอาจารย์ที่เทศน์สอนด้วยความรู้จริงเห็นจริงของท่าน เราฟังนี้ได้ผลเป็นลำดับลำดา ผิดกันกับที่เรานั่งภาวนาบังคับบัญชาจิตใจของตน เอาเสียจนหลังจะหัก จิตมันก็ดีดก็ดิ้น มันไม่สงบ ไม่รวมให้นะ แต่พอได้ยินได้ฟังธรรมของท่านนั้นแล้วค่อยสงบ ต่อไปสงบได้ทุกครั้งเลย พอท่านเริ่มเทศน์ทางนี้ก็เริ่มสงบ เพราะจิตจ่อ สติจ่ออยู่จุดเดียว ธรรมะก็ไหลเข้าไปที่จิตของจิตที่ตั้งตัวไว้ด้วยดีโดยลำดับลำดา จิตก็แน่วลงเลย นั่นได้ผลๆ ผู้ควรแก่ปัญญาก็ก้าวทางด้านปัญญาไปเรื่อยๆ ผู้อยู่ในขั้นความสงบความสงบก็แน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ก้าวขึ้นทางด้านปัญญาและผ่านพ้นไปได้
การฟังเทศน์ในครั้งพุทธกาลท่านผู้เทศน์ท่านทรงมรรคทรงผลไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เทศน์สุ่มสี่สุ่มห้าด้นเดาเกาหมัดเหมือนพวกเราๆท่านๆ เทศน์และฟังกัน มันก็เลยกลายเป็นพิธีไป เทศน์ก็พอเป็นพิธี ฟังก็พอเป็นพิธี แต่ท่านที่ปฏิบัติจริงจัง รู้เห็นผลประจักษ์ใจจริงๆ ท่านไม่เทศน์สักแต่ว่านะ ท่านเทศน์ตามหลักความจริงๆ ผู้ปฏิบัติธรรมก็ฟังด้วยความสนใจผลก็ได้รับไปเรื่อยๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วยๆ นั้นละ การฟังธรรมในครั้งพุทธกาล ซึ่งส่วนมากมีแต่ท่านที่มาเทศน์นั้นเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลทั้งนั้น ผลจึงได้สำหรับผู้ฟังทั้งหลาย
เรายังไม่ได้อย่างนั้นก็เอาฟังเสียงธรรมเป็นมงคล เราได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์แล้วในขณะที่ฟังจิตก็จ่ออยู่กับเสียงธรรมตลอดเวลา นี่จิตเป็นธรรม จิตเป็นมงคลในขณะฟังแล้ว จากนั้นไปเราก็ได้ไปเป็นคติเครื่องเตือนใจของเรา นำไปปฏิบัติก็ย่อมเป็นการขัดเกลาใจให้มีความสง่างามผ่องใสขึ้นเป็นลำดับลำดา การฝึกจิตนี้ถ้าฝึกไม่หยุดไม่ถอยจะมีความสง่างามนะ มีความสงบ พอสงบแล้วก็จะสง่างามเย็น แล้วสงบละเอียดเข้าไปเป็นลำดับลำดา นั่นละการฝึกจิตภาวนา กิเลสไม่เข้ายุ่งกวน มีแต่ธรรมทำงานด้วยการภาวนา จิตใจก็เยือกเย็น ความสงบของจิตก็ง่ายเข้าๆ สุดท้ายก็ผ่องใสสง่างามขึ้นเป็นลำดับ เอาผ่านเลยก็ได้ นี่จะว่าอย่างไร
ทำไมจะผ่านไม่ได้ก็บำเพ็ญเพื่อรู้เพื่อเห็น ความรู้ความเห็นก็เป็นผลจากการบำเพ็ญ ต้องรู้ต้องเห็นได้นั่นแหละ ครั้งพุทธกาลท่านก็บำเพ็ญ เราก็ใจดวงเดียวกัน ธรรมประเภทที่แก้กิเลสอันเดียวกันต้องขัดต้องเกลากันไปเรื่อยๆอย่างนั้นละ จิตใจเมื่อได้อบรมบ่มอินทรีย์แล้วจะต่อภพต่อชาติไปด้วยความสง่างาม ถ้าจิตไม่ได้รับการอบรมทางศีลทางธรรม เช่นเทศนาว่าการเป็นต้นบ้างเลย แล้วจิตก็มีแต่ความเศร้าหมองอยู่ตลอด ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย มีแต่ความมืดดำกำตาตลอดไป หาความแน่นอนไม่ได้
