เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ขั้นจิตหมุนเพื่อความพ้นทุกข์
เสียงโลกกับเสียงธรรมต่างกัน เข้าไปในใจดวงเดียวนั้นแหละ ใจเป็นผู้รับพิษภัย และรับคุณจากเสียงที่เข้าไป ถ้าเป็นเสียงโลกเสียงกิเลสตัณหาเข้าไปในใจแล้วก็ไปแผดเผาจิตใจให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เป็นความกังวลวุ่นวาย เป็นอารมณ์ทำให้ครุ่นคิดเป็นไฟเผาอยู่ลึกๆ นั้นตลอดไป นี่เสียงโลกเสียงกิเลสตัณหากับเสียงอรรถเสียงธรรมจึงต่างกันมาก เสียงธรรมพอได้ยินได้ฟังจิตใจจะซาบซึ้งภายในใจเหมือนว่าใจนั้นได้รับโอชารสที่มีคุณค่ามาก เหมาะกับความต้องการของใจซึ่งหาความสุขความเย็นใจแก่ตน
เพราะฉะนั้นเสียงธรรมกับเสียงโลกจึงต่างกันมากทีเดียว เรายกตัวอย่างใกล้ๆ เช่นพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้ เสียงท่านนี้ถ้าจิตใจเป็นโลกล้วนๆ เข้าไปนี้เสียงธรรมท่านจะแผดเผาเข้าไป ผู้นั้นมีความคิดความปรุงไปในทางกิเลสว่าท่านดุท่านด่าท่านเฆี่ยนท่านตีอะไรไปแปลกๆ ทีนี้พอฟังไปๆ อำนาจแห่งธรรมเข้าไปเปลี่ยนแปลงจิตใจ เสียงของธรรมเข้าไปเปลี่ยนแปลงจิตใจ ทำให้จิตใจเปลี่ยนตัวเองขึ้นเป็นลำดับลำดา เวลาท่านเทศนาว่าการเสียงแผดเท่าไรมีตั้งแต่ธรรมล้วนๆ ออกมาชุ่มเย็นไปหมด
เพราะฉะนั้นผู้ที่เคยได้อยู่ได้ยินได้ฟังกับท่านมานานๆ ถ้าวันไหนท่านเทศน์ธรรมดา แม้จะเทศน์ถึงมรรคผลนิพพานเต็มสัดเต็มส่วนแต่ก็รู้สึกว่าจะขาดอะไรนิดๆๆ อยู่นั้นน่ะ ถ้ามีเสียงอะไรมากระทบให้ท่านได้พลิกใจปุบปับขึ้นมาเป็นลักษณะดุด่าอย่างนี้แล้ว นั้นละธรรมะจะออกเวลานั้นออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผู้ฟังนี้เคลิ้มไปเลยทีเดียว มันกล่อมใจ จิตใจรู้สึกว่าคล้อยตามๆ ท่านเทศน์เป็นเวลา ๔ ชั่วโมง ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไรเลย มีแต่ความดูดดื่มภายในจิต ร่างกายไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจึงไม่ปรากฏทางร่างกาย จิตใจดื่มด่ำกับอรรถกับธรรม เพลินในอรรถในธรรมไปเรื่อยๆ ลืมร่างกาย เทศน์ถึง ๔ ชั่วโมงไม่ปรากฏว่ามีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพราะจิตดื่มด่ำๆ เป็นลำดับลำดา
นี่ละธรรมที่ท่านแสดงออกมานั้นเป็นธรรมที่ออกจากใจของท่านล้วนๆ ไม่ใช่ธรรมที่เรียนตามตำรับตำรา ได้แต่เสียงของธรรมออกมา ตัวธรรมแท้เราไม่ได้ แต่ท่านเทศนาว่าการจากจิตที่ทรงอรรถทรงธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้จะเทศน์ออกมาหนักเบามากน้อยเพียงไรก็เป็นธรรมหนักเบามากน้อยเพียงนั้นติดตามออกมา ติดตามออกมา เพราะฉะนั้นผู้ฟังจึงเพลินใจ เพลินตลอดเวลาเลย เพราะมีแต่ธรรมล้วนๆ ออกจากใจที่ทรงไว้แล้วโดยสมบูรณ์ นั่นละธรรมแท้ออกจากใจเสียงของผู้ทรงธรรมย่อมมีรสมีชาติ ผู้ฟังดื่มด่ำซาบซึ้งภายในจิตใจ
