ฟังธรรมภาคปฏิบัติ
วันที่ 20 เมษายน 2551 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ฟังธรรมภาคปฏิบัติ

 

          ทางปริยัติท่านเทศน์ไม่ว่าท่านว่าเราเทศน์เป็นประเพณีอันหนึ่ง เวลาเทศน์ตั้งนะโมคือความเคารพพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็ยกภาษิตขึ้น ภาษิตนี้จะอธิบายหลังจากตั้งนะโมแล้วก็ยกภาษิตขึ้นมา ภาษิตเป็นบาลี ท่านก็อธิบายแปลภาษาบาลีออกให้เราทั้งหลายได้ฟังกัน คือบาลีว่าอย่างนั้นเวลาแปลเป็นภาษาเราแล้วก็แปลว่าอย่างนี้ การที่จะเทศนาว่าการต่อไปนั้นมันมีสองภาค ภาคภายในหนึ่ง ภาคภายนอกหนึ่ง ภาคภายนอกก็คือว่าไปตามปริยัติที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยเพียงไร เวลาเทศนาว่าการอธิบายธรรมะก็เป็นไปตามแถวแนวของตำรับตำราที่ท่านเขียนหรือจดจารึกเอาไว้ เราอ่านแล้วเราก็นำอันนั้นมาแสดง นี่เรียกว่าทางการปริยัติ

          ส่วนทางด้านปฏิบัติมักจะเป็นออกจากหัวใจ หรือเป็นจากหัวใจล้วนๆ คำว่ามักจะเป็นจากหัวใจหรือเป็นหัวใจล้วนๆนั้นเป็นธรรมต่างขั้นต่างภูมิกัน การเทศนาว่าการเกี่ยวกับทางภาคปฏิบัติก็เทศน์ไปตามภูมิของผู้ปฏิบัติ มีปริยัติแฝงไปบ้าง มีภาคปฏิบัติอยู่ภายในออกผสมผเสกันไปบ้าง รวมแล้วเรียกว่าเทศน์ทางด้านปริยัติ เทศน์ทางด้านปฏิบัติออกจากใจล้วนๆ ออกจากใจที่รู้เห็นธรรมประเภทใดมีอยู่หนักเบามากน้อยภายในใจ และเกี่ยวกับผู้ฟังเป็นประเภทใดที่ควรจะแสดงธรรมหนักเบามากน้อยขนาดไหนเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ทั่วถึงกัน

          การแสดงธรรมจึงไม่แน่นอนนัก ถ้าแสดงให้ประชาชนญาติโยมฟัง นี่ฝ่ายปฏิบัติล้วนๆ นะ แสดงให้ประชาชนทั่วๆ ไปฟังที่เขาไม่ได้เข้าอกเข้าใจทางด้านจิตตภาวนา ก็แสดงไปตามเพศภูมิของเขาที่พอจะเข้าใจนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจตัวเอง ถ้ามีภาคปฏิบัติก็เทศน์ภาคปฏิบัติไป แฝงไปด้วย คำว่ามีภาคปฏิบัติคือมีผู้สนใจปฏิบัติจิตตภาวนา การเทศนาว่าการก็มีทางด้านจิตตภาวนาแฝงกันไปกับฝ่ายปริยัติ ทีนี้เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะขั้นกลางหรือขั้นสูงขึ้นไปแล้วจึงมักจะมีแต่ธรรมะภาคปฏิบัติล้วนๆ ที่ท่านปฏิบัติรู้เห็นธรรมภายในใจแล้วแสดงออกมาจากใจที่รู้ธรรมเห็นธรรมมากน้อยให้แก่ผู้ฟังเป็นขั้นเป็นตอนไป       ถ้ามีแต่ผู้ปฏิบัติล้วนๆ เกี่ยวกับเรื่องด้านจิตตภาวนาท่านจะแสดงตั้งแต่เรื่องจิตตภาวนาล้วนๆ ไปเลย เลยกลายเป็นแกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วไป นี่เป็นขั้นๆ

ในสมัยปัจจุบันนี้ยกตัวอย่างหลวงปู่มั่นเรา แต่ท่านแสดงธรรมในสมัยนั้นและปรกติด้วยท่านไม่ค่อยได้เกี่ยวกับประชาชนญาติโยมที่ไปฟัง เพราะท่านอยู่แต่ในป่าในเขา ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนญาติโยม มีแต่พระล้วนๆเข้าไปฟังเทศน์ท่าน การเทศน์จึงมักจะมีแต่ด้านจิตตภาวนาล้วนๆ โดยลำดับจนกระทั่งกลายเป็นแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วไปเลย นั่นการแสดงธรรม การแสดงธรรมอย่างนั้น นั้นเป็นไปจากจิตใจของท่านที่รู้ธรรมเห็นธรรมอยู่กับใจ แล้วแสดงออกแก่ผู้มาศึกษาอบรมทางด้านจิตตภาวนา เพื่อจะได้แนวทางภาคปฏิบัติจากการแสดงของท่านไปปฏิบัติต่อไป จิตใจก็จะค่อยสว่างไสว อย่างน้อยก็สงบร่มเย็น จากนั้นก็สว่างไสวขึ้นไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงขั้นปัญญา

เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วมักจะออกธรรมะส่วนละเอียดไปเป็นลำดับลำดา ผู้ฟังมีจิตเลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันมาฟังก็ได้ผลได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน ผู้ที่จิตยังไม่สงบฟังหลายครั้งหลายหนจิตก็ค่อยสงบเข้าไป แน่นหนามั่นคงเข้าไป ฟังแล้วฟังเล่าจิตก็เลยกลายเป็นจิตสงบไปเลย การฟังเทศน์เป็นการฟังภาคปฏิบัติยิ่งกว่าภาคปฏิบัติภาวนาธรรมดา เป็นภาคปฏิบัติล้วนๆ ในขณะฟังเทศน์จิตเริ่มตั้งปั๊บ ท่านเริ่มเทศน์จิตก็เริ่มตั้ง สติเริ่มจ่อ ทีนี้จิตไม่เคลื่อนไหวไปไหน มีแต่ความรู้กับสติรอรับอยู่ที่นั่น เหมือนกับเราเอาภาชนะมารองทางของน้ำที่จะไหลลงมา ตั้งไว้แห่งเดียวเท่านั้น น้ำจะไหลลงช่องนั้นทั้งหมดจนเต็มตุ่มเต็มไหไปได้