เพราะฉะนั้นการเกิดของสัตว์ประเภทนี้จึงมักจะเกิดในที่ต่ำๆ มีทุกข์มากๆ ผิดกันกับผู้ได้มีการอบรมเรื่องศีลเรื่องธรรม เช่นอย่างการให้ทานก็เป็นพื้นฐานของจิตที่สร้างกุศลแก่ตัวเอง การรักษาศีลก็เป็นเครื่องหนุนจิตใจของเราให้มีความสง่างามด้วยบุญด้วยกุศล ยิ่งจิตตภาวนาด้วยแล้วยิ่งเป็นสำคัญมากทีเดียว ขัดเกลาจิตใจให้สง่างามขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อหนักเข้าๆ จิตใจไปที่ไหนก็สว่างไสวพอพูดอันนี้มันเป็นคติ อย่ามาคิดนะเรื่องว่าเราจะคุยโม้คุยอวดให้ท่านทั้งหลาย เราไม่มีในจิตของเรา นอกจากความเมตตาเพื่อให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ เป็นกำลังใจของท่านผู้ฟังเท่านั้น
นี่เวลาเราอบรมไปมากๆ จิตมันเป็นขั้นจนกระทั่งมันผ่านรูปไปหมด พิจารณาร่างกายทีแรกก็เป็นอสุภะอสุภัง เช่นอย่างท่านสอนไปเยี่ยมป่าช้า คือจิตอยู่ในขั้นรูปกายต้องเอานี้เป็นหินลับปัญญาพิจารณาร่างกายให้เป็นของอสุภะอสุภัง แตกกระจัดกระจายเน่าเหม็น นี่ให้จิตมันเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อพิจารณาอันนี้หนักเข้าไป หนักเข้าไป จิตอิ่มตัว จิตอิ่มตัวในทางร่างกายแล้วมันก็หมุนเข้าไปทางนามธรรมได้แก่ความคิดความปรุงของจิตล้วนๆ นี่ละจิตที่ผ่านการพิจารณาร่างกายให้เป็น อสุภะอสุภังอย่าเข้าใจว่ามันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปนะ ภาคปฏิบัติเมือยังไม่รู้ไม่เคยเห็นไม่เข้าใจตรงไหนมันจะสับจะยำอยู่ตรงนั้น
เช่นร่างกายของเราเรายังไม่เคยเห็น อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ในร่างกายของเรา ในร่างกายของใครก็ตาม เห็นมีแต่รักแต่ชัง รักๆ ชังๆ เต็มไปหมดทั้งเขาทั้งเราสัมผัสสัมพันธ์กันมันหากเป็นในจิต ไม่ได้ว่าใครเป็นด้วยกันทุกคน พอเจอกันแล้วความลึกลับอยู่ในจิตนี้มันจะเห็นว่าสวยงามไม่สวยงาม เป็นออกมาทันทีๆ ภายในใจ เป็นแต่เพียงว่าไม่พูดกันเท่านั้น ความจริงแล้วเป็นอยู่กับทุกหัวใจนั้นแหละ อันนี้ละเวลาพิจารณามากๆ ท่านจึงสอนให้พิจารณาเรื่องร่างกายก่อน เพราะร่างกายมันสัมผัสรูปกายเข้าไปไม่ว่ารูปกายใคร รูปกายเรา มันจะเห็นเป็นของสวยของงาม ไม่สวยไม่งาม เห็นเกลียดเห็นชัง เห็นรักเห็นชอบไปในตัว
แต่เวลาพิจารณาอันนี้หนักเข้าๆ ร่างกายนี่ชำนิชำนาญไปแล้ว ส่วนอสุภะอสุภังก็ค่อยจางไปเบาไปๆ จิตค่อยอิ่มตัวจากการพิจารณาร่างกายอันนี้เข้าไปแล้วเลยปล่อย ปล่อยร่างกายนี้แล้วอสุภะอสุภังก็ไม่มีในใจ เพราะมันอิ่มตัว นี่ให้จำเอานะ จิตเวลาอิ่มตัวแล้วพิจารณาร่างกายเป็นอสุภะอสุภัง เหมือนแต่ก่อนไม่เป็น พอเกิดขึ้นมามันก็ดับๆ มันเลยไปอนิจฺจํ คือแปรสภาพๆ ไม่ว่ารูปหญิงรูปชายมองเห็นกันพับมันเกิดอันนั้นขึ้นมา ไม่ทันที่จะแยกธาตุแยกขันธ์ว่าเป็นของสวยของงามหรือไม่สวยไม่งาม แต่พอเกิดขึ้นมามันก็ดับไปพร้อมๆ มันมีแต่ อนิจฺจํ แปรสภาพเกิดดับๆ นี่ละมันผ่านของมันไป
