เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สติอยู่กับพุทโธ
การช่วยโลกนี้โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่เราช่วยตลอดมา คือทั่วประเทศเลย ไม่มีภาคใดๆ ที่ไม่ได้รับการสงเคราะห์จากวัดป่าบ้านตาด ตามแต่ความจำเป็นมากน้อย ใกล้ไกลไม่สำคัญ เสนอขอมาด้วยเหตุผลสมควรที่จะช่วยเหลือเราก็ให้ๆ คือเสนอเหตุผลมามีความจำเป็นอย่างไรๆ ชี้แจงความจำเป็นมา อ่านดูเรียบร้อยแล้วก็ตกลงให้ๆๆ ไม่ใช่ขอแล้วก็ให้แบบชุ่ยๆ ไม่นะจะให้อะไร
เงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมานี้เราไม่อยากพูดนะพันล้าน ตั้งแต่ช่วยชาติมานี้ ถ้าว่าพันๆ ล้านน่ะพูดได้ เพียงพันล้านเราไม่อยากพูด เพราะเงินที่ไหลมานี้ไม่ได้ไปไหนนะ ออกช่วยชาติทั้งนั้น ทุกบาททุกสตางค์เลย เราไม่เคยเก็บเงิน ได้มาเท่าไรมากน้อยก็ออกช่วยชาติบ้านเมืองเราตลอดมา จึงไม่อยากว่าธรรมดา เป็นพันๆ ล้านนะ ก็ได้มาเท่าไรตั้งแต่สร้างวัด ช่วยมาตลอด เราไม่เอาอะไร ต้องบอกว่าเป็นพันล้าน ก็มันทั่วประเทศไทยที่เราช่วยเหลือ ใกล้ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่ความจำเป็นๆ ตรงไหนเสนอมาด้วยเหตุผลที่สมควรสงเคราะห์แล้วให้ๆ เลย
เดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่ไหนนะ ดูว่าภูเขียวท่าจะเสร็จแล้ว อันนั้นก็ตึกโรงพยาบาลภูเขียว ดูจะเป็นตึกสุดท้ายในระยะนี้นะ นอกนั้นไม่ปรากฏได้สร้างที่ไหน เรียกว่าช่วยโลกทั้งหมดสำหรับวัดป่าบ้านตาด ช่วยโลกทั้งนั้นเลย ไม่ได้เอาอะไรสำหรับวัดนี้ ไม่ให้มี มีเฉพาะความจำเป็น บิณฑบาตมาจะฉันให้ตายก็ตายวันหนึ่งๆ ข้าวล้นบาตรๆ ถ่ายกี่ครั้งเขามาใส่บาตร บิณฑบาตเต็มแล้วถ่ายๆ สักเท่าไร แล้วจะไปหาอะไรมาเหลือเฟืออีก ผู้ที่จำเป็นๆ ยากจนเข็ญใจมากน้อยเพียงไรมองซิตามีเพื่อมองเพื่อดู นี่ละที่ได้ช่วย ไปที่ไหนดูไปเรื่อยเลย
นี่พูดจริงๆ ตาหูถึงไหนเรื่องมันจะไปถึงพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ว่าดูไปเหม่อๆ มองๆ ไม่นะนี่ ถึงร่างกายสุขภาพเดินสะเปะสะปะก็ตามพูดให้เต็มยันเลยว่าเป็นหลักธรรมชาติ จิตนี้จะไม่เป็น มันเป็นอย่างนี้ของมันอยู่ตลอดเวลา ตามเหตุตามผลมันจะเป็นของมันโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่โดยที่เราตั้งใจคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ทีแรกก็คิดอย่างนั้นก่อน ครั้นต่อมาเลยกลายเป็นอัตโนมัติ เห็นอะไรปั๊บๆ นี่มันจะเข้าถึงๆ ทันที แต่ร่างกายเดินไปสะเปะสะปะ เหมือนคนไม่มีสติสตัง ร่างกายกำลังมันอ่อน เดินไปไหนสะเปะสะปะ แต่เรื่องใจไม่เป็นบอกให้ชัดเลย เป็นอยู่อย่างนั้นเป็นหลักธรรมชาติ
