เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
อย่านำวิชาทางศาสนากับวิชาทางโลกมาคละเคล้ากัน
ตะวันเริ่มเอนละ แต่นี้ต่อไปตะวันเริ่มเอน ตั้งแต่บัดนี้ไปเรื่อย ๖ เดือนเอนตลอด ตั้งแต่นี้ไปถึงกุมภา มีนา จนกระทั่งเมษา พฤษภา มิถุนา กรกฎา นี่ละย้อนกลับอีก กลับไปกลับมา เราไปที่ไหนถ้ากลางวันมีมากก็ดี ไปสะดวก เช่นอย่างเราไปโรงพยาบาลต่าง ๆ พอฉันเสร็จแล้วเราไป ไปถึงที่โรงพยาบาลส่วนมากมักจะก่อนเที่ยง ๆ ถ้ากลางวันมีมากนะ ถ้าตะวันเอียงแล้วไปนี้มักจะเที่ยงกว่าไปแล้ว ๆ คือเราไปโรงพยาบาลแต่ละโรง เรามักจะไปให้ทันกับเวลาที่โรงพยาบาลยังไม่ได้พักเที่ยงนะ ไปให้ถึงก่อนหน้า ๆ ถ้าหน้านี้เวลากลางวันมากนี้ จะไปถึงก่อนเที่ยง เรียกว่าแทบทั้งนั้น ถ้าตะวันเอียงแล้วมันก็หลังเที่ยง ๆ มันสะดวกต่างกัน
กว่าจะถึงแต่ละโรง ๆ ไกลนะ เพราะเราไปหาที่ซอกแซก ที่จำเป็น ๆ จริง ๆ ใกล้ไกลไม่ค่อยสำคัญยิ่งกว่าความจำเป็นของโรงพยาบาลนั้น ๆ มักจะถึงเที่ยงหรือก่อนเที่ยงเล็กน้อย ถ้าตะวันเอียงแล้วหลังเที่ยง บางทีต้องโทรไปบอกก่อน โทรล่วงหน้าไปบอกเลย เพื่อให้ทางโน้นรอไม่ให้เสียกาลเวลา พอทางโน้นรอไม่นานเดี๋ยวก็ไปตามเวลาระยะนั้น ไปแต่ละแห่ง ๆ ไกล
เมื่อวานโรงพยาบาลมาโรงเดียว สร้างคอม สร้างคอม อำเภอเพ็ญ เหล่านี้ช่วยทั้งนั้นนะ โรงพยาบาลอำเภอเพ็ญก็ช่วยเยอะ สำคัญ ๆ เสียด้วยนะ เกี่ยวกับห้องผ่าตัดดูว่าได้ให้หมดเลย พวกโคมไฟ เครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องมือผ่าตัด มันจำเป็นจริง ๆ แล้วให้ทันทีเลย พอรถเราไปจอดหน้าโรงพยาบาล เขาก็นิมนต์ไปดูห้องนั้นห้องนี้ โรงพยาบาลอำเภอเพ็ญ ไปโรงไหนมีแต่โรงจนตรอกจนมุม เลยตกลงช่วยเสียมาก พอกลับออกมานี้ก็มาเจอเอารถโปเกอีกแหละ เขาคงจะไปจอดขวางหน้าเอาไว้ คือรถคันนี้มานี้ท่านจะต้องเจอ นั่นดูซิอุบายเขาของเล่นเมื่อไร มาก็มาเจอรถโปเก มันเสียเสียจนดูไม่ได้ นี่เขาจอดไว้ขวางหน้า เวลาเราเข้าไปไม่มี รถคันนั้นไม่ทราบมาจากไหน แต่เป็นรถของโรงพยาบาลเองมาขวางหน้า เราก็เลยไม่พูดว่ายังไงมากนัก เพราะเขามีความมุ่งหมายหวังพึ่งเราอยู่แล้ว เราก็ทราบเจตนาของเขา พอใช้ได้อยู่ไหมล่ะ เราว่าอย่างนั้น ใช้ไม่ค่อยได้แล้วเขาก็ว่าอย่างนั้น ให้เลย อย่างนั้นแล้ว
พูดจริง ๆ เรื่องโรงพยาบาลนี้เราเน้นหนักมากจริง ๆ เพราะเราดูเห็นสภาพหัวใจคน ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ไอ้ความสำคัญในสิ่งทั้งหลายนั้นลดฮวบทันที จะไปรวมอยู่ที่โรงพยาบาล สำคัญตรงนี้นะ ที่พึ่งที่ยึดที่เกาะ จะวิ่งเข้าสู่โรงพยาบาล เข้าสู่โรงพยาบาลไม่ไปหาหมอหาพยาบาล รวมถึงเครื่องมือแพทย์ หรืออุปกรณ์ทุกอย่างที่จะช่วยเหลือคนไข้ จะเป็นอะไรไป ก็ต้องวิ่งไปนั้น เราจึงต้องหมุนเข้าไปช่วยตลอดนะ ถึงขนาดที่ว่าติดหนี้เรายังยอมติด ดูซิน่ะ
