เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สำคัญที่ผู้ปฏิบัติศีลธรรม
ก่อนจังหัน
แน่ะดูซิจีวรพระ ท่านไม่ได้ดิ้นรนกระวนกระวาย ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี่ละศาสดาที่เป็นตัวอย่างของโลก โลกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม โลกกินไม่พอใช้ไม่พอ กองทุกข์อยู่ที่นั่นหมด นั่นดูเอา ในตำรับตำรามีหมด พระครั้งพุทธกาลท่านปฏิบัติมุ่งต่อธรรมคือมรรคผลนิพพานเป็นหัวใจท่าน นอกนั้นจะอยู่จะกินใช้สอยอะไรท่านไม่ถือสำคัญ สำคัญที่ให้ได้ประกอบความเพียรตายใจๆ สบายใจ ท่านต้องการอย่างนั้น
ท่านไม่ได้อะไรกับเรื่องภายนอก อดอิ่มอะไรไม่สนใจ แต่ให้ได้ปฏิบัติธรรมอย่างสมใจๆ ก็พอ อย่างนั้นละ ท่านผู้มาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราท่านทำอย่างนั้น ท่านไม่ใช่เป็นคนฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อะไรจะเป็นตัวอย่างอันดีเลิศยิ่งกว่าพุทธศาสนา การอยู่การกินใช้สอยต่างๆ เป็นประมาณไว้หมดเลย ความพอดิบพอดีไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ท่านปฏิบัติอย่างนั้น ดูเอาเป็นตัวอย่าง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่ใช่ศาสนาพุทธเรา ความเขียมทุกอย่างนั่นละจะไม่สร้างความกังวลให้มาก และทำประโยชน์เต็มเหนี่ยวๆ
หมากำลังร้องลั่นอยู่นั่นน่ะไปเอามาต้มยำ พระวัดป่าบ้านตาดยังไม่เคยได้กินต้มยำหมา วันนี้ให้ได้กินเสียหน่อยเถอะมันหิวมาก ประกอบกับหมามันดิ้นมันอยากเป็นอาหารพระ เขาเป็นบ้ากันละ คือพูดอย่างนี้ไม่ได้กระเทือนต่อโลกนะ เราเฉย ไม่สนใจ ถ้าไม่เฉยพูดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเฉยละได้ทั้งนั้น
หลังจังหัน
กุฏิหลังนี้มันจะขึ้นไม่ได้แล้ว ขึ้นอยู่มาตั้งแต่ ๒๕๐๕ ละมังหรือ ๒๕๐๖ กุฏิหลังนี้ สร้างปีนั้น ดูเสร็จ ๒๕๐๕ เราขึ้นอยู่ ๒๕๐๖ เดี๋ยวนี้จะขึ้นไม่ได้แล้ว กำลังปีนี้ปรากฏชัดขึ้นกุฏิจะไม่ได้แล้ว ตกลงก็เลยจะทำกุฏิอีกหลังหนึ่ง พื้นใต้ถุน นี่กำลังทำ ทำใต้ถุน ปั๊บเข้านี่ออก ขึ้นลำบากแล้ว เขากำลังเตรียมไม้อยู่ที่ศาลาใหญ่ พอเราออกจากนี้ไปกรุงเทพฯปั๊บเจ้าหน้าที่ทำงานเขาก็รุมกันเลย เขากะให้ทันเวลาเรากลับมา ไปกรุงเทพฯก็ไม่ต่ำกว่า ๒๐ วันแล้วค่อยกลับ นี่เขาก็จะเร่งงานอันนี้
