เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
หลวงปู่มั่นแสดงฤทธิ์เดชของใจ
เขาถ่ายอะไร เขาเรียกอะไร (ซีดีเจ้าค่ะ) ซีดี โอ๊ย เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยได้ยินได้เห็นไอ้ซีดีแซแดนี่ พึ่งมาเห็นวันนี้จะไม่ให้ถามได้อย่างไร ก็คนไม่รู้นี่ มันมีทุกแบบเดี๋ยวนี้ ส่วนมากมีแต่แบบกิเลสเจริญ ธรรมไม่ค่อยเจริญ ถ้าธรรมเจริญบ้านเมือง-จิตใจของประชาชนและทั่วโลกจะสงบเย็นใจสบาย พูดอะไรก็ฟังเหตุฟังผลรู้เรื่องรู้ราวของกันและกัน เรียกว่าธรรม คือธรรมจะต้องมีการพินิจพิจารณาใคร่ครวญ ถ้ากิเลสจะไม่ฟัง ดันทุรังคือกิเลส ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น เรียกว่ากิเลส ตัวเศร้าหมองมืดตื้อก็คือกิเลส อยู่ในหัวใจใดก็เศร้าหมองมืดตื้อ หาความสว่างไสวไม่ได้ ถ้าธรรมเข้าสู่ใจแล้วใจจะสว่างไสว สงบร่มเย็น ต่างกันนะ
พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงหลวงปู่มั่นเราตอนอยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่มั่น-หลวงปู่ฝั้น แล้วองค์ใดไปสองสามองค์ไปหาท่าน ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านนำออกใช้นะ ใช้วิชาภายในจิตใจของท่าน นำออกใช้ต่อลูกศิษย์ทั้งหลายเช่นท่านอาจารย์ฝั้นและท่านอาจารย์อ่อน ท่านอาจารย์อะไรบ้างนะ ไปจากโคราชไปหาท่านที่เชียงใหม่ ท่านแสดงฤทธิ์ของท่านออกมาให้เห็น พอไปถึงก็ไปพักวัดเจดีย์หลวงจังหวัดเชียงใหม่ ท่านอาจารย์ฝั้น-ท่านอาจารย์อ่อน ดูว่าสามองค์ด้วยกัน
นี่ละท่านแสดงฤทธิ์เดชของใจท่านออกให้บรรดาลูกศิษย์ได้เห็น ท่านอยู่ในป่า ท่านอาจารย์ฝั้น-ท่านอาจารย์อ่อน อาจารย์ไหนบ้างสองสามองค์ไป ไปก็ไปถึงวัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ท่านออกจากภูเขาลงมาเลย เห็นไหมล่ะ ไม่มีใครบอกท่านรู้ของท่านเอง ออกมา ท่านจะได้รถที่ไหนมาก็ไม่ทราบ กำลังคุยกันอยู่บนกุฏิ รถหลวงปู่มั่นไปจอดกึ๊กที่หน้ากุฏิหลังนั้นแหละ มองลงไปเห็น โอ้ นี่ท่านอาจารย์ โดดลงไปหาท่านที่หน้ากุฏิ ท่านลงรถ ท่านอาจารย์มาอย่างไร ทางนี้ด้วยความปีติยินดีเคารพเลื่อมใสหลวงปู่มั่นเต็มหัวใจ เพราะตั้งใจมาหาท่านแล้ว
ท่านอาจารย์มาได้อย่างไร มารถท่านว่า แล้วท่านอาจารย์มาอะไรล่ะ ก็มารับท่าน นั่นเห็นไหมล่ะ แล้วท่านอาจารย์ทราบได้อย่างไร ถามไปทำไม ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดเผยอยู่แดนโลกธาตุ คนหูหนวกตาบอดมันไม่เห็น ว่าอย่างนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าจ้าอยู่ เข้าในหัวใจใดจ้าไปหมด ท่านว่าอย่างนั้น นี่ท่านอาจารย์มั่นตอบท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าให้เราฟัง บอกว่ามารับท่าน ลงมาจากดอยอะไร ท่านอาจารย์ฝั้นไปจากโคราช พอไปถึงวันนั้นท่านก็ลงมาพอดี บอกว่ามารับท่าน
เราสรุปความเลย มารับท่านเอาไปพร้อมเลย บอกว่าตั้งหน้ามารับท่าน ว่าอย่างนั้นเลยเห็นไหมล่ะ นี่ท่านอาจารย์ฝั้นพูดเองนะ ท่านพูดแล้วแหม ขนพองสยองเกล้าอัศจรรย์เหลือเกิน ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าอย่างนั้นนะ เอาไปด้วยเลย ไปพักอยู่ที่ไหน บอกที่พักๆ ทุกแห่งเลย แต่เราลืมเสีย ท่านอาจารย์ฝั้นละเป็นคนเล่าให้ฟัง ไปกี่องค์ ดูท่านอาจารย์อ่อน องค์ไหนบ้าง พอไปทีนี้ลงไปอาบน้ำ กระต๊อบท่านอยู่ข้างบนพูดกันเรื่องอะไรๆ ท่านจับไว้หมดเลย ท่านอยู่กระต๊อบ ทางนี้ลงไปอาบน้ำสององค์ด้วยกัน ปรึกษากันว่าจะไปทางไหนๆ ดี
พอขึ้นไปท่านตอบทันทีเลย คิดจะไปไหนกัน มานี้ก็เหมาะสมแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น จะคิดไปที่ไหนอีก นี้ก็หมอบแล้ว เพราะคิดเรื่องอะไรพูดเรื่องอะไรท่านรู้หมดเลย ที่นี่เหมาะแล้ว ท่านว่า อยู่กับท่านเสียก่อน ไปที่ไหนท่านจะสั่งเอง ที่นี่ก็เหมาะแล้ว พอดีกลางคืนก็นั่งภาวนา จิตท่านอาจารย์ฝั้นก็ไม่ใช่เล่นนะ พอนั่งภาวนาจิตก็ลงเลย ท่านว่านะ ลงสว่างจ้าเลย พอจ้าแล้วก็กำหนดจิตไปดูท่าน(หลวงปู่มั่น) ท่านนั่งจ้องอยู่อย่างนี้ท่านว่านะ คือจิตส่งไปหาท่าน ท่านนั่งจ้อดูเราอยู่ตลอด
ทีนี้ก็ถอยจิตออกมาด้วยความเคารพ ได้โอกาสพอสมควรแล้วทีนี้จิตก็ไปอีก ท่านก็จ้ออยู่อีก เราสรุปความลงเลยซึ่งเป็นจุดสำคัญๆ คืนนั้นจิตของท่านลงขนาดหนัก สว่างจ้าไปหมด แล้วท่านอาจารย์มั่นนั่งดูอยู่ตลอดคืน ตอนที่ท่านจะทราบ พอออกจากกระต๊อบแล้ว ท่านอาจารย์ฝั้นท่านนิสัยชอบเรื่องข้อวัตรปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์นี้เก่งมากนะ ท่านอาจารย์ฝั้น ยิ่งกับท่านอาจารย์มั่นด้วยแล้วก็ยิ่งเคารพมาก พอเข้าไปปั๊บ ออกมาปุ๊บ วันนั้นจิตของท่านลงเต็มที่ พอออกมาธรรมดา ออกมาแล้วท่านออก ทางนี้จะเข้าไปขนเอาบริขารกาน้ำออกมาที่ฉัน วันนั้นไม่ออก พอมามายืนกึ๊กตัน(ปิด)ประตูไว้เลย แล้วหันหน้ามาใส่จ้อ ทางนี้ก็คุกเข่าประนมมืออยู่
เป็นอย่างไรศาสนาเจริญที่ไหนเห็นหรือยัง ท่านว่าอย่างนั้นนะ ยืนอยู่นั้นไม่ยอมให้เข้าไป ปิดประตู เรียกว่ายืนตันประตูอยู่นั้น ทางนี้ก็นั่งคุกเข่าอยู่ เป็นอย่างไรศาสนาเจริญที่ไหนรู้แล้วยังทีนี้ คือท่านดูท่านอาจารย์ฝั้นที่จิตลงสว่างจ้า ทางนั้นก็ดูอยู่ทางนี้ พอส่งจิตไปทีไรท่านจ้ออยู่อย่างนี้ เจริญที่ไหนจิต เมืองอินดงอินเดียที่ไหน ตื่นบ้ากันอะไร นั่นบทเวลาท่านว่า เจริญที่ไหน เมื่อคืนเจริญที่ไหนจิต จิตสว่างจ้า ผมดูท่านอยู่ตลอดคืนเมื่อคืนนี้ ผมก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน เอ้อ วันนี้เข้าท่าแล้ว ว่าท่านอาจารย์ฝั้นเข้าท่าแล้ววันนี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นว่า เออ อย่างนี้ซี ท่านก็บอกว่าท่านก็ไม่นอนเมื่อคืนนี้ ผมดูท่านนั่นเอง
ทีนี้จิตเจริญที่ไหน ศาสนาเจริญที่ไหน ท่านว่า เจริญที่เมืองอินดงอินเดียที่ไหนกัน เห็นไหมเมื่อคืนเป็นอย่างไร ทางนี้ก็หมอบลง ก็ท่านพูดเอาอย่างจังๆ ท่านเอาตับเรามาดูหมดแล้ว นั่นละธรรมเจริญเจริญที่ใจนะ สถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่อยู่อาศัยชั่วกาลเวลาเพื่อบำเพ็ญธรรม ให้ธรรมเจริญที่ใจต่างหาก ท่านยืนตันประตูไว้ ท่านไม่ให้เข้า คุยเสียบ้างพอสมควร นี่พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์มั่นท่านดู ผมดูจิตท่านเมื่อคืนทั้งคืน ผมก็ไม่ได้นอน เข้าท่าดี ท่านว่าอย่างนั้นนะ รู้แล้วยังศาสนาเจริญที่ไหน ท่านเห็นจิตของท่านอาจารย์ฝั้นสว่างจ้า ธรรมเจริญที่ไหน ผมดูท่านทั้งคืนเมื่อคืนนี้ ท่านว่า คือจิตของท่านอาจารย์ฝั้นลงสว่างจ้าเลย ทางนั้นก็มองมา ผมก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเมื่อคืนดูท่าน
นั่นเห็นไหมเวลาท่านออกใช้ต่อกัน เวลานั้นก็มีแต่ท่านกับเราคุยกัน ท่านอาจารย์ฝั้นพูดถึงเรื่องท่านอาจารย์มั่น บอกท่านไม่นอนทั้งคืน ดูท่านนั่นแหละใจท่าน ว่าธรรมเจริญที่ไหนเมื่อคืนนี้ ดูธรรมเจริญเจริญที่หัวใจท่านหรือเจริญที่ไหน ก็วันนั้นพอดีจิตของท่านอาจารย์ฝั้นลงสว่างจ้าไปหมด ทีนี้ธรรมเจริญที่ไหน ก็ธรรมเจริญที่หัวใจท่านอาจารย์ฝั้นที่จ้า เมื่อคืนผมก็ไม่ได้นอน ผมดูท่าน
นี่ละเวลาท่านออกแสดงต่อกันเป็นอย่างนั้น ของง่ายเมื่อไรจิตนี้ ให้ได้ฝึกดูซิน่ะ อะไรจะเลิศยิ่งกว่าจิต อะไรจะเลวยิ่งกว่าจิต ถ้าจิตไม่ได้ฝึกฝนอบรมปล่อยตามบุญตามกรรมแล้วเลวที่สุด ถ้าได้ฝึกฝนอบรมดีเท่าไรๆ ยิ่งดีเลิศเลอ ดังที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดถึงท่านอาจารย์ฝั้น เป็นอย่างไรศาสนาเจริญที่ไหนๆๆ จ้อมาเลย ท่านบอกผมก็ไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ ผมดูใจท่าน เห็นไหมเวลาท่านเอาออกใช้ต่อกัน ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ท่านเปิดเผยต่อกัน ผมก็ไม่ได้นอนเมื่อคืน ดูใจของท่าน ว่าศาสนาเจริญที่ไหน ท่านว่าอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ฝั้นมาเล่าให้ฟัง โอ๊ย พูดแล้วขนลุกซู่ ท่านว่าอย่างนั้นนะ สดๆ ร้อนๆ แหม อัศจรรย์ใจท่านอาจารย์ คิดอะไรไม่ได้นะ เวลาท่านออกใช้ต่อเราเฉพาะนี่คิดอะไรปั๊บท่านรู้ทันทีๆ เลย ท่านคิดดำริว่าจะไป ไปหาอะไร พอไปเจอหน้าไปหาอะไร ที่นั่นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ แน่ะเป็นอย่างนั้นละ พอคิดปั๊บท่านรู้ทันทีๆ นี่เวลาท่านเอาออกใช้ต่อลูกศิษย์ของท่านโดยเฉพาะ คนอื่นท่านก็ทำหูหนวกตาบอดไปเสียเหมือนไม่รู้
นี่ท่านอาจารย์ฝั้นเองเล่าให้ฟังอยู่ที่เชียงใหม่ โถ จึงอัศจรรย์ท่าน พอจิตเราสว่างขึ้นปั๊บนี้จิตของท่านยิ่งสว่างกว่าเราขนาดไหน ท่านจ้อดูเราอยู่ นั่นเห็นไหมล่ะ นั่นละธรรมเจริญที่ไหนเจริญที่ใจ ขอให้พากันอบรมใจให้ดี อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวปล่อยใจ โลเลโลกเลกหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ ไม่เกิดประโยชน์นะ รูปร่างกลางตัวมันเหมือนกันนั่นละคนเรา มันเป็นอยู่ที่จิตที่ได้รับการอบรมหรือไม่ได้อบรม จิตที่ได้รับการอบรมแล้วสว่างไสวดังที่ท่านพูดนั่นละ จิตไม่อบรมนี้มืดตื้อไปเลย กลางวันพระอาทิตย์สิบดวงมาส่องมันก็ไม่เห็น อันนั้นมืดยิ่งกว่าพระอาทิตย์ที่สว่างเข้ามา ให้ดูจิตมันมืดกว่านั้น ให้พยายามอบรมจิตใจของตน
เวลามันสว่างสว่างจริงๆ กองทุกข์มหันตทุกข์-สุขบรมสุขไม่อยู่ที่ไหน ดินฟ้าอากาศต้นไม้ภูเขาสามแดนโลกธาตุไม่มีที่อยู่ความทุกข์และความสุข มีอยู่ที่ใจแห่งเดียว ใจถ้าไม่ได้รับการอบรมทุกข์ที่สุด โลกธาตุกว้างแสนกว้างมาคับแคบอยู่ที่ใจ ถ้าใจได้รับการอบรมดีแล้วความสุขความทุกข์ที่ไหนจะมารู้กันที่ใจ เห็นกันที่ใจ แก้กันที่ใจ สว่างจ้าขึ้นที่ใจ ผู้ที่มาเป็นศาสดาสอนเราก็เป็นผู้สิ้นกิเลส โลกวิทูรู้แจ้งโลกนอกโลกใน โลกผีโลกคน โลกนรกอเวจี โลกสวรรค์ชั้นพรหมรู้หมด ผู้ที่มาสอนเราคือศาสดาองค์เอก จึงไม่มีที่สงสัย เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เพราะรู้ชอบเห็นชอบทุกสิ่งทุกอย่างนำมาสอนโลกจะผิดไปไหน
แต่พวกเรามันหูหนวกตาบอด มันไม่ยอมฟังเสียงศาสดาสอนน่ะซิ ฟังเสียงตั้งแต่กิเลส ตัณหาจูงจมูก จมูกขาดมันยังไม่รู้ ถูกกิเลสจูง ธรรมจูงมันไม่ยอมไป พากันอบรม วันว่างมันมี ทำไมมันจะไม่ว่าง ถ้าวันไหนมันก็ไม่ว่าง เวลาไหนก็ไม่ว่าง เวลาตายมันเอาความว่างมาจากไหน มันทำไมถึงตายได้ เวลาจะทำความดีมันไม่ว่างๆ เวลาตายมันเอาความว่างมาจากไหน มันตายได้ด้วยกันทุกคน ให้คิดอย่างนั้นซิคิดเจ้าของ หักเจ้าของเข้ามาสู่ความดี
ถ้าจะทำความดีงามไม่มีวันว่าง จะทำความชั่วช้าลามกว่างตลอดเวลา ทีนี้ย่นเข้ามาอีกเวลาจะทำความดีงามมันไม่ว่าง เวลาตายมันเอาความว่างมาจากไหนมันถึงตายได้ มันต้องว่างทุกคน เกิดกับตายเป็นของคู่กันให้คิดอย่างนั้น การประพฤติปฏิบัติจะไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าใจนะ ความทุกข์ความสุขอยู่ที่ใจ เวลาอบรมในทางที่ถูกที่ดีแล้วสว่างจ้าอย่างนั้นละ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านประเภทสว่างจ้านะ รูปร่างกลางตัวของท่านจะไปงกๆ งันๆ ก็ตาม สังขารร่างกายเป็นสภาพของสมมุติเหมือนท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน แก่เฒ่าชรามาแล้วก็งกๆ งันๆ แต่ใจท่านไม่ได้เป็นนะ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ นั่นละใจไม่มีวัย ธรรมไม่มีวัย
พากันศึกษาอบรมจิตใจให้สว่างไสวบ้างนะ ตั้งแต่เกิดมืดมาตลอด ท่านว่า ตโมตมปรายโน เกิดมาก็มืดบอด มากับความมืดบอด ตายก็ไปกับความมืดบอด ตโมโชติปรายโน เวลาเกิดมาก็มืดบอด เมื่อได้รับการอบรมอรรถธรรมเข้าสู่ใจแล้วไปสว่างไสว โชติโชติปรายโน เกิดมาก็เกิดมากับกองวาสนากับศีลกับธรรม ไปก็สว่างจ้าไป นั่นเป็นอย่างนั้น ให้พากันอบรม ใจถ้าไม่ได้รับการอบรมไม่มีค่าอะไรนะ ใจใครก็ตามไม่มีค่า
รูปร่างกลางตัวจะเอาอะไรมาตกแต่งก็ตกแต่งไปอย่างนั้นแหละ มันไม่มีวิเศษวิโสอะไร ประสาวัตถุต่างๆ เอามาประดับประดา ตัวของเราก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นซากผีดิบอยู่ในนี้ มันตกแต่งขนาดไหนมันก็ไม่สวยไม่งาม เพราะตัวมันเป็นซากผีดิบจะเอาความสวยงามมาจากไหน ประดับใจให้มันดีซิ ทำใจให้สว่างจ้า อันนี้มันจะหุ้มห่อด้วยวัตถุใดก็ตามใจสว่างจ้าแล้วพอ
ให้พากันอบรมจิตใจ ไม่เช่นนั้นตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ศาสดาองค์เอกแท้ๆ เป็นผู้มาสอนควรจะฟังเสียงท่านบ้าง นี้ฟังเสียงตั้งแต่กิเลสให้มันจูงจมูก เกิดมาชาตินี้ก็มืดดำกำตาจนกระทั่งวันตาย ไปเกิดในเมืองผีเข้าไปอีกนรกอเวจีไปอีก แล้วยิ่งจมลงไปๆ ใช้ไม่ได้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
วันนี้ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงท่านก็อุตส่าห์เสด็จมากับพระสวามีท่าน ท่านอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญ ท่านนั่งภาวนาเก่งนะ พวกนี้สู้ไม่ได้ เราจะว่าเราเป็นนักภาวนาอยู่ใกล้วัดใกล้วา ในวัดป่าบ้านตาด โอ๊ย มันก็เป็นอย่างว่าละ กาจับภูเขาทองพวกนี้ จะมาเอาภูเขาทองอันนี้ไปอวดท่านได้อย่างไร ท่านภาวนาเก่งอยู่นะนี่ พวกนี้มันภาวนาหรือเปล่าก็ไม่รู้ มานั่งเป็นกาจับภูเขาทอง เอาละพอ เทศน์เท่านั้นหยุด
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|