(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๕๐๐ คน)
วันที่ ๒๒ ส.ค.๔๓ ทองคำได้ ๑๙ บาท ๗๓ สตางค์ เมื่อวานนับว่าได้มากพอสมควร ดอลลาร์ได้ ๒๐๑ ดอลล์ รวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๑๑๒ กิโล ยังขาดอยู่ ๑,๘๘๘ กิโลจะครบจำนวน ๔,๐๐๐ กิโล ค่อยก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เราก็จะพยายามพาพี่น้องชาวไทยเราหาสมบัติอันมีค่าเข้าสู่คลังหลวงของเรา ทองคำอย่างน้อยให้ได้ ๔,๐๐๐ กิโล รวมเนื้อรวมหนังเป็นตนเป็นตัวแล้วให้ได้ ๔,๐๐๐ กิโล ส่วนเงินสดอีก ๘๐๐ ล้านนั้นเราจะซื้อทองคำเข้าต่อยอด เรียกว่ายอดเจดีย์ เจดีย์ของชาติไทยเรา พี่น้องทั้งหลายให้หามารวมกัน ๔,๐๐๐ กิโล นี้เป็นต้นของเจดีย์ อีก ๘๐๐ ล้านนี้เป็นอย่างน้อยเราจะซื้อทองคำเข้าต่อยอด รวมแล้วก็คงไม่ต่ำกว่า ๖,๐๐๐ กิโล
สำหรับ ๕๐ กว่าล้านนั้นน่าจะไม่ไปไหนละ เพราะจิตของเราผู้ควบคุมการเงินมันหมุนอยู่ในทองคำ ไม่ได้ออกทางนี้ ออกช่วยประชาชนคือเงินหมุนเวียน เราก็ออกอยู่ตลอดอย่างนี้จะว่าไง เป็นเงินหมุนเวียนที่เราออกช่วยชาติบ้านเมือง สร้างโรงร่ำโรงเรียน ตึกโรงพยาบาล ที่ราชการต่าง ๆ ก็หมุนเวียนช่วยอยู่ตลอด ๆ แล้ว ส่วนทองคำรู้สึกว่ามีน้อยอยู่มาก เราจึงได้เน้นหนักทางทองคำ ให้ได้ทองคำเข้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้วสิ่งเหล่านั้นก็ไม่เป็นไร อดบ้างอิ่มบ้างไม่เป็นไร ขอให้มีหลักเกณฑ์เอาไว้ในชาติไทยของเรา เรามีความมุ่งมั่นอย่างนั้นนะ จึงต้องได้หนักทางทองคำ นี่เราก็พูดไว้ว่า ๕๐ กว่าล้านนี้เราจะแยกไปเป็นเงินหมุนเวียน
ส่วน ๘๐๐ ล้านใครแตะไม่ได้เราประกาศแล้ว เราออกคำไหนเป็นคำนั้นนะเราไม่เหมือนใคร ลงได้ลั่นไปแล้วเป็นขาดสะบั้นไปเลย ๘๐๐ ล้านนี้จะหมุนเข้าสู่ทองคำทั้งนั้น ส่วน ๕๐ ล้านยังมีข้อแม้อยู่ หากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ จะเป็นเงินหมุนเวียน ด้วยเหตุผลกลไกอะไรที่จำเป็นจริง ๆ ซึ่งควรจะมาเกี่ยวข้องกับเงิน ๕๐ กว่าล้านนี้เราก็จะแยกออกช่วย หากว่าธรรมดา ๆ นี้เราก็ยังไม่แยกนะ เราจะหมุนเข้าสู่ทองคำให้ได้ทองคำมาก ๆ
ดอลลาร์เราอยู่ในคลังหลวง ๔,๒๗๘,๐๐๐ ดอลล์ อยู่ที่ธนาคาร ๙๖๗,๐๑๖ ดอลล์ รวมแล้วเวลานี้เงินเราที่อยู่ในธนาคารและคลังหลวงนั้น เป็นจำนวน ๕,๒๔๕,๐๑๖ ดอลล์ เป็นเครื่องหนุนเงินไทยเราให้แข็งตัวขึ้น ถ้าอันนี้ไม่มีมากเหยียบ..แหมตีนไอ้หรั่งมันสำคัญนะ หัวเราก็สำคัญมาก ตีนไอ้หรั่งก็ตีนสูง หัวไทยเราก็ต่ำมาก นี่ซิที่มันน่าโมโหนะเรา ลูกไอ้หรั่งมาสองสามคนนี้ ตีนมันอยู่ฟากเมฆนู่น หัวเราอยู่ต่ำกว่า มันโมโหนะเรา เราก็มีตีนเหมือนกัน ไอ้หรั่งมันก็มีหัวเหมือนกัน ฟาดหัวมันลงทะเลซี นี่ที่ช่วยอยู่เข้าใจไหม มีหัวใจด้วยกันนี่ ที่เราพูดเราพูดอย่างนี้นะ อะไรเข้ามาก็เหยียบเอา ๆ ทำไมหัวชาติไทยเราต่ำมาก ไม่มีมุมานะกันบ้างเหรอ มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเหรอ นี่ซิมันทำลายตัวเอง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นการทำลายตัวเองไม่รู้เนื้อรู้ตัว จับจ่ายใช้สอยไม่มีประมาณ แล้วก็ถูกเหยียบลงทุกวัน ๆ เศรษฐกิจมันกระจายถึงกันหมดทั่วโลกจะว่าไง เราไม่มีมุมานะบ้างไม่ได้นะชาติไทยของเรา ได้มาเท่าไรก็จับจ่าย ๆ จ่ายไม่พอไปกู้หนี้ยืมสินเขามายุ่งไปหมดนะ
