เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ไม่เคยทำลายคำสัตย์เจ้าของ
พาพี่น้องช่วยชาติคราวนี้รู้สึกว่าได้ทองคำเยอะนะ ตั้งหมื่นกว่ากิโล ๑๑,๖๙๐ กิโล นี่ละทองคำก็มีครั้งนี้เท่านั้นละ นอกนั้นจะไม่มี รู้สึกว่าได้มากผิดหูผิดตามนั่นแหละ ทองคำเป็นหมื่นกิโล ๑๑,๖๙๐ แล้วยังจะได้อีกต่อๆ ไป ที่ทำอะไรก็รู้สึกว่าหรูหราๆทุกอย่าง ไม่บกพร่อง พอประกาศกับพี่น้องทั้งหลายพร้อมกันๆๆ เพราะฉะนั้นถึงได้มากมาย ทองคำก็ได้ตั้งหมื่นกว่ากิโล มันหาได้ที่ไหน ธรรมดาจะไม่ได้นะ
หลักใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับต้นตอคือเราเอง เราเองเป็นจุดที่บริสุทธิ์ เมตตากับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกัน ที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมามากน้อยไม่มีที่รั่วไหลแตกซึมไปไหนเลย เพราะเราพาพี่น้องทั้งหลายทำทำด้วยความเมตตา ด้วยความบริสุทธิ์ใจและความเมตตา เพราะฉะนั้นสมบัติมากน้อยนี้จึงไม่มีคำว่ารั่วไหล ไม่มีเลย เข้าหมดทุกอย่าง อันไหนประเภทไหนควรจะเข้าทางไหนๆ เข้าไปตามนั้นๆ เลย ไม่มีคำว่ารั่วไหลแตกซึม
ทีนี้เราเชื่อตัวเราเอง เพราะหลักใหญ่อยู่ที่นี่ ที่นี่บริสุทธิ์ ที่นี่เมตตา ที่นี่รับบริจาคก็เพื่อเมตตาที่จะกระจายให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายของเราได้รับความร่มเย็นเป็นสุข หนาแน่นมั่นคงในชาติของตนเพราะสมบัติเหล่านี้ การที่เรานำพี่น้องทั้งหลายก็นำแบบความบริสุทธิ์ ไม่มีคำว่าด่างพร้อยไม่มีเลย ตรงเป๋งๆ ร้อยทั้งร้อยๆๆ ไม่ว่าด้านไหน ไม่ว่าสมบัติพวกปัจจัยเงินอะไรก็บริสุทธิ์ ทางทองคำก็บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ทุกด้านทุกทาง ไม่มีจะรั่วไหลแตกซึมไปไหนเลย เพราะเราเชื่อตัวเราเอง บรรดาพี่น้องทั้งหลายก็จำเป็น มันเกี่ยวโยงกัน ความตายใจทางนี้เชื่อทางนี้ ความเชื่อทั้งหลายก็ไหลเข้ามาดึงดูดกันให้เป็นความตายใจด้วยกัน
เพราะฉะนั้นการบริจาคจึงไม่ได้เสียดาย มีมากมีน้อยไหลมาๆ ไหลมาเท่าไรก็สมความมุ่งหมายทุกอย่าง ไม่ได้มีคำว่าแตกซึมไปไหนไม่มี เราทำประโยชน์ให้โลกชาตินี้เราทำด้วยความบริสุทธิ์เสียด้วยนะ ไม่ใช่ธรรมดา ใจก็บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ไม่มีที่จะยิ่งหย่อนกว่านี้ออกไป อะไรจะมาชมเชยสรรเสริญมากน้อยสูงต่ำขนาดไหนก็เอื้อมไม่ถึงความพอแล้ว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันอันนี้สูงสุดยอดเลย ความสรรเสริญความนินทาจึงเข้าไม่ถึง เราทำด้วยความเมตตาล้วนๆ ต่อโลกทั้งหลาย
บวชมาชาตินี้รู้สึกว่าเป็นชาติที่ภาคภูมิใจในการบำเพ็ญตนเองเป็นอันดับแรก และบำเพ็ญประโยชน์ให้โลกเป็นอันดับต่อไป คือบำเพ็ญประโยชน์ให้ตนนั้นก็เรียกว่าเอาตายเข้าว่าเลย ไม่ได้ธรรมดานะ เราประกอบความพากเพียรอยู่ในป่าในเขา จะเป็นจะตายไม่มีใครทราบแหละ เวลาขวนขวายความดีเพื่อตัวเองเอาอย่างหนักแน่นทีเดียว เหมือนว่านักมวยนี้ต่อยกันตลอด ไม่มีคำว่ากรรมการจะมาห้าม มันเอาเต็มเหนี่ยวด้วยกัน ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งให้ตกเวทีไป ระหว่างกิเลสกับธรรมบนหัวใจที่เรียกว่าเวที ซัดกันอย่างนั้นตลอดมา นิสัยอันนี้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังว่าเป็นนิสัยที่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดผาดโผนมากอยู่ ถ้าหากว่าไปทางโลกนี้ขาดสะบั้นไปเลย
พอพูดอย่างนี้ไปทำให้ระลึกถึงเวลาอยู่ในท้อง มีตาพ่อของแม่นั่นละมาทำนายเลย ทำนายอย่างยืนยันเลยเชียว อยู่ในท้องไม่เหมือนใครทั้งหลายเลย บอกอย่างนั้นเลย ลูกทั้งหลายก็ พิจารณาไปตามไม่มีใครเหมือน เวลาปวดท้องเจ็บท้องที่จะคลอดนี่ซัดเอาเสียแม่จนจะตาย แล้ว ว่าจะคลอดไม่คลอด แล้วหายเงียบไปเลยเหมือนตาย แล้วก็วิ่งหาพ่อว่าลูกตายแล้ว มันคงดิ้นตาย หายเงียบไปเลย พ่อนั้นบอกว่าไม่ตาย มันไม่ตาย มันเป็นตามนิสัยของคนของเด็ก มันเป็นหนัก หนักตลอดจนพ่อของแม่ทำนายเลย
ลูกคนนี้กูทำนายได้เลยว่าต้องเป็นลูกผู้ชาย นิสัยอันนี้เป็นลูกผู้ชาย เป็นได้ทั้งสองฝ่าย ทั้งชั่วและดีเด่นทั้งนั้น ถ้าหากว่าเป็นทางฝ่ายชั่วนี้มันจะไม่ได้ติดคุกติดตะรางเป็นนักโทษ เขาจะฆ่ามันที่ไหนก็ได้ ที่ให้มันยอมไปเป็นนักโทษเข้าไปอยู่ในเรือนจำไม่มี นี่เป็นผู้ชายแน่นอน มันจะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เขา ตายที่ไหนก็ตายที่นั่น แต่จะให้มันยอมเขามาเข้าเป็นนักโทษในเรือนจำไม่มี เด็กคนนี้น่ะเวลามันโตขึ้นมา นี่พ่อตาทำนาย
วันนี้เปิดเสียบ้างนะ ลูกคนนี้ต้องเป็นผู้ชาย ดูอะไรมันผาดโผนทุกอย่าง ถ้าว่าเจ็บท้องจะคลอดนี้เอาจนแม่จะตาย ถ้าว่าหยุดไปแล้วหายเหมือนตายแล้ว แม่ก็จะตายอีกว่าลูกตายในท้องอยู่อย่างนั้นๆ พอตกออกมาก็รกพันคอ ตามธรรมดาเขาทำนายได้สามอย่าง รกพันคอ หนึ่งสายโซ่ สองสายสะพานปืน สามสายบาตร พอตกคลอดออกมารกพันคอ พ่อตาทำนายก่อนใครเลย สายบาตรๆๆ ให้โชคขึ้นเลยทันที ไม่พูดถึงสายอื่นสายใดล่ะ บอกว่าสายบาตรๆ ลูกคนนี้จะเป็นลูกคนบุญ คือยอให้เลย ลูกคนนี้จะเป็นลูกคนบุญ นี่สายบาตรนั่นรู้ไหมสู ว่าอย่างนั้นนะ ทำนายให้โชคชะตาไว้ก่อน ทั้งๆที่ผู้นั้นยังไม่รู้ภาษาตกคลอดออกมาใหม่ๆ
นั่นละเรื่องราว มันเด็ด ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จะเป็นจะตายไม่รู้กี่ครั้งกว่าจะตกคลอดออกมา พ่อตาทำนายลูกคนนี้ต้องเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นทางฝ่ายชั่วมันไม่ได้หรือเป็นนักโทษในเรือนจำ มันจะตายนอกเรือนจำ คือการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เขา จะให้มันยอมตัวมาเป็นนักโทษไม่มี มันขนาดละรุนแรงมาก ถ้ามันไปทางดีก็แบบเดียวกัน แต่ทางดีไม่พูดมากนะ บอกว่าถ้าไปทางดีก็แบบเดียวกัน แต่ไปทางชั่วได้พรรณนาล่ะ บอกว่ามันไม่ได้ตายในเรือนจำ มันไม่ได้เป็นนักโทษ มันตายนอกเรือนจำต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ นี่เราไม่ลืมนะ แม่มาเล่าให้ฟัง พ่อตาทำนาย ย
หน้าที่การงานมันก็มีนิสัยอย่างนั้นอยู่แล้ว คือว่าอะไรเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าไม่ได้ลั่นคำไม่เป็นอะไร ถ้าลงได้ลั่นคำว่าเอาล่ะ หรือว่าทำหรือไม่ทำ ว่าไปหรือไม่ไปต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น นิสัยมันจริงจังมากแต่ไหนแต่ไรมา ทีนี้พอมาบวช ก็จริงมาตลอด ไม่เคยได้ตำหนิติเตียนเจ้าของว่ามีศีลด่างพร้อย ได้ล่วงเกินพระธรรมวินัยด้วยความไม่มียางอายไม่เคยมี มีความอบอุ่นเรื่อยมา จนกระทั่งจวนจะหยุดเรียนเท่าไรอ่านเรื่องมรรคผลนิพพานหนักขึ้นๆ ทีแรกบวชไปสวรรค์ จากนั้นก็ไปพรหมโลก ต่อมาถึงนิพพานแล้วไม่เคลื่อนเลยทีนี้ มีแต่อยากไปนิพพาน มีแต่อยากไปนิพพานอย่างเดียว
ทีนี้จิตเมื่อมุ่งต่อนิพพานแล้วมันต้องรุนแรง พอเสร็จแล้วเข้าหาหลวงปู่มั่นท่าน ท่านก็เทศน์เอาอย่างหนักเลยทีเดียว ให้สมเจตนาของเราที่มุ่งอย่างแรงกล้าคือมรรคผลนิพพาน ท่านก็เทศน์อย่างดุเดือดเต็มเหตุเต็มผล สมใจ พอออกมาแล้วนี้เหมือนว่าหัวใจนี้พอ มันพอใจ มายังไม่ถึงที่พักออกจากท่านมา ว่าอย่างไรวันนี้ได้ฟังเทศน์อย่างถึงใจแล้วเจ้าของจะว่าอย่างไร เอาว่ามาซิ ถามเจ้าของ บอกว่าตายเท่านั้น ต้องให้ได้มรรคผลนิพพาน เป็นอย่างอื่นไม่เอา จะทำจิตถึงนิพพานให้เป็นอรหันต์ในชาตินี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่เอา
นั่นละทีนี้ความเพียรมันจึงเป็นอย่างว่า การประกอบความเพียรเราไม่ไปกับใครนะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็ส่งเสริมด้วย มีหลายองค์พระที่อยู่วัดกับท่าน เวลามาลาท่านไปทีละองค์บ้างสององค์บ้างสามองค์บ้างลาไป ถ้าลาไปท่านว่า เหอ แน่ะขึ้นแล้ว ตั้งแต่อยู่ในนี้มันก็ตกนรกหมกไหม้ให้เห็นต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนจากนี้ไปเท่านั้นละ พระใครจะกล้าไป แสดงว่าไม่ไว้ใจยังไม่ให้ไป ความหมาย แต่มาถึงตัวเรานี้ไม่เคยมี การที่จะลาท่านออกต้องมีมารยาท ต้องมีความเคารพเต็มตัว จนกว่าท่านอนุญาตเมื่อไรแล้วถึงจะเริ่มเปิดทางต่อไปได้
เวลากราบเรียนท่านถึงกิจหน้าที่การงานอะไรๆ ในวัด มีอะไรก็จะช่วยพระเณรจัดทำอะไรให้เรียบร้อยก่อน ถ้าไม่มีธุระอะไรก็คิดว่าอยากกราบลาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไปประกอบความพากเพียรสักระยะหนึ่ง เราบอกระยะหนึ่ง พอว่าเท่านั้นหยุดเลย ท่านจะเอาไปพิจารณาเอง ถ้าท่านไม่พูดอีกก็เลยเลย ไม่มีคำว่าลาอีกแหละ พอได้โอกาสแล้วท่านจะเปิดออกละ จะกี่วันก็ตาม ท่านเก็บไว้นั้น เราก็เก็บไว้ทางนี้คอยฟัง เพราะนั้นจอมปราชญ์ นี้จอมโง่ มันต่างกัน คอยฟังเสียงจอมปราชญ์ท่าน พอถึงกาลเวลาแล้วท่านจะเปิดออกมาเองโดยที่เราไม่ไปทวงอะไรแหละ
ถึงเวลา เอ้อที่ว่าท่านมหาอยากลาไปเที่ยวนั้นไปได้ละ เอาละเปิดแล้วนะนั่น จากนั้นแล้วก็จะไปทางไหนละ ท่านก็ถาม คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ แล้วจะไปกี่องค์ ว่าไปองค์เดียวขึ้นทันที เออ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ แต่องค์เหล่านั้นขนาบไว้เลยนะ แต่สำหรับเราไม่เคยมี แต่ไม่ใช่โกหกพกลมนะ เป็นความจริงอย่างนั้น พอว่าเราว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นเลยเอา..ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านว่า เพราะท่านเห็นนิสัยอยู่แล้วอย่างนั้น
ไปเวลาขากลับมานี้มีแต่หนังห่อกระดูก ท่านก็รู้ทุกครั้งๆ ว่าเราเอาจริงจังขนาดไหน บางทีตัวเหลืองมาหมด เหมือนทาขมิ้นนะ มันเหลืองหมดทั้งตัวเลยลงมาจนท่านร้องโก้กเลยเชียวนะ คือมันเหลืองหมดตัวเลย มันจะเป็นเพราะดีซ่านหรืออะไรก็ไม่ทราบ เพราะลงมาจากภูเขา เพราะไปทีไรมันซัดกันอย่างหนักๆ ไมใช่ไปธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่เอาใครไปด้วย ถ้ามีใครไปด้วยมันเป็นน้ำไหลบ่า ถ้าสององค์ก็รับผิดชอบคนนี้แล้วรับผิดชอบทางนี้ นี่เป็นน้ำไหลบ่า ถ้าไม่มีใครเลย มีแต่เราองค์เดียวป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ เอาอยากกินก็กิน ไม่อยากกินไม่กินกี่วันก็ตาม เรื่องความเพียรไม่มีคำว่าถอย เด็ดตลอดๆ เลย มันเอาจริงเอาจังมากนะ
นี่ละที่จะได้ธรรมมาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายได้มาด้วยเหตุนี้เอง เรียกว่าเดนตายมา มันควรตายเอาตายฟัดกับกิเลส เวลาเอากันเช่นนั่งตลอดเอาเลย ตลอดรุ่งจริงๆ ถ้าลงได้ลั่นคำตรงไหนแล้วไม่เคลื่อนคลาด เคลื่อนให้ตายเสียดีกว่า คนเราไม่มีคำสัตย์มันก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ต้องมีคำสัตย์ ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น นี่ว่าเอานะวันนี้ พอว่าเท่านั้นละนะ คำว่าเอานะวันนี้ ต้องตลอดรุ่งๆๆ เลย มันจะเป็นจะตายมัดไว้กับคำว่าตลอดรุ่ง เอาชีวิตแลกเข้าเลยใส่ตลอดรุ่ง ถ้าไม่ตลอดรุ่งอะไรจะเป็นจะตายให้ตายเลย นั่นละคำสัตย์คำจริง ไม่เคยทำลายคำสัตย์เจ้าของ ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น นี่ทำอย่างนี้เรื่อยมา
การประกอบความพากเพียรก็หนักมากสำหรับเราเอง มันคงเป็นนิสัยหยาบมากอยู่ มันไม่ได้ไปง่ายๆ เหมือนท่านทั้งหลายที่ท่านออกบำเพ็ญ สำหรับเรานี้มันหนักมากอยู่ มันมีอยู่สองอย่าง หนึ่งนิสัยวาสนาหยาบ สองถ้ามันเทียบเอากันสำหรับผู้เอาจริงเอาจังแล้วมันก็เหมือนว่านิสัยมันเด็ด ว่าอย่างนั้นเลยนะ คือจะเอาให้ได้อย่างใจ ถ้าไม่ได้อย่างใจเอาตายก็ตายเลย มันเอาให้ได้อย่างนั้นเลย จึงได้ประกอบความพากเพียร นี่หมายถึงออกปฏิบัติกรรมฐานเพื่อมรรคผลนิพพาน
การเรียนก็เรียนมาแล้ว ตรี โท เอก มหาเปรียญก็ผ่านมาหมด ยังเหลือตั้งแต่ทางภาคปฏิบัติ จะเอาผลจากการปฏิบัติมาเป็นสมบัติของตัว การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนั้นเป็นความจำ ไม่เรียกว่าสมบัติของตนได้ คือเรียนไปแล้วมันหลงลืมไปได้ หลงลืมไปได้ แต่ทางภาคปฏิบัตินี้ปรากฏขึ้นมาอะไรๆ รู้อะไรเห็นอะไร รู้ด้วยเห็นด้วย เป็นสมบัติของตนด้วย ประจักษ์ตลอด นี่ทางภาคปฏิบัติ จึงเรียกว่าภาคขวนขวายเพื่อสมบัติของตนโดยแท้ไปโดยลำดับลำดา
อันนี้ก็ฟาดอยู่ ๙ ปี ฟังซิ นี่ละกิเลสมันเหนียวไหม นิสัยก็เป็นนิสัยอย่างนี้ ถ้าว่านักมวยก็ซัดกันไม่ต้องเอากรรมการมาแยกมันจะตายช้า ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งให้ตกเวที ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซัดกันถึง ๙ ปี นี่ละเอาเป็นเอาตายตลอด ไปภาวนา ๙ ปีนี้ไม่เอาใครไปด้วยนะ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็ส่งเสริม ท่านเห็นว่าเอาจริงเอาจัง ท่านส่งเสริม ความโง่ความฉลาดท่านก็ดูแล้วเพราะอยู่กับท่านมานาน ท่านเปิดทางให้เลย พอว่าไปองค์เดียว เอ้อขึ้นเลย ท่านมหาให้ไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เท่านั้นพอ แล้วใครจะไปยุ่งกับเรา เราก็ไม่สนใจกับใคร
ประหนึ่งว่าพระเณรทั้งหลายไม่สนใจกับเราเลย ความจริงพระเณรสนใจอยู่ จะเห็นได้เวลาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพลงเท่านั้นละเกาะพรึบเลย ไม่ทราบว่าพระเณรมาจากไหนๆ เกาะพรึบ ได้ขโมยหนีกลางคืน เพราะไม่สะดวก เป็นเวลาที่เราเร่งความเพียร ไม่ได้หลับได้นอน ไปคนเดียวๆ ไปกับเพื่อนกับฝูงกับใครไม่ได้ มันขาดการประกอบความเพียร ไม่สืบต่อ นั่นละความเพียรอัตโนมัติ ต้องอยู่คนเดียว ตื่นขึ้นมาปั๊บระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันแล้ว ฟัดกันแล้ว บางคืนนอนไม่หลับ เอาจนสว่าง ไม่หลับเอาเฉยๆ คือเรานอนให้หลับ แต่ระหว่างกิเลสกับธรรม ฟัดอยู่บนหัวใจกันนั้นมันไม่ถอย มันไม่ถอยกัน สุดท้ายก็แจ้ง ไม่หลับ แล้วกลางวันมันยังจะไม่หลับอีก คือมันหมุนกันไม่ถอย นี่ละระหว่างกิเลสกับธรรม
เราจึงได้ข้อคิดจากการบำเพ็ญด้วยความเพียรอัตโนมัตินี้ มาเทียบกับจิตใจของโลกทั่วๆ ไป ไม่ว่าเขาว่าเรา ไม่ว่าใครต่อใคร กิเลสมันอยู่บนหัวใจทุกหัวใจ เอะอะสัมผัสสัมพันธ์อะไรๆ กิเลสจะออกทำหน้าที่ก่อน กิเลสจะออกทำหน้าที่ก่อน ตาเห็นหูได้ยินสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรกิเลสจะออกก่อนๆ ทำงานก่อนหมดเลย ธรรมนี้ยังนอนไม่ตื่น นี้เป็นนิสัยของจิตทุกๆ ดวงที่เป็นอย่างนี้ก่อนที่ยังไม่ได้รับการอบรมดังที่ว่านี้ละ เราไม่รู้นะว่ากิเลสทำงานก่อนแล้วๆ มันทำงานโดยอัตโนมัติของมัน อะไรสัมผัสสัมพันธ์จะเป็นกิเลสขึ้นมา เรื่องเป็นธรรมไม่มี นี่ระยะที่กิเลสสร้างตัวเองบนหัวใจสัตว์โลกเป็นอย่างนี้
ทีนี้เวลาบำเพ็ญธรรมหนักเข้าไป หนักเข้าไป ถึงขั้นบำเพ็ญธรรมเป็นอัตโนมัตินะ คือเป็นไปเอง พอถึงธรรมขั้นอัตโนมัติไม่มีคำว่าที่จะไสเข้าสู่ความเพียร มีแต่รั้งเอาไว้ รั้งเอาไว้ จนกระทั่งกลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่หลับ คือมันเป็นอัตโนมัติ ระหว่างกิเลสกับธรรม ไม่มีใครยอมแพ้ใคร กิเลสเท่านั้นพัง เรื่องให้ธรรมะพังนี้ไม่มี ต้องตายเลย นี่ละมันก็หมุนของมันติ้วๆ นี่ละขั้นธรรมฟัดกับกิเลสโดยอัตโนมัติ
ทีนี้มันก็ย้อนคิด อ๋อ แต่ก่อนกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกนี้เป็นอัตโนมัติอย่างนี้เอง อย่างที่ธรรมกำลังทำงานฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติบนหัวใจของเรานี้แล คืออยู่ที่ไหนมันก็ทำงานของมัน ไม่ว่าจะเดินจะยืนจะนั่งจะนอนระหว่างกิเลสกับมันต้องฟัดกันตลอดๆ เลย แม้ที่สุดฉันจังหันอยู่นี้มันไม่ได้มาอยู่กับอาหารการกินนะ มันอยู่ลึกๆ นู่น นี่ละมันเป็นอัตโนมัติของมันเอง มันอยู่ลึกๆ ฟัดกันอยู่นั้น เราไม่มีเจตนานะ คือมันเป็นอัตโนมัติของมัน มันหากหมุนของมัน พอระลึกแย็บนี้มันเอากันอยู่แล้ว เอากันอยู่แล้ว
นี่ละถึงขั้นธรรมมีกำลังกล้าทำงานฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติอย่างนี้ เหมือนกับกิเลสทำลายหัวใจสัตว์ด้วยการรู้การเห็น การได้ยินได้ฟัง การได้มาเสียไป เหล่านี้กิเลสเกิดทั้งนั้นๆแหละนะ มันมาด้วยกันความได้ความเสียมาด้วยกัน ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังแล้วมันก็แบบเดียวกัน หมุนฆ่ากิเลสมีแต่ฆ่าตลอดเลย ฆ่าตลอดเลย เป็นอยู่ในจิต ท่านทั้งหลายจำเสีย เราจวนจะตายแล้วนะ ไม่กี่ปีกี่เดือนเราก็จะตาย ธรรมประเภทนี้ท่านทั้งหลายได้ยินจากใคร ที่มาเหล่านี้อย่างนี้ถอดออกจากหัวใจมาเล่านะ ตามหลักความเป็นจริงที่ได้ฟัดกันมาจนถึงมาได้เป็นครูเป็นอาจารย์ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายนี้เป็นมาอย่างนั้น
เวลาธรรมมีกำลังแล้วนี้กิเลสจะอยู่ที่ไหนอยู่ไม่ได้นะ มันจะหมุนหากันตลอด เหมือนไฟได้เชื้อ เรื่องไสเชื้อเข้ามาให้ไสเข้ามา ลงไฟจะดับเพราะอำนาจของเชื้อไม่มี อันนี้กิเลสให้ผ่านเข้ามา ตั้งแต่ไม่ผ่านก็หากันอยู่แล้ว นี่ผ่านเข้ามาขาดสะบั้นๆ ที่จะให้สั่งสมกิเลสเข้ามาไม่มี มีแต่กิเลสผ่านมาให้เห็น เห็นเท่าไรก็ขาดๆๆ สะบั้นไปเลย นี่ธรรมทำงานโดยอัตโนมัติเป็นอยู่กับนักภาวนาที่เป็นธรรมะขั้นสูง ถึงขั้นธรรมทำงานโดยอัตโนมัติแล้วเป็นอย่างนี้ด้วยกัน จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงหมด ทีนี้มาถึงขั้นมันจะยุติกันกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด
นั้นละท่านว่าวาระสุดท้ายม้วนเสื่อกิเลส กิเลสขาดสะบั้นลงไปนี้จิตใจนี้สว่างจ้าขึ้นมา ครอบโลกธาตุ อ้าว แต่ก่อนมันมืดดำกำตาเพราะอะไร เพราะกิเลสเท่านั้น พอกิเลสกระจายออกไปหมดแล้วจิตนี้มันสว่างมาตั้งแต่ดั้งเดิมจ้าขึ้นมาเลย นั้นละจิตจึงสว่างจ้า ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน สว่างจ้าอยู่โดยธรรมชาติของตน ไม่ขึ้นอยู่กับอิริยาบถใดๆ ยืนก็จ้าอยู่ นอนก็จ้า นั่งก็จ้า เป็นอยู่โดยหลักธรรมชาติของจิตที่หมดมลทินโดยสมบูรณ์แล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว
ทีนี้การเกิดการตายไม่หมายป่าช้า ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนมันพอตัวอยู่กับหัวใจเอง ไม่ต้องไปถามใคร ตายแล้วจะไปเกิด เกิดอีกหรือไม่เกิดอีกมันก็รู้ แล้วจะไปเกิดสูงต่ำขนาดไหนมันบอกอยู่ในจิตชัดเจน พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้จะเห็นผลงานของตนเอง ตั้งแต่ต้นการบำเพ็ญจนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน สนฺทิฏฺฐิโก จะประกาศผลงานให้รู้เป็นลำดับๆ จนกระทั่งถึงสุดสิ้นหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดก็ประกาศป้างออก
วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ การชำระกิเลสได้อยู่จบแล้ว การทำงานที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะยิ่งไปกว่างานฆ่ากิเลสนี้ไม่มี นั้นละทีนี้สิ้นสุดตรงนั้น ท่านเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ การประพฤติพรหมจรรย์ก็คือการชำระกิเลสนั้นละได้สิ้นสุดลงไปแล้ว กิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด ทรงวิมุตติธรรมไว้โดยสมบูรณ์ ทีนี้ป่าช้าไม่มี ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ ไม่มี ปัจจุบันจิตไม่เคยตาย มีแต่ธาตุขันธ์สลายจากการรวมธาตุของตน มารวมอยู่ในนี้ พอธาตุมันหมดกำลังของมัน จิตก็ถอนตัวออกปั๊บเท่านั้น ทีนี้จะไปเกิดในภพใดชาติก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมของผู้ที่จะไปเกิด มีบาปมากบุญมากนั้นละเป็นเครื่องตัดสินตัวเอง เป็นเครื่องบังคับ เป็นเครื่องพยุงผู้ทำทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายให้ระวังนะ ให้กลัวบาปให้มากนะ อย่าเข้าใจว่าความอยากจะเลิศเลอยิ่งกว่าบุญกว่าบาป ความอยากเป็นความทะเยอทะยานอยากทำไม่คำนึงถึงบุญถึงบาป ทำลงไปแล้วกอบโกยเอาบาปตลอดเวลาไม่รู้ตัว เพราะอย่างนั้นจึงต้องระวัง สิ่งใดที่เป็นบาปอย่าทำ ทำแล้วมาทำลายเจ้าของเอาให้ฉิบหายวายป่วงจมลงถึงแดนนรกจะเป็นใคร ก็เราเป็นผู้ทำลายเราเอง ทำลายอย่างหนักคือการทำชั่วช้าลามกอย่างหนัก ทีนี้เวลาตายลงไปก็ลงนรกหมกไหม้อย่างหนักเหมือนกันนะ กว่าจะได้พ้นมาได้กี่กัปกี่กัลป์ พอฟื้นตัวได้ก็พลิกตัวไปทางที่ดีทีนี้ก็ไปที่ดีเรื่อย จนกระทั่งเอาพลิกตัวได้ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานจ้าเลยทีนี้ นั่นละเป็นธรรมธาตุ
จิตดวงนี้ไม่เคยสูญ เมื่อบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าสูญ นิพพานเที่ยงอยู่ตรงนั้นแหละ ท่านว่านิพพานเที่ยงก็คือจิตที่เป็นธรรมธาตุแล้วนั้นแลเที่ยง นอกนั้นไม่มี นี่อ่านให้ชัดเจนด้วยภาคปฏิบัติ จึงไม่ต้องสงสัย ไม่สงสัยว่าจะถามใคร พระพุทธเจ้าไม่ถามใคร สาวกทั้งหลายไม่ถามใคร บรรดาผู้ถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ท่านไม่ถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นในใจของท่านว่าสิ้นสุดแล้วเท่านั้น รู้ได้เอง นั่นละตัดสินด้วย สนฺทิฏฺฐิโก มาจากงานของตนที่ทำความดีความชอบไม่หยุดไม่ถอย ถ้าทำความชั่วแล้ว สนฺทิฏฺฐิโกมีหรือไม่มีก็ตามความจมไปตลอด ให้พากันจดจำ
ให้เชื่อพระพุทธเจ้า เราทุกคนนี้หูหนวกตาบอดไม่มีใครเกินคนมีกิเลส คนมืดหนาสาโหด หนามากหนาน้อยต่างกัน มีแต่หนาด้วยกิเลสทั้งนั้น ให้พากันชำระความชั่วช้าลามก ให้ระมัดระวัง บาปอย่าพากันทำ อย่าพากันขวนขวาย อย่าพากันพอใจทำ ให้อุตส่าห์พยายามทำความดีงามนี้จะเป็นเครื่องพยุงเราโดยลำดับๆ ทำความดีมากเท่าไรยิ่งพยุงเราขึ้นโดยลำดับ ทำความดีสุดขีดถึงนิพพานทั้งเป็น อย่างท่านสำเร็จพระอรหันต์นั่นถึงนิพพานทั้งเป็น ปาปปหินบุคคล บาปและบุญละหมดโดยสิ้นเชิง นี่ละผู้นี้เรียกว่าผู้เที่ยง ถึงนิพพานเที่ยง
นี่จากการบำเพ็ญนะ อย่าพากันนอนใจนะ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราไม่ได้เหยียบย่ำทำลายศาสนาใด แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เป็นศาสนาที่ถูกต้องแม่นยำโดยเหตุโดยผล หลักเกณฑ์ทุกอย่างไม่มีเคลื่อนคลาด เป็นศาสดาขึ้นมาก็ด้วยความชอบธรรมที่ได้บำเพ็ญมาโดยชอบธรรมแล้วตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นศาสดาองค์เอก สอนโลกด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ไม่มีอะไรผิด คอยฟังคำของท่านแนะนำสั่งสอน หรือพุทธบริษัทเราเหล่านี้มันผิด ท่านสอนอย่างนี้มันไปทำอย่างนั้น สอนอย่างนั้นไปทำอย่างนี้ พวกผิด พวกเป็นฟืนเป็นไฟแก่ตัวเองก็คือพวกเราเอง
ให้แก้ความผิดตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า นี้ละจะเป็นความชอบธรรมของเรา เกิดมาในชาตินี้เราเกิดเป็นคน แน่ใจแล้วว่าเป็นคน ดีเราก็รู้ ชั่วเราก็รู้ การทำดีเราก็รู้ การทำชั่วเราก็รู้ เขาทำดีเราก็รู้ เขาทำชั่วเราก็รู้ เราทำดีหรือทำชั่วทำไมจะไม่รู้ เมื่อนำมาปฏิบัติแก้ไขดัดแปลงตัวเอง หรือพิจารณาตัวเอง รู้ได้ แก้ไขได้ ให้พากันแก้ไขในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ตายแล้วจะไปเคาะโรงโป้กๆ เป้กๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นิมนต์พระมาตั้งร้อยวัดพันวัดก็มีแต่กุสลา ธมฺมา ไม่เกิดประโยชน์ ตัวบุญตัวบาปจริงๆอยู่กับเรา ถ้าเราได้สร้างบุญสร้างกุศลเต็มที่แล้วไม่จำเป็นต้องหากุสลาที่ไหน มีอยู่เต็มหัวใจเราแล้วไปเลย ให้พากันจำเอานะธรรมบทนี้นะ
นี่หลวงตา เด็ดลงบ้างเป็นระยะๆ จะไม่มีใครเทศน์สอนอย่างนี้นะ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน ถอนมันออกมา เป็นความดีขึ้นมา ถอนออกมาด้วยความดี ถอนจนกระทั่งไม่มีอะไรติดอยู่ในหัวใจ สว่างจ้า นี่หัวใจที่ถอดถอนเสี้ยนหนามคือกิเลสตัณหาออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ เป็นจิตใจที่เป็นธรรมธาตุ ตายหรือไม่ตายก็ตามนิพพานเที่ยงอยู่กับหัวใจดวงที่เป็นธรรมธาตุนั้นแล ให้พากันจดจำ
การสร้างบุญสร้างกุศลอย่าตระหนี่ถี่เหนียว ควรช่วยกันได้แค่ไหนให้ช่วยไปนะ ช่วยผู้อื่นก็คือช่วยตัวของเราเอง ไม่ใช่ว่าช่วยคนอื่นไปแล้ว..ทางนั้นก็แบ่งเบากันไปในส่วนหยาบ ส่วนละเอียดคือบุญกุศลเป็นสมบัติของเราทั้งหมดนั้นแหละ จะบริจาคช่วยที่ไหน สร้างศาลาสร้างกุฏิหรือสร้างเจดีย์อะไรก็ตามนะ อันใหญ่โตขนาดไหนนั้นเป็นวัตถุหยาบ แต่บุญนั้นเป็นวัตถุละเอียด เข้ามาหาผู้สร้างทั้งหมดนั้นแหละ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้
การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|