ที่อื่นเราไม่เคยติดนะติดหนี้ ไม่มี ที่ราชการซึ่งเป็นที่ใหญ่ ๆ เป็นแห่ง ๆ เราก็ไม่เคยติด มีพอให้ ๆ ทั้งนั้น ๆ ให้ไปตามลำดับที่มี แต่โรงพยาบาลไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีก็เจอ พอไปเจอเข้าแล้วเป็นยังไง ถามไปถามมามีแต่ความจำเป็นบีบเข้ามา ๆ แล้วทำไง ทางออกเป็นยังไง สุดท้ายก็ เอ้า ติดหนี้ เห็นไหมล่ะ เอ้า สั่งมาเลย แน่ะอย่างนั้นแล้ว คืออันนี้มีน้ำหนักมากกว่า เงินทองของเราพอหาได้เป็นไร ไม่จำเป็นมากนักยิ่งกว่านี้ เครื่องมือเครื่องหนึ่งนี้ คนไข้เท่าไร ๆ มารวมอยู่นี้หมด นั่นเราเอาตรงนั้นนะ เพราะฉะนั้นจึงว่า เอา ติด สั่งเลย เรื่อยนะไม่ใช่ธรรมดา สั่งเรื่อยติดเรื่อย
ลูกศิษย์เราก็เก่ง ก็คงเห็นหลวงตาเก่งนั่นละลูกศิษย์ถึงได้เก่ง หลวงตานี้ติดหนี้เรื่อย ๆ ลูกศิษย์ก็ไปลากแขนออกมากลัวจะไปติดคุก ไปติดหนี้เขาต้องไปรับโทษซิใช่ไหม จะไปเข้าคุกทีไรลูกศิษย์ไปลากออกมา ครั้นมาไม่นานแหละ เดี๋ยวติดอีกอยู่อย่างนั้น อันนี้เรียกว่าโรงพยาบาล สำหรับเราเป็นจริง ๆ คือคิดรวมมาหมด จะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ฐานะเช่นไรก็ตาม จะมีความหมายอยู่ตามปรกติธรรมดา พอเจ็บไข้ได้ป่วยสิ่งเหล่านั้นลดฮวบลงทันที จะวิ่งเข้าหาหมอเลย สำคัญตรงนี้นะ
ไม่ว่าเขาว่าเรา คนไข้ก็แบกกองทุกข์ไปประเภทหนึ่ง ญาติคนไข้ที่รุมกันไปก็ต่างคนต่างแบกกองทุกข์เข้าไป สร้างความหวังเต็มหัวใจ แล้วก็มอบความหวังให้หมอให้พยาบาล ให้ทางโน้นหายใจช่วยเลย ยังไม่เข้าถึงโรงพยาบาลก็ตาม ให้ทางโน้นรีบหาเครื่องหายใจมาช่วยไว้เลย ดีไม่ดีเอาออกซิเจนมาลัดดักไว้ด้วย ทางนี้หายใจจะไม่พอ นี่หมายถึงว่าความพึ่งหมอเข้าใจไหมล่ะ มันอยู่นั้นหมดนะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องได้ขวนขวายเต็มกำลังความสามารถเรื่องโรงพยาบาลนี่ ติดหนี้ติดสินไม่สนใจ อยู่อย่างนั้นตลอด
ไปแล้วก็ดูคนไข้ ญาติคนไข้เข้าไป หน้าเศร้าเหงาหงอยด้วยกันทั้งนั้นพวกญาติ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่มันป่วยที่ทางใจเกี่ยวกับคนไข้ซึ่งเป็นญาติของเขานั่น คนไข้ก็แบกกองทุกข์ประเภทหนึ่ง ญาติคนไข้ก็แบกพะรุงพะรัง ถึงบ้านถึงเรือนถึงโคตรถึงแซ่ วงศาคณาญาติเกี่ยวโยงมาหมดเลย อย่างนั้นซิความทุกข์ พอทางนี้เปิดออกให้ ๆ แก้ให้ ทางนี้ก็จางออก ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทั่วหน้ากัน เพราะหมอ เพราะยา เพราะเครื่องมือช่วยเหลือคนไข้ นี่รวมมาแล้ว เพราะฉะนั้นถึงรอไม่ได้ ติดก็ติดเลย ๆ