เมืองไทยเรานี่ชอบรื่นเริงบันเทิงมากที่สุด ไม่ว่าภาคไหนพอ ๆ กัน ภาคอีสานเป็นที่หนึ่ง ภาคอีสานภาคหลวงตาบัวนี่มันขายหน้าหลวงตาบัวเหลือเกิน มันชอบรื่นเริงบันเทิง อย่างบั้งไฟก็เหมือนกัน นู่นมันไปโชว์อยู่ที่ลพบุรี ไปโชว์ความเลวของมันภาคอีสาน ท่านเจ้าคุณอุบาลีนั่นละเป็นตัวการใหญ่ เอ้า พูดตรง ๆ อย่างนี้จะเป็นอะไรไป พูดสนุกเป็นอะไรไป ท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านอยู่วัดพระงาม คนเคารพนับถือท่านทั่วประเทศไทยนั่นแหละ ทีนี้เวลาท่านจะฉลองพระงาม ท่านก็บอกมาทางภาคอีสาน ใครมีฝีไม้ลายมืออะไรให้ไปโชว์กัน ต่างคนต่างได้มา ๆ ใครมีฝีมือยังไงเอามา พวกพลุ ตะไล บั้งไฟ เขาเอาไปแห่กัน มันชอบสนุกอย่างนี้ แห่จนพวกนั้นงงเลย
เวลาเขาแห่บั้งไฟ เขาจะเอาบั้งไฟขึ้น จุดบั้งไฟขึ้นโชว์ฝีมือของเขา แต่ก่อนขึ้นเขาต้องวางลวดลายเสียก่อน สนุกสนาน เขาเรียกเซิ้ง เรียกฟ้อน ขึ้นเสียงพร้อมกัน เพราะเขาฝึกซ้อมมาแล้ว เขาไม่ได้ขึ้นคนละคำสองคำนะ ขึ้นพร้อมกันเลย เพลงฝึกของเขาเขาฝึกมาอย่างช่ำชองแล้วก็มาออก แห่ พอแห่ไปรอบ ๆ ก็ร้อง ขึ้นก็จะซี บ่ขึ้นก็จะซี คือบั้งไฟนั่นจะขึ้นก็ตาม ขึ้นก็จะซี ไม่ขึ้นก็จะซี เอ๊ เขาว่าอะไร ท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านก็นั่งอยู่ พวกกรุงเทพเต็มอยู่นั้นก็ลูกศิษย์ของท่าน นี่เขาว่าอะไร ขึ้นก็จะซี ไม่ขึ้นก็จะซี หมายความว่ายังไง โอ๊ย อย่าให้พูดเถอะ เรื่องความสกปรกลามก ความสนุกสนานของเขา เขาใช้เป็นขบวนแห่ของเขา สนุกสนานเขาเฉย ๆ อย่าฟังเลย มันหมายความว่ายังไง อย่าให้พูดเลย พวกนี้ไม่ฟัง จะให้แปลให้ฟังจริง ๆ เหรอ ก็แปลซิอยากจะทราบเรื่องราวมันเป็นยังไง ถ้างั้นตั้งตัวให้ดีนะ ขึ้นก็จะเย็ด ไม่ขึ้นก็จะเย็ด ว๊าย มันยังไงกันนี่ ก็บอกแล้ว ตั้งตัวให้ดี มันยังไงกันนี่มันจะเอาทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งพูดทั้งหัวเราะลั่นกันไปหมด
พวกสนุกพวกภาคอีสานนี่เก่งนะ ไปที่ไหนเล่นกันสนุกสนาน เรื่องถือสีถือสาไม่มีแหละ เห็นกันนัวเนียเลย ก็ดีอย่างหนึ่ง คือน้ำใจมีต่อกัน สนิทสนม ถ้าพูดถึงเรื่องความสนุกสนานภาคอีสานที่หนึ่งละ ภาคหลวงตาบัวมันขายหน้าเหลือเกินนะ หลวงตาบัวก็ชอบเอามาพูดขายหน้าตัวเองและภาคอีสานด้วยนะ อย่างพูดตะกี้นี้ก็หลวงตาบัวพูดนะ เขาสนุกสนานแต่เขาไม่ได้พูด เราพูดนี่ออกทั่วกรุงเทพ ประเทศไหนก็ออก สุดท้ายก็หลวงตาบัวเป็นหัวหน้าภาคอีสาน สนุกสนาน
อะไรเราก็ต่ำกว่าเขา ๆ ควรคิดซีคนไทยเรา ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองนะ ไม่ใช่จะเร่ ๆ ร่อน ๆ สนุกสนานไม่คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเลย ไม่มีเนื้อมีหนัง ไม่มีแกน ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เสียได้นะ เราเตือนเสมอสอนเสมอ เอาหลักธรรมศาสนามาสอน ธรรมศาสนาท่านมีหลักทุกอย่าง ศาสนาพุทธเรานี้หาที่ต้องติไม่ได้เลย อย่างสอนฆราวาสนี้ก็เหมือนกัน สอนฆราวาสหาอยู่หากิน