สร้างวัดนี้กี่ปี (ตั้งแต่ ๒๔๙๘ เป็น ๕๓ ปีเจ้าค่ะ) ๙๘ กลับมาจากจันท์ละมั้ง ๙๙-๕๐๐ มาที่นี่ละ (๕๒ ปีเจ้าค่ะ) เออ ๕๒ ปี มาสร้างปีแรกๆ พวกชะนีร้องโหยหวนอยู่ต้นไม้ พวกชะนีเป็นฝูงๆ ร้อง คือดงนี้ต่อกับดงใหญ่มันต่อกันมา พอมาสร้างวัดนี้เขาก็อยู่ที่นี่ เสียงร้องลั่น จากนี้แล้วเขาก็ขยายออกไป ทางนู้นก็ทำลายป่าพอดี ชะนีก็ออกไป นี้ก็เป็นวัด เลยหายเลยชะนีออกไป ออกไปตายแหละท่า
ดูไม่มีธุระอะไรนะวันนี้ วันที่ ๑๑ ลงกรุงเทพฯ กะคำนึงคำนวณดูวัน มันเกี่ยวกับเรื่องงานของเรายุ่งไปหมด ช่วงไหนจะไปไหน ช่วงไหนไปไหน นี่ก็วันที่ ๑๑ ลงกรุงเทพฯละ ไประยะนี้ ถึงวันที่ ๑๑ เขาก็เตรียมจะมาสร้างที่พักข้างล่างให้เรา แก่มาเท่าไรยิ่งก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายให้พระในวัดมากเข้าๆ นะ กุฏิหลังนี้อยู่แล้วไม่ยอมอยู่ ปีนลงมาข้างล่าง เขาก็ต้องสร้างที่พักข้างล่างให้ ไม่ยอมขึ้นข้างบนละต่อไปนี้ ขึ้นไม่ได้ เหนื่อย
วัดโยธานี้เป็นวัดของเรา บวชที่วัดโยธานิมิตร อยู่นี้ได้ ๒ พรรษา จากนั้นก็ออกๆๆ เตลิดจนกระทั่งป่านนี้ เราจึงถือว่าเป็นวัดเรา ใครจะมาทำสุ่มสี่สุ่มห้ายุ่มย่ามๆ ในวัดนี้ไม่ได้นะ ทีนี้พอพระครูด้วงเสียไปใครที่ปกครองอยู่ในวัดนี้เวลานี้เป็นพระองค์ไหนไล่เข้าไป ไม่เป็นท่า ดีไม่ดีขับออกเลย วัดโยธาเราถือเป็นวัดของเรา
โบสถ์เขากำลังจะเริ่มสร้างเราก็เริ่มให้ปฐมฤกษ์ไว้ก่อน ๑ ล้าน พอดีพระครูด้วงเสีย นี้ก็ถูกรถชน ดูว่าจะไปฉันจังหันบ้านศาลาหรืออะไร รถมาอย่างไรมาชนตาย ทีนี้ก็เลยไม่มีสมภารวัด วัดโยธานิมิตรเป็นวัดสำคัญนะ ถือว่าเป็นวัดใหญ่วัดหนึ่ง ท่านพระครูเป็นเจ้าอาวาส เราบวชอยู่นั่น ๒ ปี จากนั้นเราก็ออก พระครูด้วงมาเป็นสมภารแทน ท่านเจ้าคุณใหญ่วัดโพธิท่านก็จัดสมภาร หาสมภารที่ไหนมาเป็นสมภารวัดโยธานิมิตร
เราเข้าเป็นตัวการเลย วัดนี้เป็นวัดเราเอาใครมาเป็นสมภาร นั่นเห็นไหมล่ะ เอาสุ่มสี่สุ่มห้าเอายักษ์เอาผีมาไม่ได้นะ เอากันเลยกับเรา อย่างนั้นละถ้าเราไปเป็นเจ้าของที่ไหนต้องแข็ง ไม่อ่อน อ่อนไม่ได้..เลว นี่ก็ทราบว่าจะเอาองค์นั้นๆ ไม่ได้ เอาแล้วนะ อ้างเหตุผลขึ้นมาทันทีๆ ท่านเจ้าคุณวัดโพธิก็ถอยกรูดเลย ก็เรามันแข็งแกร่ง วัดโยธาเป็นวัดของเรา เอาใครมาเป็นหัวหน้า เอาสุ่มสี่สุ่มห้ามาไม่ได้ เราบอกอย่างนี้ นี่ก็ว่าจะเอาใครมาเป็นสมภาร เราตัดบททันที ท่านก็ถอยกรูดเลย ไม่เอา ว่าอย่างนี้เลย
