เป็นนิสัยวาสนาแต่ละองค์
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๑

เป็นนิสัยวาสนาแต่ละองค์

          (วัดป่าเขาใหญ่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ขอน้อมถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนแด่องค์หลวงตาเพื่อเป็นสมบัติของสงฆ์ ประกอบด้วยเสาสูง ๓๐ เมตร เครื่องส่ง ๓๐ วัตต์ ใช้คลื่นความถี่ ๙๗.๗๕ เม็กกะเฮิร์ซ ออกอากาศตั้งแต่เวลาตี ๕ ถึง ๒๔.๐๐ น. ทุกวัน) แถวนี้มีป่าดีจริงๆ แล้วก็มีวัดกรรมฐานตั้งอยู่เป็นย่านๆ ไป เริ่มตั้งแต่วัดเสือนี้ไป เลยกลายเป็นวัดเสือไปเลยวัดท่านจันทร์

ท่านจันทร์นี้เป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นคนคลองด่าน สมุทรปราการ อยู่นี่หลายปี ออกจากนี้ไปก็ไปอยู่ทองผาภูมิ เราก็คอยฟังเสียง จากนั้นเขาก็มาถวายที่ที่เป็นวัดเสืออยู่ทุกวันนี้ เนื้อที่ก็กว้างอยู่ เราก็พิจารณาดูย่านกรรมฐานภาวนา เห็นว่าที่นั่นว่างมากไม่ค่อยมีพระกรรมฐานไปอยู่ เลยให้ท่านจันทร์ วัดเสือ มาปรึกษาหารือท่านก็พอใจรับ คือท่านอยู่ทางทองผาภูมิ พระวัดท่านก็มีผู้ดูแลรักษาดีอยู่ ว่าอย่างนั้น เราก็เลยปรึกษาหารือพร้อมกับการนิมนต์ท่านมาอยู่ที่นั่น จึงได้เป็นวัดเสือขึ้นมา เรื่องราวเป็นอย่างนั้น

คือใครจะถวายที่ที่ไหนก็ตามเราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะรับเพื่อประโยชน์แก่ชาติศาสนาจริงๆ รับที่ไหนแล้วต้องเป็นภาระหนัก ไม่ได้รับทิ้งๆ ขว้างๆ อะไร ก็เลยรับ พอตั้งสมภารเลยกลายเป็นสมภารสัตว์สมภารเสือไปหมดท่านจันทร์ ท่านจันทร์เป็นเจ้าอาวาสเสือ จังหวัดกาญจนบุรี สัตว์ทุกประเภทเต็มอยู่ในวัดนั่นนะ อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาเหมือนกัน ท่านจันทร์ท่านบวชมาท่านก็ไม่ได้บวชมาหาสัตว์หาเสืออย่างนี้นะ ท่านบวชมาหาอรรถหาธรรม เข้าเสาะแสวงหาครูอาจารย์หาแต่อาจารย์สำคัญๆ เช่นอย่างมาอยู่วัดป่าบ้านตาด ส่วนวัดป่าบ้านตาดจะสำคัญหรือไม่สำคัญอะไรบ้างก็แล้วแต่เถอะ

ท่านมาอยู่นี้หลายปี ห้าหกปีหรือไง ทุกอย่างไม่มีที่ต้องติ การประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยเรียบเลย จึงได้ไปอยู่ทางนู้น เขาถวายที่ก็เห็นว่าที่นั่นว่าง พระกรรมฐานไม่ค่อยมีก็พอดีได้โอกาสที่ท่านจันทร์อยู่แถวนั้น ท่านจันทร์มาหาก็เลยปรึกษาหารือพร้อมกับมอบวัดให้ ท่านก็พอใจรับ ตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นวัดเสือๆ วัดป่าหลวงตาบัว เขาเขียนไว้ข้างทาง วัดป่าหลวงตามหาบัว

ดูว่าเขาลาดยางแล้วนะ ไปเที่ยวที่แล้วนี้ดูว่าลาดยางแล้วนะ (ลาดแล้วครับ) นี่ก็ผู้ว่าราชการจังหวัดเมืองกาญจน์ เราแน่ใจว่าผู้นี้เป็นผู้นำว่าอย่างนั้นเถอะ ที่ลาดยางเข้าไปหาวัดเสือนี้ ลาดตั้งแต่ถนนใหญ่เข้าไป ดูจะประมาณสองกิโล ดี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ที่เมืองกาญจน์เป็นลูกศิษย์ ไปคราวที่แล้วดูว่าลาดแล้ว นี่ก็เป็นนิสัยวาสนาของแต่ละองค์หรือแต่ละบุคคล เช่นอย่างวัดเสือ ท่านจันทร์ท่านบวชมาเพื่อมาปฏิบัติบำรุงรักษาเสือเมื่อไร แต่มันหากมีความจำเป็นที่แทรกเข้ามาๆ