อุฏฐานสัมปทา ให้ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร อย่าขี้เกียจขี้คร้าน การขี้เกียจขี้คร้านนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย หมดคุณค่าหมดราคา ให้มีความขยันหมั่นเพียรในกิจการงานที่ชอบ ท่านสอนไว้เรียบร้อยแล้ว
อารักขสัมปทา ครั้นได้มาแล้วให้เก็บหอมรอมริบ ควรจะใช้จ่ายในทางไหน ควรจะเก็บไว้เพื่ออะไร ๆ บ้าง ครอบครัวของเรามีความจำเป็น เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนมานี้ ก็เป็นความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายสมบัติ ท่านสอนไว้หมดนะ ให้มีการเก็บรักษา อย่าได้มาเพื่อสุรุ่ยสุร่ายอย่างเดียว ได้มาเพื่อเกี่ยวกับความจำเป็น ท่านก็สอนไว้
สมชีวิตา การเลี้ยงอัตภาพในครอบครัวหนึ่ง ๆ ให้เลี้ยงแต่พอเหมาะพอดีกับครอบครัวของตน ๆ อย่าให้ฟุ้งเฟ้อเกินเนื้อเกินตัวเกินฐานะของตัวเอง ท่านก็สอนขนาดนั้นนะ
กัลยาณมิตตตา การคบค้าสมาคมให้คัดเลือกคน มองดูกันสังเกตกันก็รู้คนดีคนชั่ว กิริยาท่าทางมันแสดงออกมาจนได้นั่นแหละคนดีคนชั่ว ควรคบค้าสมาคมไม่ควรคบ ให้เลือกเฟ้นเสียก่อน อย่าคบสุ่มสี่สุ่มห้า การคบค้าสมาคมไม่เลือกนี้เสียตัวได้
คิดดูซิท่านสอนขนาดนั้นนะ นี่ละ ๔ ข้อเป็นข้อสำคัญ มันครอบโลกแล้วนี่ การทำมาหาเลี้ยงชีพให้มีความขยันหมั่นเพียร อย่าขี้เกียจขี้คร้านในการงานที่ชอบของตน ๆ ได้มาแล้วมีส่วนจัดส่วนแบ่งไว้สำหรับเก็บรักษาเวลาจำเป็น เราใช้สอยประจำวันที่มีความจำเป็นอีกทางหนึ่ง ๆ ให้คัดให้เลือกเอาไว้ อย่าสุรุ่ยสุร่าย ได้มาเพื่อจ่ายถ่ายเดียวใช้ไม่ได้ การอยู่การกินก็เหมือนกัน ให้รู้จักประมาณในการอยู่การกิน ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
ดังที่เขาเลี้ยงกัน โต๊ะหนึ่ง ๆ โถ เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ เป็นล้านก็มีฟังว่า เราก็คันฟันขึ้นทันทีมันโมโหนี่นะ เกิดมาแต่พ่อแต่แม่หลวงตาบัว ไม่เคยพ่อแม่พากินเลี้ยงหมดเงินแม้แต่บาทหนึ่งก็ไม่เคยเห็นมี นี่มันฟาดเป็นล้าน ๆ เหยียบหัวหลวงตาบัวกับโคตรหลวงตาบัวแหลกเลย มันโมโห หลวงตาบัวก็ฟัดเอาบ้างซิ หัวคนมีราคาใช่ไหม เหยียบหัวเราแหลกไปนี่ ด้วยความฟุ้งเฟ้อ โต๊ะละแสนละล้าน ฟังซิ มันเลี้ยงหาพ่อหาแม่มันอะไรก็ว่างั้นซิ มันโมโห เลี้ยงด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความลืมเนื้อลืมตัว อยากให้เขายกยอว่าตัวมีเงินมีทอง มียศถาบรรดาศักดิ์สูง เลี้ยงเอาเพียงลมปากเท่านั้นนะ ความฉิบหายมันไม่ได้ดูคนนะ มันอยู่กับการใช้จ่ายไม่รู้จักประมาณ ฉิบหายตรงนั้นนะ ไม่ได้ไปอยู่กับยศ กับลาภ ชื่อเสียงอะไรนะ มันอยู่กับความจ่ายนั่น จึงต้องระมัดระวัง
นี่ละพูดถึงเรื่องการอยู่การกินให้รู้จักประมาณ การคบค้าสมาคมก็เหมือนกัน ต้องคบค้าสมาคมกับคนที่ควรคบ ไม่ควรคบอย่าคบ ท่านสอนไว้หมดทุกอย่าง ธรรมพระพุทธเจ้า