คนมันหวังพึ่งกัน วิ่งเข้าสู่โรงพยาบาลความพึ่งพิงนี้ไปอยู่กับหมอกับพยาบาล กับหยูกกับยา เครื่องมือต่าง ๆ ของโรงพยาบาลทั้งหมดเลย ไปอยู่นั้นหมดเลย ในบ้านในเรือนเจ้าของไม่มีความหมาย ไปอยู่นั้นหมด นี่จึงได้อุตส่าห์พยายามช่วยตลอด ๆ เลย อย่างท่าอุเทนก็เหมือนกัน ทีแรกก็พากันมาทั้งพระทั้งหมอ อยากได้ตึกสักหลังหนึ่ง ตึกสงฆ์อาพาธ ครั้นมาแล้วเอาแปลนมาให้ดูพร้อม มี ๔ ห้องสำหรับสงฆ์อาพาธ เราก็เป็นแต่เพียงรับไว้พิจารณา ยังไม่พูดอะไร มาทั้งหมอทั้งพระด้วย เราก็มาพิจารณา หมอก็ คนไข้ก็เต็มอยู่กับหมออยู่แล้ว ประชาชนทั้งหลายไปกองอยู่กับหมอหมดแล้ว สำหรับพระเรามีเพียงเล็กน้อย แล้วก็มาขอตึกสำหรับสงฆ์อาพาธ มันก็จำเป็นเฉพาะสงฆ์อาพาธ ฆราวาสป่วยไม่พูดนี่ เราก็เก็บไว้เราจะไปเอง
บึ่งถึงเลยเทียว ไปก็ถามทุกสิ่งทุกอย่าง รวมแล้วก็ลงกันว่าตึกนี้แยกให้ทั้งพระสงฆ์ทั้งฝ่ายฆราวาส มองดูคนไข้ก็เต็ม พระสงฆ์ไม่เห็นมีสักองค์ไปนั้น เราเดินไปก็ดูกระทั่งห้องคนไข้ ไปดูหมดเลยวันนั้น เพราะโรงนี้เราไม่เคยได้เข้า ตั้งหน้าจะไปสงเคราะห์จึงต้องไปหมดทุกตึกเลยเทียว คนไข้ที่ไหนทั้งหญิงทั้งชายผ่าน ๆ ดูสภาพของคนไข้กับความจำเป็นที่ทางหมอทางพยาบาลช่วยเหลือเป็นยังไง พอถูไถกันไปได้ยังไงบ้าง เวลามาแล้วก็เลยตกลงเฉลี่ยให้เลย ตึกหลังนี้เขาก็ขอเพียง ๔ ห้องเท่านั้น เวลาเราให้ก็บอกว่า ความจำเป็นของประชาชนมากยิ่งกว่าพระ บทเวลาจะพูดนะ ไปที่ไหนเกลื่อนไปหมด มีแต่ความจำเป็นของประชาชนเต็มอยู่ตามห้องตามเตียง พระไม่เห็นมี เราไปวันนั้นไม่มีพระนี่วะ แล้วจะมีความจำเป็นแต่สงฆ์อาพาธ ๆ เหล่านี้เป็นอะไรกันไป เราว่าอย่างนี้
ตกลงเราจะแบ่งสัดส่วนให้นะ ก็เลยให้ทางฝ่ายพระสงฆ์ ๔ ห้องตามที่ขอ แล้วก็แบ่งให้ประชาชน ๖ ห้อง ยาวไปเลยเป็น ๑๐ ห้อง แล้วก็ห้องหมอห้องหนึ่ง ให้ไปด้วยกันหมดเลย เรียกว่าให้ความช่วยเหลือเสมอกัน ประชาชนแน่นอยู่แล้วเราถึงให้ ๖ ห้อง พระที่ว่าสงฆ์อาพาธ ๆ ก็ให้เพียงแค่ ๔ ห้อง พวกฆราวาสไม่อาพาธให้สัก ๖ ห้อง จากนั้นก็เครื่องไม้เครื่องมือให้ ๆ ตามที่ขอเลยเทียว วันนั้นให้ตามที่ขอ เพราะโรงนี้เรายังไม่เคยไปช่วย แถวนั้นช่วยหมดแต่โรงนี้ไม่ได้ช่วย เพราะฉะนั้นจึงตั้งหน้าไป เกี่ยวกับเขามาขอทั้งหมอทั้งฝ่ายพระด้วย มันยังไงกัน เราถึงไปเอง ทางโน้นก็คงจะปักใจว่าจะหวังพึ่งได้นั่นเองจึงได้มุ่งหน้ามา เพราะคงทราบมาก่อนแล้วว่าเราช่วยโรงพยาบาลมานานแล้ว มาแล้วก็ต้อนรับกันเลย ไปเองไปดูเลย วันนั้นขออะไรให้หมดนะ เยอะ