พอพูดอย่างนี้ก็ไปสัมผัสถึงเรื่องของเราเอง ซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย ท่านเทศน์วันนั้นท่านเทศน์หมุนติ้ว เพราะเทศน์สอนพระล้วนๆ มีแต่พระไม่มีฆราวาส และท่านเทศน์อย่างถึงเหตุถึงผลถึงมรรคผลนิพพานเต็มที่เลย ทีนี้เวลาฟังมันเพลินเข้าๆ เพลินไปจนกระทั่งจิตนี่ดับพรึบภายในเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลกลไกอะไร แต่ความรู้นั้นไม่ได้ดับ หากมีอันหนึ่งที่เป็นกระแสของจิตนั้นแหละ ดับไปหมดเลย พอท่านเทศน์จบทีนี้โลกนี้เหมือนว่างเปล่าไปหมด สุญฺญโต โลกํ คือว่างสูญไปหมด
อันนี้เป็นอยู่ถึงสามวัน เราเองเป็นผู้ฟังเป็นผู้เป็น จึงได้นำมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จากรสแห่งธรรมของท่านแสดงออกเต็มเม็ดเต็มหน่วยผู้ฟังก็ได้ฟังอย่างเต็มใจ จนกระทั่งในสามวันนั้นจิตดับหมดเลย คือคำว่าดับกระแสต่างๆที่เกี่ยวข้องกับจิตเสียงนั้นเสียงนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้นั้นดับหมด เหลือแต่ความรู้ที่สว่างไสวอยู่เป็นเวลา ๓ วัน เราไม่เคยเป็น ไปฟังเทศน์ท่านอาจารย์มาก็หลายปี แต่ไม่เคยเป็น แต่วันนั้นเป็น เป็นถึง ๓ วัน ติดกันไปเลยนะ ๓ วัน อะไรๆ ดับหมดเลย เหลือแต่ความรู้ที่สง่างามอยู่ภายในใจ เกิดความอัศจรรย์ภายในใจตัวเองอย่างล้นพ้นทีเดียว เพราะเราไม่เคยเป็น ไม่เคยเห็น ไม่เคยมี พึ่งมามีในวันนั้นที่จิตดับดับแบบนี้ ดับแบบพูดไม่ถูก อาการของจิตใดๆ ทั้งหมดนี้มันดับหมด เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ
เมื่อถึงความรู้ล้วนๆ แล้วจะทรงความสว่างไสวสง่างาม สุดที่จะพูด อัศจรรย์มากมายในเวลาจิตดับจากอาการทั้งหลายแล้ว มาทรงตัวอยู่ด้วยความสว่างไสวเต็มที่เต็มฐานของจิตในขั้นนั้น นี่ได้เป็นขึ้นมาแล้ว ดับอยู่ถึง ๓ วัน นี่หลวงปู่มั่นเทศน์ เพราะท่านเทศน์สอนพระล้วนๆ จะเทศน์มุ่งแต่มรรคผลนิพพาน ธรรมะขั้นสูง สูงสุดๆ ผู้ฟังก็มีความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ เรียกว่าสูงสุดเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นเวลาของจริงต่อของจริงมากระทบกันเข้าแล้วแสดงผลขึ้นมาดับหมด อาการของจิตดับไปหมดเลย ๓ วันเต็มๆ ไม่มีอะไรเลยภายนอก เหลือแต่จิตที่สว่างไสวอยู่ภายในตัวเอง อาการของจิตที่รับทราบจากเสียงจากรูปจากอะไรดับหมดเลย เหลือตั้งแต่ความรู้ความสว่างไสวภายในจิตใจ นี้เป็นอยู่ถึง ๓ วัน เราก็ได้ความอัศจรรย์จากการฟังเทศน์ท่านตั้งแต่บัดนั้นมา นี่ไม่มีวันลืมเลยนะ นี่ละธรรมแท้
ท่านแสดงนี้แสดงถึงมรรคผลนิพพานร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านไม่สงสัย เพราะจิตของท่านเป็นจิตทรงมรรคผลนิพพานไว้โดยสมบูรณ์แล้ว เวลาเทศน์ต่อผู้มีความตั้งอกตั้งใจไปฟัง เช่นพระกรรมฐานล้วนๆ ท่านจึงเทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เทศน์จนกระทั่งว่าจิตเราดับหมด นี่เราก็ไม่เคยเห็น แต่เกิดมาไม่เคยมี วันนั้นได้ปรากฏเสียแล้วว่าดับหมดเลย จะว่าดับหมดความรู้แทนที่จะดับด้วยกันไม่ดับ แต่มันดับอาการของจิตที่มันคิดส่ายแส่เรื่องราวอะไรต่ออะไร ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านอันนี้ก็ไม่ออกรับกัน มีแต่ความสว่างไสว อยู่ด้วยความดับอาการทั้งหลายล้วนๆ ถึง ๓ วัน