อะไรก็ไม่หนีจิตใจนะ เหล่านี้เราประมวลมาหมดเลย ถ้าจิตใจไม่มีธรรมเข้าเป็นน้ำดับไฟให้สงบพอประมาณบ้างแล้ว มันจะดีดจะดิ้นเป็นฟืนเป็นไฟ พาเจ้าของเป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมดนั่นแหละ เพราะตัวอยู่ภายในนี้คือกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟ มหาภัยอยู่ที่นั่น มันจะผลักจะดันออกตลอดเวลาไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีบกบางเรื่องกิเลส ยิ่งได้เสริมด้วยแล้วยิ่งไปใหญ่นะ น้ำดับไฟก็คือทำใจของเราให้มีความสงบบ้าง ถ้าใจสงบแล้วสิ่งเหล่านี้จะลดตัวมันลงโดยลำดับ เพราะจิตไม่พาฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม จิตมีความสงบเย็น มีที่พึ่งที่เกาะภายในตัวเองแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จางไป ๆ
ทีนี้มันไม่มีความสงบนั่นซี มันคว้าเอานั้นคว้าเอานี้มาเป็นหลักยึด คว้าตรงไหนก็คว้าน้ำเหลว ๆ สุดท้ายก็จมไป คว้าตรงไหนก็พัง ๆ เพราะไม่ใช่สาระที่ควรจะให้เป็นประโยชน์แก่จิตใจ เป็นที่พึ่งของใจได้ ใครมาก็มีแต่คว้าแต่สิ่งภายนอก ภายในใจไม่มีที่เกาะที่ยึดก็คว้าภายนอก ก็มีแต่ล้มเหลวไป มันจึงล้มเหลวไปตาม ๆ กัน ถ้าจิตใจได้รับการอบรมบ้างพอประมาณแล้วสิ่งเหล่านั้นจะจางไปนะ พอจิตใจสงบมันเห็นคุณค่าทันทีเลยนะ ใจของเราสงบเย็นลงไป
ภาวนานะ ฝึกหัด การภาวนาอย่าทำอ่อนแอ คือสมมุติว่าเรานั่งภาวนาเราจะกำหนดธรรมบทใดนี้ ให้จริงจังกับธรรมบทนั้น ประหนึ่งว่าไม่มีงานใดในโลก มีแต่งานคำภาวนาของเรา เช่น เรากำหนดพุทโธ ให้สติอยู่กับพุทโธ รู้กันอยู่เท่านั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับอะไร มันห่วงนั้นห่วงนี้ คือตัวนี้ตัวห่วงมันดันออกไปให้คิดเรื่องเหล่านี้ เราไม่ให้มันออก ให้อยู่กับคำบริกรรมพุทโธ ๆ เป็นความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดนี้เป็นธรรม เป็นน้ำดับไฟ ความคิดของกิเลสเป็นไสเชื้อเข้าไฟ ต่างกันนะ คิดทางโลกคิดไม่อิ่มไม่พอจึงเดือดร้อนตลอดเวลา ผลของมันเป็นอย่างนั้น แต่คิดทางธรรมคิดมากเท่าไร รักษามากเท่าไรยิ่งสงบเย็นเข้ามา ๆ
พอจิตมีความสงบเย็นบ้าง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่เคยเดือดร้อนวุ่นวายดีดดิ้นนั้นน่ะ มันจะสงบตัวเข้ามาในตัวของมันเอง เพราะตัวนี้ไม่พายุ่ง ตัวนี้มีหลักยึด เหล่านั้นจะค่อยหดตัวเข้ามา ๆ หดเข้ามามากแล้วในใจของเรามีแต่ความเด่นดวง มีแต่สาระสำคัญ ๆ แล้วมันจะไปยุ่งอะไรกับสิ่งภายนอก พอได้หลักภายในเท่านั้นจิตมันก็หมุนเข้ามาภายใน แล้วภายนอกมันปล่อยของมันเอง ๆ
ถ้ามีการภาวนาบ้าง ชาวพุทธของเรานี้จะมีการยับยั้งชั่งตัวได้ดี อันนี้ไม่มีภาวนา แม้แต่พระก็ไม่ได้สนใจภาวนาจะว่าไง เพราะฉะนั้นมันถึงดีดดิ้นแบบเดียวกันกับโลกเขา พระกับโลกไม่ได้ผิดแปลกกัน ถ้าไม่มีธรรมรักษาใจเสียอย่างเดียวเท่านั้น หัวโล้นกับผ้าเหลืองไม่มีความหมายอะไร กิเลสเหยียบแหลกหมดนั่นแหละ ถ้ามีธรรมภายในใจ ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ ธรรมไม่นิยมเพศวัย เอากำกับกับใจไว้ให้ระมัดระวังใจของตัวอยู่เสมอ แล้วยิ่งภาวนาลงไปจิตได้รับความสงบเย็นเท่านั้น มันจะเห็นคุณค่าในใจทันที ๆ แล้วสิ่งภายนอกที่เคยยุ่งเหยิงวุ่นวายจะจางเข้ามา ๆ มาสู่สาระสำคัญคือใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน สงบเย็น สบาย เราอยากให้เห็นหลักอันนี้เป็นสำคัญ