การตั้งสติให้ดีอยู่กับจิตแล้วเท่ากับเราตั้งภาชนะไว้สำหรับรับรองธรรม เราจะกำหนดรู้อยู่เฉพาะจิตของเราเท่านั้น ไม่ต้องส่งจิตออกไปที่ไหน แม้ไปหาท่านผู้เทศน์ก็ไม่ส่งออกไป ให้รู้อยู่จำเพาะจิต สติจดจ่ออยู่นั่นธรรมเทศนาหนักเบามากน้อยจะไหลเข้าสู่จิต เข้าสู่จิตโดยลำดับลำดา เพราะเป็นการกล่อมจิตใจให้สงบร่มเย็นลงในขณะที่ฟัง เป็นอย่างนั้นเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งจิตก้าวออกสู่ปัญญา เวลาท่านเทศน์ทางด้านปัญญานี้จิตจะขยับตาม ไม่เป็นเหมือนจิตเป็นความสงบเป็นสมาธิ จิตมีความสงบเป็นสมาธิเป็นพื้นฐานยังไม่ได้ทางขั้นปัญญาย่อมมีความสงบเย็นใจ แน่นหนามั่นคงเข้าไปเป็นลำดับจากการได้ยินได้ฟังของธรรมกล่อมใจอยู่ตลอด

ขณะที่ฟังเทศน์จิตกับสติติดแนบจากกันธรรมะจะไหลเข้าไปสู่จุดนั้น ทีนี้ธรรมกับจิตสัมผัสสัมพันธ์กันสืบต่อโดยลำดับลำดาจิตก็สงบลง จนกระทั่งสงบแน่วลงไปเลย นี่เรียกว่าธรรมกล่อมใจให้มีความสงบร่มเย็น ใครทำก็ได้เพราะจิตนี้มีความวอกแวกคลอนแคลน จะดับกันลงได้ด้วยจิตตภาวนาซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำดับไฟ พอจิตตภาวนาตั้งเข้าไปใจก็ค่อยสงบเย็นลงๆ ทีนี้เวลาสงบมากๆ นี้จิตอิ่มตัวเหมือนกันในขณะที่ฟัง ตั้งตัวได้ พึ่งตัวเอง เป็นตัวของตัวได้ในขณะฟัง เสียงธรรมท่านที่เทศนาว่าการในขณะที่จิตเป็นตัวของตัวมีความสงบแน่วนั้น เสียงธรรมจะอยู่ผิวเผินห่างไกลออกไปอยู่ผิวเผิน แต่ธรรมกับใจอันเป็นความสงบมีอยู่กับใจของเราก็เพลินในความสงบเย็นนั้นตลอดไป ธรรมท่านก็กล่อมใจลงมาให้สงบแนบแน่นเข้าไปโดยลำดับ

นี่คือขั้นฟังธรรมภาคปฏิบัติเพื่อได้ผลประจักษ์ใจในขณะที่ฟัง เมื่อฟังหลายครั้งหลายหนเราไปภาวนาโดยลำพังเรานี้สู้ฟังเทศน์ไม่ได้ การฟังเทศน์นี้ไม่ต้องบังคับจิต พอท่านเริ่มเทศน์จิตก็เริ่มจ่อกับเสียงธรรมที่ท่านกำลังแสดง สติก็ติดแนบอยู่กับความรู้นั้น จิตก็ค่อยสงบลงๆ ยิ่งสงบได้เร็วกว่าการนั่งภาวนาโดยลำพังตัวเอง นี่ละมันต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติเวลาได้ยินได้ฟังเสียงธรรมท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมแสดงออก จิตจึงได้รับผลทุกครั้งที่ฟังธรรมท่าน คือสงบแน่วลงไป แน่วลงไปโดยลำดับ สงบง่ายยิ่งกว่าการที่เรานั่งภาวนาธรรมดาเสียอีก

นั่นละการฟังธรรมได้ผลในขณะที่ฟังเห็นได้ประจักษ์ ท่านแสดงเอาไว้ว่ามีอานิสงส์ ๕ ประการ

๑.      จะได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

๒.      สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจชัดจะได้เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมา

๓.      จะบรรเทาความสงสัยเสียได้

๔.      จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้

๕.      จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส

นี่ละผลแห่งการฟังเทศน์จากภาคปฏิบัติได้ผลประจักษ์ใจขึ้นมา จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส เห็นได้ชัดสำหรับผู้ฟังทางภาคจิตตภาวนา แต่ที่ฟังตามปริยัติที่ท่านเล่านิทานนั้นนิทานนี้ไปตามแบบตามตำรับตำราจิตก็เพลินไปตามเรื่องตามราวภายนอกนั้นไปเสีย ไม่ย้อนเข้ามาสู่ตัวเหตุ ก่อเหตุอยู่ตลอดเวลาคือใจเลย จิตก็ไม่สงบให้ ถ้าเราฟังไปตามปริยัติท่านเทศนาว่าการเรื่องนั้นเรื่องนี้ นิทานนั้นนิทานนี้ไปจิตก็เพลินไปภายนอกนู้นเสีย ไม่เข้าสู่ภายใน พอเทศน์ทางภาคปฏิบัติธรรมะจะตีตะล่อมเข้ามาสู่ใจ ใจมีความฟุ้งซ่านกับสิ่งใดธรรมะตีตะล่อมเข้ามา ตะล่อมเข้ามา สุดท้ายจิตก็สงบ สงบก็เย็น นั่นฟังธรรมมีผลในข้อที่ ๕ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส ท่านแสดงไว้อย่างนั้น

การฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติกับฟังเทศน์ทั่วๆ ไปเราไม่ได้เหยียบย่ำทลาย แต่เราพูดตามหลักความจริง เพราะเราก็เคยผ่านมาเรียนมาฟังมาเหมือนกัน เทศน์มาอีกด้วย ต่างกันมากกับทางภาคปฏิบัติที่มีธรรมภายในใจ แสดงออกจากธรรมที่มีอยู่ภายในใจย่อมเป็นไปด้วยความราบรื่นสม่ำเสมอ จิตใจมีความเน้นหนัก มีรสมีชาติอยู่กับการแสดงออก เพราะธรรมภายในใจเป็นรสเป็นชาติอยู่แล้วพอแสดงออกมาจากธรรมภายในใจซึ่งมีรสมีชาติอยู่แล้วก็กลายเป็นรสเป็นชาติออกไปภายนอกแก่ผู้ฟังทั้งหลาย ผู้ฟังก็มีรสมีชาติดื่มด่ำจิตใจสงบเย็นได้ไม่สงสัย

นี่ละการเทศน์ทางภาคปฏิบัติผิดกัน เพราะเราเคยทั้งสองแล้ว ทางภาคปริยัติเราก็เคย ภาคปฏิบัติเราก็เคย ภาคปริยัติก็จนเป็นมหา เรียนมามาก แต่เวลาผลที่จะได้เกิดจากภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี้ทำจิตใจให้สงบเย็น เย็นไปโดยลำดับลำดา นี่ละธรรมภาคปฏิบัติเป็นธรรมที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากใจที่มีธรรมอยู่แล้ว เวลาแสดงออกก็มีรสมีชาติ กระจายออกไปถึงไหนกระแสแห่งธรรมหรือว่ารสชาติแห่งธรรมก็กระจายออกไปตามเสียงของธรรมไปโดยสม่ำเสมอ ผู้ฟังก็มีความสงบร่มเย็นในขณะที่ฟัง เพราะผู้เทศน์ท่านนำธรรมจากใจของท่านล้วนๆ มาเทศน์ ไม่ได้ไปหาหยิบหายืมมาจากที่ไหน เป็นธรรมภาคปฏิบัติซึ่งเป็นสมบัติของท่านแล้วนำออกแสดงก็เป็นความถูกต้องโดยลำดับลำดา ผู้ฟังก็ซึมซาบเข้าสู่ใจ  มีความสงบเย็นเป็นลำดับลำดาไป

นี่ละอานิสงส์แห่งการฟังธรรมในข้อที่ ๕ ว่าจิตย่อมมีความสงบผ่องใส นี่ละผลข้อที่ ๕ ข้อที่ ๑ ที่ ๒ ก็ค่อยเบิกขึ้นไป ดังที่อธิบายเมื่อสักครู่นี้ติดต่อไม่ติดต่อมันจำไม่ได้เพราะเรียงลำดับข้อ แต่มาข้อที่ ๕ จิตผู้ฟังย่อมมีความสงบผ่องใส อันนี้สรุปเป็นผลขึ้นมาจากการได้ยินได้ฟัง ทางภาคปฏิบัติครูบาอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นที่ท่านเทศน์ เทศน์ที่เราไปถึงทีแรกท่านเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมงนะ นั่งฟังท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมงนั้นไม่ได้มีขยับเขยื้อนเจ็บนั้นปวดนี้ในร่างกายเลย จิตใจมันดื่มด่ำในธรรมทั้งหลายอยู่เฉพาะตัว ประหนึ่งว่าร่างกายเหมือนไม่มี มันมีแต่ความรู้ที่สงบผ่องใสเย็นอยู่ภายในใจ ไม่ออกมาเกี่ยวกับร่างกาย เหมือนกับว่าร่างกายนี้ไม่มี

ทีนี้พอละเอียดเข้าไปจริงๆร่างกายดับหมด เหลือแต่ความรู้ที่สว่างไสวอยู่ภายในตัวเอง นี่เรียกว่าจิตสงบเต็มที่ ร่างกายหายหมด ท่านผู้ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังก็ให้ฟังเสียให้ถึงใจ การเทศน์ทั้งนี้ถอดออกมาจากภาคปฏิบัติไม่ผิดไม่พลาด เป็นที่แน่ใจในการแสดงธรรม เราเองเคยปฏิบัติมาแล้วเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วทั้งนั้น การแสดงออกจึงแสดงออกมาตามความมีความเป็นที่เคยเป็นมาแล้วจึงแน่ใจว่าไม่ผิด นี่ละการแสดงธรรมเพื่อกล่อมใจของผู้ปฏิบัติจึงมีผลคืบหน้าไปเรื่อยๆ จิตที่ยังไม่ค่อยสงบเมื่อฟังเทศน์ท่านไปนานๆ มีความสงบ สงบมากขึ้นๆ

จนกระทั่งเวลามาปฏิบัติโดยลำพังตัวเองนี้สู้การฟังจากท่านไม่ได้ คือเวลาฟังจากท่านจิตจ่อลงไปธรรมเทศนาก็กล่อมใจลงไปๆ จิตสงบได้ง่าย ไม่ได้บังคับบัญชา เป็นแต่เพียงว่าจิตจ่อตั้งใจด้วยดีแล้วสติตั้งอยู่กับความรู้นั้น ธรรมะจะล่วงไหลเข้ามาสู่ใจ ธรรมะล่วงไหลเข้ามาไม่ได้ขาดวรรคขาดตอนติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับๆ ล้วนแล้วตั้งแต่เสียงธรรมกล่อมใจ เมื่อกล่อมไปเรื่อยๆ จิตก็มีความสงบแน่วแน่ลงไปเลย ประหนึ่งว่ากายไม่มีในขณะที่จิตสงบเต็มที่จากการฟังธรรม จิตมีแต่ความสว่างไสวเด่นอยู่ภายในตัว ร่างกายไม่ได้สนใจ ไม่ทราบว่ามีหรือไม่มี มีแต่ความเด่นดวงของใจที่มีความสงบเย็น

นี่จากภาคปฏิบัติ ธรรมเหล่านี้มีมากตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอกของโลกก็เกิดขึ้นจากการภาวนา ท่านถืออานาปานสติเป็นอารมณ์ของใจในการภาวนา ก็ปรากฏในคืนวันนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในปฐมยามก็บรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติพระองค์เองย้อนหลังได้ไม่มีประมาณมากต่อมาก เคยเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเปรตเป็นผี ไปตกนรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม วกเวียนไปมาอยู่อย่างนี้เท่าไร บุพเพนิวาส หรือบุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติตามรอยข้างหลัง ตามขึ้นไป รู้ไปหมด ว่าชาตินั้นเกิดเป็นสัตว์นั้น ชาตินั้นเกิดเป็นนั้นๆ เรื่อยมา

นี่ท่านเรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ชาติของพระองค์นั้นเอง เคยเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเปรตเป็นผี เป็นอะไรหลายประเภทไม่มีประมาณ จิตดวงนี้คือผู้รู้เท่านั้น แต่อาศัยบาปอาศัยบุญเป็นเครื่องกล่อมใจ ถ้าเป็นบาปก็เป็นข้าศึกต่อจิตใจ กดใจลงให้ต่ำๆ เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงตกนรกได้ เพราะอำนาจแห่งการคิดทางต่ำทำทางต่ำ จิตก็ยิ่งต่ำลงไป สุดท้ายที่อยู่ของจิตก็คือนรก ผู้อบรมจิตใจให้ดีก็ค่อยสูงส่งขึ้นไป สูงส่งขึ้นไป แล้วจิตก็มีความสงบเย็นๆ สว่างไสวภายในตัวของตัวเองด้วยจิตตภาวนา การภาวนาไม่หยุดไม่ถอย จิตยิ่งมีความสว่างไสว ละเอียดลออไปโดยลำดับลำดา

นี่ละผลแห่งการภาวนาแล้วละกิเลสได้ในเวลาภาวนา ไม่ใช่แต่มีความสว่างไสวเฉยๆ ส่วนรู้นั้นรู้นี้รู้เทวบุตรเทวดา-อินทร์-พรหม พวกเปรตพวกผีสัตว์นรกอะไรนั้น เป็นความรู้ปลีกย่อยตามนิสัยวาสนาของผู้ได้สั่งสมมาในทางนั้น จิตจึงไปส่ายแส่ไปรู้ในสิ่งนั้นได้โดยไม่ต้องไปถามใคร เวลารู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมานี้ก็เป็นความแน่ใจๆ ไม่จำเป็นต้องไปถามผู้ใด เช่นเห็นเปรตเห็นผี เห็นเทวบุตรเทวดา-อินทร์-พรหมตลอดถึงสัตว์นรก ก็จิตดวงนี้เองไปรู้ไปเห็นแล้วจะไปถามใคร ความประจักษ์ก็อยู่ในจิตดวงนี้ รู้สัตว์ประเภทใดก็ประจักษ์ ว่าเป็นสัตว์นั้นๆ

นี่ละท่านว่าความรู้ของจิต ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้เองเห็นเองทั้งภายนอกภายใน ภายนอกอย่างที่ไปเห็นพวกเปรตพวกผี-เทวบุตรเทวดาก็เห็นเองรู้เองหายสงสัย ไม่ไปถามผู้ใดเลย เพราะเป็นความแน่นอน นี่ภายในกิเลสตัณหามีมากมีน้อยเพียงไรก็แก้ไขดัดแปลงกันไปภายในจิตใจ ใจก็ค่อยเบาบางลงไป สว่างไสวลงไป ทุกข์ที่มีมากเพราะกิเลสสั่งสมเข้ามาเรื่อยๆ  ทีนี้ภาวนา เหมือนว่าเอาน้ำชำระ กิเลสก็ค่อยเบาบางลงไป จิตใจก็ค่อยสว่างไสว ต่อไปจิตใจก็เพลินในการภาวนา เพราะมีคุณค่ามากยิ่งกว่ากิเลสเป็นไหนๆ เมื่อธรรมได้ปรากฏขึ้นที่ใจแล้วทำให้จิตใจดูดดื่มอยากจะภาวนาเรื่อยๆ

การภาวนานี้มีตามนิสัย ส่วนมาก ๙๕% จะรู้ไปอย่างเรียบๆ แก้กิเลสไปในขณะภาวนา อีก ๕% นั้นเป็นจิตใจที่ผาดโผน พอรวมลงไปนี้ทะลุลงไปได้เลย รู้ถึงพวกเปรตพวกผีเทวบุตรเทวดา ตลอดถึงสัตว์นรก พุ่งทะลุรู้ไปได้หมด มันขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของใครที่เคยสร้างมาในทางใด ย่อมจะรู้ในสิ่งนั้นๆ ในปัจจุบันนี้ที่เด่นมากที่สุดก็คือแม่ชีแก้วนะ เราได้พูดเสมอเพราะเราเป็นอาจารย์เสียเองสอนแก ถึงขนาดที่ว่าแกติดเรื่องความรู้ความเห็น วันไหนถ้าจิตรวมลงไปแล้วไม่ออกรู้เห็นพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์-พรหม พวกยักษ์พวกผีประเภทต่างๆ เต็มไปหมด  จะต้องรู้ไปตามนั้นๆ แล้วก็เพลินในความรู้ของตนซึ่งไม่ใช่เป็นความรู้ละกิเลส แต่ก็ทำให้เพลินได้

สุดท้ายถ้าภาวนาวันไหนไม่รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ววันนั้นเหมือนไม่ได้ภาวนา เหมือนไม่ได้ผล นั่นมันติดแล้วนะ เราเองเป็นผู้แนะนำสั่งสอน ถึงขนาดไล่แม่ชีแก้วลงภูเขาร้องไห้ลงไป เราก็ไม่ลืม เพราะเหตุไร เพราะแกติดภายนอก รู้นั้นรู้นี้เทวบุตรเทวดา ก็เหมือนเรารู้บุคคลรู้สัตว์ต่างๆ เห็นเฉยๆ รู้เฉยๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องเห็นเรื่องรู้แก้กิเลส เหมือนตาเราไปเห็นหรือได้ยินอะไรๆ ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส เห็นธรรมดาๆ ความรู้นี้เวลาออกไปรู้สิ่งต่างๆ ก็รู้อย่างนั้นละ รู้แก้กิเลสมันรวมเข้าไปข้างใน ไม่ได้ออกข้างนอก รู้แก้กิเลสความโลภความโกรธราคะตัณหาอยู่ภายในจิตใจ จิตสงบเข้าไปภายในสติปัญญาก็หยั่งเข้าไปภายในก็แก้ก็ถอดถอนหรือชะล้างสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นกิเลสทั้งหลายออกเป็นลำดับลำดา นี้เรียกว่าความรู้แก้กิเลส

ทีนี้เวลาภาวนามันติดเสียพอแล้ว ทำให้ติดใจว่าถ้าภาวนาไม่รู้สิ่งเหล่านั่นแล้วเหมือนไม่ได้ภาวนา นี่แสดงว่าติดแล้ว นี่ที่ว่าเราได้ไล่แกลงจากภูเขาแม่ชีแก้วนั้นน่ะก็อย่างนี้เอง เราพูดเป็นขั้นๆ เข้ามา มันออกก็ให้รู้ว่าออก ให้เข้าก็ได้ เวลารวมแล้วให้ออกก็ได้ ไม่ให้ออกก็ได้ ให้อยู่ในอำนาจของเรา เอาเป็นขั้นๆ เข้ามา เอา..เอาไปปฏิบัติ นี่มันมีแต่ออกๆ รู้ตั้งแต่ภายนอก เรื่องของกิเลสภายในจิตใจไม่รู้ไม่สนใจ สนใจแต่สิ่งภายนอก ซึ่งไม่ผิดอะไรกับโลกเขาเห็นต้นไม้ภูเขา เห็นสัตว์สาลาสิงห์ต่างๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องแก้กิเลส เช่นเดียวกันนั้นแหละ สอนเข้ามา ตีเข้ามา แกก็ติด ไม่ยอมฟังเสียง ทางนี้ก็ตีเข้ามา เอาจนขนาดที่ว่าเมื่อทางนู้นหนักเข้า ทางนี้ก็หนัก ธรรมไม่หนักแก้กิเลสไม่ได้

ความหลงคือกิเลส ธรรมเป็นเครื่องแก้กิเลส ตีเข้ามาไม่ให้ออก เอามันจะออกไปรู้อะไรห้ามๆ  ทีแรกให้เข้าก็ได้ให้ออกก็ได้ ต่อมาไม่ให้ออก บังคับเลยไม่ให้ออก ทีนี้ทางนั้นติดแล้วบังคับไม่ได้ พอรวมแล้วก็ออกเลยๆ พอหนักเข้าๆ สุดท้ายอาจารย์กับลูกศิษย์ถกเถียงกันเลยเป็นคู่ต่อสู้กัน แกก็ถือว่าเป็นของจริงของจังไปเสีย เพราะมันติด ทางนี้ก็แก้ไม่ให้ติด สุดท้ายก็ไล่ลงภูเขา เพราะไม่ฟังเสียง นี่เป็นเสียงธรรมที่จะตีตะล่อมเข้ามาให้แก้กิเลสตัวหลงๆ เหล่านี้แหละ จึงร้องไห้ลงภูเขา

ไปก็หมดที่พึ่ง จิตใจว้าเหว่ทีนี้ เราก็หวังจะพึ่งครูบาอาจารย์องค์นี้ เป็นที่แน่ใจไม่สงสัย แต่ครั้นแล้วทำไมถึงท่านต้องไล่ลงภูเขาถึงขนาดร้องไห้มันเป็นเพราะเหตุไร จิตใจว้าเหว่ไม่มีที่ยึดที่เกาะ หวังจะพึ่งครูบาอาจารย์องค์นี้ท่านก็ไล่ลงจากภูเขา ไม่มีที่ยึดที่เกาะ ว้าเหว่ใหญ่ ร้องไห้ลงจากภูเขาที่เราพักอยู่ เขาขึ้นไปที่นั่น บอกมีข้อหนึ่งที่ทำให้เจ้าของเห็นโทษของตัวเองว่าการที่ท่านไล่ ท่านไล่มีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง ทำไมท่านถึงไล่ลงภูเขาเพราะเหตุไร นี่แกก็มาย้อนหาตัวของแกเอง ไล่เพราะเราไม่ฟังเสียงท่าน และเสียงท่านท่านสอนว่าอย่างไร ท่านสอนว่าอย่างนั้นๆ แล้วทำอย่างไร เราทำอย่างนี้ๆ มันขัดกันกับคำสอนของท่าน

เมื่อหนักเข้าๆ ท่านไล่ลงนั้นสมควรแล้ว บอกว่าสมควรแล้ว เอา..ถ้าจะถือว่าเป็นครูเป็นอาจารย์สิ่งเหล่านี้เราก็เคยรู้เคยเห็นมานาน จนติดเวลานี้ ถ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้เหมือนไม่ได้มรรคได้ผล เอาฟังเสียงที่ท่านห้าม ห้ามไม่หยุดไม่ถอย ยังดื้อด้านอยู่ท่านไล่ลงภูเขา สมควรแล้ว ทีนี้ท่านสอนว่าอย่างไร ถึงขนาดท่านไล่ลงภูเขา ท่านสอนว่าอย่างไร เอาปฏิบัติตามที่ท่านสอนซิน่ะ ถ้าถือว่าท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ แล้วก็ลงไปร้องไห้ลงไป ไปก็ไปปฏิบัติตามที่ว่านั้นน่ะ อารมณ์ของตัวเอง ความรู้ความเห็นของตัวเองเป็นอย่างไรปัดออกให้หมด เอาแต่ความรู้ของครูของอาจารย์ที่สอนอย่างเน้นหนักๆ ไปปฏิบัติ จิตลงแล้วห้ามไม่ให้ออก บังคับเลย ออกไปไหนก็ไม่ให้ออก ให้อยู่กับที่ สอนเน้นหนักลงไป

พอแกปฏิบัติตามนั้นจิตลงผึงเลย พอลงผึงพอลุกจากที่ภาวนาแล้วหันหน้าไปกราบเราอยู่ภูเขาบ้านห้วยทราย สำนักเขาอยู่ทางตะวันออก ภูเขาลูกนั้นที่อยู่ห้วยทรายอยู่ทางด้านตะวันตก พอทำตามเราแล้วจิตมันก็ลงผึงเลยเชียว พอออกจากภาวนาได้ความอัศจรรย์ออกมาแล้วก็กราบไปทางภูเขา พอตอนบ่ายก็ไปเลย ขึ้นไปภูเขา เรากำลังปัดกวาดอยู่กับเณรหนึ่งอยู่นั้น ขึ้นไปก็เอากันอีก มาอะไรจอมปราชญ์ ขึ้นเลย มาหาคนโง่คนพาลมาหาอะไรเกิดประโยชน์อะไร จอมปราชญ์ต้องไปอยู่ตามจอมปราชญ์ คนโง่จะอยู่ตามคนโง่ เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เรากำลังปัดกวาดอยู่ตอนบ่ายสี่โมง ให้พูดเสียก่อน เลยวางไม้ตาดที่นั่น ลาดวัด มันเป็นหินดาน

มาเล่าให้ฟังอย่างนั้นๆ พอถูกต้องตามที่เราแนะ คือย้อนกลับมาไม่มีที่ไปแล้ว กลับมาปฏิบัติตามเรา จิตมันก็ลงอย่างนั้น แล้วก็เล่าให้เราฟัง จากนั้นเราก็อธิบายต่อ ปล่อยหมดเรื่องของแกที่เคยเป็นมา บอกให้ปล่อยให้หมด บอก อย่าเอามายุ่ง เอา..นำธรรมะที่สอนมานี้ไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนะ แกก็ปฏิบัติของแกอย่างเคร่งครัดเหมือนกัน แล้วไม่นานนะละ เราไปปีเท่าไร ๒๔๒๔ หรือไง  ๒๔๒๔ ไปจำพรรษาห้วยทราย ๒๔๒๕ แกก็ผ่านได้ เพียงสองปีเท่านั้นผ่านได้เลย เป็นไปได้อย่างนี้

นี่ละเรื่องต้องมีครูมีอาจารย์ จะทำโดยลำพังตัวเองไม่ได้ ความผิดมันเข้าใจว่าถูกมันก็ติด ความถูกจะเข้าใจว่าถูกมันไม่ค่อยมีล่ะ มันไม่สงสัยถ้าถูกต้องแล้ว ความผิดสำคัญว่าถูกนี่ซีมันทำให้คนหลงคนผิดไป นี่พูดถึงเรื่องการแนะนำสั่งสอน เราสั่งสอนมาอย่างนั้น เวลาแกตายแล้วอัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุสวยงามมากนะ สวยงามมาก อัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุ เพราะแกรวดเร็ว ๒๔๒๔ เราไปจำพรรษาที่นั่น ๒๔๒๕ จำพรรษาที่นั่น ผ่านจากนั้นแกก็ผ่านได้ ก็เร็วอยู่สองปีแกก็ผ่านของแกได้ การปฏิบัติธรรมต้องมีครูมีอาจารย์ จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าโดยถือว่าถูกต้องตามความเห็นป่าๆ เถื่อนๆ ของตนนั้นมันไม่ได้นะ เพราะผู้ท่านรู้จริงเห็นจิรงมี จึงต้องมีครูมีอาจารย์คอยแนะเสมอ

นี่พวกเราทั้งหลายก็มาฟังเทศน์มากมายวันนี้เห็นเต็มศาลา เราก็พอใจกับพี่น้องทั้งหลายที่ได้ดื่มเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่ใจ เสียงฟืนเสียงไฟเผาไหม้ภายในจิตใจ เป็นอารมณ์ให้ขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา บางรายนอนไม่หลับก็มีเพราะคิดมาก เสียใจมาก ร้อนใจมาก จนกระทั่งนอนไม่หลับ ก็มี มีเยอะนะ กิเลสกวนใจ กิเลสเผาใจเอาจนนอนไม่หลับ ทีนี้เวลามาเข้าอรรถเข้าธรรมนี้เวลามันคิดเรื่องไม่ดีทั้งหลายให้ปัดออก เหมือนฟืนไฟกระเด็นมาถูกเรานี่เราต้องปัดออกทันที ถ้าปล่อยไว้นั้นมันก็เผาเรา อารมณ์เช่นนี้ก็ปัดออกเหมือนกัน เอาจิตตภาวนาเข้าแทนที่ให้จิตสงบเย็นนะ จิตถ้าได้ภาวนาแล้วมีความสงบเย็นเป็นสุขๆ

ธรรมนี้แลจะพาเราไปสถานที่ดีคติที่เหมาะสม อย่างอื่นไม่พาไปได้เหมือนธรรมนะ เรื่องกิเลสตัณหามีแต่ฉุดแต่ลากให้ลงทางต่ำเสมอ ทางสูงกิเลสมันเป็นของต่ำมันจะพาไปสูงๆ ไม่ได้ ต้องลงทางต่ำ แต่ธรรมะท่านสูงอยู่แล้ว เหนือโลก เมื่อเอาธรรมะเข้าไปสอนจิตใจก็คืบคลานไปตามธรรมใจก็ดีขึ้นเป็นลำดับลำดานะ ใจต้องได้พึ่งธรรม อยู่ลำพังตัวเองมีแต่กิเลสพาไป พาลงนรกนะ พาไปต่ำ ต่ำเท่าไรยิ่งทุกข์มากๆ สุดท้ายก็ถึงแดนนรกมหานรก กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่พ้นโทษแห่งความชั่วของตนที่ทำมา จมอยู่ในนั้นตั้งกัปตั้งกัลป์ พ้นโทษขึ้นมาแล้วถ้าทำชั่วอีกเอาอีกลงอีก พ้นโทษขึ้นมาแล้วเราสร้างความดีความงามทั้งหลายแล้วจิตใจก็ค่อยเปลี่ยนจากความชั่ว กลายเป็นจิตใจที่ดีขึ้นมา ดีขึ้นมา อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์ รักศาสนา

ศาสนาคือพุทธศาสนา ศาสนาเหล่านั้นเราไม่นำมาพูด แต่เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส รู้เหตุรู้ผลเรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริง รู้เรื่องมนุษย์ รู้เรื่องผีเรื่องเปรตรู้ได้หมด สวรรค์ชั้นพรหมรู้ได้หมด นรกอเวจีรู้ได้หมด ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนตามแต่นิสัยวาสนาของตนที่จะรู้ได้มากน้อยเพียงไรจากการบำเพ็ญภาวนาของเรา ย่อมรู้ได้เห็นได้เป็นลำดับลำดาอย่างนี้แหละ มันหากเป็นในจิตเอง ไม่มีใครบอกมันก็รู้

พออันนี้ก็ระลึกถึงแม่ชีแก้วอีกแหละ อันนี้ไม่พลาดเลยนะ คือวัดเขาก็อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านห้วยทราย วัดเราอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือบ้านห้วยทรายห่างไกลกัน บ้านอยู่ศูนย์กลาง เวลาเราไปอะไรที่ไหนก็ตามเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับใครบอกใครนะ นิสัยดั้งเดิมเป็นอย่างนั้น ว่าจะไปไปเลย ว่าจะมาก็มาเลย นี้พอออกจากวัดปั๊บไปเท่านั้นนะทางนั้นรู้แล้วนะนั่น เราไม่ได้บอก รู้แล้ว ไม่ผิดด้วย วันนี้ไปแล้วนะ บอกอย่างนั้นเลย ไปแล้ววันนี้ อย่างนี้แกก็ไขออกมา แย้มออกมานิดหนึ่ง เย็นหมดเลยว่าอย่างนั้น แกพูดออกมา ส่วนมากแกจะพูดตั้งแต่ว่าไปแล้วนะวันนี้ วันนี้ไปแล้วนะ ถ้านั้นก็ให้ไปดูก็แล้วกัน ไปทีไรก็แม่นยำ ไปแล้ว นั่นเป็นอย่างนั้นนะ บางทีแกก็แย้มออกมาเย็นหมด ว่าอย่างนั้น ไปแล้ววันนี้เย็นหมด

ทีนี้เวลาจะมา..อีกเหมือนกันแม่นยำมากนะ นี่ละความรู้อันนี้ใครมีได้ มันขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาความสามารถของผู้จะรู้ได้เห็นได้ก็รู้เองเห็นเอง ไม่ถามใคร และถูกต้องด้วย อย่างที่ว่าไปแล้วนะวันนี้นะ ไปดูซิ ไปดูไปแล้ว ทีนี้พอมา มาก็เข้าวัดนู้นเลยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร มาแล้วนะวันนี้นะ  นั่นบอกว่ามาแล้ว ตอนเช้าเราจนได้ถาม จีบหมากกับหุงข้าวหม้อเท่านี้แหละหุงข้าวเจ้า เวลาเรามาหม้อข้าวเจ้าเท่านี้หม้อหนึ่งแล้วก็จีบหมากมา เราก็ถามจีบหมากแล้วหุงข้าวมานี้จับมาทุกวัน หุงมาทุกวันเหรอ ไม่ได้จีบทุกวัน พึ่งจีบวันนี้ เพราะเหตุไรจึงจีบวันนี้ คุณแม่บอก บอกว่าท่านมาถึงแล้ว อันนี้ไม่พลาดเลย ไม่ได้บอกละ พอมาถึงก็อยู่วัด รู้แล้วทางนั้นว่าทางถึงแล้ว แล้วก็จีบหมากกับหุงข้าวมาเป็นประจำ ไม่ผิด เวลามาถึงแล้วก็บอกว่ามาถึงแล้วนะ ไปก็บอกว่าไปแล้วนะ ไม่ผิด โดยที่เขาไม่ได้มาทราบเรื่องราวของเราเลย

นี่ความรู้นี้มีที่ไหน มันก็มีอยู่กับนิสัยวาสนาของบุคคลที่ควรมีมันถึงมีได้ ยกตัวอย่างดังที่ว่าแม่ชีแก้ว ไม่มีพลาดเลย พอมามาถึงแล้วบอกมาถึงแล้วนะ เวลาไปก็ไปแล้วนะ เอาไปดู ไปดูก็ไปจริงๆ อันนี้ก็ไม่ผิดพลาด เวลามาก็มาแล้วนี้ก็ไม่ผิดพลาดแม่นยำมากทีเดียว เป็นอย่างนั้น ที่พ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพก็เหมือนกันนะ เร่งกลางคืนนั่งภาวนา พ่อแม่ครูอาจารย์เหาะมาบนอากาศมาบอกให้รีบไปเยี่ยมพ่อนะพ่อจวนแล้วนะ ทางนั้นกำลังทอผ้าไหม เร่งทอผ้าไหมให้เสร็จแล้วจะรีบไป ท่านก็เร่ง สุดท้ายมาทุกคืน แล้วเมื่อไรจะไปนี่จวนแล้วนะ จวนแล้วนะ บอก

ทางนี้ก็เล่าให้หมู่เพื่อนฟังทุกวันๆ บ้านห้วยทรายกับบ้านหนองผืออยู่ห่างกันสักเท่าไร เดินทางสามสี่คืนเดินด้วยเท้า แต่ก่อนไม่มีรถกว่าจะมาถึง เวลาทางนี้เจ็บไข้ได้ป่วยทางนู้นรู้แล้วๆ อยู่อย่างนั้นประจำ ทีนี้พอคืนวันนั้น นั่นบอกจนสุดท้าย พอคืนวันสุดท้ายเป็นคืนที่ท่านลาขันธ์แล้ว บอกว่าให้เร่งๆ พ่อจะไปแล้วนะ จะไปแล้วนะ ปรากฏในภาวนาว่าเหมือนท่านเหาะมาบนอากาศมาบอกให้รีบไปเยี่ยมพ่อ ว่าอย่างนั้น พอคืนวันนั้นก็บอกเลยให้ไปดูเสียวันนี้ จะเห็นตั้งแต่หนังห่อกระดูก ลมหายใจไม่มีแล้ว พ่อไปแล้วแต่เมื่อคืนนี้แหละ

พอตื่นเช้าขึ้นมาร้องไห้เลย พวกในสำนักต่างคนต่างตกตะลึงกันไปหมด อ้าวคุณแม่เป็นอย่างไร คุณแม่ไม่สบายหรือ คุณแม่เป็นอย่างไรทำไมถึงร้องไห้ ไม่ร้องไห้อย่างไรก็ยาท่าน ยาท่านเขาถือเป็นความเคารพที่สุด ยาท่านท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ เร่งให้เราไปทุกคืนๆ เราก็เร่งทอผ้าไหมไม่เสร็จ นี่เมื่อคืนนี้ไปแล้วนะ เพราะฉะนั้นจึงร้องไห้นี่ละ ใครก็ว่าแกเป็นบ้า จะเป็นบ้าอะไร ก็ยาท่านท่านเสียเมื่อคืนนี้แล้ว ไม่นานนักนะ ๗ โมงเช้าเขาก็ไปอำเภอคำชะอี เขาก็ได้ทราบข่าวทางวิทยุ แต่ก่อนการคมนาคมไม่ค่อยสะดวก พอไปเขาได้ยินว่าหลวงปู่มั่นเราได้สิ้นไปแล้วเมื่อคืนนี้ เวลาเท่านั้นๆ พอเขาทราบก็วิ่งตั้งแต่อำเภอคำชะอีวิ่งเข้าสำนักแม่ชี ทางนั้นกำลังร้องห่มร้องไห้กันอยู่ นี่แกก็บอกว่าท่านเสียเมื่อคืนนี้ แล้วไปก็ไปเล่าให้ฟังเลยทันที คุณแม่ๆ ยาท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ ทีนี้ร้องไห้หมดวัดเลย ทีแรกร้องไห้แต่แก หาว่าแกเป็นบ้า ทีนี้ สุดท้ายเลยเป็นบ้ากันทั้งวัด ร้องไห้กันทั้งวัดพอได้ข่าว

นั่นละความรู้ความเห็นของแกนี้แม่นยำมากนะ ที่มันชัดเจนมากก็คือเราไปไหนมาไหนนี่รู้หมดนะ ไม่ผิดไม่พลาดเลยละ เช่นอย่างมาแล้ววันนี้มา อย่างนั้นละ จีบหมากแล้วหุงข้าวหม้อเท่านี้ ตามธรรมดาถ้าเราไม่อยู่ไม่ทำ ถ้าเรามาเขาก็ทำมาทุกวัน แต่แกไม่ได้มาละ พวกแม่ชีเขามาจังหันเขาเอามาพร้อม เป็นอย่างนี้ไม่ผิดพลาด ถ้าว่าไปแล้วนะวันนี้ ไปแล้ว อย่างมากแกก็พูดว่าเย็นหมดเลย ส่วนมากแกไม่ค่อยพูดละ ไปแล้วนะวันนี้นะ ไปดูก็ไปแล้วจริงๆ นี่ละความแม่นยำของความรู้ของแก แม่นยำมากทีเดียว

อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเสียเสียเมื่อคืนนี้ พอตื่นเช้ามาแกก็ร้องห่มร้องไห้ ใครก็ว่าแกเป็นบ้า เป็นบ้าอย่างไร ยาท่านเสียเมื่อคืนนี้น่ะ ท่านเร่งมาทุกคืนๆ ก็เล่าให้หมู่เพื่อนฟังอยู่นี้น่ะ เมื่อคืนนี้เสียแล้ว พอตอนเช้าตื่นออกมาก็มาร้องไห้ หาว่าแกเป็นบ้า ทีนี้พอ ๗ โมงเช้าเขาประกาศทางวิทยุที่อำเภอคำชะอี เขาทราบเขาก็วิ่งมามาบอก บอกข่าวหลวงปู่มั่นว่าเสียแล้ว โอ๋ย ทีนี้ร้องไห้กันทั้งวัดเลย ทีแรกว่าแกเป็นบ้าร้องไห้คนเดียว เป็นอย่างไรความรู้นี่ขึ้นอยู่กับใคร เป็นขึ้นมารู้เลย

เช่นอย่างยกตัวอย่างเอาชัดๆ นี่แหละ คือเราเป็นพยานเอง เราออกจากวัดไปปั๊บแกจะบอกละ พอฉันจังหันเสร็จแล้วไปแล้วนะวันนี้นะ เป็นอย่างนั้น ถ้าแกจะไขเงื่อนก็เพียงว่าเย็นไปหมด บอกว่าไปแล้วนะวันนี้ เย็นไปหมด ส่วนมากแกจะไม่พูด ไปแล้วนะวันนี้ไปดูก็ไปจริงๆ ไม่ผิดอันนี้ก็ดี เวลามามาแล้ววันนี้ ไม่ผิดอีกเหมือนกัน นี่ละความรู้ของแกแม่นยำมาก ความรู้ของใครก็ตามถ้าลงได้เป็นแล้วมันเป็นอย่างนั้น รู้ขึ้นกับเจ้าของแน่นอนกับเจ้าของ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเอง แม่นยำ

นี่การปฏิบัติ นี้ละการภาวนา ความรู้ความเห็นเป็นแปลกๆ ต่างๆ กัน แต่เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องละกิเลสนะ หากเป็นความรู้ประดับตน ส่วนความรู้ที่ละกิเลสสติปัญญาแก้กิเลส อันนี้ต้องมีด้วยกันจนแก้กิเลสให้ขาดสะบั้นไปจากใจ อันนี้เป็นความรู้ที่สำคัญมากสติปัญญาแก้กิเลสให้หลุดพ้นไปได้ อัฐิของแกก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว นั่นเห็นไหมละ อัฐิกลายเป็นพระธาตุสวยงามมากนะ คือในตำราท่านแสดงบอกแล้ว ไม่เห็นผิด ท่านบอกไว้อย่างตายตัวเลย อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ต้องเป็นอัฐิของพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นเป็นไม่ได้นะ มันเป็นเครื่องบังคับอยู่ในตัว ถ้าเห็นอัฐิกลายเป็นพระธาตุเออใช่แล้วเลย คือเห็นหยาบๆส่วนธาตุขันธ์