จึงได้พูดว่า ๓ วันนี้เป็นวันเอาจริง ๆ ขึ้นเบื้องต้นก็บ้านแท่น ให้รถไปแล้วตามไปดู เพราะอันนี้ยังไม่ได้สงเคราะห์อย่างอื่น ๆ วันหลังก็ไปคอนสวรรค์ ชัยภูมิ บ้านแท่นก็ชัยภูมิ ไปดูทั้งสอง ให้หมดเหมือนกันนะ ทีนี้วันเคารพสามก็ไปท่าอุเทน ๓ วันติดกัน โหย เครื่องแทบตาย หลวงตาบัวกลับมาแทบสลบไสลไม่มีเลือดติดตัวเลย เอาเลือดให้โรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้
ทางด้านหลังเรานี้ก็เหมือนกัน โกดังนี่ไปดูซิ เต็มเอี๊ยด ๆ บกบางไม่ได้นะ ไม่ว่าโรงไหนมา ๆ โรงพยาบาลให้เสมอกันหมดเลย เพราะเราเป็นคนสั่งไว้อย่างตายตัวเคลื่อนไม่ได้ นอกจากมีเหตุจำเป็นที่จะเคลื่อนก็ต้องมาบอกเรา ว่าเคลื่อนไปเพราะเหตุไร นั่นน่ะเราจริงจังไหมพิจารณาซิพี่น้องทั้งหลาย ลงได้สั่งอะไรคำใดแล้ว ตกลงใจแล้วปั๊บนี้ขาดสะบั้นไปเลย อย่างนั้นมาตลอด ทำตัวเองก็แบบเดียวกัน ถึงขั้นตาย เอ้า ตายเลย ฟังซิ ถึงไม่เคยสลบก็ตาม แต่จะถึงขั้นตาย เอ้า ตายเลย นี่ละคำสัตย์คำจริง ธรรมะเด็ดปราบสิ่งชั่วช้าลามกได้อย่างเด็ดขาด ความเด็ดของธรรม
เพราะฉะนั้นใครจึงอย่ามาทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ให้เห็นนะ ถึงคราวเด็ดต้องเด็ดบ้างซิ เด็ดเพื่อความเป็นคนดีเสียหายไปไหน เด็ดเพื่อความเป็นคนชั่วลามกจกเปรต จนหาราค่ำราคาไม่ได้ กลายเป็นสัตว์นรกไปมีมากต่อมาก นี้เด็ดทางชั่วมันก็ชั่วให้เห็นชัด ๆ เด็ดทางดีพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว เป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ นี่เด็ดทางดีเห็นไหม พระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันนี้ก็สลบถึง ๓ หน ฟังซิเด็ดหรือไม่เด็ด นี่เด็ดเพื่อความดี ผลแห่งความเด็ดของท่านเป็นศาสดาเอกขึ้นมาสอนพวกเราอยู่เวลานี้ พอให้รู้บาปรู้บุญบ้างจะเป็นใครถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าของเรา นั่นฟังซิ ให้จำเอานะความเด็ด
ไม่ใช่เด็ดเพื่อจะฉิบหายวายปวง เด็ดเพื่อดี ชั่วมันมีประจำอยู่แล้ว ไม่มีเครื่องแก้กันไม่ได้นะ ต้องมีเครื่องแก้กันไม่งั้นตาย จม ๆ มีแต่จะจมทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีเครื่องช่วยตัวเองด้วยความเด็ดในด้านธรรมะ เพื่อแก้ความชั่วช้าลามกทั้งหลายแล้ว จะชั่วช้าลามกตลอดไปนะ ต้องพยายามทุกคน ๆ ทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทำอะไร อย่างที่เราเคยพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง อันหนึ่งเราก็ยอมรับว่าเป็นพื้นเพในนิสัยมาตั้งแต่เป็นฆราวาสเราก็ยอมรับ คำสัตย์คำจริงนี้จริงมากนะตั้งแต่เป็นฆราวาส แต่เราไม่รู้เรามีคำสัตย์นะ