นี่เราก็ไม่ลืมเพราะสะเทือนใจมาก อัศจรรย์มากที่ฟังเทศน์ท่าน อยู่ๆจิตก็ดับพรึบลงไปในขณะที่ฟังเทศน์นั้นแหละ เป็นอยู่ถึง ๓ วัน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยปรากฏอีก มีเท่านั้นพอเป็นขวัญใจให้ระลึกจนกระทั่งถึงบัดนี้ไม่มีจืดจางหลงลืมไปเลย นี่ละธรรมแท้ของท่านที่แสดงออกจากหัวใจที่ทรงไว้ซึ่งวิมุตติหลุดพ้น แสดงออกมาจากธรรมวิมุตติเข้าสู่จิตใจ แม้จะไม่เป็นจิตใจที่เป็นวิมุตติก็ตามแต่มันขัดเกลากันอย่างใสสว่างให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่ว่าใจนั้นดับหมด ดับหมดทั้งๆที่กิเลสก็หากมีอยู่อย่างนั้นมันดับ ความรู้ก็มีอยู่ แต่อาการของจิตนี้ดับหมดเลย นี่เป็นแล้วนะ
เราได้ฟังธรรมจากท่านเป็นอยู่ถึง ๓ วัน นี่ละการฟังธรรมจากท่านผู้ทรงมรรคทรงผล ดังพระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ท่านเทศน์สอนประชาชน ท่านถอดออกจากหัวใจที่ทรงธรรมล้วนๆ ไว้ กระจายออกมามากน้อยเป็นธรรมมาด้วยกันหมด ไม่มีลมๆ แล้งๆ ดังที่เราอ่านหนังสือ หนังสือนั้นก็ไม่ได้ประมาท เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า แต่เป็นธรรมประเภทความจำ ไม่ใช่ประเภทความจริงที่เห็นด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเองจากการประพฤติปฏิบัติของตัว อันนี้ต่างกันมากทีเดียว
เพราะฉะนั้นท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมเต็มหัวใจแล้วการพูดจาอะไรออกไปจะเป็นทีเล่นทีจริงก็ตาม เป็นการเทศนาว่าการอะไรก็ตาม ธรรมของท่านจะมีแทรกออกตลอด ไม่ได้เป็น เหมือนกับเสียงโลกทั่วๆไปเลย เป็นเสียงธรรมแทรกเข้าไปจนได้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นผู้ฟังจึงดื่มด่ำในคำพูดคำจาของท่าน แม้จะดุด่าว่ากล่าวแทนที่จะเจ็บปวดแสบร้อนกลับกลายเป็นความเย็นความซึ้งภายในใจในขณะที่ได้ยินได้ฟัง ยังซาบซึ้งไปเป็นเวลานาน ยกตัวอย่างเช่นเราได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนี้มันซึ้งมากนะ
นั่นละธรรมที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นธรรมล้วนๆ เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนั้นแลเวลาแสดงออกมาสู่สมมุติจึงเป็นธรรมให้ความล่มเย็นซาบซึ้งแก่ผู้ได้ยินได้ฟังเป็นอย่างมากทีเดียว ผิดกับที่เราได้ยินได้ฟังได้อ่านจากตำรับตำรามาเล่าสู่กันฟังนี้ไม่ค่อยมีรสมีชาติ มันหากเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราไม่ได้ประมาทธรรมในตำรา หากเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เพราะธรรมในตำราเราก็อ่านเอง อ่านเอง เทศน์เอง พูดเอง มันก็ไม่มีรสมีชาติเหมือนกันกับที่ได้เป็นขึ้นภายในจิต พูดออกมานี้เป็นธรรมออกมาพร้อมๆ กันเลย ไม่มีคำว่าจืดชืด มีรสมีชาติติดแนบมาตามส่วนของธรรมที่เทศน์หนักเบามากน้อยตลอดไปเลย
นี่ละธรรมที่ออกจากใจออกไปตรงไหนเย็นไปตรงนั้น เย็นไปตรงนั้น จึงเป็นธรรมล้วนๆ สำหรับผู้บริสุทธิ์แล้วแสดงธรรม ผิดกันกับเราที่เป็นคลังกิเลสฟังอรรถฟังธรรมฟังทั้งโงกทั้งง่วง อยากหลับอยากนอนไป เป็นอย่างนั้น นี่กิเลสกล่อมใจ ธรรมกล่อมให้มันตื่นแล้วมันก็ไม่ยอมตื่น กิเลสเวลามันหนา ทีนี้เวลามันบางเข้ามาอย่างนี้ บางเข้ามากๆอย่างนี้กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะนอนไม่หลับ มันหมุนติ้วทางอรรถทางธรรมเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแรงกล้า ลืมหลับลืมนอน ลืมวันลืมคืน ถ้าได้ก้าวลงทางจงกรมแล้วจนจะก้าวขาไม่ออกเพราะมันหมดกำลัง เดินไปสักเท่าไรมันไม่ได้สนใจกับการก้าวเดินว่าช้าว่าเร็วว่าหนักว่าเบา แต่จิตกับธรรมพันกันไปตลอดเวลาอยู่ภายในหัวอก ตานี้ฝ้าฟางไปหมด
เวลาธรรมเป็นธรรมอัตโนมัตินะ ธรรมที่จะหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวจวนเข้าไปเท่าไร จวนเข้าไปเท่าไรที่จะหลุดพ้นความหมุนติ้วของธรรมกับกิเลสฟันกันขาดสะบั้นๆ ยิ่งเพลินๆ เดินจงกรมไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงจนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก คือมันหมดกำลังเอง โดยที่เราเองไม่ได้คำนึงคำนวณถึงการก้าวเดินของเราว่าช้าหรือเร็วเท่าไร มันมีแต่จิตกับธรรมกับกิเลสฟัดกันอยู่ภายในจิต ตานี้ฝ้าฟางไปหมดนะ ตาเราดีๆ นี้แหละแต่เวลาจิตหมุนเข้าสู่ภายในแล้วตาก็กลายเป็นตาฝ้าตาฟาง หูฝ้าหูฟาง ไม่สนใจกับการได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไรเลย สนใจกับกิเลสกับธรรมที่ซัดกันอยู่ภายในใจโดยถ่ายเดียวเทานั้น
นี่ละการปฏิบัติธรรม เมื่อถึงขั้นนี้แล้วใจกับธรรมจะหมุนติ้วเลยเพื่อฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว เดินจงกรมกี่ชั่วโมงลืมเวล่ำเวลาจนจะก้าวขาไม่ออกแล้วค่อยพัก นั่นละความดูดดื่มมันอยู่ภายในใจ สังขารร่างกายก็ก้าวไปเดินไป บางทีเดินโซซัดโซเซออกนอกทางจงกรมไปเข้าป่าโครมคามๆ ก็มี เพราะจิตนี้หมุนอยู่ภายใน ทำงานอยู่ภายใน ตาก็ฝ้าก็ฟาง เพราะจิตเข้าภายในแล้วตาที่เคยใช้นั้นก็เลยฝ้าฟางไป เดินโครมคามเข้าไปในป่า ป่าทางซ้ายทางขวาไม่กำหนดแหละ มันก็ก้าวของมันไป แต่จิตที่ทำงานฆ่ากิเลสอยู่ภายในใจไม่มีคำว่าจืดว่าจาง ยิ่งหมุนเข้าไปเท่าไรๆ ยิ่งเพลินๆ นี่การก้าวเดินไปทางจงกรมมันก็ก้าวไปตามภาษีภาษา บางทีเข้าป่าโครมคามไปก็มี
ฟังเสียนะ จิตเวลาเข้าถึงขั้นที่จะเอากิเลสให้ม้วนเสื่อจากจิตใจแล้วจะถอยไม่ได้เลย คำว่าถอยไม่มี นอกจากคอขาดกับสนามหรือเวทีนี้เท่านั้น กิเลสไม่ตายเราก็ตาย ที่จะให้อยู่เป็นคู่แข่งกันต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งไม่ตาย ฝ่ายหนึ่งต้องตาย ทีนี้ธรรมเมื่อมีกำลังขนาดนั้นแล้วจะไปยอมแพ้ตกเวทีไปได้อย่างไร ก็มีแต่หมุนติ้วๆ สุดท้ายกิเลสก็อ่อนตัวลง อ่อนตัวลง ตกเวทีไปเลย ครองจิตบริสุทธิ์วิมุตติถึงพระนิพพานเป็นๆ กลายเป็นธรรมธาตุขึ้นมาภายในจิตใจ
นั่นละท่านผู้ปฏิบัติท่านรู้ท่านเห็นขึ้นมาอย่างนั้น เราไม่รู้ไม่เห็นก็ให้ฟังไว้ จำเป็นแนวทาง ความจริงของท่าน ผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลจริงๆ จิตนี้จะไม่มีคำว่าจืดว่าจาง มีแต่เข้มข้นไปโดยลำดับลำดา ถึงเวล่ำเวลาจะนอนนอนไม่หลับ นั่งภาวนาก็นั่งภาวนาอยู่นั้น ภาวนาเรื่อยไป เวลานอนภาวนาก็นอนภาวนาเสีย มันไม่ใช่นอนเพื่อหลับ เดินก็เดินเพื่อภาวนา สุดท้ายก็แจ้ง นั้นละถึงขั้นจิตที่หมุนตัวจะหลุดพ้นจากกองทุกข์โดยสิ้นเชิงย่อมมีความเข้มแข็งหนักแน่นมากเข้าไปโดยลำดับ
พอพูดเช่นนี้เราก็ได้เห็นประวัติของพระโสณะกัน ในตำราบอกว่าพระโสณะนี้ท่านได้รับ เอตทัคคะคือเลิศในทางความเพียรกล้า บรรดาสาวกทั้งหลายยกให้พระโสณะเป็นผู้เลิศเลอในทางความเพียรกล้า พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอตทัคคะความเลิศไปคนละทิศละทาง ๘๐ องค์ บรรดาเป็นพระอรหันต์เรียบร้อยแล้ว ท่านทรงตั้งให้เป็นสมณศักดิ์ที่เลิศเลอของพระอรหันต์ท่าน พระโสณะท่านเป็นผู้เลิศเลอในทางความเพียรกล้าจนกระทั่งฝ่าเท้าแตก เดินจงกรมอย่างนี้ละ เดินไปเดินมาเดินไม่หยุดไม่ถอยฝ่าเท้าแตก ไม่ได้แตกอย่างฟักแฟงแตกโมแตกนะ คือมันสัมผัสสัมพันธ์ฝ่าเท้าส่วนหยาบกับพื้นดิน เหยียบกันไปเหยียบกันมามันก็ค่อยถูไถกันไปกันมา ฝ่าเท้าที่หยาบๆ ที่หนาๆ ก็ค่อยบางเข้า บางเข้าไป บางเข้าไปจนถึงเนื้ออยู่ภายใน พอหนังบางเข้าไปจนกระทั่งถึงเนื้อแล้วท่านเรียกว่าฝ่าเท้าแตก ไม่ใช่แตกเหมือนฟักแฟงแตงโมแตกนะ มันทะลุเข้าไปถึงเนื้อ ท่านเรียกว่าฝ่าเท้าแตก
อันนี้เราก็อ่านในตำรับตำรา ความเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เหมือนขอนซุงทั้งท่อนอ่านตำรานั้นแหละ จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อก็เหมือนขอนซุง แต่เวลามันก้าวเข้าสู่ความเป็นตัวของตัวขึ้นมาสิ่งเหล่านี้ก็มาผ่าน เป็นความจริงขึ้นมาในตัวของเรา ทีนี้เดินจงกรมก็แบบเดียวกันอีก เดินไม่รู้จักหยุดจักพักเลยจนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก มันถึงจะหยุดจากการเดินจงกรม กลางคืนก็เดิน กลางวันก็เดิน เดินหลายครั้งหลายหนฝ่าเท้ามันจะทนแน่นหนาถาวรมาจากไหน มันก็สึกหรอเข้าไป สึกหรอเข้าไป สุดท้ายก็ทะลุเข้าไปถึงเนื้อ ท่านเรียกว่าฝ่าเท้าแตก
อันนี้มันก็มาสัมผัสกับเราทีนี้ยอมเชื่อเลย เชื่อพระโสณะว่าท่านฝ่าเท้าแตก เราไม่แตกก็เชื่อ เพราะเดินจงกรมนี้เดินไม่รู้จักเวล่ำเวลา จนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก กลางวันก็เดินแบบนั้น กลางคืนก็เดิน ถ้าลงได้ก้าวลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักเวล่ำเวลา เอาก้าวขาไม่ออกมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก้าวไม่ออกนั้นเป็นเครื่องตัดสินกัน หยุดจากการเดินจงกรมในเวลาเช่นนั้น ไปไม่รอดแล้ว หยุด ทีนี้หลายครั้งหลายหน กลางคืนก็เดิน กลางวันก็เดิน เวลาไหนก็เดิน ฝ่าเท้ามันจะหนาแน่นเท่าภูเขามาจากไหนมันก็หนังคน ฝ่าเท้ามันก็ค่อยกัดกันเข้าไป สึกหรอเข้าไป สึกหรอเข้าไป จนกระทั่งถึงเนื้อในฝ่าเท้านั้น ท่านเรียกว่าฝ่าเท้าแตก คือมันสึกหรอเข้าไปถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก มันไม่ใช่แตกเหมือนฟักแฟงแตงโมแตกนะ มันค่อยสึกหรอเข้าไป สึกหรอเข้าไป เพราะมันกัดกันทีละเล็กละน้อย
ทีนี้มันก็มาถูกตัวของเราเอง เวลาเดินจงกรมก็แบบเดียวกัน จนกระทั่งถึงจะก้าวขาไม่ออกมันถึงจะหยุด ไม่อย่างนั้นมันจะไม่สนใจยิ่งกว่าความเพียรภายในใจที่ฟัดกันอยู่ลึกๆ มันหมุนตัวนั้นน่ะสำคัญมาก จนจะก้าวขาไม่ออกแล้วก็หยุดพักเสียพักหนึ่ง ทีนี้หลายครั้งหลายหน หลายวันหลายคืนเข้ามาถึงขั้นออกร้อนฝ่าเท้าทีนี้นะ พอมานั่งพักกลางวันมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากแล้วก็มานั่งพักกลางวัน ทีนี้ฝ่าเท้านี้ออกร้อนเหมือนไฟรนนะ ออกร้อนเป็นประมาณ ไม่ใช่ออกร้อนธรรมดา เอ๊ทำไมฝ่าเท้าเรานี้มันแตกหรือมันเป็นอย่างไร เอาฝ่าเท้าออกมาดูจริงๆ เราเองดูฝ่าเท้าเรา เอาฝ่าเท้าออกมาดู มาดูก็ไม่เห็นมันแตก ทีนี้พอมือลูบคลำไปอย่างนี้ลูกคลำฝ่าเท้ามันเสียวแปลบๆ ๆ เสียวไปหาเจ็บ อีกนิดหนึ่งมันก็ทะลุเรียกว่าฝ่าเท้าแตก
เราเชื่อพระโสณะ ท่านถึงแตก เราไม่ถึงแตก เป็นแต่เพียงว่ามันเสียวแปลบๆ ๆ จะเข้าถึงขั้นแตก ทีนี้ยอมเชื่อกัน ไม่ต้องบอก เมื่อเจ้าของไปเจอเข้าอย่างนั้นแล้วความจริงเป็นอันเดียวกันจะฝืนกันไปที่ไหน มันก็ต้องยอมรับกัน นี่ละถึงขั้นความเพียรกล้ามันกล้าจริงๆนะ ความที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์นิพพานเหมือนว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ หวุดหวิดๆ ความมุ่งมั่นมันก็ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไป แข็งแกร่งเข้าไปโดยลำดับลำดา จะเอาให้ได้เวลานั้นๆ นี่ละที่ความเพียรกล้า กล้าเพราะสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับฝ่ามือนั้นน่ะคือนิพพาน มันหวุดหวิดๆกันอยู่ นั้นละความเพียรกล้า กล้าตรงนั้น ลืมหลับลืมนอน กลางคืนเดินจงกรมตลอดรุ่งเลย ลืมนอน นอนไม่หลับ กลางวันเดินจงกรมหรือมานอนก็นอนไม่หลับ
นี่ถึงขั้นความเพียรกล้า มันกล้าอยู่ในตัวของจิตเอง จิตมันหมุนอยู่ตลอดเวลาเพื่อความหลุดพ้น ไม่มีความอ่อนแอท้อแท้ที่จะพักตัวอยู่ย่านใดย่านหนึ่งไม่มี มีแต่หมุนตลอดๆ จนกระทั่งไปไม่ไหวแล้วก็พักเสียก่อน มันจะตายจริงๆ แล้วก็พัก ๆ นี่ละถึงได้ยอมเชื่อว่าพระโสณะท่านเดินจงกรมท่านมีความเพียรกล้า เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราก็จับเอาเราที่ฝ่าเท้าไม่แตกนี้เสียวแปลบๆ ๆ กำลังฝ่าเท้าจะแตก แต่ขอพูดตามหลักความจริงแต่กิเลสมันแตกเสียก่อน กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วการเดินจงกรมแบบนั้นมันก็ยุติกันไปเองโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับบัญชา
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเขาทำการทำงานทำสิ่งใดแล้วเครื่องมือกับงานนั้นก็ปล่อยวางกันไป เครื่องมือนี้กับงานนั้น เครื่องมือนั้นกับงานนั้น มันก็ค่อยปล่อยวางกันไป ปล่อยวางกันไป เครื่องมือการฟัดกับกิเลสนี้มันก็ปล่อยวางกันไปแบบนี้แหละ เราก็ยอมว่าพระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราไม่แตกก็ตามแต่เวลามานั่งอยู่นี้มันออกร้อนเหมือนไฟรน ฝ่าเท้าทั้งหมดเหมือนไฟรน เอาฝ่าเท้ามาดูฝ่าเท้านี่มันแตกเหรอ มันไม่แตก แต่พอลูบคลำนี้มันเสียว ทั้งเสียวทั้งเจ็บ นั่นละต่อจากนั้นมันก็จะแตกละ เป็นพยานยอมรับเลย
นี่ความเพียรเหล่านี้เป็นความเพียรของผู้มีกำลังกล้าที่จะฆ่ากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไป ในวันใดวันหนึ่งขณะใดขณะหนึ่งของความเพียรท่านผู้นั้น เพราะอย่างนั้นท่านถึงหยุดไม่ได้ ถึงขั้นความเพียรกล้ากล้าจริงๆ ลืมหลับลืมนอน เวลานอนมันไม่ได้นอน จิตมันก็หมุนความเพียรตลอดเวลาสุดท้ายก็แจ้ง ลงไปเดินทำความเพียร มานั่งก็นั่งทำความเพียรเสีย นอนว่าจะนอนให้หลับมันก็นอนทำความเพียรเสีย สุดท้ายมันก็แจ้ง
นี่ถึงขั้นจิตที่หมุนเพื่อความพ้นทุกข์หมุนเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีคำว่าอ่อนข้อย่อหย่อนไม่มี มีแต่แข็งแกร่งเข้าไปโดยลำดับ เหมือนว่านิพพานนี้อยู่ชั่วเอื้อมๆ จะให้ถึงเดี๋ยวนี้ๆ อย่างนั้น นี่ละเวลาความเพียรกล้ามันเป็นอย่างนั้น แต่เวลากิเลสหนาๆ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ พอพูดอย่างนี้พวกนี้พวกนักปราชญ์นั่งอยู่ใต้ถุนศาลาเรานี่ พอพูดว่าความเพียรกล้า เราพูดอะไรตะกี้นี้ลืมเสีย เราพูดว่าจะเอาพวกนี้น่ะ เลยมีดหลุดมือไปเสียตะกี้นี้ ว่าจะเอาหนักๆ สักหน่อยว่ะ ความเพียรกล้าท่านเป็นอย่างนั้น แต่ความเพียรกล้าของเรานี้มันก็ลงหมอนเข้าใจไหม มันกล้าอย่างนั้นนะ ตื่นขึ้นมาหมอนแตก มองไปที่ไหนเห็นแต่ก้มหน้าก้มตา แล้วก้มหาอะไรวะ หมอนแตกเย็บหมอน เสื่อขาดเย็บเสื่อ มันก็ก้มไปอย่างนั้นเสีย มันไมได้ก้มฆ่ากิเลส เข้าใจไหมพวกเรามันต่างกัน
นี่ละเรื่องของกิเลสมันหักห้ามธรรม มันไม่ให้มีกำลังในทางความพากเพียรที่จะแก้กิเลส แต่เวลาเราบึกบึนไม่หยุดไม่ถอยแล้วกำลังของธรรมแข็งขึ้นไป แข็งขึ้นไป กิเลสอ่อนลงๆ มันก็เหยียบกิเลสละทีนี้ เหยียบจนขนาดที่ว่าไม่ได้หลับได้นอน ซัดกันจนกระทั่งกิเลสหงายลงไป หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ สว่างจ้าขึ้นมาภายในใจ นั่นละหมดปัญหา วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ การประพฤติพรหมจรรย์ได้แก่การฆ่ากิเลสได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่ควรทำคืองานแก้กิเลสได้ทำเสร็จลงไปเรียบร้อยแล้ว งานอื่นใดที่จะยิ่งไปกว่างานแก้กิเลสไม่มี
นี่ท่านผู้สิ้นสุดวิมุตติพระนิพพานทรง วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ไว้ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วงานทุกอย่างที่หมุนติ้วหมด หยุดหมด กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วจะต่อสู่กับอะไร เครื่องไม้เครื่องมือกองเต็มลำล้อลำเกวียนเต็มรถเต็มราก็ไม่มีความหมาย สิ่งที่ต่อสู้มันตายแล้วจะเอาไปทำอะไร นั่น ระเบิดเต็มรถจะไปวางระเบิดต่อเขาก็มันตายหมดแล้ววางกับอะไร แน่ะ ก็เท่านั้นแหละ นี่ละจิตของเราเมื่อถึงขั้นฟัดกับกิเลส กิเลสขาดสะบั้นลงให้เห็นประจักษ์ตาประจักษ์ใจ อย่างแจ่มแจ้งขาวกระจ่างเหมือนหนึ่งฟ้าดินถล่มเลย ถึงขนาดนั้นแล้วจะไปสงสัยอะไร ว่าเรายังตกค้างอะไร มีอะไรที่มากีดขวางจิตใจ ก็มีแต่กิเลสซึ่งเป็นหอกเป็นหลาวเป็นแหลมเป็นผงเป็นธุลี ละเอียดลงไปก็เป็นธุลีเหมือนผงเข้าตา ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วจะทำข้าศึกกับใคร มันก็มีแต่ความจ้าในจิตใจ
นั้นละท่านผู้สิ้นกิเลสท่านจ้าอยู่ตลอดเวลา ป่าช้าท่านไม่คำนึง เป็นตายที่ไหนก็เรื่องธาตุขันธ์แตกสลายลงไปเท่านั้น มันเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องใจเป็นอย่างไรท่านรู้อยู่กับตัวแล้ว นิพพานเที่ยงคืออะไร ก็อยู่ที่ใจ เมื่อรู้อยู่ที่ใจแล้วไปถามอะไร เรียกว่าธรรมธาตุ จิตท่านทรงธรรมธาตุแล้วนิพพานเที่ยงอยู่ที่นั้นหมด หมดปัญหาในการประกอบความพากเพียร วัฏจักรที่พาให้หมุนเกิดแก่เจ็บตายมาโดยลำดับลำดา เป็นกี่กัปกี่กัลป์ขาดสะบั้นลงในเวลากิเลสตัวพาสัตว์หมุนเวียนขาดสะบั้นลงไปยุติกันในเวลานั้น
นี่หมายถึงท่านผู้ประกอบความเพียรถึงขั้นนั้นมี อย่างปัจจุบันนี้ก็มี ส่วนมากจะมีอยู่ในป่าในเขา ท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขา ในถ้ำเงื้อมผา ประพฤติตนด้วยความอดอยากขาดแคลนทุกข์ทรมานมากไม่มีใครเกินกรรมฐาน ถ้าพูดถึงเรื่องความทรมานมาก ท่านหนักมาก แต่ท่านไม่สนใจในความหนักเหล่านี้ ท่านหนักแน่นในความพ้นทุกข์มากกว่า เพราะฉะนั้นความพ้นทุกข์จึงมีกำลัง ความมุ่งมั่นในความพ้นทุกข์จึงมีกำลังเหยียบย่ำทำลายอุปสรรคที่มาขัดขวาง ความยุ่งยากเรื่องนั้นเรื่องนี้จึงไม่มี ท่านเหยียบขาดสะบั้นไปเลย ถึงความพ้นทุกข์
นี่ละพากันจำ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกกาลสถานที่เวล่ำเวลา ไม่มีอะไรเข้ามาทำลายได้ ว่ากาลนี้ธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบ กาลต่อไปนี้จะสอนผิดสอนพลาดอย่างนี้ไม่มี เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วตลอดไปในธรรมขั้นใดก็ตาม ผู้ปฏิบัติก็เป็นปัจจุบันธรรมตักตวงเอามรรคผลนิพพานได้เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน ตามแต่กำลังความสามารถของตนจะอำนวยแค่ไหน ขอให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อยู่ในบ้านในเรือนอย่าลืมคำบริกรรมพุทโธ ให้หลับกับพุทโธหลับเป็นสิริมงคล มันหลับกับอารมณ์ต่างๆ ยิ่งความเสียอกเสียใจด้วยแล้วเป็นไฟเผาตัวตกนรกทั้งเป็น บางรายนอนไม่หลับก็มี นี่ไฟนรกเผาคนทั้งเป็น เอาภาวนาเข้าไปสิ่งเหล่านี้จะระงับดับลงไป หลับด้วยความเย็นใจ ตื่นขึ้นมายิ้มแย้มแจ่มใส ให้พากันจำเอานะ เอาล่ะเทศน์เพียงเท่านี้พอ
ทองคำตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้ ๓๓ บาท ๕๑ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ ถึงค่ำวันนี้ได้ ๒ กิโล ๑๖ บาท ๘ สตางค์
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|