ดูอะไรๆ ฟังอะไรมันเอาจริงเอาจังเป็นธรรมชาตินะ มันจะเข้าถึงๆๆ ไปหมดเลย นี่ละจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นอย่างหนึ่ง ได้เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์บ้างเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่สอนให้ภาวนาพุทโธเป็นต้น นั้นละพุทโธเป็นธรรมเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับจิต ทีนี้เวลามันเป็นอันเดียวกันแล้วธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ถึงไหนถึงกันไปเลย
นี่เขาก็เตรียมไม้ทางนู้น พอเราออกจากกุฏิเขาก็จะทำข้างล่าง ไม่ทำอะไรหรูหราอะไรมากนักละ เราไม่ต้องการความหรูหรานะไม่ว่าอะไรก็ตาม เราเห็นแต่พ่อแม่ครูจารย์ท่านไปอยู่ที่ไหนปั๊บกั้นห้องอยู่ที่ศาลา กระต๊อบเล็กๆ เข้าไปอยู่สบายๆ เราก็พิจารณา แต่เมื่อธรรมชาติไม่ถึงกันมันก็ไม่ชัดเจน พอเรื่องธรรมชาตินี้เข้าถึงกันเข้าใจกันหมดๆ ท่านอยู่ที่ไหนอยู่ได้สบายๆ ไม่สบายอย่างไรหัวใจท่านบรมสุขอยู่นั้นหมด แล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นที่นี่ เมื่อใจพอเสียอย่างเดียวไม่ดีดไม่ดิ้น อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดๆ ด้วยความพอในใจ นั่นละหลักใหญ่อยู่ตรงนั้น มาทราบทีหลัง อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง หรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ อะไรเรื่องโลก เรื่องธรรมพอตัวอยู่ในใจพอตลอด
ที่หนองผือที่เป็นกุฏิของท่านก็ประชาชนชาวหนองผือนั่นแหละ เขาสร้างถวายท่าน เขามากราบเรียนท่านอาจารย์ฝั้นให้ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นผู้ไปกราบเรียนท่าน ไปทีแรก ยุ่งหาอะไรนี่มันก็ดีพอแล้ว เท่านั้นแหละ ทางนี้ก็กราบเรียนเหตุผล ประชาชนเขาอยากได้กุฏิเป็นที่ระลึกในเวลาที่พ่อแม่ครูจารย์มาเมตตาอยู่นี้หลายปี หากว่ามีอะไรเป็นไปกุฏิหลังนี้ก็พอเป็นที่ระลึก เขาจึงอยากจะสร้างกุฏิถวายพอเป็นที่ระลึกในหัวใจของพี่น้องชาวหนองผือเรา เขาก็พูดดีนะ ตกลงท่านก็เลยนิ่ง พอท่านนิ่งจึงได้สร้างกุฏิหลังนั้นขึ้น ถ้าธรรมดาท่านไม่ให้สร้าง ท่านกั้นห้องอยู่ เขาอยากได้เป็นที่ระลึก ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นผู้นำมากราบเรียนขอท่าน พอท่านนิ่งก็เลยสร้างให้นั่นละกุฏิหลังนั้น