จากนั้นแล้วมันก็ว่าง หมดร่างกายนี้ไปแล้วมันก็ว่าง ว่างไปทั้งจิตใจ พิจารณาอะไรก็ว่าง เช่นอย่างพิจารณารูปหญิงรูปชายจะไปทันได้อย่างไร พอปรากฏขึ้นพับดับพร้อมๆ เราจะแยกธาตุแยกขันธ์อสุภะอสุภังไม่ทัน เพราะมันรวดเร็ว นี่เรียกว่ามันผ่านไป จากนั้นมันก็ปล่อยส่วนร่างกาย เข้าพิจารณานามธรรมคือความคิดความปรุงของใจ ให้มันทันความคิดความปรุงของใจ ว่ามันคิดออกไปจากที่ไหน คิดเรื่องอะไร สติมีอยู่มันก็ทันกันๆ จิตก็หดเข้าไป มีแต่ความเกิดดับของจิต คิดดีก็ดับ คิดชั่วก็ดับ สติทันลงไปแล้วสิ่งเหล่านี้เกิดดับๆ รู้ทันๆ นั่น จากนั้นจิตมันก็ว่างไปหมด ร่างกายก็ว่าง อะไรก็ว่าง ความเกิดดับของสังขารยิ่งเด่นขึ้น คิดปรุงเรื่องอะไรทันกันๆ แล้วดับเข้าไป ดับเข้าไป
นี่ละการพิจารณา พิจารณาร่างกายหมดสภาพผ่านไป จากนั้นก็เป็นอากาศธาตุมันว่าง จิตนี้ว่าง เหลือแต่ความคิดความปรุงของใจ ความคิดความปรุงก็ออกมาจากใจ สติปัญญาอยู่กับใจคิดอะไรออกมามันก็ทันกันๆ มีแต่เกิดดับๆ สุดท้ายโลกอันนี้มันมีอะไร ย่นเข้าไปก็มีแต่ความเกิดความดับของสังขารที่มีอยู่กับจิตนี้เท่านั้น พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าชำนิชำนาญเข้าไปมันก็เข้าไปถึงอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ละเรียกว่านางงามจักรวาลครอบจิตใจไว้ไม่ให้รู้ว่าตนหลงตนรู้อะไร มีอะไรสวยงามไปหมด พอเข้าถึงอวิชชานี้แล้วพังทลาย เมื่อพังทลายลงไปแล้วหมด ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เลย
ทีนี้ว่า อนิจฺจํก็ดี ทุกฺขํ อนตฺตาก็ดี มันผ่านไปหมด ว่าอสุภะอสุภังผ่านมาแล้ว ความเกิดความดับนี้ก็ผ่านไปๆ เข้าไปถึงจิตก็มีแต่สังขารความคิดความปรุงออกมาจากใจ ติดตามเข้าไปหาใจ ครั้นเข้าไปแล้วก็ไม่เห็นที่ไหน มีแต่เกิดกับดับอยู่กับใจ นี่ละพิจารณาซ้ำๆซากๆ เป็นหินลับปัญญา สังขารเกิดขึ้นเรื่องใดต่อเรื่องใดก็เป็นหินลับปัญญาให้คมกล้าทันกับเหตุการณ์ตลอดเวลา นี่พูดย่นย่อออกมาเอาเลยนะ สุดท้ายมันก็เข้าถึงอวิชชาตัวหุ้มห่อจิตอยู่นั้น ตีอวิชชาขาดสะบั้นลงไปจิตนี้จ้าขึ้นมา ตัวมืดบอดก็คืออวิชชา ตัวทำให้มืดมิดปิดตาทั้งหลายก็มีอวิชชาเป็นสำคัญ พออันนี้พังลงไปแล้วจิตนี้จ้าเลย
นี่ละมืดบอดอยู่กับกิเลส กิเลสก็คืออวิชชาเป็นรากฐาน พออันนี้สิ้นลงไปหมดแล้วมีแต่จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันล้วนๆแล้วสว่างจ้า แล้วจะเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ เรียกว่านิพพานเที่ยงคือนี้เองก็ได้ เรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ เป็นของเที่ยงเหมือนกัน นี่ละการพิจารณาจิต นี่ขั้นภาวนา นักภาวนาท่านอยู่ในป่าในเขามีหน้าที่การงานอันเดียว เราอยู่ในบ้านในเรือน มีหน้าที่การงานหลายสิ่งหลายอย่างก็ให้ถือโอกาสระงับความคิดปรุงของจิตด้วยการภาวนาบ้าง อย่าปล่อยให้มันคิดมันวุ่นวายทั้งวันทั้งคืนซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่สร้างความทุกข์ให้เจ้าของจากความวุ่นวายในการคิดไม่หยุดของจิต ให้มีการภาวนาบ้างจิตใจได้สงบเย็น
การทำบุญให้ทานเป็นบุญเป็นกุศลเป็นพื้นฐานหนุนจิตใจอยู่แล้ว เราไม่ได้มีความระแวงแคลงใจว่าเราไม่ได้ทำบุญ บุญกุศลการให้ทานเราก็ให้ทุกวันเป็นประจำ ไม่ว่าจะทานประเภทใด การเสียสละเพื่อบุญเพื่อกุศลเราให้ทานมาเป็นประจำนิสัยของเรา การรักษาศีลเราก็ไม่ได้ฆ่าฟันรันแทงใคร เราก็รักษาเป็นศีลธรรมชาติของเรา การเจริญเมตตาภาวนาเราก็รักษาจิตของเราให้มีความสงบเย็น อย่าปล่อยให้มันคิดเพ่นพ่านจนเกินเหตุเกินผล ไม่มีใครตามรักษามันบ้างเลย ต้องมีการภาวนา มีสติเป็นเครื่องกำกับรักษาจิตก็จะมีความสงบร่มเย็นได้ ถ้าจิตสงบร่มเย็นได้แล้วก็มีที่ปลงที่วาง ถ้าจิตยังไม่มีความสงบร่มเย็นหาที่ปลงที่วางยังหาได้ยากอยู่นะ ถ้าจิตมีความสงบด้วยที่ปลงที่วางเวลาเราคิดเราปรุงอะไรมากๆ กำหนดจิตเข้ามาให้อยู่ในจุดเดียวเช่นพุทโธๆ เป็นต้นก็สงบลงได้สบายใจไป นี่ให้พากันคิดอย่างนี้นะ
วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกๆ ท่านนำไปปฏิบัติบ้าง เพราะจิตของเรามันตัวยุ่งทุกคน ให้ระงับมันบ้างตามกาลตามเวลาด้วยจิตตภาวนา การทำบุญให้ทานเราทำเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีอะไรที่จะระแวงแคลงใจ แต่ที่จิตตภาวนานี้เรายังขาดอยู่มาก เพราะอย่างนั้นจึงทำใจของเราให้มีความสงบร่มเย็น ถ้าอันนี้สงบร่มเย็นแล้วการให้ทานรักษาศีลบุญกุศลจะมาไหลเข้าสู่จิตตภาวนาทั้งหมด นี้คือทำนบใหญ่แห่งกุศลทั้งหลายไหลเข้ามาจุดนี้เอง ให้พากันจำเอา เอาละการเทศนาว่าการนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
(เทศน์หลังให้พร)
นี่เวลามานี่บรรดาพี่น้องทั้งหลายก็ได้สร้างบุญสร้างกุศล การให้ทานก็ได้แสดงออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย การรักษาศีลเรารักษาอยู่แล้ว การฟังเทศนาว่าการนี่เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะ จะได้ฟังอรรถฟังธรรมเป็นเครื่องกล่อมใจ ชำระล้างใจเรา จากนั้นไปก็เป็นการอบรมจิตใจไปด้วยภาวนาเรื่อยๆ นะ ให้พากันจำเอา
ให้เชื่อนะถ้าใครยังไม่เคยเชื่อ มันหนาขนาดไหนให้เปิดออกนะ บาปมีบุญมีนี้คือศาสดาองค์เอกทุกๆ พระองค์จะแสดงแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครลบล้างบาปว่าไม่มีบุญไม่มีนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบด้วย ให้ฟังให้ดีอย่าไปลบล้างว่าบาปไม่มีบุญไม่มีจะสร้างนรกใส่หัวตัวเอง ทั้งๆที่ว่านรกไม่มีเวลาไปเจอเข้าจังๆ แล้วหลบไปทางไหนทีนี้ พระพุทธเจ้าสอนแล้วมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะเราไม่เชื่อฟัง สิ่งที่มันได้โทษเต็มตัวก็คือความไม่เชื่อจมลงในนรก พอไปจมแล้วนรกมีหรือไม่มีละทีนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ มันหลีกไม่ได้นรกมีหรือไม่มี
ใครสอนไว้ จอมปราชญ์ทั้งนั้นนะสอน ไม่ใช่คนโง่นะ พุทธศาสนาคือศาสนาของจอมปราชญ์ ขอให้ฟังทุกแง่ทุกมุม ปฏิบัตินะ เรื่องอันธพาลมหาอันธพาลมันอยู่ในหัวใจของเรา มันคอยลบล้างธรรมของพระพุทธเจ้าเสมอ ว่าบาปมีมันไปลบว่าไม่มีๆ นั่นเห็นไหมละ บุญมีมันก็ลบว่าไม่มี นี่ละตัวอันธพาลใหญ่ มหาภัยอยู่ในใจของเราให้รีบปัดออกให้หมดนะ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าเราจะไปดี ถ้าเชื่อสิ่งเหล่านี้แล้วจะจมไม่สงสัย จำให้ดี จมแน่ๆ ถ้าพระพุทธเจ้าสอนไม่ฟังแล้ว ถ้าฟังพวกอันธพาลมันก็พาจมทั้งนั้นละ
(เด็กผู้หญิงใส่กางเกงขาสั้นเข้าไปถวายปัจจัยหลวงตา) เฮ้ยหนูใส่กางเกงร่อนจ้อนแร่นแจ้น เดี๋ยวมันจะปล่อยหีออกมานะนี่ เราไม่อยากดู มันเป็นอย่างไรเมืองไทยเรานี่ แต่งเนื้อแต่งตัวร่อนจ้อนแร่นแจ้น เหมือนหมูเหมือนหมาเหมือนเป็ดเหมือนไก่เหมือนลิงเหมือนค่างอย่างไรกัน พุทธศาสนาอยู่ในเมืองไทย ไม่ได้อยู่ที่ไหนนะ มันควรจะมีแบบมีฉบับ ทำอะไรทำเลอะๆ เทอะๆ เหมือนไม่มีศาสนาเลยนะเมืองไทยเรา เอาล่ะเอามันหนักๆ สักหน่อย มองดูแล้วมันขวางหูขวางตาเหลือเกิน วันนี้มาสัมผัสเอาเสียบ้างละ มันเป็นอย่างไร
แต่งไปด้วยกิเลสตัณหาความเพลิดความเพลิน มันดีเท่าไรพาคนให้จมขนาดไหน ธรรมมีอยู่พาคนให้ขึ้นทำไมมันไม่สนใจ การนุ่งการห่มร่อนจ้อนแร่นแจ้นมามันดูไม่ได้นะ แต่งเนื้อแต่งตัวหญิงไทยเป็นอย่างไรแต่งตัว หญิงไทยประเพณีของหญิงไทยเราแต่งเนื้อแต่งตัวมาเป็นอย่างไรกัน นุ่งผ้าถุงมาเรียบไปเลย ร่อนจ้อนแร่นแจ้นนี่มันมีแต่พวกลิงพวกค่าง พวกเปรตพวกผี พวกกิเลสหนาๆ เป็นบ้าตลอดเวลานั่นละ ให้พากันจำเอานะลูกหลานนะ นี่เราจวนจะตาย ไม่มีใครเทศน์เทศน์อย่างเราไม่มี นี่เทศน์ตามอรรถตามธรรมเลยทีเดียว