คิดดูซิอย่างพ่อนี้ เพราะพ่อนี้ไว้ใจทุกอย่างนะทำงาน ถ้าลงเราได้รับคำแล้ว โอ๋ย หนีไปเลย ดีไม่ดีเตรียมของไปเดี๋ยวนั้นเลย เรียกว่าไอ้นี่มันรับเราแล้ว ความหมายว่าถ้าลงรับแล้วมันจริงมาก ถ้าไม่รับพูดยังไงหูหนวกตาบอด บ่นอยู่อย่างนั้น กูอยากไปอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีใครทำงานให้กูอย่างนั้นอย่างนี้ พูดฉากหน้าฉากหลัง เราก็โมโหซิ เอ้อ ไป ๆ เสียจะทำให้ อู๋ย อยากเตรียมของเดี๋ยวนั้นไปเลย นั่นคือหมายความว่าคำสัตย์คำจริง ขนาดพ่อกับแม่ยังไว้ใจได้เลยถ้าลงมันได้ลั่น เอาละไอ้นี่ ว่างั้นเลยนะ ถ้ามันไม่ลั่นอย่าไปพูดกับมัน เหมือนหูหนวกตาบอดอยู่อย่างนั้น เฉย คือ ไม่แน่ใจไม่พูดไม่ทำ ทางนั้นก็หวังพึ่งไม่ได้ว่างั้นเถอะ ถ้าว่า เอ้า ไป จะทำให้เท่านั้นละ อยากเตรียมของเดี๋ยวนั้นเลย
นี่ละคำเด็ดคำขาดมันเป็นมาแต่ฆราวาสอันนี้นะ ทีนี้เวลามาบวชเป็นพระ ดูอรรถดูธรรมทั้งหลายมีแต่คำสัตย์คำจริง ๆ อ๋อ นี่เราเคยมีมาบ้างแล้ว มันก็เสริมกันเข้าทันที ๆ เลยเป็นเนื้อหนังแห่งคำสัตย์คำจริงเต็มตัวเลย ดัดเจ้าของก็แบบเดียวกันเลย ดัดเจ้าของยิ่งเด็ดกว่าอื่น ๆ นะ ไอ้พวกแกงหม้อใหญ่อย่างว่า ถึงเด็ดก็เด็ดแบบแกงหม้อใหญ่ ตีเป๊ก ๆ ป๊าก ๆ ไป แกงหม้อเล็กใส่ตูมขาดสะบั้นไปเลย สำหรับตัวเองทำอย่างนั้น ทีนี้เวลามาสอนคนเป็นจำนวนมาก ทั้งพระทั้งเณรประชาชน ก็ต้องลดหย่อนผ่อนผันลงตามสัดตามส่วน เห็นว่านั้นเป็นนั้น ๆ นี้เป็นนี้ แยกออก ๆ ไม่งั้นสอนกันไม่ได้นะ ถ้าจะเอาเรื่องของตัวเองเข้าไปใส่นี้สอนใครไม่ได้ แน่ะ ต้องเฉลี่ยออกไป แต่ให้มีลวดลายของความจริงจังอยู่ในนั้น ๆ ไม่มากก็น้อยให้มี ไม่ใช่สั่งแล้วแบบเหลาะแหละนะ
นี่ถ้าตั้งหน้าไปที่ไหนจะตั้งหน้าไปจริง ๆ คือไปส่งของธรรมดาก็มี มันก็มีความจำเป็น เราก็ทราบไว้เรียบร้อยแล้ว จุดไหน ๆ ที่มีความจำเป็นที่เราจะต้องดูแลเป็นกรณีพิเศษเราก็ไปโดยลำพัง ถ้าว่าเราจะไปช่วยสงเคราะห์ โรงนี้ยังไม่ช่วยสงเคราะห์เลยเราปักใจไว้ ไปก็เอาจริงจังเลย ถามซอกแซกซิกแซ็กทุกสิ่งทุกอย่าง ประมวลมาแล้วควรรับกันขนาดไหนเอาปั๊บเลย อย่างนั้นละเราช่วยโลก ของอยู่ในโกดังนี้ไม่ให้บกบางนะ ส่วนที่เขาจะมาช่วยเหลืออุดหนุนเพิ่มเติมให้นั้นให้เป็นกรณีพิเศษของเขา ที่เป็นส่วนเพิ่ม ส่วนเป็นพื้นฐานเป็นของเราตลอดเวลาไม่ให้บกบาง โรงไหนมาเถอะว่างั้นเลย มานี่ได้เสมอกันหมดเลย ไม่มียิ่งหย่อนต่างกัน ให้เสมอกันหมด
โรงไหนมาได้ไป ๆ พระท่านคอยกำกับ มีพระเวรอยู่องค์หรือสององค์ประจำอาทิตย์ พวกนี้ทำหน้าที่แทนหมด เกี่ยวกับเรื่องครัวนี้พวกนี้ทำหน้าที่แทน เป็นวาระ ๆ กัน ในโกดังด้วย เวลารถเข้ามานี้พวกนี้จะต้องไปคอยกำกับดูแลทุกอย่าง ๆ ผิดพลาดไม่ได้นะ นั่นเราเป็นอย่างนั้นนะ สั่งอะไรต้องเป็นอย่างนั้นทุกอย่าง ถ้าผิดพลาดประการใดให้แสดงเหตุผลออกมา เป็นที่ยอมรับแล้วก็ผ่านไป ๆ ถ้าไม่มีเหตุผลไม่ได้ ดีไม่ดีไล่ออกจากวัดเลย เราจริงจังอย่างนั้นนะ