กุฏิเราจริงๆ อยู่ข้างๆ แต่หมดแล้วละไม่มีซากเหลือเลยกุฏิเรา กุฏิเล็กๆ อยู่ข้างๆ ท่าน คืออยู่ที่นั่นจิตมันอยู่ที่ท่าน จิตมันจะจดจ่ออยู่ที่ท่านตลอด ปุ๊บปั๊บถึงแล้วๆ ถึงท่าน เราอยู่ข้างๆ กุฏิด้านนี้ ทางนู้นออกไปบ้านนาใน เราอยู่ประตูเข้ามาข้างๆ คอยฟัง เรารักเราสงวนเราเทิดทูนสุดหัวใจเรา ชีวิตจิตใจทั้งมวลมอบถวายท่านหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเต็มความสามารถของเรา เรียกว่าหาที่ต้องติไม่ได้ในความสามารถของเราที่ปฏิบัติต่อท่าน พอใจขนาดนั้นนะเต็มภูมิ โง่มหาโง่ก็ตามจอมโง่ก็บืนไปตามความโง่นั่นละ จึงพอใจภูมิใจกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ประหนึ่งว่าอวัยวะของท่านกับของเราเป็นอันเดียวกัน เวลาจำเป็นเข้ามาจริงๆ ท่านกับเราเป็นอันเดียวกันเลย พันกันอยู่นั้นละ
แต่ก็มีแปลกๆ อยู่นะ เวลาท่านหนักเข้าๆ พอลืมตาขึ้นมา.เวลาท่านเคลิ้มหลับไปบ้าง คือเราเฝ้าอยู่นั้น พอเคลิ้มหลับไปเราก็บอกพระ นี่ผมจะเดินจงกรมอยู่ตรงนั้นๆ บอกนะ เพื่อจะได้ตามเราทันเหตุการณ์ ถ้าท่านตื่นขึ้นมาท่านถามถึงแล้วให้ไปเอามาเลย ก็เป็นจริงๆ เวลาจำเป็นจริงๆ พระทั้งวัดเราไม่ได้คุยนะ อาจจะความเมตตาหรือไว้วางใจ พอลืมตาขึ้นมาท่านมหาไปไหน เราก็ปั๊บเข้าเลยๆ อย่างนั้นละกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา
ก็คิดดูอยู่ในวัดดีๆ ธรรมดานี่นะ พระขึ้นไปหา ก็อยู่วัดด้วยกันนั่นละหนองผือ คงจะเป็นอะไรในจิตของท่านนั่นละ อยู่ๆ ก็ท่านมหาไปไหนอยู่อย่างนั้นนะ เหมือนว่าเราหนีจากวัดไปไหน ท่านมหาไปไหน ท่านก็อยู่นี่แล้ว เหอ เท่านั้นพอ เวลาท่านจะถามท่านก็ถาม คือเรากับท่านมันเกี่ยวพันตลอดเวลา อยู่ๆ ท่านก็ถามท่านมหาไปไหน อยู่วัดด้วยกันนั่นแหละ ท่านก็อยู่นี่แหละ เหอ ท่านถามด้วยความสนิทใจ-ความเมตตา เพราะเราเอาจริงเอาจังมากกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น หัวใจของเรามอบไว้กับท่านหมดเลย ชีวิตจิตใจทุกอย่างมอบกับท่าน ไม่มีอะไรเป็นสำคัญในตัวของเรา รวมเป็นความสำคัญเข้าไปอยู่กับท่านทั้งหมดเลย ความรัก ความเทิดทูน ความเคารพเลื่อมใสทุกอย่างรวมอยู่ในนั้นหมดเลยอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น
อันนี้เราก็พูดเสียบ้างเพราะเราก็จวนจะตายแล้ว ปีนั้นปีท่านป่วยในพรรษา สิ่งเหล่านี้ธรรมดาก็ไม่ควรจะมาพูดเพราะเป็นการโอ้อวด แต่เรื่องความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น เราพูดตามความจริงก็ไม่เห็นมีผิดอะไร เพราะเราก็ไม่ต้องการความเยินยอสรรเสริญอะไร เราก็อยู่พอตัวของเราอยู่แล้ว ไปหาอะไร เวลาพระท่านนวดเส้นถวายท่าน อยู่ๆ ท่านก็เป็นลักษณะเอะใจขึ้นมา เออ นี่เวลาผมตายแล้วท่านทั้งหลายจะไปอาศัยใครล่ะ จะพึ่งใครล่ะ เวลาผมตายแล้ว