ส่วนภายในนี้ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ท่านรู้กันหมดนั่นแหละ ครูบาอาจารย์องค์ไหนเป็นอย่างไรถึงขั้นใดภูมิใด หรือหลุดพ้นไปแล้ว ท่านรู้กันได้ดี เพราะท่านคุยสนทนากันตลอดการเทศนาว่าการแนวทางของความพ้นทุกข์ แสดงบอกโดยลำดับจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ ลูกศิษย์ลูกหาเชื่อแล้วเชื่อครูบาอาจารย์ตั้งแต่ยังไม่ตาย เชื่อแล้วว่าท่านเป็นพระประเภทใด เช่นถึงที่สุดก็เชื่อแล้วว่าท่านถึงที่สุด ที่ว่าเป็นอัฐินี้มันมาประกาศส่วนหยาบๆ ต่างหากนะ ส่วนที่เป็นอยู่ภายในบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านรู้กันหมดนั้นแหละ

เช่นอย่างหลวงปู่มั่นนี้รู้กันทั้งนั้นทั้งวัดเลยละ ใครสงสัยที่ไหนไม่มีสักรายเดียวว่าท่านเป็นอะไรถ้าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ พอมรณภาพไปแล้วอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุขั้นมาก็เห็นอย่างนั้น พอเห็นพระธาตุแล้วใช่แล้วทีนี้ นี่ส่วนหยาบ ส่วนละเอียดธรรมภายในท่านบอกลูกศิษย์ลูกหาหมดแล้ว ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับท่านรู้กันทราบกันทุกองค์นั้นแหละ พอตายแล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุจึงประกาศส่วนหยาบออกมาให้เห็นชัดเจนทั่วไปหมด

นี่ละการปฏิบัติธรรม ให้ทราบนะพี่น้องทั้งหลายนะ ใจดวงนี้ไม่เคยตายนะ ให้จำไว้ให้แม่นยำนะ ใจดวงอยู่กับทุกคนไม่เคยฉิบหายนะ ตายไปก็ตามแต่ใจดวงนี้ไม่เคยสูญ ตายแล้วไม่เคยสูญ ไม่เคยฉิบหายไปไหนคือใจดวงนี้ นี่ละที่ออกจากร่างนี้ไปร่างนั้น ออกจากนี้ไปเกิดที่นั่น ออกจากนั่นไปเกิดที่นี่ก็คือจิตดวงนี้ เหมือนเราสร้างบ้านสร้างเรือน บ้านเรือนของเรามันชำรุดทรุดโทรมจนกระทั่งพังลงไปใช้ไม่ได้ เราก็ไปปลูกบ้านใหม่ ทีนี้ไปปลูกบ้านใหม่มันขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์ ของเรา ถ้ามีทุนทรัพย์มากจะปลูกให้สวยงามกว่านั้นก็ได้ ถ้าไม่มากสุดท้ายก็อยู่กระต๊อบก็ได้

 บุญ-บาปตายจากนี้แล้วเราเป็นมนุษย์ ถ้าหากว่าคุณสมบัติของเรามีมากมีน้อยเท่าไร ตายแล้วไปสวรรค์สูงขึ้นไป ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก สุดท้ายไปนิพพาน ถ้าไม่มีคุณธรรมตายแล้วลง เป็นสัตว์เป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกไป จิตดวงนี้แหละ ขึ้นอยู่กับบาปกับบุญที่บังคับบัญชาอยู่ในใจ ไม่มีอะไรที่จะหนักมากในโลกนี้ยิ่งกว่ากรรมดี-กรรมชั่วนะให้ท่านทั้งหลายจำให้ดี กรรมดี-กรรมชั่วนี้หนักมากที่สุด มีกำลังมากที่สุด ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศและแผ่นดินทั้งแผ่นไม่ได้หนัก บังคับจิตใจดวงนี้ให้ไปเกิดที่สูงที่ต่ำไม่ได้เหมือนกับกรรมดี-กรรมชั่ว กรรมดี-กรรมชั่วนี้ไปได้เลย ไม่มีอะไรหักห้ามไว้ได้ก็คือพลังของกรรมดี-กรรมชั่ว ถ้าสร้างกรรมดีแล้วดีดผึงเลย ไป ถ้าควรจะถึงนิพพานถึงเลย ถ้าไปทางชั่วก็ลงแดนนรกผึงเลย ใจดวงนี้ไม่เคยตาย แต่อาศัยอำนาจบาปบุญอยู่ในใจ ถ้ามีบาปมากก็ลงไปทางต่ำ ถ้ามีบุญมากก็ขึ้นสูงเรื่อยๆ ถ้าบริสุทธิ์แล้วก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ไม่ต้องมาเกิดมาตายต่อไปอีก

ให้ท่านทั้งหลายจำไว้ คำนี้เป็นอย่างไร เราสอนอย่างเต็มที่แล้ววันนี้นะ ธรรมเช่นนี้ดูเหมือนไม่ค่อยได้เทศน์เท่าไรนักนะ ฟาดให้มันจิตจ้าอยู่ในใจจะไปถามใคร พูดแล้วสาธุเลย พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลถามท่านหาอะไร พุทโธคำเดียวกระเทือนในพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันเดียวหมดแล้วถามใคร พุทโธอันเดียวเท่านี้แหละถึงกันหมด เหมือนกันหมด แล้วจะไปถามองค์ไหนว่าเป็นอย่างไรๆ นอกจากรูปลักษณะอันนั้นมีต่างกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ความบริสุทธิ์นี้เสมอกันหมดจึงไม่ต้องถามใคร พุทโธคำเดียวหรือว่าบริสุทธิ์คำเดียวถึงกันหมด

 นี่ละจิตดวงไม่ตายเวลาบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุนะ ธรรมธาตุอยู่ภายในจิต เรียกว่าจิตบริสุทธิ์บ้าง เรียกว่าพระอรหันต์บ้าง แล้วที่เป็นพิเศษตายตัวเลยโดยที่ใครจะให้ชื่อให้นามหรือไม่ก็ตามคือธรรมธาตุ ออกจากนี้ก็เป็นธรรมธาตุไปเลย ไม่สูญ นี่ละจิตดวงนี้ละฝึกหัดให้เต็มที่ จนบริสุทธิ์สุดส่วนแล้วก็เป็นธรรมธาตุ นี่ละให้อบรมให้ดี ขัดให้ดีนะ เอาความดีทั้งหลายเข้าขัด ความชั่วมาขัดไม่ได้นะ สกปรกมอมแมม พาให้จมลงในนรกอเวจีได้เพราะความชั่ว อย่างอื่นอย่างใดจะหนักขาดไหนไม่หนักเท่าบาปเท่ากรรมนะ เรื่องบาปเรื่องกรรมเรื่องบุญสองอย่างนี้หนักมาก บังคับเราคนเดียวนี้ให้ไปเกิดลงในนรกอเวจีก็ได้ ให้ไปเกิดบนสวรรค์จนกระทั่งถึงนิพพานก็ได้ อำนาจของธรรมหนักมากนะ สิ่งเหล่านี้เขาหนักเขาก็อยู่ของเขา เขาไม่มาให้เราแบกเราหาม มาบังคับเราเหมือนกรรมดีกรรมชั่วนะ เอาล่ะวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น   

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก