(ผู้ฟังเทศน์นักเรียน ๒๐๐ คน ประชาชน ๓๐๐ คน)
วันนี้เหมือนจะเป็นไข้นะ มันก็มี ๒ อย่าง อันหนึ่งหวัดสุมอยู่นี้ด้วย แล้วเมื่อวานตอนเย็นนวดเส้นแบบพิสดารเลย เหมือนว่าแขนขาดไปเลยเมื่อวานนี้ พอตกกลางคืนมาระบม เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาจนจะยกแขนไม่ขึ้น เอาหนักมากถึงขนาดที่ว่าระบมเลย ปวดหมด เมื่อไม่ทำอย่างนั้น(เส้น)มันก็ไม่อ่อน นี่ละเหตุผลมีอยู่ ถามท่านสมบูรณ์ดูว่ามันเป็นยังไง โอ๋ย เส้นมันแข็งมันติดกับกระดูกมันแห้งไปเลย ต้องได้เอาอย่างแรงถึงจะได้หลุดออกมาจากกระดูก มาเป็นเส้นธรรมดา เมื่อวานเป็นวันที่หนักมากที่สุด
วันไหนเราก็ว่าหนัก ๆ นะ แต่พอถึงขั้นเมื่อวานนี้ โอ้โห เหมือนแขนขาดไปเลยนะ จนแขนมันกระตุก ๆ ก็บอกท่านสมบูรณ์ว่าแขนมันเป็นของมันเองนะ เอ้า ท่านนวด-นวดไปเถอะเราบอกงี้เลย แขนมันกระดุกกระดิก คือมันชักของมัน เรียกว่ามันเจ็บเต็มที่ว่างั้นเถอะ จนแขนมันกระตุก ๆ เดี๋ยวนี้แตะไม่ได้นะเจ็บหมดเลย ถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็ไม่อ่อน นั่นเหตุผลมันมีอยู่ ตรงไหนมันแข็งมากมันเจ็บมาก เอาลงหนักเลย เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ถ้าธรรมดาสลบไปเลยละ เพราะเราหาเหตุหาผลของมัน ถ้าไม่แรงมันก็ไม่อ่อน ไม่อ่อนมันก็ไม่หาย เอ้า เจ็บเพื่อหายเป็นไรไป นั่นละฟาดกันลงตรงนั้น
ถ้าธรรมดาก็เจ็บพอแล้วทุกวัน ๆ โดนเมื่อวานหนักมากจริง ๆ รู้สึกว่าเด่นกว่าทุกครั้ง จนถึงขนาดที่ว่าถ้าธรรมดานี้สลบแล้วนะเราก็บอก เพราะมันเจ็บแสนสาหัส เราก็บอกว่า เอา ๆ ลงไปเลย ทีนี้มาเมื่อคืนนี้เลยระบม ปวด ครั่นเนื้อครั่นตัวจะเป็นไข้ เป็นไข้มีอยู่สองอย่าง ๑.ไข้สุมอยู่แล้ว คอยที่จะเป็นไข้อยู่เสมอ ๒.นวดเส้นนี้มันรุนแรงมาก เพิ่มเข้ามันเลยเป็นไข้ ไม่ทำอย่างนั้นมันก็ไม่อ่อน นี่ยังจะเอากันอีกอยู่นะ ยังจะเอาอีก ไม่ถอย ถ้ามันไม่หายไม่ถอย ตั้งแต่นวดเส้นแขนมานี้ไม่เคยเห็นวันไหนมันอ่อน นวดอ่อน ๆ เจ็บธรรมดาไม่มี ก็มีเมื่อสองวันผ่านมานี้ละ ถามว่าวันนี้ดูไม่เห็นเจ็บเหมือนทุกวัน (เส้นแถวนี้มันอ่อนแล้ว) ท่านว่าอย่างนั้นนะ
ทีนี้มันคงแข็งเมื่อวานนี้เลยฟาดใหญ่ โถ แขนเหมือนจะขาดไปเลยนะ ถ้าธรรมดาไม่มีใครทนได้แหละ ทนไม่ได้จริง ๆ ท่านสมบูรณ์ท่านก็บอก โอ๋ย ไม่เคยมีอย่างนี้ ท่านนวดเอาอย่างแรงมาก เรานวดก็แบบนอกบัญชีเหมือนกัน เวลานวดเส้นก็แบบนอกบัญชี เอาเลยฟาดลงไป เหมือนกระดูกจะขาดเลย เลยบอกท่านสมบูรณ์ นี่ถ้าธรรมดานี่สลบนะ แต่เราไม่สลบ ปล่อยเลย ฟาดลงไปเลย
พอนวดเสร็จแล้วแขนกระดุกกระดิกไม่ได้เลย ต้องยกขึ้นให้ เวลาจะลุกต้องพยุงขึ้น คือความทุกข์แสนสาหัสทรมานมันก็ทำให้หมดกำลังไปเลย ลุกไม่ขึ้น นั่นละเวลาปล่อย-ปล่อยเต็มเหนี่ยวเลย พอเสร็จแล้วได้ยกขึ้น พยุงขึ้น-ขึ้นลำพังไม่ได้ มันตายหมดเลย เอาขนาดนั้นนะ ทีนี้ผลของมันก็เห็นอยู่ ก็มันไม่เคยอักเสบไม่เคยระบม เจ็บในเวลานวดแล้วต่อจากนั้นมันก็ค่อยหายไป อันนี้ก็ค่อยเบาลง ๆ ฉะนั้นจึงได้เอากันอย่างหนัก เมื่อวานนี้หนักมากที่สุด ถึงขนาดที่ว่าถ้าธรรมดานี่สลบนะสมบูรณ์ เอ้า ๆ ลงฟาดลงไปเลย ก็เส้นมันแข็งเป็นเหล็ก จะนวดให้มันอ่อนให้เลือดลมเดินได้ ถึงขั้นที่จะสลบจริง ๆ ถ้าธรรมดา นี่ดูมันตลอด
เห็นไหมล่ะธรรมะพระพุทธเจ้า อย่างนั้นซิ เราพูดจริง ๆ ธรรมดา ๆ จะไม่มีใครทำได้อย่างนี้ ท่านสมบูรณ์ก็บอก โอ๋ย ไม่มีเลย ฟาดเต็มเหนี่ยว ๆ เลย ถ้าหากตรงไหนที่จะมีการระบมท่านสมบูรณ์ก็รู้เอง ถ้ามันหนักมาก ๆ ไปเราก็บอก ตรงนั้น ๆ คือมันเจ็บมากตรงนั้น ให้ฟัดลงตรงนั้น (ถ้าหนักกว่านี้มันจะระบม) ท่านว่า ท่านผ่อนให้เองนะ เรานี้ปล่อยเลย ๆ โห พิลึกจริง ๆ เมื่อวาน หมดเลย แตะไม่ได้นะนี่คือมันระบม ตรงนี้กับตรงนี้มันพิลึกจริง ๆ เมื่อวาน แตะนี้ยังไม่ได้เลย
จิตตามให้มันรู้ซิรู้สภาวธรรมทั้งหลาย ไม่มีอะไรที่จะรู้ยิ่งกว่าจิต ละเอียดลออสุดขีด โลกธาตุนี้มีจิตเป็นสำคัญ รู้ละเอียดลออมากสุดเลย เจ้าของผู้รู้ก็คาดไม่ได้ความรู้ที่แสดงออกนั้น เจ้าของเองผู้รู้นี้จะคาดไม่ได้นะ ยังเลยไปอีก ๆ ความรู้นี่ที่ว่าพระพุทธเจ้ารู้อัศจรรย์ คือรู้อรรถรู้ธรรม โลกไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยมี เพราะฉะนั้นถึงได้ท้อพระทัยซิ โฮ้ เป็นอย่างนี้จะไปสอนได้ยังไงสอนโลก พอดีดผึงขึ้นมานี้มันไม่ได้เหมือนอะไรเลยสามแดนโลกธาตุ พูดไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่รู้ ทั้ง ๆ ที่ทรงไว้นั่นแหละ พูดไม่ถูกเลย ก็ลงแต่ความอิดหนาระอาใจต่อสัตวโลก
พระพุทธเจ้าพอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นสะเทือนสะท้าน หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวไปตาม ๆ กันหมดเลย เสียงเทวบุตรเทวดาอนุโมทนาสาธุการด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ ฟังซิน่ะ นั่นละพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ธรรมนี้เลิศเลอขนาดนั้นละ เพราะฉะนั้นถึงได้ท้อพระลัยซิ เวลานี้แสดงขึ้นมาแล้ว สภาพที่เราเป็นมานี้มันกลายเป็นภัยไปเสียทั้งหมดเลย ที่เราคลุกเคล้ามากี่กัปกี่กัลป์ เกิดเป็นเกิดตายอะไรอยู่นี้ ตกนรกหมกไหม้ที่ไหน ๆ มันไปเกิดเต็มหมดจิตดวงนี้นะ แล้วแต่กรรมอำนวย ควรแก่กรรมที่จะหนุนไปทางไหน จะไปเอง ๆ เพราะฉะนั้นจึงเกิดได้ทุกภพทุกชาติ เรื่องวิถีจิตดวงนี้ไปได้ด้วยอำนาจแห่งกรรม จะไปโดยลำพังตนเองไม่ได้ ลำพังตนเองก็คือเป็นธรรมธาตุ นั่นลำพัง เป็นหลักธรรมชาติแล้วนั้นไปอะไรไม่ได้เลยอันนั้น
นี่ละจิตดวงนี้เวลามันได้รู้ เหมือนอย่างเราหลับตาอยู่นี้ อะไรมีเท่าไรมันก็ไม่เห็น เต็มโลกอยู่นี้ก็ไม่เห็น พอลืมตานี้มันจ้าไปหมด ปิดได้ยังไง ทีนี้ตาใจยิ่งเป็นนักรู้ด้วยแล้วยิ่งไม่มีอะไรปิดบัง ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทรทะเลหลวง ไม่มีปิดกั้นได้ ทะลุหมดเลย ฟังซิ นั่นละจิตดวงเลิศเลอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ นี้ โลกธาตุกระเทือนไปด้วยกันหมด องค์ไหนเหมือนกันหมด ที่จะโผล่ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าได้นี้ ๑๖ อสงไขย อสงไขย แปลว่า นับไม่ได้ทีหนึ่ง นับไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง แล้วก็มีติดแนบไปด้วย แสนมหากัป ท่านแยกกัปหนึ่งมีเวลานานเท่าไร ฟังซิกัปหนึ่ง แล้วแสนมหากัป อสงไขย หลักใหญ่นับไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง แล้วแสนมหากัปอีก
นี่ละอุตส่าห์พยายามบึกบึนมาตั้งแต่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ได้รับความทุกข์ความทรมาน เพราะฉะนั้นจึงว่าผู้ที่ปรารถนา เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากชั้นดาวดึงส์ แสดงด้วยปาฏิหาริย์ของฤทธานุภาพของพระพุทธเจ้า ใครคาดไม่ได้นะอำนาจของใจดวงนี้ เวลาเสด็จลงมาจากชั้นดาวดึงส์ พวกสัตว์ทั้งหลาย ประชาชนพลเมือง ให้ได้เห็นกัน เรียกว่าอัศจรรย์พระพุทธเจ้า เวลานั้นใครปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นล้าน ๆ เพราะเห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ใครก็อยากปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ใครก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เวลาสรุปความลงแล้วว่า ที่ปรารถนาเป็นล้าน ๆ คนนี้จะได้อย่างมากไม่เลย ๒-๓ ราย นั่นฟังซิยากขนาดไหน ที่จะได้ตามความปรารถนานั้นจะมีไม่เกิน ๓ ราย ยากไหม
พระพุทธเจ้ากว่าจะอุบัติตรัสรู้ขึ้นมา สมบุกสมบันด้วยความทุกข์ความทรมาน เสียสละมาตลอดนะ พระพุทธเจ้าไม่เคยเอาเปรียบใคร พระโพธิสัตว์ไม่เคยเอาเปรียบใคร มีแต่ยอมรับ ๆ เสียเปรียบ ถ้าภาษาโลกเรียกว่ายอมเสียเปรียบ ๆ แต่เสียเปรียบด้วยธรรม ด้วยความเมตตาเห็นอกเห็นใจมีความสงสาร เจ้าของสละให้ ๆ จะเป็นจะตายอะไรเจ้าของมอบเลย ๆ เรียกว่าเป็นพื้นรับเลยพระโพธิสัตว์ ถ้าพูดภาษาโลกภาษากิเลสเขาว่า เสียเปรียบตลอด พระโพธิสัตว์เสียเปรียบกับสัตว์ทั้งหลายตลอด ถ้าพูดถึงเรื่องของกิเลสนะ พูดถึงเรื่องของธรรมพลิกอีกแล้ว เป็นที่ร่มเย็นของสัตว์ทั้งหลายทั่วไปหมด เพราะได้พึ่งท่าน
นั่นละตั้งแต่ทำความปรารถนามา ๑๖ อสงไขย ถ้าทุกวันนี้ก็เทียบกับว่าล้านนะ นับกันไปถึง ๑ ล้านแล้วหยุดตรงนั้นไม่นับเลยอีก ต้องเป็น ๑ ล้าน ๒ ล้านไปเลย นับไปถึงนั้นทีหนึ่งแล้วหยุด เรียกว่านับไม่ได้แล้วไม่เอาละ ถึงล้านแล้วก็หยุดหนึ่งล้านเสีย อสงไขยเรียกว่านับไม่ได้ครั้งหนึ่ง ไปอีกไปถึง ๒ ล้านก็ ๒ ล้าน ๓ ล้านอสงไขยเรื่อยไปอย่างนี้ แล้วยังติดแนบด้วยแสนมหากัป กว่าจะได้โผล่ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าสะเทือนสะท้านไปหมดเลย นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นก็ช่วยโลกไม่ได้
ที่ว่าพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้รื้อขนสัตวโลกไปนี้ ถ้าหากว่าเทียบกับเรื่องสัตวโลกที่มีอยู่ในแดนโลกธาตุนี้แล้ว กับพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ มาฉุดลากขึ้นไปนั้น เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะ ที่กองจมกันอยู่นี้สักเท่าไรไม่นับ ที่หลุดลอยไปได้ตามพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ และเป็นการสร้างอุปนิสัยปัจจัยวาสนาบารมีจากพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ ก็ได้มาก ผู้ที่หลุดลอยไปก็มาก หากนับจำนวนของสัตว์ในโลกธาตุนี้แล้วเรียกว่าน้อยนิดเดียว ที่น้อยนิดเดียวก็ดีกว่าที่ปล่อยให้จมไปหมดเลย ถ้าไม่มีอะไรมาฉุดมาลากก็จมไปหมดตลอด ไม่มีความหมายตลอดไปเลย
ธรรมนี่สร้างความหมายให้สัตวโลกนะ เมื่อมีคุณงามความดีได้สร้างไว้มากน้อย อันนี้ละเข้าไปแทรก ๆ ไปตัดทอนวัฏสงสาร วัฏวน ตั้งแต่เราเกิดมาตายมาสักเท่าไรนับไม่ได้ แล้วไปข้างหน้าก็จะนับไม่ได้ ทีนี้เวลามีวาสนาบารมีที่สร้างบุญสร้างกุศลแล้วมันก็ค่อยตัดย่นเข้ามา นี่ละอำนาจวาสนาบารมี ตัดย่นความเกิดตายที่เป็นไปด้วยความทุกข์นั้น ถึงยืดยาวขนาดไหนก็ตามก็ตัดให้ย่นเข้ามา ๆ ที่ว่านับไม่ได้ เหมือนอย่างกับที่เกิดตายมาแล้วนับไม่ได้ไม่ทราบว่ากี่กัลป์ ถ้าไม่มีคุณงามความดีก็นับไม่ได้อีกแบบเดียวกัน เท่ากัน แต่เมื่อมีคุณงามความดีแล้วก็ค่อยตัดเข้ามา ๆ ข้างหลังนับไม่ได้ ต่อไปข้างหน้าก็นับได้
ท่านยกตัวอย่าง อย่างพระอริยบุคคลตั้งแต่ขั้นพระโสดาขึ้นไปนี้ นับได้แล้วนะนี่ พระโสดานี้อย่างช้าจะไม่เลย ๗ ชาติ มาเกิดมาตายแต่ไม่ไปตกนรก ไม่ไปตกอบายภูมิ ลงจากสวรรค์ก็มาสร้างบารมีแล้วก็ไปสวรรค์ ๖-๗ ชาติแล้วก็ผ่านเลยไปเลย นี่เรียกว่าแน่นอนแล้วด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศล ถ้าไม่มีกุศลแล้วเท่านั้นแหละ อย่างกลางก็ ๓ ชาติ อย่างอุกฤษฏ์ก็มาเกิดเพียงชาติเดียวแล้วผ่านเลย เป็น ๓ ชั้น
นี่ละธรรมเป็นเครื่องตัดกระแสของวัฏจักรให้หดย่นเข้ามา ๆ คิดดูอย่างพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ โถ พิลึกนะสร้างบารมีมา อันนี้โลกเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าจะเอาแบบโลกมาใช้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่มีในโลกอันนี้ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ปรารถนาเสียสละเพื่อโลกไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้าเสียสละตลอด เวลาสร้างเป็นโพธิสัตว์โพธิญาณ โลกสละไม่ได้ โพธิสัตว์สละได้ ๆ อย่างนี้ละ เรียกว่าเสียเปรียบโลกทั่ว ๆ ไป ถ้าพูดเป็นแบบกิเลส ถ้าพูดเป็นธรรมแล้วเรียกว่าฉุดลากตลอดไป ทุกข์ยอมทุกข์ จนยอมจน เป็นยอมเป็น ตายยอมตาย ช่วยโลกตลอดมาจนกระทั่งตรัสรู้ขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า แล้วมาเล็งมามองดูอีกสภาพที่เคยเป็นมาของพระองค์
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ เกิดมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ พระญาณหยั่งทราบย้อนหลังไปได้หมดความเป็นมาของพระองค์ นี่ปฐมยาม
มัชฌิมยาม ก็พิจารณาดูความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลาย ก็เหมือนกันกับพระพุทธเจ้าที่เป็นมา เกิดตายแบบเดียวกัน ไม่มียุติเรื่องการเกิดการตายของสัตว์ จุตูปปาตญาณ คือ พิจารณาเรื่องความเกิดตายของสัตว์ อยู่อย่างนั้นตลอด ๆ ยิ่งมีมากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไปอีก ท่านจึงประมวลทั้งสองอย่างนี้มา เรื่องเกิดตาย ๆ นี้ทั้งเขาทั้งเราเป็นมาเพราะอะไรเป็นสาเหตุ ย่นเข้ามาหาสาเหตุที่พาให้เกิดตายคืออะไร ก็เข้าปัจจยาการล่ะซี อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ประมวลเข้ามาตรงนั้น
ปัจฉิมยามก็ตรัสรู้ธรรม เรียกว่า อาสวักขยญาณ ตรัสรู้ธรรมขึ้นในสุดท้าย เรียกว่าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในปัจฉิมยาม ท่านทรงเล็งรู้หมดแล้ว
นี่ละธรรม จึงว่าใครอย่าไปคาดไปหมายธรรม เอากิเลสไปคาดอย่าไปคาด กิเลสมันตัวสกปรกมันจะไปคาดธรรมที่ละเอียดลออสูงสุดเลิศเลอได้ยังไง คาดก็คาดอย่างนั้นแหละ คาดก็แบบหมาอยู่ในถังขยะนั่นแหละ เคยเห็นไหมหมาอยู่ในถังขยะ มันคาดมันก็คาดอยู่ในถังขยะ ทั้งกินอาหารเศษเดนในถังขยะ ทั้งเห่าวอก ๆ ทั้งกินอาหารเศษเดนิในถังขยะ ทั้งเห่าวอก ๆ มันวิเศษอะไร เงยหน้าขึ้นก็เห่าวอก ๆ ก้มลงไปก็ไปกินเศษเดนถังขยะ สัตวโลกกินเศษเดนถังขยะแล้วเห่าวอก ๆ ต้านทานอรรถต้านทานธรรม ไม่มีความหมายอะไรเลย มีแต่ขาดทุนสูญดอก ท่านผู้ที่ข้ามพ้นไป ๆ ผู้ที่เห่าวอก ๆ ก็เห่า
พวกเรามันขยันเห่าวอก ๆ มันเก่งนะเรื่องเห่าวอก ๆ ท่านสอนมาให้ประกอบความพากเพียรให้ขยันหมั่นเพียร วันนี้มันจะตายแล้วนี่จะทำความเพียรได้ยังไง วอก ๆ แล้วเข้าใจไหม แล้วก้มลงหมอนนั่นซิ เศษอาหารอยู่ในหมอนในเสื่อ วอก ๆ แล้วก็ก้มลงนั้น พอตื่นขึ้นมาก็ว่าสายแล้ววันหลังเอาใหม่นะ วันหลังเหมือนเก่า โฮ้ พวกวอก ๆ มันเหมือนเก่านั่นแหละ
โห ธรรมะนี้พูดจริง ๆ นะมันตีไปได้หมดจะว่ายังไง แขนงปั๊บนี้แตกแขนง ๆ ไปเท่าไร นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น จิตใจที่เป็นธรรมทั้งดวงแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีกิเลสเข้าเคลือบแฝงเข้ากีดเข้ากันแล้ว จึงโล่ง ถ้าว่าโล่ง-โล่งว่างไปหมดก็ยังไม่ถูกนะ แต่พอพวกถังขยะนี่คาดได้ก็เอา ธรรมพระพุทธเจ้าว่างไปหมด ให้พวกถังขยะคาด ธรรมท่านผู้เป็นอยู่แล้วท่านไม่ได้คาด พอเหมาะพอดีกับท่านเลย ต่างกันอย่างนั้นนะ
พอตรัสรู้ขึ้นมาแล้วทรงเห็นโทษแห่งวัฏจักรนี้ โถ จะสอนได้ยังไงเพราะมันมืดแปดทิศแปดด้าน พระองค์ก็เคยผ่านโลกอันนี้มา โลกมืดตื้อ แต่ผ่านมาด้วยบารมีสร้างความดี ถึงจะเหมือนโลกก็ไม่เหมือน ความดีแทรกอยู่แล้วประจำนิสัยของโพธิสัตว์ ท่านก็บึกก็บึนมาอย่างนั้น จนกระทั่งถึงเขตถึงแดนที่จะหลุดพ้นแล้วยังไงก็อยู่ไม่ได้แล้วที่นี่ นั่นเห็นไหมพระบารมีเตือนพระทัยให้อยู่ไม่ได้ ผู้ที่สร้างคุณงามความดีทั้งหลายมาก็เหมือนกัน เมื่อถึงกาลเวลาที่จะสุกจะงอมแล้วเอาไว้ไม่ได้เลย อยู่บนต้นก็หล่นลงมา บ่มก็สุก ไม่บ่มก็สุก ถึงกาลเวลาแล้วไม่มีทางเสีย มีแต่ทางที่จะสุกจะงอมอย่างเดียว วาสนาบารมีของสัตวโลกที่สร้างมา ๆ ด้วยความอุตส่าห์พยายาม มันก็สั่งสมกำลังความดีขึ้น ๆ หนุนขึ้น ๆ ต่อไปก็ถึงขั้นสุกขั้นงอม อยู่ไม่ได้
อย่างพระพุทธเจ้า แต่ก่อนท่านครองราชสมบัติอยู่ ๑๓ ปี ทรงรื่นเริงบันเทิงไปกับโลกกับสงสาร พอถึงกาลเวลาแล้วหากมีพระธรรมบันดลบันดาลให้เสด็จออกตรวจราชการงานเมือง วันหนึ่งไปทอดพระเนตรเห็นอันหนึ่งขึ้นมา สะดุดแล้ว พอถึงขั้นธรรมจะสะดุด เจออะไรสะดุดขึ้นเป็นธรรม ๆ เรื่อยเลยนะ พอตรวจ โถ นี่คนแก่หนาเป็นอย่างนี้ คนตายเป็นอย่างนี้ กระเสือกกระสนก่อนจะตายเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปเห็นสมณะพราหมณ์ผู้มีความสงบร่มเย็น ด้วยการบำเพ็ญสมณธรรม ก็เป็นคติธรรมอันหนึ่ง ได้ ๔ ข้อนี้แล้วมาประมวล จากนั้นก็เสด็จออกเลย เห็นไหมล่ะ พระบารมีธรรมบันดลบันดาลให้เป็นไปเอง
พวกนางสนมอะไรที่อยู่ในหอปราสาทราชวัง ประหนึ่งว่าเป็นเทวดาแต่ก่อนนะ แต่วันนั้นกลายเป็นป่าช้าผีดิบไปหมด เห็นไหมล่ะ หลับครอก ๆ แครก ๆ ละเมอเพ้อฝันประเภทต่าง ๆ ซึ่งไม่น่าดู ดูไม่ได้เลย นั่นเห็นไหม นั่นละถึงกาลเวลาพร้อมกันทุกอย่าง แล้วก็ออกเลย ทรงผนวช มีม้ากัณฐกะกับนายฉันนะอำมาตย์ ม้ากัณฐกะทานได้ ๒ คนนะ สิทธัตถราชกุมารกับฉันนะอำมาตย์ขี่ม้าตัวเดียวสองคนไปได้ ก็อย่างว่าละม้าปาฏิหาริย์ไม่ใช่ม้าธรรมดา ม้าปาฏิหาริย์ ม้าฤทธิ์ของธรรม ๑๐ คนก็ไปได้ว่างั้นเถอะน่ะ พลังของธรรม เวลาไปแล้ว ผนวชแล้วทรงสั่งให้ม้ากัณฐกะกลับกับนายฉันนะอำมาตย์ ม้าก็เลยตายอยู่ต่อพระพักตร์ มีนายฉันนะอำมาตย์มาส่งข่าวคราวให้ทางบ้านทราบ จากนั้นก็ตกนรกทั้งเป็น
ครั้งสุดท้ายที่ได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลกยังต้องตกนรกทั้งเป็น ตั้งแต่วันเสด็จออกทรงผนวชหาความสะดวกสบายที่ไหนได้ไม่มี มีแต่ความลำบากลำบนทนทุกข์ทรมาน ก็พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกทรงผนวช ที่อยู่ที่เสวยทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือนที่อยู่ของเทวบุตรเทวดา ที่เสวยของเทวบุตรเทวดา แต่ออกจากนั้นมาแล้วก็เป็นแดนนรกทั้งเป็น ไปหาขอทานเขากิน บิณฑบาตไปหาขอทานเขา แล้วคนสมัยนั้นก็ไม่มีศาสนาเสียด้วย ศาสนาเป็นพื้นอันดีงาม ก็มีศาสนาประจำบ้านประจำเมืองของเขาที่เสกสรรปั้นยอกันขึ้น ศาสนาไหนก็ว่าดี ๆ ของตัว เขาก็ให้ทานเป็นธรรมดา บิณฑบาตมาแล้วจะฉันไม่ได้จะเสวยไม่ได้นะอาหารในบาตร ไส้มันขดมันโขมันอะไร มวนท้องมวนไส้อยู่ในนั้นหมด จะเสวยไม่ได้
พระองค์ก็สอนพระองค์ ว่าอาหารเหล่านี้สกปรกโสมมอะไร ไม่น่าจะรับประทาน ย้อนเข้ามาที่อยู่ในท้องเรานี้มันสกปรกยิ่งกว่านี้ นั่นเห็นไหมล่ะ ทำไมมันอยู่ด้วยกันได้ อันนี้จะเอามาเสวยเอามากินเพื่อส่งเสริมบำรุงธาตุขันธ์ให้เป็นไปวันหนึ่งเพื่อสมณธรรม ทำไมจะรับไม่ได้ นั่นเอามาตีเป็นอย่างนี้ จึงทนเสวย จากนั้นเพราะความมุ่งมั่นในธรรมในความเป็นศาสดาเหลือล้นพ้นประมาณ เกินกว่าที่จะมาเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเสวย นั่นละท่านทนทุกข์ทรมานขนาดไหน จากนั้นก็อดพระกระยาหาร ทุกอย่างทุกแบบในพระประวัติของพระพุทธเจ้านะ
โอ๊ย อ่านแล้วเราสลดสังเวชใจ น้ำตาร่วง เวลาอ่านประวัติท่าน ได้รับความทุกข์ความทรมาน สลบถึง ๓ ครั้ง พระโลมานี้ร่วงไปหมดเลย อดพระกระยาหาร ๔๙ วันเพื่อจะตรัสรู้โดยการอดอาหาร ไม่มีทางจิตตภาวนาเข้าแทรกเลยก็ไม่สำเร็จ จึงพลิกมาพิจารณาย้อนหลังตอนยังทรงพระเยาว์อยู่ พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ ไปประทับนั่งอยู่ที่ร่มหว้าใหญ่ พิจารณาอานาปานสตินี้จิตสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา เลยย้อนไปเอานั้นมา พอจะเป็นทางตรัสรู้ จึงได้ปลดเปลื้องอะไรออกทั้งหมด ทีนี้จะเอานี้เป็นหลัก พอดีนางสุชาดาก็เอาอาหารไปถวาย เขาเรียกว่าไปเซ่นสรวงนั่นละ พอดีพระองค์อยู่นั้นเหมือนกับว่าเทวดาใหญ่องค์หนึ่ง เขาเอามาพระองค์ก็เสวยข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อน
เสวยแล้วก็ตั้งสัจอธิษฐาน ยึดเอาหลักอานาปานสติ ตั้งสัจอธิษฐาน ที่ตายกับที่ตรัสรู้เป็นอันเดียวกันไม่ยอมลุกขึ้นเลย เอ้า ตายก็ตาย ไม่ตายให้ได้ตรัสรู้ถึงจะยอมลุก พอดีพระกระยาหารทุกอย่าง ธาตุขันธ์เบาไปหมด พอพิจารณาเรื่องอานาปานสติก็ประกอบกันได้ดีซิ เป็นเครื่องหนุนแล้วร่างกายไม่มีกำลัง พอเข้าถูกทางปั๊บ ส่วนร่างกายที่เบาก็เป็นเครื่องเสริมการดำเนินธรรมได้คล่องตัว ๆ นั่นละเมื่อมีจิตตภาวนาเข้าแทรก การอดอาหารนี้เป็นประโยชน์ไปตาม ๆ กันหมด ถ้าอดอาหารเพื่อตรัสรู้อย่างเดียวไม่เกิด พออานาปานสติแทรกเข้าไปเท่านั้น สิ่งที่พระองค์เคยอดมามากมายนั้นเป็นเครื่องพยุงกันหมด พิจารณาวันนั้นตรัสรู้ธรรมปึ๋งขึ้นในคืนวันนั้นเลย
ทั้ง ๆ ที่เป็นศาสดาสอนโลกอยู่แล้ว พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมากลับท้อพระทัย ดูมืดตื้อไปหมดเลย โฮ้ ยังไง นั่นเป็นอย่างนั้นนะ แดนเหล่านี้เป็นแดนที่พระองค์เคยผ่านเคยพบเคยเป็นมาแล้วทั้งนั้นนะ ที่ว่าแดนมืดตื้อ แต่ก่อนก็ไม่เห็นโทษ มันก็คลุกเคล้ากันมากี่กัปกี่กัลป์ เกิดตาย ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มานี้กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่มีความเบื่อหน่ายอิ่มพอ ถึงวาระที่จะได้ตรัสรู้แล้วเพราะบารมีเตือน ๆ ทีนี้ค่อยเห็นโทษเห็นกรรมเรื่องความเกิดตาย สถานที่ไหนมีเกิด สถานที่ไม่เกิดก็คงมี เทียบกันเข้าแล้ว แน่ะ หาทาง จึงได้มาตรัสรู้ พอตรัสรู้แล้วก็เห็น มหาภัย ในวัฏจักรเป็นมหาภัยทั้งนั้น
แต่ก่อนคลุกเคล้ากันอยู่ เป็นยาพิษเคลือบน้ำตาลก็มีหวานมีขม มีสุขมีทุกข์เจือปนกันไปก็บืนกันไปอย่างนั้น บทเวลาเห็นจริง ๆ แล้วเป็นยาพิษล้วน ๆ เลย ดีดเลย ตรัสรู้แล้วจะไม่สั่งสอนโลก ทรงท้อพระทัย นี่ซิอัศจรรย์ไหมล่ะธรรม ใจดวงนี้นะ อยู่กับทุกคนทุกตัวสัตว์ แม้ที่สุดเชื้อโรคเล็ก ๆ ก็จิตดวงนี้ละมันเป็นไปได้ขนาดนั้น เป็นช้างทั้งตัวก็ได้ เป็นเชื้อโรคตัวเล็ก ๆ ก็ได้จิตดวงนี้ เป็นไปได้ทุกอย่าง ความละเอียดลออของจิต อำนาจแห่งกรรมหนุนอยู่ในนั้น เป็นไปได้ทั้งนั้น ทีนี้เวลาเปิดออก ๆ ให้มันเห็นประจักษ์กับผู้ปฏิบัติซิ เวลามันมืดก็เห็นชัด ๆ จนหาทางออกไม่ได้ มิหนำซ้ำจะไม่เสาะแสวงหาทางออก ยังจะหาทางเข้าอีกด้วย
นั่นเห็นไหมเวลามันหนา กล่อมเก่งไหมกิเลสกล่อมสัตวโลก มันไม่ได้มีความคิดแสวงทางออกนะ มีแต่จะหมุนเข้าเรื่อย ๆ ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่ยอมเห็นโทษของทุกข์ มีแต่หมุนไปเรื่อยก็ทุกข์ไปเรื่อย เวลาภาวนาทางด้านจิตใจเข้า ค่อยแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นข้อเทียบเคียงกัน ความว้าวุ่นขุ่นมัวเป็นที่นำมาแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ความสงบร่มเย็นนี้เป็นน้ำดับไฟ เรื่องเหล่านั้นสงบหมด อ๋อ นั่นจับได้แล้ว เป็นเครื่องทดสอบกัน ๆ ทีนี้เวลาจิตวุ่นมากเข้า ๆ ทางนี้ปักทางด้านภาวนาเข้าให้มาก จิตสงบเข้าไปปั๊บก็จ้าออก ๆ เด่นออก ๆ จิตดวงนี้น่ะ
ทีนี้เวลาออกจากนั้นแล้ว สำหรับสมาธินี้ไม่พิสดารนะ จะสว่างไสวขนาดไหนก็อยู่ในภูมิของสมาธิ มีขอบมีเขต มันสว่างไสวอัศจรรย์ตัวเองขนาดไหนก็อยู่ในขั้นนี้ ก้าวถึงขั้นปัญญานู่นละมันถึงชัด พอก้าวถึงขั้นปัญญา ถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติแล้ว ถึงมหาสติมหาปัญญานี่มันจ้า ๆ ใครมาคาดไม่ได้ เจ้าของเองก็คาดไม่ได้ ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นมาภายในจิตใจนี้ เรียกว่าบ่อแห่งธรรม บ่อแห่งความรู้เกิดขึ้นนี้ทั้งนั้น ๆ เลยที่นี่ เจ้าของเองก็คาดไม่ได้ ดีดอยู่ผึง ๆ อยู่อย่างนั้น ธรรมภายในใจเจ้าของก็คาดไม่ได้นะ จะรู้อะไร ๆ บ้างนี้ไม่ต้องบอก เจอปั๊บ ๆ เป็นเอง ๆ
พระพุทธเจ้ายิ่งเป็นศาสดาเอกของโลกแล้วเป็นยังไง เอามาเทียบซิกับพวกเราตัวเท่าหนูมันยังพูดได้นี่วะ นี่ก็พูดให้ฟัง พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ละผลแห่งการปฏิบัติ เราได้เห็นชัดในหัวใจของเราเอง เรื่องความรู้ความเห็นความเป็นต่าง ๆ นี้ที่เกิดขึ้นจากจิต เวลาจิตเปิดออกแล้วนี้อะไรปิดไม่อยู่นะ ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ มหาสมุทรทะเลหลวงมาปิด-ปิดไม่อยู่ จิตดวงนี้ไม่อยู่ในวิสัยสิ่งเหล่านี้ พุ่งเลย ๆ ทะลุไปหมด ๆ เลย สิ่งไม่รู้-รู้ สิ่งไม่เห็น-เห็น เห็นตรงไหน ๆ มีแต่เรื่องพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ๆ มันไม่ยอมได้ยังไง เจออะไรเข้าไป อ๋อ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ๆ ก็เห็นไปก่อนแล้วนี่ เอาแต่ของจริงมาสอนล้วน ๆ จึงเรียกว่าธรรมเป็นของจริงล่ะซี
กิเลสเป็นของปลอม-ปลอมตลอด ปิดตลอด ของจริงมีขนาดไหนของปลอมจะปลอมเข้าไปเลย ปิดมิด ๆ ไม่ให้รู้ให้เห็นเลย นี่ละสัตวโลกจึงหลวมตัวไปจมไป เวลานี้ก็กำลังปฏิเสธนรกไม่มี พวกนี้พวกจะลงนรกกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็มาตรัสรู้อันเดียวกันนี่ เพราะมีอยู่กี่กัปกี่กัลป์ใครนับได้เมื่อไร แล้วยังจะมีต่อไปอีก ตรัสรู้ขึ้นมาก็มาเห็นสิ่งที่มี ลบล้างมันได้ยังไง มีแต่บอกเหตุบอกผลสถานที่ดีชั่ว บาป บุญ นรก สวรรค์ บอกให้รู้เรื่องรู้ราว ให้เชื่อคนตาดี พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกโลกไม่ว่าพระองค์ใด แต่กิเลสโกหกหมด โคตรแซ่ปู่ย่าตายายของกิเลส เป็นโคตรแซ่ปู่ย่าตายายของจอมโกหกทั้งนั้น ใครเชื่อตามนั้นแล้วจมได้นะ จมก็เรานั่นแหละจม พระพุทธเจ้าท่านจะมาได้มาเสียอะไรจากเรา สอนด้วยความเมตตา ท่านผ่านไปหมดแล้ว
พูดถึงเรื่องความรู้ เวลามันได้รู้แล้ว จิตดวงรู้นี้รู้แตกกระจัดกระจายไม่มีขอบเขต ไม่มีฝั่งสมมุติใดมากีดขวางได้เลย เลยไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จะไม่ให้รู้เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ยังไง เพราะจิตนี้เป็นนักรู้ ทีนี้พ้นจากความปิดบังคือกิเลส พ้นจากนี้แล้วผางนี้มันออกหมดเลย เป็นอิสระเต็มตัว เวิ้งว้างพูดมันก็เข้ากันไม่ได้นะ แต่โลกอันนี้มีสมมุติก็ต้องพูดว่าเวิ้งว้าง ธรรมชาตินั้นไม่ได้สนใจกับเวิ้งว้างนะ มันหากเป็นตัวของตัวอยู่ในนั้นเสร็จในนั้นหมดเลย เจอเข้าตรงไหน ๆ หาที่สงสัยไม่ได้ ๆ นั่นละถึงเรียกว่ารู้จริง รู้จำรู้ตรงไหนสงสัยตรงนั้น รู้จริงไม่มีสงสัย
เช่นท่านบอกว่ารู้จำ คือเราไปเรียนมาจากคัมภีร์ใบลาน บอกว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ว่าไปเท่าไรมันสงสัยไปตลอดนะเพราะไม่เห็น จำได้เฉย ๆ จำได้แต่ชื่อ อันนั้นเห็นตัวจริงด้วย ว่าบาปก็กระเทือนขึ้นในหัวใจจริง ๆ ประจักษ์อยู่นั้นจะไปปฏิเสธได้ยังไงบาป บุญก็ดี ใจเป็นบ่อเกิดแห่งบุญแห่งบาปแห่งธรรมทั้งหลาย เกิดที่นี่ ๆ ไม่กระเทือนที่นี่กระเทือนที่ไหน แล้วปฏิเสธได้ยังไงก็เกิดอยู่กับเจ้าของ เห็นอยู่นั่น แล้วจะเอาอะไรมาปฏิเสธ ถ้าพูดถึงนรก สวรรค์ก็เหมือนกัน แบบเดียวกันเลย นี่เรียกว่าเห็นจริงรู้จริง เห็นจริงรู้จริง รู้จำเห็นจำ มันต่างกัน มันผิดกันนะ ความจำความจริงนี่ พอความจริงเข้าถึงไหน สิ่งจอมปลอมนี้ล้มไปหมดเลย
ดูซิอย่างวัดป่าบ้านตาด เราก็เชื่อว่าวัดป่าบ้านตาดมี แต่เป็นลักษณะอย่างไร ๆ มันก็สงสัยของมันไปอีก พอมาเจอเข้าแล้ว อ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้ ความสงสัยล้มไปหมดเลย นั่นก็อย่างนั้น
จึงว่าวิตกวิจารณ์ โอ๊ จะทำยังไง ยังจะมัวเมาเกาหมัดอยู่นี้ เห็นยาพิษเห็นฟืนเห็นไฟเป็นของดิบของดี คลุกเคล้ากันตลอดเวลาไม่มีวันอิ่มพอนี้ยังไงกัน ๆ เวลามันได้เปิดออกมันเปิดจริง ๆ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ต่อไปนี้ให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com