การพูดทั้งนี้ไม่ทำใครให้เสียหาย ผู้ที่เป็นมาก่อนนั้นเสียหาย ความเพลิดความเพลินไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นละความฉิบหายตามความเพลิดความเพลินมา ธรรมะกระตุกเอาบ้างให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ โอ้น่าทุเรศ (คณะศรัทธาจากมูลนิธิท่านพระอาจารย์มั่น ๖๔,๓๐๐ บาทครับ) คณะศรัทธาจากมูลนิธิท่านพระอาจารย์มั่นใช่ไหมนี่ (ใช่ครับ) เอารับไป ดี เดี๋ยวจะเทศน์ต่อ ตะกี้นี้เทศน์ยังไม่จบ มันกำลังจี๋นะเดี๋ยวมันจะพุ่ง เข้าใจไหม แล้วยังมารั้งเอาไว้ มันโมโหนะเดี๋ยวศอกงัดเอานะนี่ มันเป็นอย่างไร
มันเลวลงทุกวันๆ นะ ผู้หญิงไทยเรานี่ แต่งเนื้อแต่งตัวร่อนจ้อนแร่นแจ้นมองไปจะเห็นหีอยู่นะนั่น ผู้ชายยังว่าไม่ได้ทั้งๆที่มีหำ แต่มันแต่งไม่ได้แบบที่สวีดสวาด น่าหวาดน่าเสียวเหมือนผู้หญิง ผู้หญิงคะนองยิ่งกว่าผู้ชายมากกว่า แต่เราไม่ว่านั้นถ้ากลัวคนนี้เสียใจเราจะว่าฟากแม่น้ำโขงนู่น ถ้าอยากไปฟังไปฟังนู่นนะ มันเป็นอย่างไร แล้วไม่มีใครพูดนะพูดอย่างนี้ เราพูด ธรรมสอนโลกทำไมสอนไม่ได้ มันขวางธรรมขนาดไหนที่พูดอย่างนี้ คือสิ่งขวางธรรมจะทำลายตนทั้งนั้น ไม่ใช่ทำความเจริญให้แก่ตน ธรรมไม่ได้เสียหายอะไรธรรม มีความเจริญรุ่งเรือง
ให้พากันปฏิบัติบ้างซิ แต่งอวดกันหาทำไม กิเลสตัณหามันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว เอาธรรมมาโขกมันลงไปซิ เขกมันลงไปมันถึงน่าดู โอ้ แต่งเนื้อแต่งตัวร่อนจ้อนแร่นแจ้นมาจนดูไม่ได้นะ มันเป็นอย่างไร มันพิลึกพิลั่น หรือกิเลสจะไม่ยอมฟังเสียงธรรมเลยหรือเราเป็นลูกชาวพุทธน่ะ ฟังเสียงบ้างซิน่ะ มันทำไมถึงเพลิดถึงเพลินจนเกินเนื้อเกินตัวเอานักหนา มันเป็นอย่างนั้นนะ ส่วนมากผู้หญิงน่ะมันตื้นเขินเหลือเกิน เราไม่ได้ตำหนิไปทุกคนนะ ที่มันตื้นเขินมีมากเวลานี้ กำลังมีมาก เห่อ ไปตามกัน แต่งเนื้อแต่งตัวอวดหีอวดหำอวดควยไปแล้วน่ะ ไอ้นี้มันวิเศษวิโสอะไร ธรรมต่างหากวิเศษวิโส ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี คนมีค่าอยู่กับธรรมนะ ไม่ได้มีคุณค่าอยู่กับอันนี้นะอันที่เดี๋ยวนี้ อันที่ตำหนิ มันเลยเถิดไปแล้วนี่
คือมันดื้อนักก็จี้เอาต่อหน้าซิ มันดื้อนักมันด้านนักก็เอาเสียบ้างซิให้มันทันกันกับเหตุการณ์ ถ้าธรรมดาเราก็ไม่ค่อยว่า แต่ก่อนได้ยินอย่างนี้ไหมไม่ได้ยิน นี่มันมาประเจิดปะเจ้อต่อหน้าต่อตา เครื่องมือแก้กันมีอยู่ก็ใส่เปรี้ยงละซิ จะว่าอย่างไร มันอะไรก็ไม่รู้ เอ้อ แต่งเนื้อแต่งตัว ผู้หญิงละสำคัญมากนะ เราไม่ได้ตำหนิผู้หญิงทั้งหลายทุกคนนั่นละ ส่วนมากมันจะมี สมัยนี้กำลังผู้หญิงเป็นบ้า เพลินเกินเนื้อเกินตัว แต่งเนื้อแต่งตัวจนจะเห็นหีมันอยู่นั่นน่ะ มันก็แต่งมาได้ อยากให้เขาดูเขาชม ว่าดิบว่าดี ถ้าว่าดิบว่าดีหมามันไม่นุ่งซิ่นนุ่งผ้ามันไม่เห็นดี ก็เป็นหมาเห็นไหม หรืออยากเป็นหมาหรือ อยากเป็นหมาแก้ออกให้หมดมันจะได้เป็นหมาเต็มตัว คนอย่าพากันยุ่ง นี่พวกหมาว่าอย่างนั้นซิ มันเป็นอย่างไรพวกนี้น่ะ มันเลอะเทอะเอาแท้ๆ นะ
นี่ให้ออกทางวิทยุมันทั่วโลก ไม่มีใครเทศน์ นี้เทศน์ได้ทุกอย่างขึ้นชื่อว่าธรรม โลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกตลอด โลกมันสกปรกธรรมเป็นของสะอาด ชำระล้างกันจะเสียหายตรงไหน พิจารณาซิ พูดแล้วก็โอ้ยเราอายโว้ย ถ้าพวกนี้ไม่อาย เราอาย เราจะหยุดละ เอาล่ะหยุด อาย มันเป็นอย่างไรลูกหลานนี่มันดื้อขึ้นทุกวันๆ เราจวนจะตายแล้วฟาดเสียบ้างซิน่ะ เราตายแล้วจะไม่มีใครเทศน์อย่างนี้ ไม่มี อันนี้เทศน์ได้ตลอด สามโลกธาตุไม่มีอะไรมาขวางใจได้เลย ผ่านหมดเลยสามโลกธาตุ ขึ้นชื่อสมมุติผ่านได้หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความสว่างจ้าครอบโลกธาตุ แทนกันในหัวใจ
ฟังเสียนะวันนี้นะ มาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟังไม่ได้พูดอย่างนี้นะ วันนี้เปิดเสียบ้างนะ มันจ้ามาได้ ๕๐ เท่าไรปี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่นละมันจ้าขึ้นมาตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยมีอะไรเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเลย นั่นละนิพพานเที่ยง เที่ยงอย่างนั้นละ จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ยืนเดินนั่งนอนจ้าตลอด ออกจากนั้นไปก็เป็นธรรมธาตุไปเลย คำว่าจิตว่าใจไม่มี ว่านิพพานเที่ยงก็พูดได้ นั่นละธรรมธาตุเที่ยงตรงนั้นละ พากันจำเอานะ ของดีกว่านั้นมีเอามาเทศน์สอนกันซิ ของเลวๆ เลวทั้งหลายถ้าเสริมมันเท่าไรมันยิ่งจะเลวกว่านั้นลงไปอีก ก็กระตุกกันบ้างซิ เราเป็นลูกศิษย์มีครูมีอาจารย์ไม่ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์เราจะฟังเสียงใคร ให้ฟังซิน่ะ แล้วใครมาเทศน์อย่างนี้เคยมีไหม ไม่มี มีแต่หลวงตาบัวองค์เดียวนี่ เทศน์ให้เต็มเหนี่ยวตามอรรถตามธรรม
ฟัง ทองคำที่ได้ตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้ได้ ๒๑ บาท ๖๕ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ วันเรามาถึง ถึงวันนี้ได้ ๑๐ กิโล ๒๕ บาท ๕๗ สตางค์ ตั้ง ๑๐ กิโลแล้วนะ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้ามาอีกถึงวันที่ ๒๔ นี้ ๖๑ กิโล ๓๗ บาท ๔๖ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๖๙๙ กิโล ๔ บาท ๕๗ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่เช้าวันนี้ได้ ๒๑ บาท ๖๕ สตางค์
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|