นี่ละการปฏิบัติต่อตัวเองก็ปฏิบัติอย่างนั้นมา ยิ่งเด็ดกว่านี้อีกนะ เพราะฉะนั้นการมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังจึงไม่อยากมีใครเชื่อ ใครไม่เชื่อก็ตามก็เราทำเอง เราเชื่อเราเอง จำเป็นอะไรจะต้องหาสักขีพยาน เราเป็นของเราเองเราก็แน่ใจของเราตลอดมา มีแต่ความเหลาะแหละ ๆ นี่ เมืองไทยเรานี้มันเป็นจริง ๆ นะ เราเอาธรรมมาสอนพี่น้องชาวไทยนะเวลานี้ ที่เรามาช่วยชาติช่วยด้านอรรถธรรมเป็นอันดับหนึ่งนะ วัตถุสิ่งของเงินทองที่จะช่วย อย่างช่วยส่วนรวม เช่น คลังหลวง เป็นต้นนี้ เป็นอันดับสองนะไม่ใช่อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งคือจิตใจของชาวพุทธเรานี้ เรียกว่าเหลวไหลเอามากทีเดียว ว่าอย่างนี้เลย
ไปที่ไหนก็ถือเป็นชาวพุทธ ๆ แต่กิริยามารยาทที่แสดงออกมามีแต่ชาวผี มันไม่ได้มีชาวพุทธติดเนื้อติดตัวเลย กิริยาที่เป็นเหตุเป็นผลเป็นอรรถเป็นธรรม เพื่อถือเป็นตัวอย่างอันดีแก่ผู้ที่มาเกี่ยวข้องและตัวเองเป็นหลักฐานเอาไว้อย่างนี้ไม่ค่อยมี ไปที่ไหนเหลวไหลทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เพราะนี้สืบทอดไปจากผู้ใหญ่นั้นแหละ ไปที่ไหนเหลวไหล ๆ
คือธรรมวินัยท่านมีกฎบังคับพอดิบพอดี ธรรมวินัยไปที่ไหนพอดี ๆ ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วพอดี หาที่ต้องติตัวเองก็ไม่ได้ นี่ละพอดี เมื่อเราเคยปฏิบัติต่อนี้จนจิตใจเป็นเนื้ออรรถเนื้อธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว มองดูที่ไหนมันขวางอรรถขวางธรรมก็รู้ทันที ๆ นอกจากพูดหรือไม่พูดเท่านั้น เรื่องรู้นี่รู้ทันที ทีนี้เมื่อกระจายออกมาพูดอย่างนี้ก็เรียกว่าเหลวไหลไปหมดทั่วประเทศไทย จะว่าอะไรตั้งแต่ประชาชนญาติโยม แม้แต่พระก็เหลวไหล เหลวไหลไปตามขั้นของพระของฆราวาส ของเขาของเรา เสมอกันไปหมด
เอาธรรมจับซิ อย่าเอาตัวเป็นผู้ใหญ่ไปเหยียบย่ำทำลายคนอื่น ตำหนิติเตียนคนอื่นอย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ ต้องเอาธรรมะไปเป็นศูนย์กลางมาสอน ใครเป็นผู้ทำหน้าที่ทำ เป็นผู้สอน ก็นำธรรมนั้นมาสอน ตัวเป็นยังไงก็ต้องพยายามปฏิบัติตามที่สอนนั้น นั่นเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นจึงพูดได้สอนได้ ตำหนิได้ทั้งนั้น เอาธรรมมาตำหนิ ไม่ได้ยกตนข่มท่านที่ไหน เอาความดิบความดีมาสอน นี่มันเลอะเทอะก็บอกว่าเลอะเทอะจะว่ายังไง หาที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์ไม่ได้เลยจะทำยังไงนี่
ด้านจิตใจนี่ต่ำมาก จิตใจต่ำอะไรก็รวนเรไปหมดไม่มีหลักมีเกณฑ์ วัตถุสิ่งของเงินทองนำมาที่ควรจะเป็นประโยชน์ในการใช้การสอย กลับเป็นเครื่องสังหารตัวเองไป เพราะความเหลวแหลกแหวกแนวของใจพาให้เป็น ตรงนี้สำคัญมาก จึงต้องรักษาใจของเราให้ดี ให้มีขอบเขตบ้าง อยากไปไม่ไปถ้าเหตุผลไม่ควรจะไป อยากทำไม่ทำ นี่เรียกว่าบังคับตัวเอง เมื่อหลายครั้งหลายหนมันก็ค่อยชิน ๆ มันจะฟังเสียงอรรถเสียงธรรมทันที นี่ควรไม่ควร ว่าไม่ควรไม่ไปเลย ไม่ต้องบังคับมันรู้ หลายครั้งหลายหนก็ราบเรียบไปตามเหตุตามผล แล้วก็เป็นคนมีหลักเกณฑ์เป็นหลักธรรมชาติภายในจิตใจของผู้นั้นเอง นั่น เป็นอย่างนั้นนะ
อย่างพระท่านรักษาธรรมวินัยอย่างเข้มงวดกวดขัน ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมแล้ว ตั้งแต่วันบวชมารักษาศีลรักษาธรรมหาที่ต้องติไม่ได้เลย เรียบราบอบอุ่นตลอดเวลา นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้ตัวของท่านเป็นเนื้ออรรถเนื้อธรรมทั้งหมด กิริยาอะไรที่คิดออกไปมันผิดอย่างนี้ท่านตีปั๊บ ๆ เอาแต่ทางที่ถูก เบิกให้ก้าวเดินทางที่ถูก จนกลายเป็นนิสัย ไอ้นิสัยที่รวนเรเร่ร่อนหาหลักเกณฑ์ไม่ได้ มันก็เป็นแบบนั้นละนะ เข้ามาสู่ธรรมวินัยแล้วแทนที่จะเอาธรรมวินัยเข้ามาบังคับ กลับลากถูธรรมวินัยให้ไปจมลงในส้วมในถานด้วยตัวเองหมด เพราะตัวเองเป็นส้วมเป็นถานแล้ว มันเป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ มันถึงเหลวไหลไปหมดทั้งฆราวาสทั้งพระ ทั้งเขาทั้งเรา ไม่ได้ตำหนิใคร เอาธรรมมาสอน
มันเลอะเทอะไปหมดนะ พระก็หัวโล้น ๆ โกนคิ้ว เอาผ้าเหลืองห่มคลุมไว้แล้ว ก็หากินกับชาวบ้านชาวเมือง เรียนวิชาทางโลกทางสงสารมุดลงใต้ดิน ๆ ออกจากนั้นยังมาหาเรื่องตั้งวิชาเพราะ ๆ ขึ้นมา โลกเขาตั้งวิชาเพราะ ๆ คือกิเลสมันชอบไพเราะเพราะพริ้งสำนวนอ่อนหวาน นิ่มนวลทุกอย่างไม่มีอะไรเกินกิเลส แต่ตัวหลอกลวงอยู่กับกิเลสทั้งหมด มันไม่ได้คิดตรงนี้ซิ ตั้งขึ้นมาเพราะ ๆ แผนกสามัญศึกษา ฟังซิน่ะ มันเป็นยังไงสามัญศึกษา วิสามัญศึกษามันเป็นยังไง อันนี้มันโง่มากเรียนไม่จบ อยากถามว่าอย่างนั้นนะ มีแต่วิชาของเปรตของผี เข้าไปเหยียบย่ำทำลายศาสนาเวลานี้
ศาสนาบกพร่องอะไร พิจารณาที่พระพุทธเจ้าสอนโลกนี้ รื้อฟื้นโลกขึ้นมาตั้งแต่สามแดนโลกธาตุ พระพุทธเจ้าสอนหมด วิชาสามัญศึกษาไปสอนใครได้วิเศษวิโสแข่งพระพุทธเจ้าจึงเอามาอวดว่า แผนกสามัญศึกษา ฟังซิน่ะ สามัญยังไง มันเปรตอยู่ในวิชานั้นไปแทรกไปแซงเหยียบย่ำทำลายศาสนา แต่ก่อนพุทธศาสนานี้ไม่เคยมีวิชาทางโลกเข้าไปเกี่ยวข้อง วิชาทางโลกเขาสมบูรณ์แบบไปตามเขา วิชาทางธรรมสมบูรณ์แบบไปตามหลักธรรมไม่มีส่วนใดบกพร่อง ก็ต่างคนต่างเชิดชูทั้งชาติบ้านเมืองทั้งศาสนาไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้มันเป็นสามัญศึกษาไปหมดแล้วนะ ไปที่ไหนมีแต่สามัญศึกษาเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร วิสามัญศึกษาเป็นยังไงไม่รู้นะ พิจารณาซิ มันเป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ ทำลายหรือเชิดชู เอา พิจารณาซิ เอามายันกัน หลักเกณฑ์มีอยู่นี่
พุทธศาสนาบกพร่องที่ตรงไหน จึงต้องไปหาวิชาแผนกสามัญศึกษามาสอน มีแต่อาจารย์ใหญ่ ๆ เข้าไปในสามัญศึกษานั่นน่ะ ยิ่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ด้วยแล้วยิ่งเก่ง มีแต่วิชาทางโลกเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดแล้ว เอาอาจารย์ใหญ่ ๆ ใส่รองเท้าเสียงดัง อ้วดอ้าด ๆ ดีไม่ดีให้พระทำความเคารพ เรายังไม่เห็นว่าพระไหว้หรือเปล่าไม่รู้ ไหว้ฆราวาสอาจารย์ใหญ่นั่นน่ะ เรายังไม่เห็นเราก็บอกไม่เห็น แต่เรื่องอันนี้เห็นหมด เราเข้าซอกแซกไปหมด ไม่ว่าที่ไหน ๆ เข้าหมด เข้าไปแบบหูหนวกตาบอดดูไปหมด มันก็เอามาพูดได้ละซิ นี่วิชาทางโลกมันใหญ่มันโตขนาดนั้นนะ ทางศาสนาเป็นเขียงเช็ดเท้าไปแล้วเวลานี้ เพราะฉะนั้นศาสนาจึงหาความเจริญไม่ได้ หาความหมายไม่ได้ เพราะผู้รักษาศาสนาเป็นผู้ทำลายความหมายอันสำคัญ ๆ เสียหมด ยังเหลือตั้งแต่สิ่งเลวร้ายเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวา เต็มสถานที่ศึกษาไปเสียหมด แล้วจะให้มันเจริญได้ยังไง คนไม่สนใจปฏิบัติเพื่อความเจริญ
ถ้าให้เจริญแล้วโลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม ศาสนาเป็นศาสนา วิชาทางโลกเป็นวิชาทางโลก ไม่ต้องมาคละเคล้ากัน ใครอยากจะไปเรียนวิชาทางโลกไป นั่น ใครอยากเรียนวิชาทางศาสนาเพื่อความดีงามแก่ตนเอง ซึ่งเป็นสิริมงคลแก่ตนและส่วนรวมอย่างมากมายนี้ เอาไปเรียน นี่มันไม่ได้ขัดแย้งกันที่ไหน วิชาพระพุทธศาสนาบกพร่องที่ตรงไหน พอจะไปหาสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ถ้าพูดตามภาษาบาลีท่านว่า ติรัจฉานวิชา วิชาของโลกของสงสารวิชาสัตว์มีกิเลส วิชาทางพุทธศาสนาเป็นวิชาของพระพุทธเจ้าที่สิ้นจากกิเลสแล้ว มาประสิทธิ์ประสาทสอนให้ นี่เรียกว่า พุทธศาสนา ท่านแยกไว้อย่างนั้น ติรัจฉานวิชา พุทธวิชา ธรรมวิชา สังฆวิชา
วิชาที่ทำคนให้ดิบให้ดีจนกระทั่งพ้นจากทุกข์ไปได้โดยสิ้นเชิงคือ วิชาพุทธศาสนานี้เท่านั้น ว่าอย่างนั้นเลย นอกนั้นเป็นวิชาทางโลกให้เป็นตามโลกของเขา เอามาคละเคล้ากันหาอะไรถ้าไม่อยากทำลายกัน ไปที่ไหนพระกับประชาชนผิดกันแต่สีเท่านั้นแหละ ความประพฤติหน้าที่การงานทุกอย่างเหลวแหลกแหวกแนวไปตาม |