เรื่องภายนอก ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่ต้องบอก มันลดตัวของมันไปเอง เพราะตัวไม่รู้จักประมาณอยู่ที่ใจ พอน้ำดับไฟลงไป ทีนี้ความรู้จักประมาณก็มีขึ้นมาเอง โลกมันดิ้นมันดีดตลอดเวลา ใครเห็นที่ไหนว่าเจริญ ทั่วโลกนี้ที่ไหนเจริญ เอามาอวดกันซิน่ะ อวดธรรมว่างั้นเลย มันเจริญที่ไหน มีแต่ไฟเผาโลกตลอดเวลา เมืองไหนก็ตาม ประเทศไหนก็ตาม เราดูตั้งแต่วัตถุสิ่งของที่กิเลสหลอกให้ไปเป็นบ้ากับมัน ว่าอันนั้นดีอันนี้ดี ตึกรามบ้านช่องถนนหนทาง ทุกสิ่งทุกอย่างเขาสวยงามดี บ้านนั้นเจริญ มันเจริญอยู่ที่อิฐที่ปูนที่หินที่ทรายโน่น ที่ไปก่อตั้งขึ้นเป็นบ้านเป็นช่อง มันเจริญอันนั้นต่างหาก มันไม่เจริญที่ใจ ใจเป็นฟืนเป็นไฟไปอาศัยเกาะเขาอยู่ ว่าอันนั้นดีก็ไปเป็นอารมณ์นิดหน่อย ๆ เท่านั้นเอง หัวใจไม่ดีมันอยู่ได้ยังไงคนเรา
ความร้อนนี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่ทุกหัวใจ พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้ละนะ อันนี้ไม่ได้ลดลงเลยโลกมันเจริญได้ยังไง มันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ในจุดที่บุคคลไม่ดูนั่นแหละ หัวใจแต่ละดวง ๆ มันไม่ได้ดูหัวใจตัวเองเลย มันร้อนหรือมันเย็น มันดูตั้งแต่ภายนอก ไปเห็นแต่ภายนอก ตื่นกับภายนอกอันนั้นเจริญอันนี้เจริญ ว่าเมืองนั้นเมืองนี้เจริญ ๆ เป็นบ้าไปตาม ๆ กันหมด มันเจริญที่ไหน หัวใจไม่มีธรรมอย่าเข้าใจว่าจะเจริญ ไม่เจริญ ตายจมไปด้วยกันหมดไม่ว่าที่ไหนแหละ จึงต้องอบรมใจให้มีความสงบเย็น ทีนี้เวลาสงบเย็นแล้วมันเจริญที่นี่นะ ความสงบร่มเย็น ความมีฝั่งมีฝา ความเป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองจะขึ้นที่ใจ ๆ ทีนี้ปล่อยวางสิ่งไม่เป็นสาระเหล่านั้น นี่เจริญที่นี่นะไม่ได้เจริญที่ไหน
เราอย่าเข้าใจเจริญภายนอกแบบกิเลส นั้นคือเจริญด้วยฟืนด้วยไฟกิเลส ธรรมพาเจริญด้วยน้ำด้วยท่าชุ่มเย็นตลอดเวลา ให้พากันอบรมจิตใจบ้าง นี่พูดจริง ๆ เราพูดออกไปนี้เขาจะหาว่าหลวงตาบัวเป็นบ้า ตั้งแต่พูดอย่างนี้ก็อาจเป็นแล้ว โลกนี้มันเจริญที่ไหน มันเป็นไฟไปทั่วโลกดินแดนว่าอย่างนี้ โลกที่ไหน เมืองนั้นเขาเจริญ เมืองนี้เขาเจริญ อันนั้นอันนี้เจริญ เอานั้นมาอวดเสีย เอาขี้หมามาอวดธรรมฟังซิ หัวใจที่เจริญมันจ้าไปหมดฟังซิน่ะ ใจเจริญเพียงดวงเดียวมันจ้าไปหมด เห็นไปหมดเลย
แต่ธรรมเห็นไม่เหมือนกิเลสเห็น กิเลสเห็นอยากโอ้อยากอวด อยากผยองพองตนเหล่านี้ ธรรมเห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ เพราะไม่มีอะไรเป็นข้อหนักหน่วง เป็นความพอเหมาะพอดีตลอดเวลา นี่ละพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญท่านมองดูโลกท่านมองดูอย่างนั้นนะ มันเจริญที่ไหน มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไปหมด ใครอย่าว่าประเทศไหนเจริญ ๆ มันมีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้นเผาอยู่ที่หัวใจ ถ้าธรรมเจริญที่ไหนในใจแล้ว นั่นละผู้นั้นเจริญ ที่นั่นเจริญเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าลงธรรมได้เจริญในใจอยู่ไหนสบายหมด ไม่ยุ่งกับอะไรนะ การอยู่การกินการใช้การสอยก็พอเยียวยาไปเท่านั้นละ เพราะหลักใหญ่เราได้ไว้แล้ว เครื่องปลื้มปีติอบอุ่นอะไรอยู่ในนี้หมดแล้ว ปล่อยใจได้กับนี้เลย อันนั้นปล่อยไม่ได้นะ ดีดดิ้นกันอยู่ตลอดเวลา
เราจึงอยากให้ทำใจให้สงบบ้างชาวพุทธเรา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวนะ ทำใจให้สงบ ใจเวลานี้ถูกกิเลสบีบบี้สีไฟอยู่จึงเหมือนว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย เป็นบ๋อยของกิเลสตลอดไป พอธรรมได้แทรกขึ้นมานี้จะกลายเป็นนายของกิเลสละที่นี่ พอเป็นนายของกิเลสแล้วชุ่มเย็น ธรรมเป็นนายชุ่มเย็น กิเลสเป็นนายเดือดร้อน ต่างกันนะ เป็นนายของใจนั้นแหละ ใจเวลานี้เป็นบ๋อยของกิเลส ไม่ได้เป็นนายของกิเลส ใจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นนายของกิเลส กิเลสไม่มีในใจท่านเสียด้วย ท่านสนุกดูล่ะซิ ดูอะไรก็เห็นหมด อะไรมาปิดได้วะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละนะ เอาละ ให้ศีลให้พร
เอ้า พวกพระธาตุพนมจะกลับวันนี้เหรอ ได้เห็นหลวงปู่มั่นไหมล่ะ ทันหลวงปู่มั่นไหม (ไม่ทันค่ะ แม่ทันอยู่ค่ะแต่ไม่ได้เห็นบ่อยเหมือนหลวงปู่เสาร์) หลวงปู่เสาร์ท่านอยู่สกลนคร นครพนม ท่านมักจะอยู่เป็นประจำ หลวงปู่มั่นท่านเข้าป่า ๆ ท่านมาจากวัดอ้อมแก้ว (วัดเกาะแก้ว ค่ะ) เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่ แต่ก่อนจริง ๆ เขาเรียกว่า วัดอ้อมแก้ว เขาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดเกาะแก้วใช่ไหม สมัยนั้นเขาเรียกวัดอ้อมแก้ว มันมีน้ำอยู่ทุกแห่ง เป็นเกาะ ๆ เดี๋ยวนี้เขาตั้งชื่อใหม่เราจำไม่ได้ จำได้แต่ชื่อเก่า เราอยู่กับท่านจากนั้นก็เดินไปวัดฝั่งแดง ท่านเป็นไข้หวัดใหญ่ เดินไปค้างที่วัดฝั่งแดง วัดนั้นสงัดดี ไม่มีพระ เป็นวัดร้าง เราไปรอรับท่านเราก็ไปพักวัดนั้นแหละ คนเดียวเรา เราออกจากบ้านนาสีนวล นั่นเราก็อยู่คนเดียวเหมือนกัน ออกเดินทางไปรอรับท่านที่ธาตุพนม ก็กะว่าเมื่อวานเผาศพ(หลวงปู่เสาร์) วันนี้ท่านคงกลับ ท่านไม่อยู่แหละ เกลื่อนกล่นท่านไม่เอา นิสัยท่านไม่ชอบ
พอวันท่านกลับ เราก็ออกเดินทางจากนาสีนวลไป เราไปพักวัดนี้(วัดฝั่งแดง)แล้วก็ไปสืบถามเขาตามแถวนั้น ทราบว่าท่านอาจารย์มั่นกลับมาแล้วยัง (กลับมาแล้ว เวลานี้พักอยู่วัดอ้อมแก้ว มาเมื่อวานนี้) พอดีเลยนะ (มาถึงเมื่อวานนี้ อยู่วัดอ้อมแก้ว) เราก็ตามไปหาท่านเลย แต่เราไม่ได้เอาบาตรไป ตามไปหาท่านไปถึงวัดอ้อมแก้ว ไปอยู่กับท่านนานจนดึกถึงกลับมา เดิน แต่ก่อนไม่มีรถยนต์ เดินบุกป่ามากลางคืน ไปเล่าเรื่องให้ท่านฟัง ที่นั่น(วัดฝั่งแดง) เหมาะกว่าที่นี่มาก ไม่มีพระ เป็นวัดป่า สงบสงัดดีมาก แล้วกระผมมาพักที่นั่นองค์เดียว ถ้าออกจากที่นี่ไปที่นั่นจะสงบสงัด บรรยากาศจะดีขึ้นทุกอย่าง เพราะท่านเป็นไข้หวัดใหญ่ (โฮ้ ดี อยู่ตรงไหนล่ะ) บ้านฝั่งแดง สามแยกน้ำก่ำ สามแยกไปนาแก สามแยกไปมุก ไปธาตุพนม อยู่หั้น (อย่างนั้นไปพักนั่นก็ดี) พอพูดตกลงกันเรียบร้อยแล้วเราก็มา
วันหลังจากนั้นก็พาท่านมา มาพักที่สามแยกนั้นด้วยกัน (มาวันนั้นกลางคืนหรือครับ) เปล่า วันหลัง คือเรามาวัดแล้วไปรับท่าน พูดตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ไปรับท่าน พามาพักที่นั่น นั่นละถึงได้ถ่ายรูปท่าน โยมทองอยู่เป็นลูกศิษย์ท่านมานาน ท่านอนุโลมทุกอย่างเลยนะ เราดูทุกอย่างนะ ท่านเมตตาทุกอย่าง ขอถ่ายรูป ก็ฮ่องเต๊กล่ะไปด้วย ศรีพนมหรือไง ไปด้วยกันทั้งแม่ทั้งลูกแล้วขอถ่ายภาพท่าน ท่านก็ (เอ้า ถ่ายก็ถ่าย) ท่านตั้งใจเสียสละจริง ๆ เมตตาจริง ๆ ท่านครองผ้าทันทีเลยแล้วเอาสังฆาฏิมาพาด นั่นเห็นไหมล่ะ เราไม่เคยเห็นท่านทำที่ไหนอย่างนั้น พาดสังฆาฏิ (เอาท่าไหนล่ะ) เอาท่านั้นก่อนท่านี้ก่อนก็บอกท่าน ไปอยู่ร่มไม้ ท่านตั้งหน้าตั้งตาทำเรียบร้อย นั่นละจึงได้เห็นภาพท่าน ท่ายืนก็ดี ท่านั่งก็ดี อยู่ร่มไม้ร่มเดียวกันนั่นแหละเราไปเห็น เพราะท่านไม่ให้ถ่ายง่าย ๆ นะ ใครไปถ่ายท่านไม่ได้ ไม่ให้ถ่ายง่าย ๆ จนบ่ายเขาถึงกลับ ถ่ายภาพแล้วเขาถึงกลับ กลับก็เดินไปธาตุพนมนะ เดินไปไม่มีรถมีราแหละ
ท่านพักอยู่นั้นพอสมควร ก็หลายวันอยู่นะ พักอยู่บ้านฝั่งแดง เพราะธาตุขันธ์ของท่านยังไม่ดี เป็นไข้หวัดใหญ่ จนกระทั่งค่อยฟื้นขึ้นมาพอสมควรแล้วจึงค่อยออกเดินทาง เราหาอุบายแนะเขาทางบ้านนามน ไม่ให้ท่านทราบนะ ท่านทราบไม่ได้ แนะให้เขาเอาเกวียนมารับท่าน ดูอาการท่านอ่อนเพลียมาก เลยบอกนัดไปทางนามน ให้คนไปเลยเทียวนะไม่ให้ท่านรู้ เรานี่แหละแนะ เขาก็เอาเกวียนมา จะมาแต่เกวียนเปล่า ๆ ไม่ได้นะ เดี๋ยวว่ามารับท่าน ท่านจะดุอีก เดี๋ยวท่านจะไม่ขึ้นเกวียนนะ จะหาอุบายอะไร เขาก็เอาข้าวใส่เกวียนมาขายซิ
โอ๋ย ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ได้นะ ต้องคิดรอบไว้ทุกอย่าง แนะเขา..วิธี จะเอาเกวียนมารับเฉย ๆ ท่านไม่ไปนะ ต้องหาอุบายมา เขาก็เลยเอาข้าวจากโน้นมาขายที่นาแก ขายข้าวแล้วก็เลยมาหาท่าน เขาก็บอกเขามาขายข้าว ได้ทราบหลวงปู่ไม่สบายก็เลยมาจะให้ขึ้นเกวียนไป เขาก็ว่าอย่างนั้น ท่านก็ไม่มีอะไรขัดข้อง เพราะเราแต่งทางไว้หมดแล้ว ทีนี้ตอนจะขึ้นเกวียนท่านก็ไม่อยากขึ้นนะ เอากันกับเรานั่นละ วันนั้นเลยยกคัมภีร์มาเราก็ดี ยกคัมภีร์มา โอ๊ย คนเฒ่าคนแก่ไม่มีบัญชีอะไร คือเป็นไข้เสียด้วย พ่อแม่ครูจารย์กำลังเป็นไข้ นิมนต์ขึ้นล้อขึ้นเกวียน ไม่มีบัญชีอะไรแหละ บัญชีคือวินัย เพราะพระวินัยมีอยู่ เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นล้อขึ้นเกวียนไปได้ ท่านก็เลยมาค้าง จากบ้านฝั่งแดงก็มาค้างที่บ้านนาแก แต่ก่อนเขาเรียกบ้านนาทุ่งมัง พักอยู่ที่นั่นคืนนึง วันหลังพอฉันเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางมาถึงบ้านนามนพอดี เราไม่ลืม เพราะเราตามไปหาท่านเอาท่านมา ก็เลยจำพรรษาที่นามนปีนั้น แล้วฮองเต๊กบวชที่ธาตุพนมก็มาจำพรรษาด้วยกันที่บ้านนามนปีนั้นนะ(ชื่อชาญค่ะ) เออ ชื่อชาญ ดูเหมือนท่านตั้งชื่อให้หรือไง (ตั้งชื่อให้ใหม่เจ้าค่ะ) เราก็ลืม ๆ เสีย ฮองเต๊ก ก็มาจำพรรษาด้วยกันที่นั่น พระมีประมาณสัก ๙ องค์หรือไง นับว่ามากที่สุดแล้วพระอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านไม่รับพระมาก รับพระน้อยมากทีเดียว
นั่นละพอหมดกังวล พอนำท่านมาถึงบ้านนามนหมดภาระแล้ว ทีนี้เราก็ขึ้นเวที นั่นละที่ว่าก้นแตก ตั้งแต่บัดนั้นมาตลอดเลย ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ฟาดก้นแตก ๆ เลย พิลึกนะ น่ากลัวเหลือเกิน เราก็ยังบอกไว้ในเทป พรรษานั้นเป็นพรรษาที่หนักมากที่สุดสำหรับความเพียรของเราทั้งร่างกายและจิตใจ เราก็บอกนะ ไม่มีพรรษาใดที่จะเด่นทั้งสองอย่างด้วยกัน ๑) ทางร่างกาย ๒) ทางจิตใจ ร่างกายก็หักโหมมาก นั่งตลอดรุ่ง ๆ หนักมาก ทางใจก็บังคับกันเต็มเหนี่ยว ๆ กลางวันไม่นอนเลย ตลอด ๓ เดือนไม่ยอมนอนกลางวัน เว้นแต่วันไหนนั่งตลอดรุ่งแล้วก็พักให้ นอกจากนั้นไม่นอนกลางวันเลย ความเพียรเด็ดมากถึงขนาดก้นแตก นั่นเป็นพรรษาที่สิบ
เราไม่ลืมพรรษาที่สิบ หนักมากทีเดียวการประกอบความพากเพียร นอกจากนั้นถึงหนักก็ตามมันไม่ได้พร้อมกัน บางแห่งก็หนักทางจิตใจ หนักทางร่างกายก็เป็นคู่กันไป แต่มันลดกันอยู่ แต่สำหรับบ้านนามนนี้หนักเสมอกันเลยเทียว ทางร่างกายก็เอาจนขนาดก้นแตก นั่งภาวนาตลอดรุ่ง ๆ จนก้นแตก ทางจิตใจบังคับไม่ให้ออกไปไหนเลย ลงได้สละชีวิต ถึงขนาดวันนี้จะต้องนั่งให้ตลอดรุ่ง พอกำหนดแล้วตัดสินใจปึ๊บจิตจะแย็บออกไปไหนไม่ได้เลย นี่อันหนึ่งหนักตรงนี้นะ หนักบังคับกระแสจิตไม่ให้ออกไปไหนเลย แล้วหนักบังคับร่างกายไม่ให้ลุกไปไหนเลย
อู๊ย พิจารณาทุกวันนี้น่ากลัวนะ ความเพียรของเราพูดจริง ๆ น่ากลัวมากจริง ๆ บังคับตอนนี้ที่มันหนักมาก คือ วันไหนที่เราได้ตั้งสละชีวิตลงไปเพื่อนั่งตลอดรุ่งแล้ว พอตั้งจิตขาดปึ๊บลงไปเท่านั้น จิตจะออกไปไหนไม่ได้เลย ให้อยู่ในวงนี้เลย จะคิดยิบ ๆ แย็บ ๆ ไปไม่ได้เด็ดขาด ฟังซิว่าเด็ดขาด ฟาดกัน..บังคับจิตไม่ให้ออกด้วย แล้วบังคับกายให้นั่งอย่างที่เราต้องการ เช่นอย่างตลอดรุ่งด้วย ทุกข์เท่าไรมากน้อยหมุนกันอยู่ภายในนี้ ทุกข์มากที่สุด พรรษาที่สิบเป็นพรรษาที่เด่นมาก เรื่องหักโหมทั้งร่างกายและจิตใจเสมอกันเลย นอกจากนั้นก็มีหนักทางหนึ่ง เบาทางหนึ่ง หนักทางหนึ่ง เบาทางหนึ่ง ไม่เสมอกันเหมือนปีพรรษา ๑๐ พรรษา ๑๐ นี้หนักจริง ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ อดอาหารไม่ฉันจังหันมันก็หนักของมัน แต่เราเคยของเราอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกว่าไม่หนัก แต่เรื่องบังคับใจนี้หนักตลอด ๆ เลย หนักมาก
นั่นละมาจากฝั่งแดง พอถึงที่ถึงฐานแล้วทีนี้จะเปลื้องภาระละที่นี่ จะขึ้นเวทีละ มันเป็นอย่างนั้นนะเรา ว่าอะไรเป็นอันนั้นนะไม่เหมือนใคร ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย ไม่มีเงื่อนต่อ พอหมดภาระแล้วก็เอาละที่นี่ นั่นตัดสินใจเจ้าของแล้วนะ ทีนี้ขึ้นเวทีเอาเป็นเอาตายกัน มันก็ซัดกันใหญ่ล่ะซี เอาละที่นี่เลิกกัน
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com