เบื้องต้นก็มีใครเอาสัตว์อะไรมาปล่อย ท่านก็ไม่หาปล่อย แต่เขาเอาไปถวายท่าน ท่านก็เห็นว่ามันเป็นที่ว่าง เป็นทำเลที่ปลอดภัยตลอดสัตว์ทั้งหลาย เกี่ยวกับเรื่องอาหารก็สะดวกคงจะเป็นอย่างนั้น เขาเอาวัวควายไปถวายท่าน ให้ท่านตั้งใจเสาะแสวงหามาเลี้ยงไม่ละเราเชื่อทันที นี่ก็จำเป็นต้องได้รับ ครั้นรับแล้วสัตว์หลายประเภทเข้ามาที่นั่นๆ รวมเข้าไปจนกระทั่งสัตว์ในป่าแท้ๆ ม้าป่าเราก็ไม่เคยเห็น ได้ยินว่ากระทิงวัวแดงอะไรนี้เราก็เคยได้ยินในดงบ้านตาดก็มีเยอะ อันนั้นก็ลงมากระทิงวัวแดงก็มาจากเขานี้ ว่างั้น อันนี้เราเคย แต่ม้าป่าเราไม่เคยได้ยิน ก็อยู่ที่นั่น แล้วถาม นี่ก็มาจากป่า ลงมาเลย นี่แปลกอยู่นะ

ท่านก็เลยเลี้ยงดู ท่านตั้งใจบวชมาหาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสืออะไร ท่านไม่มีนะเจตนาเดิม ความจำเป็นมันหากแทรกเข้ามาๆ ทีแรกก็ดูว่าพวกสัตว์พวกเนื้อ ครั้นต่อมาก็มีพวกเสือ เสือเข้ามามาให้ท่านเลี้ยง ทีนี้ค่อยลุกลามไปนะ พวกนกยูง พวกหมู หมูนี่หลายร้อยตัว ตอนเช้ามันก็เป็นเองของมันจะให้ทำอย่างไร หมูตอนเช้ามันลงมา แรกจริงๆ คือหมูตัวหนึ่งจะถูกเขาทำลายหรืออะไร เขาตีเอวหรืออะไรเป็นบาดเป็นแผล  แล้วอะไรบ้าง เป็นสัตว์พิการ หมูตัวเดียวเสียก่อนเป็นต้นเหตุ

จึงน่าคิดนะ เขาจะไปส่งข่าวให้ท่านทราบได้อย่างไร หมู..ภาษาสัตว์เขาก็มีประจำเขาถ้าเป็นอย่างนั้น เรามาจับจุดนี้ละ แล้วหมูเป็นหมูโทนตัวเดียวถูกเขาทำลาย มันก็ลงมาวัด ท่านจัดอาหารให้เขากิน ท่านสงสารไปเห็น โอ้อย่างไรกันนี่ เลยจัดอาหารเลี้ยงหมูตัวนี้ละ หมูโทนหมูตัวเดียว หมูทอกหมูโทนหมูตัวเดียว อันเดียวเรียกว่าทอก โทน อย่างวัดภูทอก มีเขาลูกเดียววัดภูทอก ถ้าเป็นหมูก็หมูทอกหมูโทน  ท่านก็เลี้ยงดูจนเขาหายแล้วเขาก็ขึ้นไปจากวัด

เพื่อนฝูงไม่ทราบอยู่ที่ไหนมาดั้งเดิมไหลกันลงมา มากินอาหารกับท่าน ท่านเลยต้องจัดเป็นการเป็นงานจริงๆ มันไหลมาไม่ใช่น้อยๆ เป็นร้อยๆ หมูป่า ไหลลงๆ ท่านเลยต้องจัดเอาจริงๆ นะ จัดเป็นการเป็นงานขึ้นมา จัดอาหารเลี้ยงหมู แล้วหมูเป็นร้อยๆ เอาทีนี้นกยูงก็มา อันนั้นก็แบบเดียวกันอีก ยั้วเยี้ยๆ เลยเลี้ยง แล้วสัตว์อะไรต่ออะไรอยู่ในป่ามาๆ จึงได้เห็นสัตว์ป่าธรรมชาติแท้ๆ นี้เขาอยู่ในป่าเขามาอาศัยคน เวลามีที่อาศัยเขาก็ลงมาอาศัย ถ้าไม่มีที่อาศัยเขาก็อยู่ตามป่าโดยหลักธรรมชาติของเขา

ขอสรุปความเลยว่าสัตว์ส่วนมากที่เอามาเลี้ยงไว้นี้มีแต่สัตว์ป่านะ คนเอามาเลี้ยงแล้วก็เลยกลายเป็นสัตว์บ้าน ทีนี้เลยเห็นว่าสัตว์อยู่ในป่าในเขาว่าเป็นสัตว์ป่าๆ เถื่อนๆ ที่ไหนได้ไปแย่งจากป่ามาเป็นบ้าน สัตว์ในบ้านของเราเป็นป่าๆ เถื่อนๆ พวกวัวพวกควายเหล่านี้ ควายป่าก็มีเยอะ ธรรมชาติแท้มันเป็นสัตว์ป่าทั้งนั้นแหละ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของท่านของเรานะ เป็นเอง

อย่างที่วัดเสือนี่เหมือนกัน ท่านจันทร์ท่านบวชมาเพื่อตั้งหน้าตั้งตามาทำงานในการเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายมีเสือเป็นต้นเมื่อไร ท่านไม่ได้มี แต่เวลามาอยู่แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นละ พวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยเสียก่อนมา พวกหมู นกยูง แล้วก็สัตว์บ้านเขาเอาไปปล่อยไว้นั้น แล้วค่อยกระจายออกๆ สุดท้ายเลยหมูทั้งภูเขาลงมาหมดไม่ทราบกี่ร้อย นกยูงไม่ทราบกี่ร้อยลงมา สุดท้ายพวกกระทิงวัวแดงลงมา เป็นสัตว์ป่าๆ ทั้งนั้นละมา ม้าป่าก็ได้เห็นในวัดนั้น มันมาเองท่านว่าอย่างนั้น ลงมาจากเขา

จึงได้ทราบว่า โอ๋ สัตว์เหล่านี้ดั้งเดิมเขาเป็นสัตว์ป่าทั้งนั้นที่เอามาเลี้ยงไว้ในบ้านในเรือน เอามาจากป่าทั้งนั้นแหละ มันเป็นสัตว์ป่า ไม่ใช่เป็นสัตว์บ้านโดยธรรมชาติ สัตว์ป่าโดยธรรมชาติถูกต้องดี วัดท่านจันทร์จึงเป็นวัดเลี้ยงสัตว์เต็มไปหมดเลย ท่านไม่มีเจตนาแต่มันก็เกี่ยวโยงกันมาเรื่อย สัตว์แต่ละประเภทๆ เขามีเพื่อนมีฝูง ยกตัวอย่างคือหมูตัวเดียวนี้เป็นสัตว์พิการถูกเขาทำลาย มันไม่มีที่ไปมันก็คืบคลานลงมา เลยเลี้ยงอาหารมัน จนกระทั่งมันหาย โรคก็หาย เป็นแผลหรืออะไรหาย แล้วมันก็ขึ้นไป

พอขึ้นไปทีนี้มันเรียกเพื่อนฝูงมาเต็มไปหมด หลังจากตัวใหญ่นี้ไปตัวเดียวไม่นานนะหลั่งไหลลงมาหมูป่า ทีนี้เลยกลายเป็นร้อยๆ เลย อย่างนั้นแหละ เขาจะไปส่งข่าวอะไรไม่ทราบนะ ตัวนี้ละตัวสำคัญ ตัวสื่อสารสำคัญ แล้วหมูเป็นร้อยๆ ลงมา ทีนี้เลยต้องเป็นภาระเลี้ยงดูจัดอาหารการกิน ต่อมานี้ฝรั่งเขามาช่วยก็เลยกำลังหนุนขึ้น สะดวกในการเลี้ยงดูสัตว์ อาหารเขาจัดมาให้ๆ มีอาหารหลายประเภทอยู่ที่นั่น

พวกเสือนี้ดูมัน ๑๙ หรือ ๒๐ ตัว (๑๘ ตัวครับ) นั่นละเสือ ๑๘ ตัวอยู่ในกรง ท่านทำเป็นโรงยาวๆ ไว้ให้สัตว์อยู่ในกรงเต็มอยู่ในนั้น เห็นเราไปเขาจะวิ่งฉากนะ เป็นกรงเหล็ก ข้างนอกเป็นช่องเราก็ไปตามช่อง ดูเขาเดินฉากไปฉากมา เวลามันตบเราไม่รู้นะ เร็วจริงๆ เราก็ไปเซ่อๆ ของเรา เพลินดูสัตว์ไป เสือมันก็ผ่านไปผ่านมา แล้วปุ๊บข้างหลังนี่ มันตบหลังเรา แต่มันไม่ใช้เล็บ มันทำหยอกเฉยๆ มันเป็นช่องเหล็กๆ มันออกมาเมื่อไรเรายังไปเซ่อๆ นะ ปั๊วะเข้าที่หลังนี่เลย พอรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่ได้ออกจากเจตนาของมัน มันตบเล่นเฉยๆ มันไม่ได้ใช้เล็บ ปั๊วะเข้านี่เลย เรามองไปมันก็เดินฉากไปนู้น โอ๋ มึงตบหลังกูเหรอ เออ กูยอมรับกูเซ่อ มันตบเร็วนะ มันออกช่องนี่ปั๊บ มันตบเราปุ๊บเลย ไม่ใช้เล็บ น่ารักนะ ตบเร็ว

นี่ก็เป็นวัดเสือไปแล้ว สุดท้ายวัดเสือนี่กลายเป็นวัดสัตว์ทุกประเภทเต็มอยู่นั้นละ มันมากต่อมาก มาเองนะ ลงมาจากภูเขา จึงรู้ว่าสัตว์เหล่านี้ธรรมชาติเดิมเขาเป็นสัตว์ป่าทั้งนั้นแหละ เข้ามาอาศัยคน เช่นวัดท่านจันทร์ ถามดูตัวไหนๆ มีแต่ออกมาจากป่า คนที่เอามาปล่อยให้ก็มี ครั้นต่อมามันเป็นสัตว์ป่าลงมาๆ เต็มไปหมดนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ก็ดีอย่างหนึ่งมีพวกฝรั่งเขาให้อาหาร เบาภาระลงมาก พวกฝรั่งเขาให้อาหาร เบาภาระในการเลี้ยงดูลงมากมายทีเดียว ที่กว้าง เดี๋ยวนี้กว้างขวางมาก แต่เนื้อดินของวัดไม่ค่อยดี ดูต้นไม้ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรนัก

สัตว์เหล่านี้เวลาพระไปกรรมฐานจึงทราบได้ดีนะพระ เวลาเขามาหาพระนี่ พระเดินจงกรมอยู่นี้เขามาเมื่อไรไม่ทราบ มานั่ง เขาไม่ได้มาหมอบนะ ถ้าหมอบมันมีท่า ท่าจริงท่าเล่นไม่แน่ละ ถ้าเขานั่งเหมือนหมา อย่างนี้ไม่เป็นอะไร เขามาเขาก็มานั่ง นี่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเล่าให้ฟังเอง เราก็ไปเห็นรูปปั้นท่าน ท่านเรียกว่าครูบาสีทา พรรษาไล่เลี่ยกัน แก่พรรษากว่าท่านหน่อย ท่านเรียกว่าครูบาสีทา เราไปเห็นเขาปั้นรูปไว้นู้นที่อุบล วัดบูรพาหรือวัดอะไร (วัดบูรพาเจ้าค่ะ)

นั่นละไปเห็นรูปครูบาสีทา รูปคล้ายคลึงกันกับรูปพ่อแม่ครูจารย์มั่น ขนาดเดียวกันนั้นละ ท่านพูดถึงอยู่ว่านี่ที่เดินจงกรมไปมาอยู่นั้นเสือมันมานั่งเฝ้าอยู่ ท่านว่าอย่างนั้นนะ องค์นี้แหละ เราไปเห็นรูป ว่านี่อาจารย์สีทา โอ๋ นี่เป็นองค์ที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดถึงอยู่เสมอนั้นแหละ รูปร่างเล็กๆ เท่ากันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา รูปร่างขนาดนั้น เห็นรูปร่างของท่านก็ดู ที่เสือมันมานั่งเฝ้าอยู่ท่านเดินจงกรมไปมากลางคืน ไปอยู่ฝั่งนู้นฝั่งลาวเสือชุม ท่านอยู่แห่งหนึ่งท่านอาจารย์มั่นเรา แล้วองค์นี้อยู่บ้านหนึ่งต่างหาก

เวลาเดินจงกรมไปมาดูลักษณะมันผิดหูผิดตา ทีแรกไม่มีอะไร ครั้นต่อมาดูลักษณะในสายตาหางตามองไปมันอะไรนะ ท่านก็เลยดูจริงๆ ที่ไหนได้เสือโคร่งใหญ่มันมานั่งดูอยู่นั้นน่ะ เสือโคร่งใหญ่ ท่านมองเห็นทีแรกจิตใจก็มีลักษณะยิบๆ จะว่ากลัวก็ไม่กลัว แต่ขนลุกซู่ ท่านว่าอย่างนั้นนะ เขาก็นั่งอยู่นั้น ท่านก็เดิน ไม่พูดอะไรกับเขาละทีแรก คิดก็ไม่คิด ก็รู้แต่ว่าเสือ เดินไปเดินมา