ปรกติท่านพูดถึงเราคำใดๆ ก็ตามพระเณรจะจับไว้ปั๊บคอยเล่าให้เราฟัง ไม่มีเรี่ยราดไปไหนเลย คำพูดของท่านที่เกี่ยวกับเราคำไหนพระเณรจะต้องไปบอกเราเป็นอย่างนั้นเป็นปรกติ อันนี้ก็เหมือนกัน พอท่านนอนพระนวดเส้นอยู่ อยู่ๆ ท่านก็เอะใจ เออ นี่เวลาผมตายแล้วท่านทั้งหลายจะไปอาศัยใครล่ะ จะไปเกาะใคร พระก็นิ่ง เพราะไม่ได้ตอบได้ง่ายๆ นะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เหยี่ยวกับนกพูดง่ายๆ จอมฉลาดแหลมคมอยู่นั้นหมด จอมโง่ก็อยู่กับพวกเราหมด เพราะฉะนั้นการพูดการจาอะไรต้องระวัง ไม่ระวังไม่ได้
อยู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นมา เอ้อ นี่เวลาผมตายแล้วพวกท่านทั้งหลายจะไปอาศัยใครล่ะ พึ่งใคร พระเณรทั้งหลายก็นิ่ง แต่ตอนนั้นเป็นตอนที่ท่านทราบเรื่องของเราแล้วแหละ คือตอนนั้นเราไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน จิตกับธรรมมันหมุนกันตลอดเลย ท่านทราบแล้วว่าจะก้าวไปแค่ไหนท่านทราบ ภายในจิตภูมิอรรถภูมิธรรมพูดสู่กันฟังปั๊บเข้าใจกันทันที ระยะนั้นเป็นระยะที่เราบังคับนอน ไม่เช่นนั้นมันไม่หลับไม่นอน คือธรรมกับจิตกับกิเลสมันฟัดกันตลอดเวลา ถ้าจะปล่อยธรรมดาไม่นอน เหมือนกับนักมวยต่อยกันนี้มันจะไปนอนหลับบนเวทีได้อย่างไร
นี่กิเลสกับธรรมเมื่อถึงขั้นเป็นอัตโนมัติเป็นอย่างนั้นละ คือธรรมเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสแบบเดียวกันกับกิเลสเป็นอัตโนมัติทำลายจิตใจของสัตว์โลก ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์อะไรๆ นี้กิเลสจะออกก่อนๆ ออกหน้าๆ เป็นกิเลสไปก่อนทั้งหมด นี่เป็นปรกติของสัตว์โลก ทีนี้พอเวลาหมุนเข้ามาทางด้านธรรมะแล้ว พอถึงขั้นธรรมเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสก็แบบเดียวกัน คือแย็บออกมานี้ตามแล้วฆ่ากิเลส หมุนฆ่ากิเลสตลอดเวลา บางคืนนอนไม่หลับ นั่นละมันเอากัน คือเป็นอัตโนมัตินะ หมุนติ้วๆ ต้องบังคับ มันไม่หลับจะทำอย่างไร ก็มันพุ่งๆ ด้วยสติปัญญาฆ่ากิเลส จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไปหมดมันถึงจะอยู่ได้ ถ้ากิเลสยังไม่มุดมอดอย่างไรมันก็ต่อยกันอยู่อย่างนั้น
ต้องได้พักด้วยพุทโธ เราไม่ได้ลืมนะ คือมันหมุนของมันตลอดเวลา เอ๊ จะทำอย่างไรจะพักจิตก็พักไม่ได้ ทำอย่างไร ก็เอาพุทโธมา นี่เราไม่ลืมนะ ใครถือเป็นคติได้ไม่ผิด คือเราจะยับยั้งเฉยๆ ห้ามไม่ให้มันออกไปพิจารณาทางด้านปัญญา สติปัญญามันจะเป็นอันเดียวกัน ถึงขั้นเป็นอัตโนมัตินะ มันจะเป็นอย่างนั้น ลืมหลับลืมนอนไปเลยละ ถึงขั้นสติปัญญาเฉียบขาดๆ รุนแรงที่จะฟัดกับกิเลสให้ม้วนเสื่อ มันเป็นอย่างนั้นตลอด
ทีนี้ทำอย่างไรนอนก็นอนไม่ได้ มันหมุนกันอยู่ตลอด ต้องเอาพุทโธ เราคิดของเราเองนะ ทำอย่างไรมันก็ไม่อยู่ มันหมุนของมันอยู่ตลอด เอ๊ ทำอย่างไรนี่ มันก็จะตายแล้วนี่ นอนก็ไม่หลับนอนก็ไม่ได้ สติปัญญากับกิเลสมันฟัดกันอยู่ไม่ถอยนี้ทำอย่างไรนอนก็ไม่ได้ แล้วทำอย่างไร เอาๆ อย่างนี้ คิดเป็นอุบายของเจ้าของเอง มันจะคิดอะไรก็ตามเอาพุทโธตั้งกึ๊กลงกับหัวใจ นึกพุทโธๆๆ อยู่กับใจ ไม่ให้ออกทางด้านสติปัญญาอะไรทั้งหมด นึกพุทโธๆ
ทีนี้จิตเมื่อเวลามันอยู่ในจุดเดียวคือพุทโธอยู่กับจิต สติอยู่กับพุทโธ แล้วจิตก็ค่อยสงบลงๆ จนรวมแน่ว ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ งานการที่เหมือนว่าฟืนว่าไฟเผาไหม้กันระหว่างกิเลสกับธรรมนี้สงบลงๆ จิตใจนี่เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามแล้วสงบเย็น นั่นละที่นี่เป็นโอกาสอันหนึ่งถ้าเราจะพักนอนก็นอนได้ตอนนั้น ถ้าจะปล่อยให้กิเลสกับธรรมฟัดกันนี้แล้วหักเข้ามานอนนี้นอนไม่ได้นะ นี่ถึงขั้นเป็นเป็นอย่างนั้น จำทุกคนนักปฏิบัติอย่างไรต้องรู้ ธรรมขั้นสูงเป็นอย่างนั้น
เอาพุทโธมาบังคับ บริกรรมพุทโธๆ ไม่ให้คิด สักเดี๋ยวจิตค่อยสงบลง เป็นระยะสงบลงแล้วถ้าจะพักนอน เอา นอนได้ พอถอนออกมาถ้าจะสงบให้เป็นสมาธิก็เป็นได้ทันที พอถอยออกมาปั๊บนี่ใส่เลยพุ่งๆ เลย มีกำลังวังชาจิตที่ได้พักตัว ถ้าไม่ได้พักไม่ได้ สมาธิเป็นเรือนพักของจิตของสติปัญญา เวลาทำหน้าที่อย่างเผ็ดร้อนต้องเอาสมาธิคือความสงบใจมาบังคับ เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาพุทโธมาบังคับให้อยู่กับพุทโธ จิตก็สงบ ทีนี้จะหลับก็หลับได้ในระยะนั้น ไม่หลับจะปล่อยให้ลงรวมเป็นจิตสงบเลยก็ได้ในระยะนั้น พอถอยจากนั้นแล้วก็ออกทางด้านสติปัญญาพุ่งๆๆ เลย
นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบ ขอให้ปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้นสดๆ ร้อนๆ ไม่ผิด ถ้าปฏิบัติให้ถูกทางตามศาสดาสอนไว้แล้วจะเป็นอย่างนั้น ถ้าปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้ามันไม่ได้หน้าได้หลังอะไร เอาละ (ถ้าหลวงตาละสังขารพวกเราจะอาศัยใคร) อาศัยเราเอง ก็เรายังไม่ตายเข้าใจไหม ผู้ท่านตายไปแล้วก็ตายไป เรายังไม่ตายเราก็อาศัยสังขารของเรา
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|