เจ้าคุณวัดโพธิกับเราก็เป็นอันเดียวกันมาตั้งแต่เป็นมหาเปรียญด้วยกัน ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ วัดโพธิสมภรณ์กับวัดเราก็เป็นวัดเดียวกันใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นอะไรเราก็ว่าท่านได้ ท่านจะหาพระสุ่มสี่สุ่มห้ามาเป็นสมภารวัดโยธานิมิตร เราบอกไม่ได้ อ้างเหตุผลองค์นี้เป็นอย่างไรๆ อ้างเหตุผลทันทีเลย ท่านยอมรับ ก็เรามีเหตุผลทุกอย่าง ความเป็นหัวหน้าวัดเป็นของสำคัญ เป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว ผู้ใหญ่ในวัดในวา ในวงราชการเป็นของสำคัญมาก
ท่านด้วงยังอ่อนพรรษาว่าอย่างนั้น จะเอาผู้ใหญ่กว่านั้นมาเป็น ใหญ่ใหญ่แต่ชื่อ ใหญ่แต่ความชั่วช้าลามกเราไม่เอา ต้องใหญ่ศีลใหญ่ธรรม น้อยมันก็จะใหญ่เองเราว่า ว่าท่านด้วงพรรษาไม่เท่าไร มันกินทุกวันมันจะโต เราว่าอย่างนี้นะ ไม่เอาใครมาเป็น เอาดูซิน่ะ หลักธรรมวินัยท่านมีอยู่นี่ท่านไม่ได้เสียที่ไหน งามตาทุกอย่าง เอาองค์นี้แหละ เราว่างั้น เพราะฉะนั้นท่านด้วงจึงเป็นเจ้าอาวาสต่อมา จะเอาใครมาไม่เอา เราว่าอย่างนี้ ก็เราเป็นเจ้าของวัดโยธา เราบวชที่นั่น
พอว่าจะสร้างโบสถ์ เอาสร้างก็สร้างเถอะเราว่า โบสถ์เมื่อไรก็ได้ เราให้เป็นปฐมฤกษ์ ๑ ล้าน เดี๋ยวนี้ยังไม่พูดถึงละเรื่องโบสถ์ พูดถึงเจ้าอาวาสวัดเป็นของสำคัญ เราไปทาบทามกับเจ้าคุณวัดโพธิเรียบร้อยแล้ว ให้จัดพระที่สมควรจะเป็นเจ้าอาวาสจากวัดโพธิมาวัดโยธานิมิตร ผมขอร้อง ขอร้องทางนี้ให้ไปเป็นผู้ใหญ่วัดโยธานิมิตร เพราะวัดโยธานิมิตร ดูพระที่จะมาเป็นเจ้าอาวาสยังไม่เหมาะ ให้เอาทางนี้ไป เราขอ ถ้าทางนู้นว่ามาอย่างไรผมจะรับทราบทุกอย่าง ว่าอย่างนี้ละบอกไว้ ผมยืนยันรับรอง ผมเป็นคนขอวัดโพธิมาเป็นสมภารเอง
ใครมาค้านไม่ได้กับเรา เหตุผลพร้อมทุกอย่าง ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไร เพราะเหตุไรเพราะเหตุนั้นทันทีเลย เราทำสุ่มสี่สุ่มห้าเมื่อไร ทำที่ไหนเหมือนกัน เราไม่เคยที่จะไปสุ่มสี่สุ่มห้า ในวัดนี้ก็เหมือนกัน พระจะมีมากมีน้อยหลักธรรมวินัยตรงเป๋งเป็นอันเดียวกันเลย เคลื่อนไม่ได้ ถ้าไม่มีอะไรนี้ก็เหมือนไม่มีปาก ไม่มีหู ไม่มีตา แล้วเฉยดู ถ้าผิดพลาดขึ้นมาอะไรอย่างน้อยเรียกมาถาม เพราะเหตุไรขึ้นเลย เป็นอย่างนั้นละปกครองวัด เคลื่อนคลาดเมื่อไรจากหลักธรรมหลักวินัยเราปกครอง
เราก็สะเปะสะปะร่างกายของเรา แต่ตาหูใจไม่ได้สะเปะสะปะนี่นะ ไปที่ไหนดูตลอด เดินไปตามกุฏิดูๆ ไปเงียบๆ กลางค่ำกลางคืนมืดๆ เราไปนะ ไปเวลาพระท่านเงียบๆ ละเราจะด้อมๆ ไปกลางคืนไปดู ที่ไหนไม่ชัดเจนก็ฉายไฟดูๆ ไม่มีใครรู้นะ เราไปดูวัดไม่รู้ นู่นมีผิดพลาดไม่ดีอะไรออกมาถึงจะรู้ เรียกมาทำไมอย่างนั้นๆ ถึงจะรู้ว่าเราไปดูแล้ว เป็นอย่างนั้นนะ
หัวหน้าวัดสำคัญมาก เพราะเหตุนั้นวัดโยธานี่จึงต้องขอจากท่านเจ้าคุณใหญ่ทางวัดโพธิมา ทางนี้ยังเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้เราดูพระแล้ว เราว่าอย่างนั้นเลย ให้หาจัดทางนู้นมา บอกว่าเราเป็นผู้ขอทางนู้นมาเป็นเจ้าอาวาสทางนี้ ให้ว่าอย่างนั้นเลย วัดโยธาให้เป็นพระธรรมดาอยู่นั้น ไม่ถือเป็นใหญ่เป็นโต ผู้เป็นใหญ่เป็นโตต้องมีอำนาจมีคุณธรรมสูงกว่านี้ เราจึงขอวัดโพธิ เวลานี้กำลังติดต่อวัดโพธิให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโยธานิมิตร อยู่ในความรับผิดชอบของเรา เพราะวัดโยธาเป็นวัดของเรา
โบสถ์ก็จะเริ่มขึ้น ตั้งแต่ท่านด้วงยังไม่ตายเราก็ให้เป็นปฐมฤกษ์ ๑ ล้านก่อน เมื่อไรก็ขึ้นได้ไม่ยากละ เราว่าอย่างนั้น สร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างวัตถุไม่ยาก มันยากตั้งแต่ สร้างหัวใจคน เราว่าอย่างนี้เลย ให้ดูหัวใจเจ้าของ ดูตัวเจ้าของ สร้างโบสถ์หลังนี้สำคัญมากนะ ข้างนอกไม่สำคัญ เราก็ว่าอย่างนี้เลย พูดอย่างตรงไปตรงมา สร้างอะไรหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามขนาดไหนก็ตามถ้าเจ้าของไม่ดีเลอะเทอะหมด ขอให้เจ้าของดีอยู่ในร่มไม้ก็ดี รุกฺขมูลเสนาสนํ พระพุทธเจ้าสอนให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ สวยงามที่ไหนร่มไม้ แต่สวยงามที่พระไปอยู่ที่นั่น เข้าใจไหมล่ะ
ทำอะไรให้สวยงามเราไม่สนใจวัตถุมากยิ่งกว่าตัวของบุคคล ศีลธรรมนี้เราถือมากทีเดียว อย่างวัดเรานี้จะเอาเท่าไรโบสถ์หลังหนึ่งขนาดไหน ของง่ายเมื่อไร มันก็มาอย่างนี้ละ ยังไม่สมควรที่จะให้เป็นโบสถ์ไม่ให้เป็น ที่จะปรับปรุงตรงไหนยังบกพร่องตรงไหนให้ซ่อมแซมตรงนั้น บำรุงตรงนั้น พระเณรในวัดในวาสำคัญมากยิ่งกว่าโบสถ์วิหาร
โบสถ์วิหารก็ไม่เคยมีตั้งแต่พุทธกาลมา อ่านมาด้วยกันมันก็รู้ด้วยกันซิ สำคัญอะไรเรื่องโบสถ์เรื่องเบส มามีขึ้นทีหลัง นิยมกันขึ้นแล้วก็สร้างแข่งกันไปเท่านั้นเอง เป็นเรื่องกิเลสตัณหา ไม่ใช่เรื่องธรรม เรื่องธรรมมาค้านไม่ได้ เรียนมาด้วยกันเข้าใจไหมล่ะ ใส่เปรี้ยงเดียวหงายเลย เอาจริงเรา ทำอะไรต้องให้มีหลักมีเกณฑ์ซิ มันสำคัญอะไรกับสิ่งเหล่านั้น สำคัญที่ผู้ปฏิบัติศีลธรรม ผู้ปฏิบัติศีลธรรมอยู่ที่ไหนเย็นสงบ ตัวเองก็สงบร่มเย็น ไปที่ไหนสงบร่มเย็นถ้าศีลธรรมติดตัวไป ถ้าสิ่งเหล่านี้ติดตัวไป ไปที่ไหนเลอะเทอะทั้งนั้นแหละ เราว่าอย่างนี้แหละ ไปที่ไหนก็อันนั้นสร้างนั้น อันนี้สร้างนี้ สร้างตัวเองไม่ได้สนใจ ไม่เอา เราบอกอย่างนั้นละ
ศาลาหลังนี้ ๔ หนนี่เขาจะมาสร้างให้ ไม่เอา นั่น ฟังซิ กุฏิเรา ๘ หน หนที่ ๘ ขนาบกันใหญ่เลย หยุดตั้งแต่นั้นมา บอกว่า ๘ หนจะมาสร้างกุฏิหลังนี้ สร้างหาอะไร ไล่เบี้ยเข้าไปเลย หนที่ ๘ เลยถอยกรูด เงียบเลย นั่นละถึง ๘ บอก ๘ หนนี่นะจะมาสร้างกุฏิหลังนี้ สร้างเพื่ออะไรเราว่า คนมันวิเศษวิโสอะไรเป็นเนื้อเป็นหนัง นี้ก็เป็นไม้สมควรแล้วกับซากศพผีดิบ สร้างให้หรูหราหาอะไร หรูหราอยู่ภายในใจซิ ว่าเลยเรา เราไม่สนใจกับวัตถุยิ่งกว่าการปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ อันนี้สำคัญมากทีเดียว
นี่เขาก็จะทำข้างล่างกุฏิให้เป็นที่พักของเรา ขึ้นลำบาก ตกลงก็เลยปรารภแล้ว พอปรารภไม้ก็มา เตรียมมาแล้ว มาปูพื้นข้างล่าง พอเราลงกรุงเทพฯก็เตรียมเลย ไม้เตรียมไว้ที่ศาลาหมดแล้ว เราไปเข้าใต้ถุนเลยไม่ขึ้น เหนื่อย เดี๋ยวนี้เหนื่อยแล้วนะ จากบันไดขึ้นไปหอบแล้ว เพราะฉะนั้นจึงอยู่ใต้ถุนกุฏิ ทีนี้พระใครต่อใครก็เตรียมไม้มาแล้ว พอเราออกจากนี้ปั๊บก็จะเข้าเลยละเข้าทำงานที่นั่น กะว่าเรากลับมาก็เสร็จพอดี
ไม่จำเป็นเราก็ไม่ทำ อยู่อย่างไรเราอยู่ได้นะใต้ถุนกุฏิ ไม่ใช่จะให้หรูหราให้เรานะ แต่เรื่องของพระของใครต่อใครอยากจะทำไม่มีการกระทบกระเทือน ความได้ความเสียเกี่ยวกับการเงินการทอง การรบกวนใครต่อใครแล้วเราพอใจ ถ้าไปรบกวนเราไม่เอา เราว่าอย่างนั้น นี่ตกลงก็จะทำที่พักข้างล่าง มาเข้านั้นเลยไม่ขึ้นแหละ มันหมดกำลังๆ กำลังลดลงทุกวันๆ ที่ไม่ลดก็คือใจ ใจกับธรรมไม่มีลดบอกตรงๆ เลย ถึงร่างกายจะเดินสะเปะสะปะจิตไม่ได้เป็นนะ มันจ้าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ฟังเสียท่านทั้งหลาย ผลแห่งการประพฤติปฏิบัติตัว ภายในไม่ได้เป็นนะ ภายในใจมันจ้าตลอดเวลา รอบอยู่อย่างนั้นโดยหลักธรรมชาติของมันเอง จะว่าสติหรือไม่สติมันรอบของมันอยู่อย่างนั้นตลอด ร่างกายจะสะเปะสะปะไปไหนก็ตามจิตนี้จะไม่เป็น สติไม่เป็น เป็นหลักธรรมชาติจากการฝึกฝนอบรมมาเรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างนั้นละ นี่เราไปกรุงเทพฯก็จะหลายวันอยู่ ดูว่าวันที่ ๑๑ จะลงกรุงเทพฯ เราก็งานนั้นงานนี้เรื่อยไป ก็ประมาณสัก ๒๐ วันกลับมา
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|