ทีนี้ก็ได้ความคิดขึ้นมา เสือตัวนี้มานั่งเฝ้าเรานี้นั่งเฝ้าเพราะเหตุไรนา ถ้าหิวอยากไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไป ไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราก็ได้ท่านว่า คิดในใจ มันก็เสียงกังวานขึ้นเลย เหมือนว่าเสือเทพบันดาลนะ บันดาลใจเสือหรือเป็นเสือเทพก็ไม่รู้ละ พอท่านคิดอย่างนั้นแล้วเสียงกังวานขึ้นเลย เฮ่อๆ ขึ้นเลย ท่านเลยพลิกความคิดเสียใหม่ โอ๋ ถ้าไม่ไปจะรักษาอันตรายให้ก็ไม่เป็นไร เราไม่ว่าอะไร เราคิดเฉยๆ ถ้าหิวจะไปหากินก็ให้ไป ว่าอย่างนั้นต่างหาก ถ้าจะนั่งเฝ้ารักษาอันตรายให้ก็ได้ ท่านว่า เลยเงียบเลย ท่านก็เดินจงกรม

ถ้าคิดในทางไม่ดีเกี่ยวกับการตำหนิเสือตัวนี้มันจะขึ้นเลย คำรามทันที พอพลิกความคิดเสียใหม่เงียบเลย ถ้าว่าไม่ไปจะรักษาอันตรายให้ก็ได้ไม่เป็นไร ท่านว่าอย่างนั้น เลยเงียบเลย ท่านก็เดินจงกรมจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในร้านแคร่กรรมฐาน แล้วเขาก็นั่งอยู่นั้น ตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นอีกเลย มีวันเดียวเท่านั้น เสือใหญ่มาก อยู่ข้างทางห่างประมาณ เออ นี่ละต้นเสา เขาอยู่ข้างๆ ทางจงกรมเสือใหญ่ พอคิดตำหนิเขา อยากให้เขาไปเที่ยวหาอยู่หากิน มาเฝ้าหาอะไร ท่านว่าอย่างนั้น เสียงคำรามขึ้นเลย พอว่าถ้าไม่ไปก็ได้ไม่เป็นอะไร รักษาอันตรายให้เราก็ยิ่งดี ท่านว่า พอว่าอย่างนั้นเขาก็เงียบเลย

มันเหมือนว่าเสือบันดาลใจจากเทพ หรือว่าเทพนิมิตก็ได้ ถ้าลงพ่อแม่ครูจารย์มั่นได้พูดอะไรแล้วแม่นยำนะ เราก็จับความคิดภาพพจน์ของอาจารย์สีทานั้นไว้ พอดีก็ไปเจอรูปปั้นท่านเท่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น อ๋อ นี่อาจารย์สีทาองค์นี้เององค์เสือมานั่งเฝ้า เขาไม่ทำไมนะ เขานั่งอยู่เฉยๆ นั่งไม่ใช่นั่งหมอบ ถ้านั่งหมอบมันมีท่าจริงท่าเล่นได้นะ ถ้านั่งธรรมดาเหมือนหมานั่งนี่เรียกว่านั่งดูธรรมดา ไม่ทำอะไร ถ้านั่งหมอบเหมือนแมวนี้มีท่านะ แต่นี่เขานั่งแบบหมานั่ง ก็มาคืนเดียวจากนั้นไม่มาอีกเลย จนกระทั่งท่านจากที่นั่นไปไม่มา คงจะเป็นเสือเทพบันดาลว่างั้น

แต่สำหรับท่านเองไม่เคยพูดเรื่องสัตว์เรื่องเสือให้ฟังเลย พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่เคยพูด ทั้งๆ ที่ท่านสมบุกสมบันมากในการอยู่ในป่าในเขา ที่จะไปเจอเสือหรือเจอสัตว์ร้ายที่ไหนมาเล่าให้ฟังไม่มี มีแต่เล่าเรื่องขององค์อื่นๆ องค์ใดเด่นทางใดๆ ท่านเล่า พระบางองค์ก็มีนิสัยต่างกันเกี่ยวกับช้างบ้าง เสือบ้าง งูบ้าง อะไรเหล่านี้ อย่างอาจารย์ชอบนี้งู เสือ หลวงปู่ขาวนี่ช้าง เด่น ช้างนี่หมายถึงช้างป่านะ มันมายืนจังก้าอยู่ข้างทางจงกรมท่านว่า คือทีแรกได้ยินเสียงมันโครมครามๆ ช้างตัวเดียว มันเหมือนจะมาหาท่าน ท่านอยู่ทางเชียงใหม่

ท่านเลยรีบเอาเทียนไปจุดเล่มนั้นจุดเล่มนี้ตามสายทางจงกรม ช้างมันจะมานี่ละ  ท่านนึกว่าอย่างนั้น ถ้ามันเห็นไฟแล้วมันจะไม่มา ท่านคิดว่าอย่างนั้น ท่านก็จุดเทียนไปวางไว้นู้นเอาวางไว้นี้ตามสายทางจงกรม โอ๋ย มาเขาไม่ได้กลัวไฟท่านว่า เวลาเขามาแล้วเขาตรงเข้ามาหาไฟเลย มา โถ ตัวเท่าภูเขา นี่เห็นชัดๆ อย่างนี้แหละ หลวงปู่ขาวท่านเล่าให้ฟังเอง พอมาแล้วมายืนจังก้าอยู่นี่เท่าภูเขาเลย เทียนก็จุดไว้อย่างนั้นละ ท่านก็เดินสละตายเลย เขาจะทำอะไรก็ให้เขาทำ ท่านก็เดินเฉยเหมือนไม่มีอะไร

เขาก็มายืน โถ สัตว์ใหญ่เวลามายืนอยู่นี้มันไม่เคลื่อนไม่ย้ายไปไหนมันเหมือนภูเขาท่านว่า เป็นชั่วโมงๆ ยืนอยู่นั่นแหละ ท่านก็เดินจงกรมผ่านไปมา เขาจะทำอะไรก็มอบเลย ก็ไม่ทำไม มายืนดู จนกระทั่งเทียนนี้ดับลงดับไปดับหมดเทียนเอามาจุดนะ บทเวลาเขาจะไปนี้บึ่งบั่งทีเดียวไปเลย เขามายืนอยู่ทีแรกเหมือนภูเขา เราก็เดินจงกรมอยู่นี้เขาก็มายืนอยู่ข้างทางจงกรม นี่ช้างใหญ่ช้างตัวเดียว ประมาณสักไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงท่านว่า ตกลงท่านก็เดินอยู่นั้นเรื่อย บทเวลาเขาจะไปก็บึ่งบั่งไปเลย ไม่ทำไม นี่ท่านก็ชินไปทางช้าง บางทีก็ช้างบ้าน บางทีก็ช้างป่า ท่านเจอเรื่อยท่านว่า

เด่นคนละทาง หลวงปู่ฝั้นเป็นพวกเสือ หลวงปู่ชอบพวกเสือ ที่ว่าพวกเสือคือมันขึ้นไปหาท่านจริงๆ ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นไปจริงๆ เข้าไปหาจริงๆ ไปแล้วก็ไม่ทำไม แล้วไป จึงเรียกว่านิสัยมันเกี่ยวโยงกัน บางทีตอนเช้าเดินจงกรมอยู่เช้ามืดเสียงมันดังขึ้นมา มันขึ้นจากตีนเขาขึ้นมาหาคนอยู่ข้างเขา เสียงเสือโคร่งขึ้นไปจนกระทั่งไปถึงทางจงกรม นี่ท่านอาจารย์ชอบเล่าให้ฟัง พอขึ้นไปนั้นท่านก็เดินจงกรม เขาขึ้นไปหัวจงกรมเลยนะ กำลังจะเริ่มสว่าง ท่านว่าอย่างนั้น พอเขาขึ้นไปเขาก็ไปยืนอยู่นั้น ท่านก็เดินจงกรม

ท่านพูดกับเขา เขาจะรู้ภาษาหรือไม่รู้ก็ไม่ทราบ ท่านว่า แต่พูดกับเขา มึงขึ้นมาหาอะไร เขาขึ้นไปแล้วเขาไปยืนอยู่นั้น ขึ้นมาหาอะไร กูเดินจงกรมมึงเดินจงกรมไม่เป็นมึงขึ้นมาหาอะไร ไปจะไปที่ไหนก็ไปซิ เฉย ยืนดูอยู่นั้นละ คนก็เดินจงกรมกลับไปกลับมาเขาก็ยืนดูอยู่นั้น จะทำอะไรเขาไม่ทำ พอนานเข้าๆ จนสว่าง พอสว่างขึ้นมาเห็นตัวเขาชัดเจนเลยทีนี้ จนกระทั่งจะถึงเวลาบิณฑบาตเขายังไม่ยอมไป

ท่านก็เลยพูดกับเขา มึงขึ้นมาหาอะไร มึงเดินจงกรมไม่เป็น นี่กูเดินจงกรมมึงรู้ไหม เขาก็เฉย ทีนี้ท่านว่าไป มึงจะไปไหนก็ไป ก็ยังเฉยอีก ท่านเลยจับจีวรของท่าน เวิกจีวรขึ้น ไป โก้กเดียวไปเลย ท่านว่า เราก็กลัวว่ามันไม่สัตย์ซื่อต่อเรา ท่านว่าอย่างนั้นนะ เวลาเดินลงไปบิณฑบาตในหมู่บ้านตาต้องได้สอดส่ายไปตามข้างทาง กลัวมันจะไปหมอบทำลาย กลัวมันจะไม่สัตย์ซื่อ ท่านว่าอย่างนั้น เดินตาก็สาดๆ จนกระทั่งถึงหมู่บ้าน กลับมาก็ไม่เห็น เห็นเท่านั้นละ กลัวว่ามันจะไปหมอบอยู่ข้างทาง ไม่มี ทีเดียวมีเท่านั้น ไม่ได้ซ้ำนะ เป็นอย่างนั้น

ครูบาอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานก็มีหลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น ที่เด่นมาก ท่านอาจารย์มหาทองสุก อันนี้ก็เหมือนกัน หลวงปู่ตื้อที่เด่นเรื่องสัตว์ หลวงปู่ตื้อนี้เสือรักษาจริงๆ ท่านไปพักอยู่ทางนู้นไม่ใช่ใกล้ๆ นะ เขาตามไปเลยเสือตัวนี้  เวลาท่านเดินจงกรมอยู่นั้นเขาจะอยู่ข้างๆ เหมือนว่ารู้ภาษาคนท่านว่านะ เราเดินจงกรมอยู่นั้นเขาเงียบๆ เขาอยู่ข้างๆ มีใครแปลกหน้าไปนั้นไม่ได้นะ ท่านว่า เสียงเขาจะขึ้นเลย แต่อยู่ลำพังกับท่านไม่มี ถ้ามีคนแปลกหน้าพูดกันยิ่งคุยกันโจเจๆ เกินไปนี้เขาจะคำราม เห่อๆ คนแตกฮือเลย มันกลัว เสือตัวนี้ละมันรักท่าน

ทีนี้ก็มีวันหนึ่งที่มันน่าขบขัน เจ้าคณะอำเภอเขาว่าเป็นพระแปลกปลอมมาจากไหนมาอยู่ในป่านี้ เจ้าคณะอำเภอจะมาขับไล่ท่านหนีจากที่นั่น ท่านก็เลยพูดเสียงดังๆพูดกับเสือ ก็ไม่เห็นเสือละ มันอยู่ข้างๆ นั่นละเสือน่ะ คนพูดอะไรนี้มันจะฟังทั้งนั้นแหละ แต่มันไม่แสดง ถ้ามีคนแปลกหน้ามาเอาแล้วนะเสียงมันจะลั่นขึ้น ถ้ามีแต่เสือตัวนี้กับท่านแล้วจะไม่มีอะไร เหมือนไม่มีเสือ เขาหิ้วตะเกียงเจ้าพายุมากลางคืนเจ้าคณะอำเภอกับพวกบริษัทบริวาร ก็คงพวกฆราวาสนั่นแหละ จุดตะเกียงเจ้าพายุมาจะมาไล่ท่านตอนกลางคืน ท่านเลยบอกว่า เฮ้อ วันนี้เขาจะมาขับไล่ครูบานะ มึงรักษาด่านให้กูนะ ว่าอย่างนั้น

อาจารย์ตื้อใครก็รู้นิสัยท่านเป็นอย่างนั้น ท่านนิสัยกล้าหาญมาก ที่ว่าเสือคอยดูแลท่านนี่เป็นความจริง เพราะนิสัยท่านเป็นนิสัยที่ไม่กลัวอะไร ทีนี้พอค่ำมาก็ได้ยินเสียงโจเจๆ นี่เขามาแล้วมึงคอยรักษาทางนะ ท่านบอกเสือตัวนั้น มันอยู่ไหนก็ไม่รู้แต่มันอยู่ข้างๆ นั่นละ ให้มึงรักษาทางไว้ เวลาเขามานี่ให้มึงขู่คำรามเขาอย่าให้เข้ามาหาครูบานะ ท่านก็พูด

สักเดี๋ยวก็เห็นไฟตะเกียงเจ้าพายุมา ไม่นานนะฟังเสียงทางนี้ขึ้นแล้ว ฟังเสียงอ่าวๆ ขึ้น ทางนั้นแตกฮือเลย ตะเกียงเจ้าพายุตกไป พวกที่มาขับไล่ เสือขับไล่ไปหมด ป่าราบไปเลย เสือตัวนี้ก็อยู่สบายกับหลวงปู่ตื้อ ถ้ามีคนแปลกหน้ามาไม่ได้นะ เสือตัวนี้สำคัญมาก แม้แต่พระก็ยังเป็น คือพระไปจากทางกรุงเทพท่านไปอยู่ที่นั่นละ ได้ยินข่าวเรื่องที่ว่าเสือคำรามพวกนี้ พวกนี้อยากไปดู ท่านก็ไปธรรมดา เขาก็ไม่ตั้งใจทำอะไรท่าน

พระท่านก็ไปนอนอยู่นั้นได้คืนเดียว พอนอนทีนี้ปวดหนัก แต่เขาไม่ได้บอกว่าขี้ทะลักนะ พอไปนั้นปวดหนักพรวดพราดออกมา เสือมันอยู่ข้างๆ ซี ไม่เห็นมัน พอโดดปึ๋งปั๋งออกมาเสือมันก็ฮ่า โอ๋ย ปวดหนักหายเลย ท่านว่า ร้องโก้กขึ้นเลยพระ ท่านก็เลยถามร้องอะไร เสือนี่ โอ๋ย ไม่เป็นไรละ ไปทำอะไรให้มันตื่นเต้นก็ไม่รู้ ก็ปวดหนักปึ๋งปั๋งออกมา มันก็คำรามขึ้นที่นั่น มันร้องเฉยๆ มันตื่นไม่เป็นไรแหละ แต่ไม่ได้ถามถึงว่าไอ้ขี้มันทะลักออกหรือเปล่า กำลังปวดหนักๆ ปึ๊งปั๊งออกมา พอเสือปราบให้ขี้หายไปเลย ขบขันดี

ท่านไปที่ไหนตามนะเสือตัวนี้ ตามรักษาท่าน นู่นท่านไปจนกระทั่งแม่ฮ่องสอนมันก็ตามไป ตามไปนั้นหากไม่ทำไม ตามไป นี่อาจารย์ตื้อนะ อาจารย์ตื้อนิสัยตรงไปตรงมามาก เวลาท่านมรณภาพแล้วอัฐิของท่านเป็นพระธาตุหมดนะ เหลืองอร่ามเราไปดูแล้ว ไปดูอัฐิของหลวงปู่ตื้ออยู่ที่บ้านข่า ทราบข่าวว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุเราจึงไปดู สำหรับเรากับท่านนั้นเคารพกันมานานแล้ว คุ้นกัน

วันที่เราไปเยี่ยมท่าน ท่านยังอุตส่าห์ออกมาต้อนรับ เขาหามออกมา ท่านเดินไปไหนไม่ได้ อวัยวะเสีย เขาก็เอาแคร่อะไรหามท่านออกมาตั้งกึ๊กเลย พอทราบว่าเราไปกราบเยี่ยมท่านบ้านข่า ท่านก็ออกมา ท่านพูดเพราะคุ้นกันมาแล้ว รู้นิสัยของท่านแล้ว เหอ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านมหามาเหรอ มา อยากมากราบไหว้ครูอาจารย์ มาอยู่นี้นานแต่ไม่มีเวลาว่าง วันนี้มีช่องว่างก็เลยมา ดีละ เอาฟังเทศน์นะจะเทศน์ให้ฟัง ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ อู๋ย เทศน์นี่ไม่มองใครนะ ไปหนเดียวไปกราบท่าน

เรากับท่านคุ้นกันมานาน รู้นิสัยท่าน จากนั้นท่านก็มรณภาพแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุนะ สวยงามมาก เราไปเห็นแล้ว ท่านเป็นธรรมทั้งแท่งล้วนๆ ท่านไม่ได้มองดูใคร ท่านอยากพูดอะไรท่านพูดแบบธรรมเลย ตรงไปตรงมาแน่วๆ เลย ท่านไม่แบ่งสู้แบ่งรับ สูงๆ ต่ำๆ ท่านไม่นำมาใช้ ท่านใช้แต่ความจริงคือหลักธรรมล้วนๆ เลย นี่อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว นี้องค์หนึ่งที่เสือตามรักษา พูดเท่านั้นละ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

จากเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก